3 กุญแจสู่ชีวิตที่มีความหมาย : เคล็ดลับสร้างแรงบันดาลใจจาก The Motivation Manifesto โดย Brendon Burchard

ในโลกที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและความไม่แน่นอน การค้นหาแรงบันดาลใจและแรงจูงใจเพื่อก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงนั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง

หนังสือ “The Motivation Manifesto” ของ Brendon Burchard นำเสนอมุมมองที่น่าสนใจและเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการค้นพบพลังภายในตัวเราและใช้ชีวิตอย่างมีเป้าหมาย

การตระหนักถึงพลังแห่งการเลือก

เมื่อเราตกอยู่ในภาวะขาดแรงจูงใจ สิ่งสำคัญที่เรามักจะลืมไปก็คือ เรามีพลังในการเลือก Burchard ชี้ให้เห็นว่า เราอาจถูกชักจูงด้วยความกลัว ความอยาก และเรื่องราวของผู้อื่นจนลืมไปว่าเราสามารถกำหนดทิศทางชีวิตของตัวเองได้

การตระหนักถึงพลังแห่งการเลือกนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง เมื่อเราเลือกที่จะเป็น มี หรือทำบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ขึ้นในชีวิต และเชื่อว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะความสามารถในการเรียนรู้และเติบโตที่มีอยู่ในตัวเรา เราจะปลุกพลังภายในอันทรงพลังขึ้นมา

“ทันทีที่คุณเลือกที่จะเชื่อว่ามีสิ่งยิ่งใหญ่รออยู่เบื้องหน้า คุณสามารถเลือกที่จะเชื่อมโยงทุกสิ่งเข้ากับวิสัยทัศน์ของคุณ”

การมองทุกสิ่งในชีวิตให้เชื่อมโยงกับเป้าหมายใหญ่ของเรา จะช่วยเปลี่ยนมุมมองต่อกิจวัตรประจำวันให้มีความหมายมากขึ้น เช่น:

  • การจัดระเบียบบ้านกลายเป็นโอกาสในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อความคิดสร้างสรรค์
  • การทำอาหารเย็นกลายเป็นการดูแลสุขภาพเพื่อให้มีพลังในการไล่ตามความฝัน
  • งานที่ได้รับมอบหมายกลายเป็นโอกาสในการพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับอนาคต

การสร้างแรงบันดาลใจสู่ความยิ่งใหญ่

Burchard เชื่อว่าทุกคนมีความยิ่งใหญ่อยู่ภายในตัว เพียงแต่รอการจุดประกาย การสร้างแรงบันดาลใจสู่ความยิ่งใหญ่นั้นเริ่มต้นจากการเข้าใจว่าความยิ่งใหญ่ประกอบด้วยคุณสมบัติพื้นฐานสองประการ:

  1. ความสม่ำเสมอ: การยึดมั่นในค่านิยมหลักของตนเองอย่างไม่ลดละ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ ความเป็นเลิศ หรือความซื่อสัตย์ และทำให้ทุกการกระทำและการตัดสินใจสอดคล้องกับค่านิยมเหล่านั้น
  2. ความกล้าหาญ: การกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความท้าทายและความเสี่ยง รวมถึงการกล้ารับผิดชอบต่อผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น

การพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องและการฝึกฝนความเชี่ยวชาญในสิ่งที่เราทำเป็นส่วนสำคัญของการก้าวสู่ความยิ่งใหญ่ แม้ในวันที่เราไม่รู้สึกอยากทำ การฝืนตัวเองให้ลงมือทำก็เป็นการแสดงออกถึงความมุ่งมั่นและวินัยที่จำเป็นสำหรับการประสบความสำเร็จ

“จงมีความกล้าที่จะไม่สนใจว่าผู้อื่นจะคิดอย่างไรกับคุณ ตราบใดที่คุณกระทำตามค่านิยมของคุณ”

Kobe Bryant อดีตนักบาสเก็ตบอลระดับตำนานเคยกล่าวไว้ว่า “ผมมุ่งมั่นที่จะเป็นหนึ่งในผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดมาก จนผมแทบจะไม่ได้ยินว่าคนอื่นพูดอะไร” คำพูดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและการไม่ยอมให้เสียงวิพากษ์วิจารณ์มาขัดขวางการไล่ตามความฝันของเขา

การสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเองนั้น เราสามารถเริ่มต้นได้จากการมองหาบุคคลต้นแบบที่สร้างแรงบันดาลใจให้เรา วิเคราะห์ว่าอะไรในตัวพวกเขาที่ทำให้เราประทับใจ และพยายามพัฒนาคุณสมบัติเหล่านั้นในตัวเราเอง เช่น หากเราประทับใจครูที่สามารถอธิบายเรื่องซับซ้อนให้เข้าใจง่าย เราก็อาจมุ่งมั่นที่จะพัฒนาทักษะการสื่อสารของเราให้ชัดเจนและเข้าถึงง่ายสำหรับผู้อื่น

การชะลอเวลาและการอยู่กับปัจจุบัน

ในยุคที่ทุกอย่างเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว การเรียนรู้ที่จะชะลอเวลาและอยู่กับปัจจุบันเป็นทักษะที่มีค่าอย่างยิ่ง Burchard เสนอว่าการใช้ชีวิตโดยไม่ตระหนักรู้ถึงปัจจุบันขณะ เปรียบเสมือนการอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีออกซิเจนต่ำ ซึ่งทำให้เรารู้สึกอ่อนแอและขาดแรงจูงใจ

การฝึกอยู่กับปัจจุบันสามารถทำได้ด้วยวิธีง่ายๆ คือการ “ยืดเวลา” ให้กับแต่ละช่วงเวลา Burchard แนะนำให้เราลองทำสิ่งต่างๆ ให้ช้าลงสองจังหวะ:

  • สูดอากาศเข้านานขึ้นสองจังหวะ
  • จ้องตาคู่สนทนานานขึ้นสองจังหวะ
  • ลิ้มรสอาหารแต่ละคำนานขึ้นสองจังหวะ

การเพิ่มความตระหนักรู้ให้กับประสาทสัมผัสของ จะช่วยให้เรายืดเวลาที่อยู่ในปัจจุบันให้ยาวนานขึ้น ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูแรงจูงใจและความรักในชีวิตของเรา

“การตระหนักรู้คืออาวุธที่ดีที่สุดของมนุษยชาติในการต่อสู้กับเวลา”

การนำแนวคิดไปปฏิบัติ: สามคำประกาศประจำวัน

Burchard เสนอให้เราเริ่มต้นแต่ละวันด้วยการประกาศสามสิ่งเพื่อกระตุ้นแรงจูงใจของเรา:

  1. วันนี้ ฉันจะเลือกสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า: เป็นการยืนยันถึงพลังในการเลือกของเรา และการมุ่งมั่นที่จะทำสิ่งที่มีความหมายและสร้างผลกระทบอย่างแท้จริง
  1. วันนี้ ฉันจะสร้างแรงบันดาลใจสู่ความยิ่งใหญ่: เป็นการเตือนใจให้เราแสดงออกถึงความสม่ำเสมอและความกล้าหาญในทุกการกระทำ
  2. วันนี้ ฉันจะชะลอเวลา: เป็นการกระตุ้นให้เราอยู่กับปัจจุบันและซึมซับประสบการณ์แต่ละขณะอย่างเต็มที่

การเริ่มต้นวันด้วยคำประกาศเหล่านี้จะช่วยปรับมุมมองและทัศนคติของเราให้พร้อมรับมือกับความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นตลอดทั้งวัน

การประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน

แนวคิดจาก “The Motivation Manifesto” สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้หลากหลายรูปแบบ ดังนี้:

  1. การตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย: แทนที่จะตั้งเป้าหมายแบบ “ปลอดภัย” ลองตั้งเป้าหมายที่ท้าทายความสามารถของเรา และเชื่อว่าเราสามารถทำได้
  2. การทบทวนค่านิยมหลัก: สำรวจว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเรา และพยายามทำให้การตัดสินใจในชีวิตประจำวันสอดคล้องกับค่านิยมเหล่านั้น
  3. การฝึกสติ: เริ่มต้นด้วยการฝึกสติในกิจวัตรประจำวัน เช่น การรับประทานอาหาร การเดิน หรือการฟังเพลง โดยให้ความสนใจกับรายละเอียดและความรู้สึกในขณะนั้น
  4. การจดบันทึกความสำเร็จ: ทุกคืนก่อนนอน บันทึกสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในวันนั้น แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย เพื่อสร้างความรู้สึกขอบคุณและเห็นคุณค่าในชีวิต
  5. การเรียนรู้จากความผิดพลาด: แทนที่จะกลัวความล้มเหลว มองว่ามันเป็นโอกาสในการเรียนรู้และเติบโต วิเคราะห์ว่าอะไรที่ไม่เป็นไปตามแผน และวางแผนที่จะทำให้ดีขึ้นในครั้งต่อไป
  6. การสร้างเครือข่ายสนับสนุน: รายล้อมตัวเองด้วยคนที่สร้างแรงบันดาลใจและสนับสนุนเป้าหมายของเรา การมี community ที่เข้าใจและให้กำลังใจจะช่วยเสริมแรงจูงใจของเรา
  7. การท้าทายตัวเองอย่างสม่ำเสมอ: หาโอกาสที่จะก้าวออกจาก comfort zone ของเรา ไม่ว่าจะเป็นการลองทำอะไรใหม่ๆ หรือการพูดในที่สาธารณะ การเผชิญหน้ากับความกลัวจะช่วยสร้างความมั่นใจและขยายขอบเขตความสามารถของเรา

บทสรุป: การสร้างชีวิตที่มีแรงบันดาลใจ

แนวคิดจาก “The Motivation Manifesto” ของ Brendon Burchard เป็นเครื่องมือทรงพลังในการปลุกพลังภายในและสร้างชีวิตที่มีความหมาย การตระหนักถึงพลังแห่งการเลือก การมุ่งมั่นสู่ความยิ่งใหญ่ และการอยู่กับปัจจุบันอย่างเต็มที่ ล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างแรงบันดาลใจและแรงจูงใจที่ยั่งยืน

การนำแนวคิดเหล่านี้มาปฏิบัติในชีวิตประจำวันอาจต้องใช้เวลาและความพยายาม แต่ผลลัพธ์ที่ได้จะคุ้มค่าอย่างยิ่ง เมื่อเราเริ่มมองเห็นศักยภาพที่แท้จริงของตัวเอง และกล้าที่จะไล่ตามความฝันอย่างไม่ย่อท้อ เราจะพบว่าชีวิตเต็มไปด้วยโอกาสและความเป็นไปได้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด

ท้ายที่สุด การสร้างชีวิตที่มีแรงบันดาลใจไม่ได้หมายความว่าทุกวันจะต้องสมบูรณ์แบบ แต่หมายถึงการเลือกที่จะเติบโต เรียนรู้ และก้าวไปข้างหน้าแม้ในวันที่ยากลำบาก เมื่อเราฝึกฝนการใช้พลังแห่งการเลือก การสร้างแรงบันดาลใจ และการอยู่กับปัจจุบัน เราจะพบว่าชีวิตของเรามีความหมายและเต็มไปด้วยโอกาสมากขึ้นเรื่อยๆ

References :
หนังสือ The Motivation Manifesto: 9 Declarations to Claim Your Personal Power โดย Brendon Burchard

Geek Life EP59 : เมื่อโรคร้ายไม่อาจหยุดความสุข 3 วิธีมองโลกที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณ จากเด็กหนุ่มผู้ไม่ยอมแพ้ Sam Berns

เรื่องราวของหนุ่มน้อยคนหนึ่งที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนทั่วโลก Sam Berns เด็กหนุ่มวัย 17 ปี ผู้เกิดมาพร้อมกับโรคหายากที่เรียกว่า Progeria แต่เขาไม่ยอมให้โรคนี้มากำหนดตัวตนหรือความสุขในชีวิตของเขา

เป็นหนึ่งในผลงานในเวที Ted Talks ที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนทั่วโลกมากที่สุดเลยก็ว่าได้นะครับ สำหรับการขึ้นมาพูดบนเวทีของ Sam Berns ในหัวข้อ My philosophy for a happy life

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/4s2yvy56

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/52e4m879

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/kigbRLd25EY

Geek Life EP53 : จาก Workaholic สู่ชีวิตที่สมดุล จากคนทำงานหนัก สู่คนมีความสุข เส้นทางการเปลี่ยนแปลงที่คุณทำได้

ในฐานะนักสังคมศาสตร์ Arthur C. Brooks สนใจศึกษาพฤติกรรมการเสพติดอย่างจริงจัง หลายคนเป็นนักสู้ (งาน) เช่นเดียวกับตัวของ Brooks เอง แต่ในกระบวนการต่อสู้นั้น หลายคนต้องเผชิญกับหนึ่งในพฤติกรรมการเสพติดที่เป็นอันตรายที่สุดที่มนุษย์รู้จัก นั่นคือ การเสพติดการทำงาน (Workaholism)

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/3zpdbw5z

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/bd38bdka

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/IXHXGr_x3ug

เมื่อโรคร้ายไม่อาจหยุดความสุข : 3 วิธีมองโลกที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณ จากเด็กหนุ่มผู้ไม่ยอมแพ้ Sam Berns

เรื่องราวของหนุ่มน้อยคนหนึ่งที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนทั่วโลก Sam Berns เด็กหนุ่มวัย 17 ปี ผู้เกิดมาพร้อมกับโรคหายากที่เรียกว่า Progeria แต่เขาไม่ยอมให้โรคนี้มากำหนดตัวตนหรือความสุขในชีวิตของเขา

เป็นหนึ่งในผลงานในเวที Ted Talks ที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนทั่วโลกมากที่สุดเลยก็ว่าได้นะครับ สำหรับการขึ้นมาพูดบนเวทีของ Sam Berns ในหัวข้อ My philosophy for a happy life

Sam เล่าว่าตั้งแต่เด็ก เขามีความฝันอยากเล่นกลองสแนร์ในวงดุริยางค์เดินแถวของโรงเรียนมัธยม Foxboro แต่ด้วยน้ำหนักตัวเพียง 50 ปอนด์ การแบกกลองสแนร์ที่หนักถึง 40 ปอนด์ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

แต่ Sam ไม่ยอมแพ้ เขาและครอบครัวร่วมมือกับวิศวกรเพื่อออกแบบสายรัดกลองสแนร์ที่เบาและเหมาะกับเขา จนในที่สุดพวกเขาก็สามารถสร้างอุปกรณ์ที่มีน้ำหนักเพียง 6 ปอนด์ ทำให้ Sam สามารถเล่นกลองสแนร์ในวงดุริยางค์ได้สมใจ

เรื่องราวของ Sam ไม่ได้จบลงเพียงแค่นั้น เขายังได้แบ่งปันปรัชญาการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขของเขา ซึ่งประกอบด้วยสามแง่มุมสำคัญ

แง่มุมแรก คือการยอมรับในสิ่งที่ทำไม่ได้ และโฟกัสไปที่สิ่งที่ทำได้ Sam เล่าว่าแม้เขาจะเป็นโรค Progeria แต่เขาไม่ได้คิดถึงมันตลอดเวลา เขาเลือกที่จะโฟกัสกับสิ่งที่เขาหลงใหล ไม่ว่าจะเป็นลูกเสือ ดนตรี หนังสือการ์ตูน หรือทีมกีฬาโปรดของเขาในบอสตัน

Sam ยังเน้นย้ำว่าบางครั้งเราอาจต้องหาวิธีอื่นในการทำบางสิ่งบางอย่าง โดยการปรับเปลี่ยนเพื่อให้สามารถทำได้ เหมือนกับที่เขาทำกับกลองสแนร์

แง่มุมที่สอง คือการล้อมรอบตัวเองด้วยคนที่มีคุณภาพ Sam กล่าวถึงความโชคดีที่มีครอบครัวที่คอยสนับสนุนเขา และกลุ่มเพื่อนสนิทที่โรงเรียนที่เห็นคุณค่าในตัวเขา เขาเน้นย้ำว่าการอยู่ท่ามกลางคนที่เราชื่นชอบนั้นสำคัญมาก เพราะพวกเขาสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกที่มีความหมายอย่างแท้จริงในชีวิตของเรา

Sam ยังกล่าวถึงความรู้สึกดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของวงดนตรี ซึ่งทำให้เขารู้สึกว่าดนตรีที่พวกเขาสร้างร่วมกันนั้นอยู่เหนือโรค Progeria

แง่มุมที่สาม คือการก้าวต่อไปข้างหน้าเสมอ Sam ยึดถือคำพูดของ Walt Disney ที่ว่า “Keep moving forward” เขาพยายามมีสิ่งที่ตัวเองรอคอยอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยอย่างการรอคอยหนังสือการ์ตูนเล่มใหม่ หรือเรื่องใหญ่อย่างการวางแผนอนาคต

สิ่งเหล่านี้ช่วยให้เขามีจุดโฟกัสและเห็นถึงอนาคตที่สดใส Sam ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการไม่ปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความรู้สึกแย่ แต่ให้ยอมรับมัน และหาทางก้าวผ่านมันไปให้ได้

Sam เล่าถึงความฝันในวัยเด็กที่อยากเป็นวิศวกรและนักประดิษฐ์ ซึ่งอาจมาจากความรักในการต่อเลโก้ แต่ในภายหลังความสนใจของเขาเปลี่ยนไปสู่วงการชีววิทยา ไม่ว่าจะเป็นชีววิทยาของเซลล์ พันธุศาสตร์ หรือชีวเคมี เขาเชื่อมั่นว่าไม่ว่าจะเลือกเส้นทางไหน เขาสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ และในขณะที่พยายามทำเช่นนั้น เขาจะมีความสุข

Sam ยังได้แบ่งปันประสบการณ์การถ่ายทำสารคดีเกี่ยวกับชีวิตของเขาชื่อ “Life According to Sam” ซึ่งถ่ายทำโดย HBO ซึ่งเขากล่าวว่าแม้มุมมองของเขาต่อหลายสิ่งจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่ทัศนคติและปรัชญาในการดำเนินชีวิตของเขายังคงเหมือนเดิม

ในช่วงท้ายของการพูด Sam เล่าถึงประสบการณ์ที่ท้าทายที่สุดของเขา เมื่อต้องเข้าโรงพยาบาลด้วยอาการป่วยหนัก เขาถูกแยกออกจากทุกสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกเป็นตัวของตัวเอง แต่ด้วยความคิดที่ว่าเขาจะหายดีและการมองไปข้างหน้าถึงเวลาที่จะรู้สึกดีอีกครั้ง ทำให้เขาสามารถก้าวผ่านช่วงเวลานั้นมาได้

Sam ยอมรับว่าบางครั้งก็ไม่ง่าย เขามีวันที่แย่เหมือนกัน แต่เขาตระหนักว่าความกล้าหาญไม่ได้หมายความว่าต้องง่ายเสมอไป

Sam สรุปการพูดของเขาด้วยความหวังว่าทุกคน ไม่ว่าจะเผชิญกับอุปสรรคใด ก็สามารถมีชีวิตที่มีความสุขได้เช่นกัน โดยการยึดหลักปรัชญาสามข้อของเขา: ยอมรับในสิ่งที่ทำไม่ได้และโฟกัสไปที่สิ่งที่ทำได้ ล้อมรอบตัวเองด้วยคนที่มีคุณภาพ และก้าวต่อไปข้างหน้าเสมอ

เรื่องราวของ Sam Berns เป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คนทั่วโลก แม้ว่าเขาจะจากโลกนี้ไปในปี 2014 ด้วยวัยเพียง 17 ปี แต่มรดกทางความคิดและทัศนคติของเขายังคงอยู่ และสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนมากมาย

มูลนิธิ Progeria Research Foundation ที่ก่อตั้งโดยพ่อแม่ของ Sam ยังคงทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อหาวิธีรักษาโรค Progeria และช่วยเหลือเด็ก ๆ ที่เป็นโรคนี้ทั่วโลก

ชีวิตของ Sam Berns เป็นบทเรียนที่ล้ำค่าสำหรับเราทุกคน ไม่ว่าเราจะเผชิญกับความท้าทายใดในชีวิต เราสามารถเลือกที่จะมองหาความสุขและความหมายได้เสมอ การยอมรับข้อจำกัดของตัวเอง แต่ไม่ยอมให้มันมากำหนดตัวตนของเรา การล้อมรอบตัวเองด้วยคนที่สนับสนุนและเข้าใจเรา และการมองไปข้างหน้าด้วยความหวังและความมุ่งมั่น ล้วนเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ชีวิตที่มีความสุขและมีความหมาย

แม้ว่าโรค Progeria จะเป็นโรคที่หายากและรุนแรง แต่ Sam ไม่ได้ปล่อยให้มันมากำหนดชีวิตของเขา เขาเลือกที่จะมองมันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของตัวตน ไม่ใช่ทั้งหมด

การที่เขาสามารถมองโรคนี้ในแง่ของวิทยาศาสตร์ – เป็นเพียงโปรตีนที่ผิดปกติที่ทำให้โครงสร้างของเซลล์อ่อนแอลง – ช่วยให้เขาสามารถปลดเปลื้องภาระบางสิ่งออกไปได้ นี่เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับเราทุกคนในการมองปัญหาหรือความท้าทายในชีวิตอย่างเป็นกลางและตามความเป็นจริง

ท้ายที่สุด Sam เตือนใจเราว่า ชีวิตนั้นมีค่าและควรใช้ให้คุ้มค่าทุกวินาที เขาปิดท้ายการพูดของเขาด้วยการชวนทุกคนไปร่วมงานเต้นรำฉลองการกลับบ้าน ซึ่งเป็นการเน้นย้ำว่า แม้ในยามที่เราต้องเผชิญกับความท้าทายในชีวิต เราก็ไม่ควรลืมที่จะมีความสุขและสนุกกับช่วงเวลาดี ๆ ในชีวิต

เรื่องราวของ Sam Berns ไม่ใช่แค่เรื่องของเด็กหนุ่มที่ต้องการเอาชนะโรคร้าย แต่เป็นบทเรียนสำหรับเราทุกคนในการใช้ชีวิตอย่างมีความหมายและมีความสุข ไม่ว่าเราจะเผชิญกับความท้าทายใดก็ตาม ด้วยทัศนคติที่ถูกต้อง การสนับสนุนจากคนรอบข้าง และความมุ่งมั่นที่จะก้าวไปข้างหน้า เราทุกคนสามารถสร้างชีวิตที่มีคุณค่าและสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อโลกใบนี้ได้ เช่นเดียวกับที่ Sam ได้ทำไว้นั่นเองครับผม

References :
My philosophy for a happy life | Sam Berns | TEDxMidAtlantic
https://youtu.be/36m1o-tM05g?si=atRXyegfTyXEDW6S

From Nothing to Something : ถอดรหัสความสำเร็จ Carl Pei กับการปฏิวัติวงการสมาร์ทโฟน

ในโลกของเทคโนโลยีที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน การสร้างสตาร์ทอัพด้านฮาร์ดแวร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดสมาร์ทโฟน เป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ แต่ Carl Pei ผู้ร่วมก่อตั้ง OnePlus และปัจจุบันเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท Nothing ได้พิสูจน์ให้เห็นว่ามันเป็นไปได้ ด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อ

Carl Pei เริ่มต้นเส้นทางในวงการเทคโนโลยีตั้งแต่อายุยังน้อย ด้วยความหลงใหลในอุปกรณ์ไฮเทคต่างๆ เขาเล่าว่า “ผมเป็นคนชอบเครื่องมือเทคโนโลยีมาตั้งแต่เด็ก ผมคิดว่าผมน่าจะเป็นคนแรกๆ ในสวีเดนที่มี iPod และผมแน่ใจว่าผมเป็นคนแรกในกลุ่มเพื่อนๆ ที่มี iPhone” ความหลงใหลนี้นำพาเขาไปสู่การทำงานในอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟนที่กำลังเติบโตในประเทศจีน

การเดินทางของ Carl ไม่ได้ราบรื่นเสมอไป เขาเผชิญกับความท้าทายมากมายในการสร้างธุรกิจของตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาตัดสินใจก่อตั้ง Nothing หลังจากออกจาก OnePlus

ในปี 2020 เขาเล่าถึงช่วงเวลาที่ยากลำบากในการระดมทุนและหาพันธมิตรทางธุรกิจ “เรายังถูกปฏิเสธจากโรงงานหลายแห่งที่ผลิตโทรศัพท์ด้วย อย่าง Foxconn ตอนนั้น Foxconn เคยทำงานกับสตาร์ทอัพที่ทำโทรศัพท์มาแล้ว 5 ราย และทั้ง 5 รายนั้นล้มเหลวหมด”

แม้จะเจอกับอุปสรรคมากมาย Carl ไม่ยอมแพ้ เขาตัดสินใจเริ่มต้นด้วยการผลิตหูฟังไร้สายก่อน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและเรียนรู้กระบวนการผลิต แต่แม้แต่การผลิตหูฟังก็ยังเต็มไปด้วยความท้าทาย “โรงงานเดียวที่ยอมทำงานกับเราคือโรงงานที่ไม่มีลูกค้าอื่นเลย ถ้าไม่มีเรา พวกเขาก็จะล้มละลาย” Carl เล่า

ความยากลำบากไม่ได้จบลงเพียงแค่นั้น เมื่อผลิตภัณฑ์แรกของ Nothing คือหูฟัง Ear (1) เริ่มวางจำหน่าย พวกเขาพบว่าประมาณ 90% ของสินค้าในล็อตแรกมีปัญหาในการชาร์จ

นี่เป็นช่วงเวลาวิกฤตที่ Carl และทีมต้องแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน “เราเช่าอพาร์ตเมนต์สองห้องใกล้ๆ โรงงานทันที และเราส่งวิศวกร 15 คนไปอยู่ที่นั่น โดยพื้นฐานแล้ววิศวกรของเรากลายเป็นผู้จัดการโรงงานไปโดยปริยาย คอยดูแลทุกส่วนของโรงงานให้ผลิตตามข้อกำหนดของเรา” Carl เล่าถึงวิธีที่พวกเขาจัดการกับวิกฤตครั้งนั้น

ความพยายามของพวกเขาไม่สูญเปล่า ในที่สุด Nothing ก็สามารถขายหูฟัง Ear (1) ได้ถึง 600,000 ชิ้นในปีแรก นี่เป็นก้าวสำคัญที่ทำให้พวกเขาสามารถก้าวไปสู่การผลิตสมาร์ทโฟนได้ในที่สุด

Carl เน้นย้ำถึงความสำคัญของการอยู่รอดในธุรกิจฮาร์ดแวร์ “ในการไม่มีทางเลือกอื่น มันบังคับให้คุณต้องอยู่รอด” เขากล่าว พร้อมเสริมว่าแต่ละครั้งที่พวกเขาเผชิญกับอุปสรรค พวกเขาก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น มีกระบวนการทำงานที่ดีขึ้น และมีทีมที่ดีขึ้น

นอกจากการเอาชนะความท้าทายด้านการผลิตแล้ว Nothing ยังให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์และชุมชนผู้ใช้ที่แข็งแกร่ง

Carl อธิบายว่า “ผู้ใช้ปัจจุบันของเราบางส่วนเป็นคนที่ชื่นชอบเทคโนโลยี และบางส่วนเป็นคนสร้างสรรค์ คนที่ชอบการออกแบบ ชอบแฟชั่นและดนตรี” การผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีและการออกแบบที่สวยงามเป็นหัวใจสำคัญของแบรนด์ Nothing

หนึ่งในนวัตกรรมที่โดดเด่นของ Nothing คือ อินเตอร์เฟซ Glyph บนสมาร์ทโฟนของพวกเขา Carl อธิบายแนวคิดเบื้องหลังว่า “เราต้องการให้ผู้คนสามารถพลิกโทรศัพท์และรู้ถึงสิ่งสำคัญทั้งหมดที่กำลังเกิดขึ้นผ่านไฟที่ด้านหลังของโทรศัพท์ เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องเปิดหน้าจอหรือปลดล็อคตลอดเวลา” นี่เป็นตัวอย่างของการออกแบบที่คำนึงถึงการใช้งานของผู้ใช้เป็นหลัก

Carl ยังแบ่งปันมุมมองเกี่ยวกับการสร้างสมดุลระหว่างการบริหารจัดการและความคิดสร้างสรรค์ในธุรกิจฮาร์ดแวร์ เขาแนะนำว่าผู้ประกอบการควรเน้นที่การอยู่รอดและการจัดการที่มีประสิทธิภาพ (แบบ Tim Cook) ประมาณ 80% และใช้ความคิดสร้างสรรค์ (แบบ Jony Ive) ประมาณ 20% โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้น และค่อยๆ เพิ่มสัดส่วนของความคิดสร้างสรรค์เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น

สำหรับผู้ที่สนใจจะเริ่มต้นสตาร์ทอัพฮาร์ดแวร์ Carl มีคำแนะนำว่า “มันจะยากแน่ๆ แต่มันทำได้ถ้าคุณอยากทำ” เขาเน้นย้ำถึงความสำคัญของการวางแผนและการสร้างความน่าเชื่อถือไปทีละขั้น “ให้คิดว่าเราจะสร้างความน่าเชื่อถือไปสู่สิ่งต่อไปได้อย่างไร” เขากล่าว

Carl ยังเน้นย้ำถึงความพึงพอใจในการเห็นผู้คนใช้ผลิตภัณฑ์ที่เขามีส่วนร่วมในการสร้าง โดยเฉพาะเมื่อแบรนด์เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้าง

เส้นทางของ Carl Pei และ Nothing แสดงให้เห็นว่าแม้จะเต็มไปด้วยความท้าทาย การสร้างสตาร์ทอัพฮาร์ดแวร์ก็เป็นไปได้ ด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน ความมุ่งมั่น และความสามารถในการปรับตัว สตาร์ทอัพสามารถก้าวผ่านอุปสรรคและสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์ในตลาดที่มีการแข่งขันสูงได้

บทเรียนจากประสบการณ์ของ Carl ไม่เพียงแต่มีคุณค่าสำหรับผู้ที่สนใจในอุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์เท่านั้น แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจสำหรับผู้ประกอบการในทุกสาขาอีกด้วย

References :
How Nothing Founder Carl Pei Built A Multi-Million Dollar Smartphone Brand In Just 2 Years
https://youtu.be/uZVyBc1CKN0?si=M7Q_q6Wqe9z5022u