Geek Life EP123 : Vector สอนชีวิต ทำไมทิศทางสำคัญกว่าความพยายาม บทเรียนล้ำค่าที่ซ่อนอยู่ใน Despicable Me

หากจะพูดถึงการค้นหาเส้นทางอาชีพที่จะนำพาเราไปสู่ความสุขและความสำเร็จ หลายคนอาจนึกถึงการฟังการพูดสร้างแรงบันดาลใจหรือหนังสือพัฒนาตนเอง

แต่บทเรียนที่ทรงพลังที่สุดบทหนึ่งกลับซ่อนอยู่ในภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่อง Despicable Me ในฉากที่ตัวละครเอกอย่าง Gru กำลังนั่งรออยู่ในล็อบบี้ของ Bank of Evil เพื่อขอสินเชื่อสำหรับแผนการขโมยดวงจันทร์ของเขา

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/y4kypy97

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/ymubjd66

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/pPQJ2JJYGxU

Vector สอนชีวิต : ทำไมทิศทางสำคัญกว่าความพยายาม บทเรียนล้ำค่าที่ซ่อนอยู่ใน Despicable Me

หากจะพูดถึงการค้นหาเส้นทางอาชีพที่จะนำพาเราไปสู่ความสุขและความสำเร็จ หลายคนอาจนึกถึงการฟังการพูดสร้างแรงบันดาลใจหรือหนังสือพัฒนาตนเอง

แต่บทเรียนที่ทรงพลังที่สุดบทหนึ่งกลับซ่อนอยู่ในภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่อง Despicable Me ในฉากที่ตัวละครเอกอย่าง Gru กำลังนั่งรออยู่ในล็อบบี้ของ Bank of Evil เพื่อขอสินเชื่อสำหรับแผนการขโมยดวงจันทร์ของเขา

ในฉากนั้น มีตัวร้ายอีกตนหนึ่งชื่อ Vector ที่สวมชุดสีส้มเดินเข้ามาทักทาย เขาแนะนำตัวว่าชื่อของเขามาจากศัพท์ทางคณิตศาสตร์ที่หมายถึงปริมาณที่มีทั้งทิศทางและขนาด

แม้ Gru จะพยายามหลีกเลี่ยง แต่ Vector ก็ยังคงอธิบายต่อว่าเขาตั้งชื่อนี้เพราะเขาก่ออาชญากรรมที่มีทั้งทิศทางและขนาด

คำพูดของ Vector นี้เองที่สะท้อนแง่คิดสำคัญเกี่ยวกับการใช้ชีวิต เราทุกคนมักได้ยินว่าความสำเร็จมาจากความพยายามและการทำงานหนัก ซึ่งก็เป็นความจริง การจะบรรลุเป้าหมายใดๆ ล้วนต้องอาศัยการทุ่มเทแรงกายแรงใจจำนวนมาก แต่สิ่งที่มักถูกมองข้ามคือ “ทิศทาง” ของความพยายามนั้น

ลองนึกถึงการเรียนคณิตศาสตร์ในโรงเรียน หลายคนเรียนเพื่อให้ได้เกรดดี เพื่อเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง เพื่อได้งานที่มั่นคง และเพื่อส่งต่อวัฏจักรนี้ไปยังรุ่นต่อไป แต่หากมองย้อนกลับไป เช่น ตัวของ Jason Zhu He (Speaker) ที่จบมัธยมปลายมาแล้ว 1,438 วัน ยังแทบไม่เคยใช้ทฤษฎีปีทาโกรัสเลยสักครั้ง

สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือการที่คนรุ่นใหม่จำนวนมากเลือกเส้นทางชีวิตโดยอิงจากปัจจัยภายนอก ไม่ว่าจะเป็นคะแนนสอบที่ทำได้ ความคาดหวังของครอบครัว อิทธิพลจากเพื่อนฝูง หรือภาพลักษณ์ทางสังคม

พวกเขาใช้เวลาหลายปีในรั้วมหาวิทยาลัย แบกรับภาระหนี้สินจากค่าเล่าเรียน เพื่อแลกกับปริญญาบัตรและอาชีพที่อาจไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาต้องการจริงๆ

เปรียบเสมือนการเดินทางที่แม้จะใช้พลังงานมหาศาล แต่กลับพาเราไปในทิศทางที่ห่างไกลจากจุดหมายที่แท้จริง ดังนั้น ณ จุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต เราควรให้เวลากับการพิจารณาทิศทางอย่างรอบคอบ

แนวคิดที่น่าสนใจในการค้นหาทิศทางที่เหมาะสมคือ Ikigai ซึ่งเป็นคำในภาษาญี่ปุ่นที่มีความหมายว่า “คุณค่าของการมีชีวิตอยู่ที่แท้จริง” แนวคิดนี้ถูกนำเสนอในหนังสือของ Héctor García และ Francesc Miralles โดยอธิบายว่า Ikigai ประกอบด้วยองค์ประกอบสี่ประการ ได้แก่ สิ่งที่คุณรัก สิ่งที่คุณเก่ง สิ่งที่โลกต้องการ และสิ่งที่สามารถสร้างรายได้

การค้นหา Ikigai เริ่มต้นได้ด้วยการตั้งคำถามกับตัวเองว่าอะไรคือสิ่งที่เรารักและเก่ง โดยไม่จำเป็นต้องคิดแบบตรงไปตรงมา เช่น การที่คุณชอบคณิตศาสตร์ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องเป็นนักคณิตศาสตร์เท่านั้น หรือการที่คุณเก่งกีฬาไม่ได้จำกัดว่าคุณต้องเป็นนักกีฬาอาชีพ ทักษะและความสนใจเหล่านี้อาจชี้นำไปสู่อาชีพที่หลากหลายได้

ขณะที่คุณใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะอ่านข่าว หนังสือ หรือเลื่อนดู TikTok ให้สังเกตว่าอะไรที่ทำให้คุณรู้สึกตื่นเต้นและประทับใจ นั่นอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงสิ่งที่โลกต้องการและคุณสามารถมีส่วนร่วมได้

อย่างไรก็ตาม องค์ประกอบสุดท้ายคือการสร้างรายได้ มักเป็นความท้าทายที่ใหญ่ที่สุด แม้จะมีคำกล่าวว่า “ทำในสิ่งที่คุณรัก แล้วเงินจะตามมาเอง” แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงที่มีค่าครองชีพสูง แรงกดดันจากครอบครัว และความคาดหวังทางสังคม การไล่ตามความฝันโดยไม่คำนึงถึงความมั่นคงทางการเงินอาจเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

แต่มีวิธีที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง นั่นคือการค่อยๆ พัฒนา Ikigai ของคุณให้กลายเป็นแหล่งรายได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป ยกตัวอย่างเช่น หากคุณรักการตัดต่อวิดีโอ เริ่มจากการกันเวลาสักไม่กี่ชั่วโมงต่อสัปดาห์เพื่อฝึกฝนและสร้างผลงาน ปกป้องเวลานั้นอย่างจริงจัง และค่อยๆ สร้างพอร์ตโฟลิโอของคุณ

การสร้างเนื้อหาบน social media ในปัจจุบันมีรูปแบบที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการรีวิวสินค้า สอนทักษะต่างๆ หรือแม้แต่การแชร์ไลฟ์สไตล์ ซึ่งสามารถสร้างรายได้ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น การร่วมมือกับแบรนด์ การขายสินค้าของตัวเอง หรือการสร้างคอร์สออนไลน์

เมื่อเวลาผ่านไป การทำงานอย่างสม่ำเสมอและมีเป้าหมายชัดเจนอาจนำไปสู่การค้นพบ Ikigai ที่แท้จริง แต่ก็ไม่จำเป็นที่ทุกความหลงใหลจะต้องกลายเป็นอาชีพหลัก บางครั้งการรักษาไว้เป็นงานอดิเรกหรืองานเสริมก็มีคุณค่าในตัวมันเอง

สิ่งสำคัญที่สุดคือการไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกพัดพาไปตามกระแสสังคมหรือความคาดหวังของผู้อื่น พยายามค้นหาจุดตัดระหว่างสิ่งที่คุณรัก สิ่งที่คุณเก่ง สิ่งที่โลกต้องการ และสิ่งที่สามารถสร้างรายได้ และเหมือนกับที่ Vector ได้กล่าวไว้ ทิศทางนั้นสำคัญพอๆ กับขนาดของความพยายามที่เราทุ่มเทลงไปนั่นเองครับผม

References :
Ikigai and Vector: Finding Direction and Magnitude in Your Life | Jason Zhu He | TEDxSydney Youth
https://youtu.be/jhCcj5MdT8U?si=7MVWJ9lR4L6nyKMi

Geek Life EP94 : เลิกแคร์สายตาคนอื่น หยุดทำร้ายตัวเองด้วยความคิดคนอื่นแบบถาวร

ในอดีตการอยู่รอดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ขึ้นอยู่กับความสามารถในการคาดการณ์ภัยคุกคาม โดยภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการถูกขับออกจากเผ่า เพราะหากไม่มีเผ่า เราจะไม่สามารถหาอาหารเมื่อเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ และไม่สามารถอยู่รอดได้นาน ด้วยเหตุนี้เราจึงเรียนรู้ที่จะคาดการณ์และกลัวสิ่งที่ผู้อื่นคิดเกี่ยวกับเรา สิ่งนี้เรียกว่า FOBO (Fear of Other People’s Opinions – ความกลัวความคิดเห็นของผู้อื่น)

เป็นข้อมูลที่น่าสนใจจากหนังสือ The First Rule of Mastery: Stop Worrying about What People Think of You โดย Michael Gervais หนึ่งในนักจิตวิทยาชั้นนำของโลกและผู้เชี่ยวชาญชั้นนำด้านความสัมพันธ์ระหว่างจิตใจและประสิทธิภาพของมนุษย์

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/5duvta97

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/3vd4pswh

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/NAitX-6fOWY

Geek Life EP90 : Mind Over Matter จากล้มเหลวสู่สำเร็จ วิธีใช้พลังจิตเปลี่ยนชีวิต

มนุษย์เรามักไม่รู้ขีดความสามารถที่แท้จริงของตนเอง จนกว่าจะได้ลงมือทำสิ่งนั้นจริงๆ ประสบการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นการสอบได้คะแนนยอดเยี่ยม การเลื่อนตำแหน่งในที่ทำงาน หรือแม้แต่การจัดการเรื่องยุ่งยากให้สำเร็จลุล่วง สิ่งเหล่านี้อาจดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ในตอนแรก แต่เมื่อเราลงมือทำ เราก็จะค้นพบว่าตัวเองมีศักยภาพมากกว่าที่คิด

เป็นข้อมูลทีน่าสนใจจากเวที Ted Talks อีกครั้ง โดย Paneez Oliai จาก Harvard Law School เธอจบการศึกษาสาขาประวัติศาสตร์และจิตวิทยาที่มหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ที่ได้มาพูดถึงพลังที่ซ่อนอยู่ภายในตัวเรา

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/3enxt9az

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/54axr7ne

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/G6t8hbrJibw

เลิกแคร์สายตาคนอื่น : หยุดทำร้ายตัวเองด้วยความคิดคนอื่น กับวิธีปลดล็อกความกลัวแบบถาวร

ในอดีตการอยู่รอดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ขึ้นอยู่กับความสามารถในการคาดการณ์ภัยคุกคาม โดยภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการถูกขับออกจากเผ่า เพราะหากไม่มีเผ่า เราจะไม่สามารถหาอาหารเมื่อเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ และไม่สามารถอยู่รอดได้นาน ด้วยเหตุนี้เราจึงเรียนรู้ที่จะคาดการณ์และกลัวสิ่งที่ผู้อื่นคิดเกี่ยวกับเรา สิ่งนี้เรียกว่า FOBO (Fear of Other People’s Opinions – ความกลัวความคิดเห็นของผู้อื่น)

เป็นข้อมูลที่น่าสนใจจากหนังสือ The First Rule of Mastery: Stop Worrying about What People Think of You โดย Michael Gervais หนึ่งในนักจิตวิทยาชั้นนำของโลกและผู้เชี่ยวชาญชั้นนำด้านความสัมพันธ์ระหว่างจิตใจและประสิทธิภาพของมนุษย์

ในปัจจุบัน FOBO แสดงออกในหลายรูปแบบ:

  • เราลังเลที่จะแสดงความคิดเห็นในที่ประชุม
  • เราละทิ้งค่านิยมของตัวเองภายใต้แรงกดดันทางสังคม
  • เราหลีกเลี่ยงการทุ่มเทให้กับสิ่งที่เราหลงใหล เพื่อไม่ให้ดูเหมือนคนหมกมุ่นมากเกินไป

ลองพิจารณาดูว่าเราใช้เวลาในแต่ละสัปดาห์ไปกับการกังวลเกี่ยวกับความคิดเห็นของผู้อื่นมากแค่ไหน เมื่อหัวสมองเต็มไปด้วยความคิดว่าคนอื่นกำลังตัดสินเรา มันยากที่จะตัดสินใจอะไรได้อย่างเด็ดขาด และเมื่อเรากังวลว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร มันก็ยากที่จะโฟกัสอย่างเต็มที่ในงานของเรา

David Foster Wallace เคยกล่าวไว้ว่า “คุณจะกังวลเกี่ยวกับความคิดของคนอื่นน้อยลง เมื่อคุณตระหนักว่าพวกเขาแทบจะไม่ได้คิดถึงคุณเลย”

นี่ไม่ใช่แค่คำพูดธรรมดา แต่มีงานวิจัยรองรับ ในช่วงปลายทศวรรษ 90 ศาสตราจารย์ Thomas Gilovich จาก Cornell ได้ทำการทดลองทางสังคม โดยให้นักศึกษา 109 คนเข้าไปในห้องที่มีเพื่อนๆ อยู่ทีละคน โดยสวมเสื้อยืดที่น่าอายซึ่งมีรูปนักร้อง Barry Manilow ขนาดใหญ่

นักศึกษาที่สวมเสื้อได้รับการบอกว่าอย่างน้อย 50% ของเพื่อนๆ จะสังเกตเห็นเสื้อของพวกเขา อย่างไรก็ตาม เมื่อ Gilovich สอบถามคนในห้องภายหลัง กลับมีเพียงแค่ 25% เท่านั้นที่สังเกตเห็นเสื้อที่น่าอับอายนั้น

งานวิจัยหลายชิ้นหลังจากนั้นแสดงให้เห็นว่า เรามักมีความรู้สึกว่าตัวเองสำคัญเกินจริง และมักฉายภาพความคิดของเราไปสู่ผู้อื่น ทำให้เราเชื่อว่าโลกภายนอกกำลังตัดสินเรามากกว่าความเป็นจริง ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า “Spotlight Effect”

ตลอดทั้งวัน เรามักจะคิดว่าเหมือนมีไฟสปอตไลท์ลอยอยู่เหนือศีรษะ ส่องแสงลงมาที่ตัวเรา แต่ความจริงคือ หากคุณไม่ได้อยู่ในสปอตไลท์ของใคร พวกเขาก็ไม่ได้คิดถึงคุณ และแม้เมื่อคนอื่นส่องสปอตไลท์มาที่คุณ คุณก็จะอยู่ในความคิดของพวกเขาเพียงช่วงสั้นๆ เพราะพวกเขาจะรีบหันสปอตไลท์กลับไปที่ตัวเอง และกลับไปคิดว่าคนอื่นกำลังคิดอะไรเกี่ยวกับพวกเขา

กฎสำคัญ 3 ข้อในการกรองความคิดเห็นของผู้อื่น:

1. สกรีนจุดมุ่งหมาย (Purpose Screen)
ทุกช่วงเวลาในชีวิต เราควรมีเหตุผลในการมีชีวิตอยู่ อาจเป็นการพัฒนาตัวเองในสิ่งที่รัก หรือการใช้ชีวิตตามค่านิยมของตนเองและสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่น เมื่อเรามีเป้าหมายที่ชัดเจน เราก็จะกังวลกับการยอมรับจากผู้อื่นน้อยลง

การแสวงหาการยอมรับเปรียบเหมือนการแสวงหากำไรระยะสั้นในธุรกิจ ทุกธุรกิจต้องการกำไร แต่ถ้ายึดติดกับมันมากจนเกินไป ก็มีโอกาสที่จะทำให้เราหลงทางได้

2. สกรีนโต๊ะกลม (Round Table Screen)
มีเพียงความคิดเห็นของคนไม่กี่คนที่สำคัญจริงๆ ความเห็นจากเพื่อนในเฟซบุ๊กสมัยมัธยม หรือเสียงบีบแตรจากคนขับรถที่โมโหที่คุณจะไม่มีวันได้เจออีก ล้วนไม่สำคัญ

ความคิดเห็นที่สำคัญมาจากคนที่ต้องการมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับคุณ คนที่คุณเคารพอย่างลึกซึ้ง และคนที่ไม่กลัวที่จะบอกความจริงกับคุณ

3. สกรีนแห่งความตาย (Death Screen)
เมื่อคุณเริ่มปล่อยให้ความคิดเห็นของผู้อื่นขัดขวางการใช้ชีวิตตามเป้าหมายของคุณ ให้ถามตัวเองว่า: “เมื่อฉันต้องตายในไม่ช้า (อาจเป็น 1 ปีหรือ 70 ปี) มันคุ้มค่าหรือไม่ที่จะปล่อยให้ความคิดเห็นของคนอื่นกำหนดชีวิตของฉัน?”

Michael Gervais กล่าวว่า เมื่องานเลี้ยงใกล้จบและทุกคนพร้อมความคิดเห็นของพวกเขากลับบ้านไปแล้ว คุณจะสงสัยว่าทำไมคุณถึงให้อำนาจพวกเขามากมายขนาดนั้นในชีวิตของคุณ

บทสรุป

หยุดกลัวสิ่งที่คนอื่นคิดเกี่ยวกับเรา ผู้คนต่างยุ่งกับชีวิตของตัวเองและกังวลว่าคนอื่นคิดอะไรกับพวกเขามากเกินกว่าจะสังเกตสิ่งที่เราทำ แม้เมื่อมีคนสังเกตเห็นสิ่งที่เราทำและเราอาจจะได้ยินความคิดเห็นในแง่ลบ อย่าให้ความคิดเห็นเหล่านั้นขัดขวางตัวตนของเรา หากเรากำลังใช้ชีวิตอย่างมีเป้าหมาย รับฟังข้อเสนอแนะที่จริงใจจากคนที่เราเคารพ

ยิ่งเราเลิกสนใจความคิดเห็นของผู้อื่นเร็วเท่าไร เราก็จะยิ่งเป็นอิสระที่จะเป็นตัวของตัวเองได้เร็วขึ้นเท่านั้น และค้นพบว่าตัวเราเองมีศักยภาพที่จะเป็นอะไรได้มากมายแค่ไหนนั่นเองครับผม

References:
หนังสือ The First Rule of Mastery: Stop Worrying about What People Think of You โดย Michael Gervais