เลิกทุกข์ได้ ถ้ากล้าให้เขาเกลียด : จิตวิทยา Adlerian กับบทเรียนจากหนังสือ The Courage to be Disliked

ในยุคที่ผู้คนต่างแสวงหาความสุขและความสำเร็จในชีวิต หนังสือ “The Courage to be Disliked” โดย Ichiro Kishimi และ Fumiaki Koga ได้นำเสนอมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับการค้นพบความสุขที่แท้จริง ผ่านแนวคิดจิตวิทยา Adlerian ที่มีมานานกว่าศตวรรษ

เริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามที่ว่า ทำไมเราถึงไม่มีความสุข? คำตอบที่น่าประหลาดใจคือ ความทุกข์ที่เราเผชิญอยู่นั้นไม่ได้เกิดจากสภาพแวดล้อมหรือโชคชะตา แต่เป็นเพราะเราเลือกที่จะทุกข์ด้วยตัวเอง ความโกรธ ความวิตกกังวล และความเครียดที่เราเผชิญล้วนมีจุดประสงค์แอบแฝง เราใช้อารมณ์เหล่านี้เป็นเครื่องมือเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ

เมื่อมีคนทำร้ายจิตใจเรา เราเลือกที่จะจมอยู่กับความเจ็บปวดนั้นเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกผิดและพยายามชดเชยมัน ความเจ็บปวดจึงกลายเป็นอาวุธที่เราใช้เพื่อเรียกร้องความสนใจและความเห็นอกเห็นใจ เช่นเดียวกับความโกรธที่เราแสดงออกมาเพื่อบอกว่า “มองฉันสิ” หรือความเหนื่อยล้าที่เราใช้เป็นข้ออ้างในการหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับความกลัวการถูกปฏิเสธ

หากลองจินตนาการว่าเราเป็นมนุษย์คนสุดท้ายบนโลก ไม่มีใครให้เราต้องรู้สึกประทับใจ ไม่มีใครปฏิเสธเรา และไม่มีแรงกดดันทางสังคม เราก็จะดำเนินชีวิตไปอย่างเรียบง่าย ปราศจากความปั่นป่วนทางอารมณ์ โดยเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยการปรับเปลี่ยนมุมมองและวิธีที่เราสัมพันธ์กับผู้อื่น

ประการแรก เราต้องตระหนักว่าไม่มีความสัมพันธ์แนวตั้งในโลกนี้ มนุษย์ทุกคนล้วนมีคุณค่าเท่าเทียมกัน การที่เรามักเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น ทำให้เกิดปมด้อยและปมเหนือกว่าที่บั่นทอนความสุขของเรา

เมื่อรู้สึกด้อยเราจะหมกมุ่นกับการถูกตัดสินจากคนที่เราคิดว่าเหนือกว่า เมื่อรู้สึกเหนือกว่า เราก็จะหวาดกลัวการสูญเสียตำแหน่งนั้น ทำให้ชีวิตกลายเป็นการแข่งขันที่น่าเบื่อหน่าย

แต่หากเราเปลี่ยนมุมมองใหม่ โดยมองว่าทุกคนมีคุณค่าเท่าเทียมกันอยู่บนระนาบเดียวกัน ความปั่นป่วนจะค่อยๆ สงบลง เพราะไม่มีใครที่เราต้องพยายามทำให้ประทับใจ และไม่มีใครที่ทำให้เรารู้สึกว่าถูกคุกคาม

เราสามารถเห็นคุณค่าที่มีอยู่ในตัวทุกคน ไม่ว่าจะเป็นทารกแรกเกิดที่นำความสุขมาสู่ครอบครัวเพียงแค่การมีตัวตน หรือคนชราที่เป็นโรคสมองเสื่อมที่ยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้ลูกหลานระลึกถึงความรักและคุณค่าที่ได้รับการส่งต่อ

ในทางกลับกัน สิ่งที่เรามองว่าเป็นข้อได้เปรียบในชีวิต เช่น ความมั่งคั่งและชื่อเสียง อาจกลายเป็นสิ่งที่ผูกมัดผู้คนไว้กับภาระที่ไม่ได้เลือก จนสูญเสียอิสรภาพในการใช้ชีวิต หากเราได้เห็นปัญหาที่แท้จริงของคนที่เรามองว่าประสบความสำเร็จ เราอาจพบว่าปัญหาของเราไม่ได้หนักหนาอย่างที่คิด

ประการที่สอง เราต้องแยกแยะภารกิจในความสัมพันธ์ให้ชัดเจน ในทุกปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ มีภารกิจหลักสองประการ คือ ภารกิจของเราในการหาวิธีที่ดีที่สุดในการมีส่วนร่วม และภารกิจของผู้อื่นในการตัดสินใจว่าจะตอบสนองต่อการมีส่วนร่วมของเราอย่างไร โดยสรุปคือ เราทำหน้าที่ของเราในการให้ และปล่อยให้ผู้อื่นมีอิสระในการคิดและทำอะไรก็ได้กับสิ่งที่เราให้

ยกตัวอย่างเช่น ในฐานะพ่อแม่ หน้าที่ของเราคือการสร้างโอกาสให้ลูกได้เรียนรู้และเติบโต แต่การที่ลูกจะใช้โอกาสเหล่านั้นหรือไม่ เป็นการตัดสินใจของพวกเขา ในที่ทำงาน หน้าที่ของเราคือการทำงานให้ดีที่สุด ส่วนผู้อื่นจะชื่นชมความพยายามของเราหรือไม่ เป็นเรื่องของพวกเขา

ปัญหาความสัมพันธ์มักเกิดขึ้นเมื่อเราก้าวก่ายภารกิจของผู้อื่น เช่น การพยายามบังคับให้คนอื่นชื่นชมหรือยอมรับในสิ่งที่เราทำ ทั้งที่จริงแล้ว ภารกิจของเราคือการใช้ความรู้ความสามารถที่มีเพื่อสร้างประโยชน์ให้ผู้อื่น การมีส่วนร่วมของเราควรชัดเจนในตัวเอง โดยไม่ต้องการการยืนยันจากใคร

บางครั้งการมีส่วนร่วมที่ดีที่สุดอาจเป็นเพียงการรับฟังอย่างตั้งใจ การให้กำลังใจ หรือแม้แต่การให้พื้นที่ผู้อื่นได้เติบโตด้วยตัวเอง ยิ่งเราทุ่มเทกับการเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นมากเท่าไร เราจะยิ่งพบความสุขที่แท้จริงและยั่งยืนมากขึ้นเท่านั้น เพราะความสุขที่แท้จริงเกิดจากความรู้สึกว่าได้มีส่วนร่วมในการสร้างคุณค่าให้กับผู้อื่น

เมื่อเรารู้ว่าได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างดีที่สุดแล้ว เราก็ไม่ต้องกังวลว่าใครจะคิดอย่างไรกับเรา นี่คือสิ่งที่ Kishimi และ Koga เรียกว่า “ความกล้าที่จะถูกเกลียด” ซึ่งเป็นอิสรภาพขั้นสูงสุดที่จะปลดปล่อยเราจากความทุกข์ทั้งปวง และนำพาเราไปสู่ความสุขที่แท้จริงและยั่งยืน

การเดินทางสู่ความสุขที่แท้จริงอาจไม่ใช่เส้นทางที่ง่าย แต่ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องและความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง เราทุกคนสามารถก้าวผ่านความกลัวและความทุกข์ไปสู่ชีวิตที่มีความหมายและเต็มเปี่ยมด้วยความสุขได้ในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

References :
หนังสือ The Courage to Be Disliked: How to Free Yourself, Change your Life and Achieve Real Happiness โดย Ichiro Kishimi, Fumitake Koga

Geek Life EP136 : หยุดคิดว่าทำไม่ได้! 3 เคล็ดลับจิตวิทยาที่จะเปลี่ยนคุณเป็นเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด

เรื่องราวอันน่าทึ่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เผยให้เห็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจเกี่ยวกับพลังของจิตใจ ในยามที่มอร์ฟีนขาดแคลน แพทย์สนามได้ใช้น้ำเกลือฉีดให้ทหารที่บาดเจ็บโดยบอกว่าเป็นมอร์ฟีน ผลปรากฏว่าน้ำเกลือสามารถบรรเทาความเจ็บปวดได้ถึง 90% เมื่อเทียบกับมอร์ฟีนจริง

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/ayapm3xd

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/yckyxfm2

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/n9yrQDGuGG4

หยุดคิดว่าทำไม่ได้! 3 เคล็ดลับจิตวิทยาที่จะเปลี่ยนคุณเป็นเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด

เรื่องราวอันน่าทึ่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เผยให้เห็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจเกี่ยวกับพลังของจิตใจ ในยามที่มอร์ฟีนขาดแคลน แพทย์สนามได้ใช้น้ำเกลือฉีดให้ทหารที่บาดเจ็บโดยบอกว่าเป็นมอร์ฟีน ผลปรากฏว่าน้ำเกลือสามารถบรรเทาความเจ็บปวดได้ถึง 90% เมื่อเทียบกับมอร์ฟีนจริง

เหตุการณ์ที่ Minnesota ยิ่งตอกย้ำพลังของจิตใจได้ชัดเจน เมื่อชายคนหนึ่งในการทดลองยาต้านซึมเศร้ากินยาเกินขนาดถึง 29 เม็ด เขาถูกนำส่งโรงพยาบาลด้วยอาการซีด ง่วงซึม สั่น และความดันโลหิตต่ำมาก

แพทย์พยายามรักษาอยู่ 4 ชั่วโมงแต่อาการไม่ดีขึ้น จนกระทั่งแพทย์จากการทดลองมาถึงและเปิดเผยความจริงว่ายาที่เขากินเป็นเพียงยาหลอก ทันทีที่ได้ยินความจริง อาการทั้งหมดของเขาก็หายเป็นปลิดทิ้ง!

นักจิตวิทยา Dan Ariely ได้ทำการทดลองที่น่าสนใจในปี 2011 โดยแจกแว่นกันแดดที่เหมือนกันทุกประการให้ผู้ร่วมทดลอง แต่บอกราคาต่างกัน ปรากฏว่ากลุ่มที่เชื่อว่าตนใส่แว่น Ray-Ban ราคาแพงสามารถอ่านตัวอักษรใต้แสงจ้าได้แม่นยำกว่ากลุ่มที่คิดว่าใส่แว่นราคาปานกลางถึงสองเท่า

ในทำนองเดียวกัน การทดลองกับหูฟังก็ให้ผลลัพธ์คล้ายคลึงกัน ผู้ที่คิดว่าใช้หูฟังราคาแพงสามารถได้ยินเสียงชัดเจนกว่าผู้ที่คิดว่าใช้หูฟังราคาถูก

นักวิทยาศาสตร์เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “The Expectation Effect” หรือผลของความคาดหวัง David Robson ได้รวบรวมงานวิจัยและนำเสนอวิธีการที่เราสามารถใช้ประโยชน์จากผลของความคาดหวังในชีวิตประจำวัน

พิธีกรรมคือกุญแจสำคัญประการแรก นักกีฬาระดับโลกอย่าง Serena Williams และ Rafael Nadal ต่างมีพิธีกรรมเฉพาะตัวก่อนการแข่งขัน งานวิจัยยืนยันว่าพิธีกรรมไม่ใช่เรื่องงมงาย แต่เป็นเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพที่ได้ผลจริง นักบาสเกตบอลที่ทำพิธีกรรมก่อนยิงจุดโทษมีโอกาสยิงสำเร็จมากกว่าถึง 12.4%

การทดลองที่ Harvard แสดงให้เห็นว่าแม้แต่พิธีกรรมที่ดูไร้สาระก็สามารถส่งผลต่อประสิทธิภาพได้ ผู้เข้าร่วมที่ทำพิธีกรรมง่ายๆ อย่างการวาดรูป โรยเกลือ และขยำทิ้ง มีคะแนนร้องเพลงดีขึ้นถึง 13 คะแนน แต่เมื่อเรียกการกระทำเดียวกันว่าเป็น “พฤติกรรมสุ่ม” กลับไม่เกิดผลใดๆ

กุญแจสำคัญประการที่สองคือการจินตนาการ การทดลองกับนักเรียนนายทหารพบว่า เมื่อพวกเขาจินตนาการว่าตนเองเป็นนักบิน พวกเขาสามารถมองเห็นตัวอักษรขนาดเล็กได้ชัดเจนขึ้น แม้ว่าในการทดสอบสายตามาตรฐานจะมองไม่เห็น นี่แสดงให้เห็นว่าการจินตนาการว่าตนเองเป็นผู้เชี่ยวชาญสามารถยกระดับความสามารถได้จริง

ประการสุดท้ายคือความเชื่อในพลังใจที่ไม่มีขีดจำกัด งานวิจัยพบว่าผู้ที่เชื่อว่าพลังใจเพิ่มขึ้นตามการใช้งานมีประสิทธิภาพในการทำงานสูงกว่าผู้ที่เชื่อว่าพลังใจมีจำกัด พวกเขาฟื้นตัวได้เร็วกว่าหลังจากวันที่เหนื่อยล้า และมี productivity สูงขึ้นในวันถัดไป

เทคนิคที่มีประสิทธิภาพในการใช้พลังของความคาดหวังคือการใช้วิธี “สองแล้วหยุด” เมื่อรู้สึกเหนื่อยล้า ให้ผลักดันตัวเองต่อไปอีกสองครั้งแล้วค่อยหยุดพัก วิธีนี้จะช่วยให้เราค้นพบว่าขีดจำกัดที่แท้จริงของเราอยู่ไกลกว่าที่คิด

Henry Ford เคยกล่าวไว้ว่า “ไม่ว่าคุณจะคิดว่าคุณทำได้หรือทำไม่ได้ คุณก็คิดถูก” คำกล่าวนี้สอดคล้องกับงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันว่าความคาดหวังของเรามีผลต่อความเป็นจริง

การเปลี่ยนกรอบความคิดอย่างง่ายๆ สามารถผลักดันขีดจำกัดของสิ่งที่เราทำได้ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างพิธีกรรม การจินตนาการ หรือการเชื่อในพลังใจที่ไม่มีขีดจำกัด ล้วนเป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้เราเข้าถึงศักยภาพที่แท้จริงของตนเอง

การค้นพบเกี่ยวกับผลของความคาดหวังยังแสดงให้เห็นว่า แม้แต่การคิดถึงกาแฟก็สามารถกระตุ้นสมองให้ตื่นตัวได้ เพราะร่างกายเรียนรู้ที่จะเชื่อมโยงกลิ่นและรสชาติของกาแฟกับการทำงานที่มีประสิทธิภาพ นี่คือตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าประสบการณ์ในอดีตสามารถสร้างความคาดหวังที่ส่งผลต่อพฤติกรรมและประสิทธิภาพในปัจจุบันได้

นักวิทยาศาสตร์ยังพบว่าความคาดหวังมีผลต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน การศึกษาที่ Harvard Medical School แสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยที่ได้รับยาหลอกแต่เชื่อว่าเป็นยาจริงมีการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าจิตใจมีพลังในการกระตุ้นการทำงานของร่างกายได้อย่างน่าอัศจรรย์

David Robson ได้เสนอแนะว่าการนำผลของความคาดหวังมาใช้ในชีวิตประจำวันไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานเท่านั้น แต่ยังสามารถช่วยในการดูแลสุขภาพกายและใจได้ด้วย เขายกตัวอย่างว่าการมองการออกกำลังกายว่าเป็นกิจกรรมที่สนุกและผ่อนคลาย แทนที่จะมองว่าเป็นภาระหน้าที่ จะทำให้เราได้ประโยชน์จากการออกกำลังกายมากขึ้น

นอกจากนี้ การฝึกสร้างความคาดหวังเชิงบวกยังสามารถช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลได้ เมื่อเราเชื่อว่าความเครียดเป็นกลไกที่ร่างกายใช้เตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทาย แทนที่จะมองว่าเป็นอันตราย เราจะสามารถจัดการกับสถานการณ์ที่กดดันได้ดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม Robson เตือนว่าการใช้พลังของความคาดหวังควรอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง ไม่ใช่การหลอกตัวเองหรือปฏิเสธข้อจำกัดที่มีอยู่จริง แต่เป็นการเปิดใจยอมรับว่าศักยภาพของเรามักจะสูงกว่าที่เราคิด และความเชื่อของเราสามารถผลักดันขีดจำกัดนั้นให้ขยายออกไปได้

การศึกษาล่าสุดในปี 2023 ยังพบว่าผลของความคาดหวังสามารถส่งต่อจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งได้ เมื่อครูเชื่อว่านักเรียนมีศักยภาพสูง นักเรียนมักจะแสดงผลการเรียนที่ดีขึ้น เมื่อผู้จัดการเชื่อในความสามารถของทีม สมาชิกในทีมมักจะทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แสดงให้เห็นว่าพลังของความคาดหวังไม่ได้จำกัดอยู่เพียงระดับบุคคล แต่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงในระดับองค์กรและสังคมได้

“The Expectation Effect” ของ David Robson ไม่เพียงรวบรวมหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่น่าทึ่งเกี่ยวกับพลังของจิตใจ แต่ยังเสนอแนวทางปฏิบัติที่ทุกคนสามารถนำไปใช้ได้จริง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างพิธีกรรมส่วนตัว การใช้จินตนาการอย่างสร้างสรรค์ หรือการเชื่อในพลังใจที่ไม่มีขีดจำกัด ล้วนเป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้เราก้าวข้ามขีดจำกัดที่เราเคยเชื่อว่ามีอยู่ และเข้าถึงศักยภาพที่แท้จริงของตนเองได้ในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

References :
หนังสือ The Expectation Effect: How Your Mindset Can Change Your World โดย David Robson

Geek Life EP116 : พรสวรรค์ VS ความพากเพียร อะไรสำคัญกว่ากัน? พบคำตอบที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณ

หากจะพูดถึงปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จในชีวิต หลายคนอาจนึกถึงพรสวรรค์เป็นอันดับแรก แต่งานวิจัยของ Angela Duckworth นักจิตวิทยาจาก University of Pennsylvania กลับชี้ให้เห็นว่า ความพากเพียรต่างหากที่เป็นกุญแจสำคัญ

ในหนังสือ “Grit: The Power of Passion and Perseverance” Angela ได้ทุ่มเทศึกษาวิจัยเพื่อค้นหาคำตอบของคำถามที่ว่า “อะไรคือปัจจัยที่แท้จริงที่ทำให้คนประสบความสำเร็จ”

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/yc6f999y

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/stxdjf6u

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/-3wPJhnIYJ8

Geek Life EP112 : หยุดคิดว่าตัวเองไม่เก่ง! บทเรียนจากโค้ชผู้สร้างแชมป์ ทำไมคนเก่งถึงพ่ายแพ้ให้คนมั่นใจ

ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาของการเป็นโค้ชฟุตบอลในระดับมหาวิทยาลัย Dr. Ivan Joseph ได้พบเจอกับความท้าทายและบทเรียนมากมายที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ทั้งในสนามกีฬาและในชีวิตจริง หลังจากที่ทีมของเขาประสบความสำเร็จในการคว้าแชมป์ระดับประเทศ

หลายคนมักเข้าใจผิดว่านักกีฬามากมายอยากเข้าร่วมทีมเพราะชื่อเสียงของทีมเขา แต่ความจริงแล้วแรงจูงใจหลักคือทุนการศึกษามูลค่า 25,000 ดอลลาร์ต่อปี ซึ่งเป็นโอกาสที่จะช่วยให้พวกเขาได้รับการศึกษาที่ดีควบคู่ไปกับการพัฒนาทักษะด้านกีฬา

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/4jekmy7j

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/yttz8pex

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/5RNQzY_60bA