หากจะพูดถึงการค้นหาเส้นทางอาชีพที่จะนำพาเราไปสู่ความสุขและความสำเร็จ หลายคนอาจนึกถึงการฟังการพูดสร้างแรงบันดาลใจหรือหนังสือพัฒนาตนเอง
แต่บทเรียนที่ทรงพลังที่สุดบทหนึ่งกลับซ่อนอยู่ในภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่อง Despicable Me ในฉากที่ตัวละครเอกอย่าง Gru กำลังนั่งรออยู่ในล็อบบี้ของ Bank of Evil เพื่อขอสินเชื่อสำหรับแผนการขโมยดวงจันทร์ของเขา
ในฉากนั้น มีตัวร้ายอีกตนหนึ่งชื่อ Vector ที่สวมชุดสีส้มเดินเข้ามาทักทาย เขาแนะนำตัวว่าชื่อของเขามาจากศัพท์ทางคณิตศาสตร์ที่หมายถึงปริมาณที่มีทั้งทิศทางและขนาด
แม้ Gru จะพยายามหลีกเลี่ยง แต่ Vector ก็ยังคงอธิบายต่อว่าเขาตั้งชื่อนี้เพราะเขาก่ออาชญากรรมที่มีทั้งทิศทางและขนาด
คำพูดของ Vector นี้เองที่สะท้อนแง่คิดสำคัญเกี่ยวกับการใช้ชีวิต เราทุกคนมักได้ยินว่าความสำเร็จมาจากความพยายามและการทำงานหนัก ซึ่งก็เป็นความจริง การจะบรรลุเป้าหมายใดๆ ล้วนต้องอาศัยการทุ่มเทแรงกายแรงใจจำนวนมาก แต่สิ่งที่มักถูกมองข้ามคือ “ทิศทาง” ของความพยายามนั้น
ลองนึกถึงการเรียนคณิตศาสตร์ในโรงเรียน หลายคนเรียนเพื่อให้ได้เกรดดี เพื่อเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง เพื่อได้งานที่มั่นคง และเพื่อส่งต่อวัฏจักรนี้ไปยังรุ่นต่อไป แต่หากมองย้อนกลับไป เช่น ตัวของ Jason Zhu He (Speaker) ที่จบมัธยมปลายมาแล้ว 1,438 วัน ยังแทบไม่เคยใช้ทฤษฎีปีทาโกรัสเลยสักครั้ง
สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือการที่คนรุ่นใหม่จำนวนมากเลือกเส้นทางชีวิตโดยอิงจากปัจจัยภายนอก ไม่ว่าจะเป็นคะแนนสอบที่ทำได้ ความคาดหวังของครอบครัว อิทธิพลจากเพื่อนฝูง หรือภาพลักษณ์ทางสังคม
พวกเขาใช้เวลาหลายปีในรั้วมหาวิทยาลัย แบกรับภาระหนี้สินจากค่าเล่าเรียน เพื่อแลกกับปริญญาบัตรและอาชีพที่อาจไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาต้องการจริงๆ
เปรียบเสมือนการเดินทางที่แม้จะใช้พลังงานมหาศาล แต่กลับพาเราไปในทิศทางที่ห่างไกลจากจุดหมายที่แท้จริง ดังนั้น ณ จุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต เราควรให้เวลากับการพิจารณาทิศทางอย่างรอบคอบ
แนวคิดที่น่าสนใจในการค้นหาทิศทางที่เหมาะสมคือ Ikigai ซึ่งเป็นคำในภาษาญี่ปุ่นที่มีความหมายว่า “คุณค่าของการมีชีวิตอยู่ที่แท้จริง” แนวคิดนี้ถูกนำเสนอในหนังสือของ Héctor García และ Francesc Miralles โดยอธิบายว่า Ikigai ประกอบด้วยองค์ประกอบสี่ประการ ได้แก่ สิ่งที่คุณรัก สิ่งที่คุณเก่ง สิ่งที่โลกต้องการ และสิ่งที่สามารถสร้างรายได้
การค้นหา Ikigai เริ่มต้นได้ด้วยการตั้งคำถามกับตัวเองว่าอะไรคือสิ่งที่เรารักและเก่ง โดยไม่จำเป็นต้องคิดแบบตรงไปตรงมา เช่น การที่คุณชอบคณิตศาสตร์ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องเป็นนักคณิตศาสตร์เท่านั้น หรือการที่คุณเก่งกีฬาไม่ได้จำกัดว่าคุณต้องเป็นนักกีฬาอาชีพ ทักษะและความสนใจเหล่านี้อาจชี้นำไปสู่อาชีพที่หลากหลายได้
ขณะที่คุณใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะอ่านข่าว หนังสือ หรือเลื่อนดู TikTok ให้สังเกตว่าอะไรที่ทำให้คุณรู้สึกตื่นเต้นและประทับใจ นั่นอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงสิ่งที่โลกต้องการและคุณสามารถมีส่วนร่วมได้
อย่างไรก็ตาม องค์ประกอบสุดท้ายคือการสร้างรายได้ มักเป็นความท้าทายที่ใหญ่ที่สุด แม้จะมีคำกล่าวว่า “ทำในสิ่งที่คุณรัก แล้วเงินจะตามมาเอง” แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงที่มีค่าครองชีพสูง แรงกดดันจากครอบครัว และความคาดหวังทางสังคม การไล่ตามความฝันโดยไม่คำนึงถึงความมั่นคงทางการเงินอาจเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
แต่มีวิธีที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง นั่นคือการค่อยๆ พัฒนา Ikigai ของคุณให้กลายเป็นแหล่งรายได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป ยกตัวอย่างเช่น หากคุณรักการตัดต่อวิดีโอ เริ่มจากการกันเวลาสักไม่กี่ชั่วโมงต่อสัปดาห์เพื่อฝึกฝนและสร้างผลงาน ปกป้องเวลานั้นอย่างจริงจัง และค่อยๆ สร้างพอร์ตโฟลิโอของคุณ
การสร้างเนื้อหาบน social media ในปัจจุบันมีรูปแบบที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการรีวิวสินค้า สอนทักษะต่างๆ หรือแม้แต่การแชร์ไลฟ์สไตล์ ซึ่งสามารถสร้างรายได้ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น การร่วมมือกับแบรนด์ การขายสินค้าของตัวเอง หรือการสร้างคอร์สออนไลน์
เมื่อเวลาผ่านไป การทำงานอย่างสม่ำเสมอและมีเป้าหมายชัดเจนอาจนำไปสู่การค้นพบ Ikigai ที่แท้จริง แต่ก็ไม่จำเป็นที่ทุกความหลงใหลจะต้องกลายเป็นอาชีพหลัก บางครั้งการรักษาไว้เป็นงานอดิเรกหรืองานเสริมก็มีคุณค่าในตัวมันเอง
สิ่งสำคัญที่สุดคือการไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกพัดพาไปตามกระแสสังคมหรือความคาดหวังของผู้อื่น พยายามค้นหาจุดตัดระหว่างสิ่งที่คุณรัก สิ่งที่คุณเก่ง สิ่งที่โลกต้องการ และสิ่งที่สามารถสร้างรายได้ และเหมือนกับที่ Vector ได้กล่าวไว้ ทิศทางนั้นสำคัญพอๆ กับขนาดของความพยายามที่เราทุ่มเทลงไปนั่นเองครับผม
References :
Ikigai and Vector: Finding Direction and Magnitude in Your Life | Jason Zhu He | TEDxSydney Youth
https://youtu.be/jhCcj5MdT8U?si=7MVWJ9lR4L6nyKMi