หยุดกลัวการถูกปฏิเสธ! ชายจีนผู้ท้าทายการถูกปฏิเสธ 100 วัน และบทเรียนที่เปลี่ยนชีวิต

ในโลกแห่งการแข่งขันทางธุรกิจและการใช้ชีวิตประจำวัน เราทุกคนต่างเคยเผชิญกับความกลัวการถูกปฏิเสธมาแล้วทั้งนั้น บางคนถึงขั้นยอมทิ้งความฝันและโอกาสดีๆ ในชีวิตเพียงเพราะกลัวคำว่า “ไม่”

แต่มีชายคนหนึ่งที่กล้าท้าทายความกลัวนี้ด้วยวิธีที่แปลกประหลาดและน่าสนใจ เขาคือ Jia Jiang ชายชาวจีนผู้อพยพมาอเมริกาพร้อมความฝันที่จะเป็นผู้ประกอบการ

Jia Jiang เกิดและเติบโตในเมืองปักกิ่ง ประเทศจีน ตั้งแต่เด็กเขามีความฝันที่จะเป็นผู้ประกอบการในอเมริกา แรงบันดาลใจนี้เกิดขึ้นหลังจากที่เขาได้พบกับ Bill Gates ในงานที่โรงเรียนตอนอายุ 14 ปี ทำให้เขาตัดสินใจมุ่งมั่นที่จะย้ายมาเรียนและทำงานในอเมริกา

แม้จะประสบความสำเร็จในการเรียนและการทำงานในบริษัทชั้นนำ แต่ความฝันของเขากลับถูกขัดขวางด้วยความกลัวการถูกปฏิเสธที่ฝังรากลึก จนกระทั่งวันหนึ่ง หลังจากนักลงทุนปฏิเสธที่จะสนับสนุนสตาร์ทอัพของเขา แทนที่จะยอมแพ้ เขากลับตัดสินใจท้าทายตัวเองด้วยการทำภารกิจที่เรียกว่า “100 วันแห่งการถูกปฏิเสธ” ซึ่งผมว่ามันเป็นการทดลองที่เจ๋งมาก ๆ

แรงบันดาลใจในการทำภารกิจนี้มาจาก Jason Comely ผู้สร้างเกม “Rejection Therapy” ที่มีกฎง่ายๆ คือผู้เล่นต้องทำให้ตัวเองถูกปฏิเสธจากใครสักคนทุกวัน Comely สร้างเกมนี้หลังจากที่ภรรยาของเขาจากไป และเขาต้องต่อสู้กับความกลัวการถูกปฏิเสธอย่างรุนแรง

ภารกิจของ Jia Jiang เริ่มต้นด้วยการขอสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ในแต่ละวัน เช่น การขอยืมเงิน 100 ดอลลาร์จากคนแปลกหน้า การขอให้พนักงาน Krispy Kreme ทำโดนัทเป็นรูปวงแหวนโอลิมปิก การเคาะประตูบ้านคนแปลกหน้าเพื่อขอเล่นฟุตบอลในสนามหลังบ้าน การขอถ่ายรูปกับพนักงานรักษาความปลอดภัยในท่าซูเปอร์ฮีโร่ หรือแม้แต่การเดินเข้าไปในออฟฟิศแบบสุ่มเพื่อขอทำงานเพียงวันเดียว

หนึ่งในเหตุการณ์ที่น่าประทับใจที่สุดคือวันที่เขาขอให้พนักงาน Krispy Kreme ทำโดนัทรูปวงแหวนโอลิมปิก แทนที่จะถูกปฏิเสธ Jackie พนักงานที่อยู่เวรกลับใช้เวลา 15 นาทีในการวาดและจัดวางโดนัทเป็นรูปวงแหวนโอลิมปิก พร้อมทั้งใช้น้ำตาลสีต่างๆ ตกแต่งให้สวยงาม โดยไม่คิดเงินเพิ่ม

จากการทดลองนี้ Jia Jiang ได้ค้นพบความจริงที่น่าทึ่งเกี่ยวกับธรรมชาติของการถูกปฏิเสธ ประการแรก เขาพบว่าการถูกปฏิเสธนั้นเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนบุคคล ไม่ต่างจากการที่คนไม่ชอบไอศกรีมรสมินต์ปฏิเสธที่จะรับประทาน มันไม่ได้สะท้อนถึงคุณค่าของตัวเราแต่อย่างใด

ในระหว่างการทดลอง เขาพบว่าผู้คนมักมีเหตุผลส่วนตัวในการปฏิเสธที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเขาเลย เช่น กฎระเบียบขององค์กร ข้อจำกัดด้านเวลา หรือแม้แต่อารมณ์ความรู้สึกในขณะนั้น การเข้าใจเรื่องนี้ช่วยให้เขารับมือกับการถูกปฏิเสธได้ดีขึ้น

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือกรณีของ Joshua Bell นักไวโอลินรางวัล Grammy ที่แต่งตัวธรรมดาใส่ยีนส์และหมวกเบสบอล ไปเล่นดนตรีในสถานีรถไฟใต้ดิน DC มีเพียง 7 คนจาก 1,097 คนที่หยุดฟัง ทั้งที่การแสดงของเขามักได้รับเสียงปรบมือยืนยาวในคอนเสิร์ตฮอลล์ชื่อดังอย่าง John F. Kennedy Center

การทดลองของ Joshua Bell เป็นส่วนหนึ่งของโครงการที่จัดทำโดยหนังสือพิมพ์ Washington Post ในปี 2007 เพื่อศึกษาการรับรู้ความงามของศิลปะในบริบทที่ไม่คาดคิด Bell เล่นบทเพลงคลาสสิกที่ยากที่สุดบางบทด้วยไวโอลิน Stradivarius มูลค่า 3.5 ล้านดอลลาร์ แต่ได้รับเงินบริจาคเพียง 32 ดอลลาร์จากการแสดง 45 นาที

นี่แสดงให้เห็นว่าบริบทและจังหวะเวลามีผลต่อการตอบรับมากกว่าความสามารถที่แท้จริง เช่นเดียวกับที่คนในสถานีรถไฟไม่ได้ปฏิเสธความสามารถของ Joshua Bell แต่พวกเขาแค่ไม่ได้อยู่ในโหมดที่จะชื่นชมดนตรีคลาสสิกในตอนเช้าที่เร่งรีบ

ประการที่สอง การถามหาเหตุผลของการปฏิเสธอย่างสุภาพสามารถเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ๆ ได้ เช่นครั้งที่ Jia Jiang ขอประกาศเรื่องความปลอดภัยบนเครื่องบิน Southwest แม้จะถูกปฏิเสธในตอนแรก แต่เมื่อถามถึงเหตุผล พนักงานกลับคิดหาทางออกใหม่ให้เขาได้พูดต้อนรับผู้โดยสารแทน

การถามหาเหตุผลยังช่วยให้เราเข้าใจมุมมองของอีกฝ่าย และบางครั้งอาจนำไปสู่ทางออกที่ดีกว่าเดิม เช่นกรณีที่เขาขอใช้เครื่องประกาศเสียงที่ร้าน Costco เพื่อประกาศชมเชยพนักงาน แม้จะถูกปฏิเสธ แต่ผู้จัดการกลับรู้สึกประทับใจในความตั้งใจดีของเขาและเลี้ยงอาหารเป็นการตอบแทน

นอกจากนี้ การถามเหตุผลยังช่วยให้เราได้ข้อมูลที่มีค่าสำหรับการปรับปรุงคำขอในครั้งต่อไป เช่น เมื่อเขาขอให้สายการบินอนุญาตให้ประกาศ เขาได้เรียนรู้ว่ามีข้อกำหนดด้านความปลอดภัยที่ต้องคำนึงถึง ทำให้ในครั้งต่อไปเขาสามารถปรับคำขอให้สอดคล้องกับข้อกำหนดเหล่านั้นได้

ประการที่สาม การลดขนาดคำขอลง หรือที่ Robert Cialdini ผู้เขียนหนังสือ “Influence” เรียกว่า “Retreating” เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ เพราะผู้คนมักรู้สึกไม่สบายใจที่จะปฏิเสธคำขอเล็กๆ หลังจากที่ปฏิเสธคำขอใหญ่ไปแล้ว

จากการศึกษาของ Cialdini พบว่าการลดขนาดคำขอสามารถเพิ่มโอกาสการตอบรับได้ถึง 76% เพราะเป็นการแสดงความยืดหยุ่นและความเข้าใจต่อข้อจำกัดของอีกฝ่าย นอกจากนี้ ยังเป็นการใช้ประโยชน์จากหลักจิตวิทยาที่เรียกว่า “การตอบแทน (Reciprocity)” ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าควรตอบแทนความยืดหยุ่นที่เราแสดงออก

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือเมื่อ Jia Jiang ขอแซนด์วิช McGriddle จาก McDonald’s ในตอนบ่าย 2 โมง ซึ่งเลยเวลาอาหารเช้าไปแล้ว เมื่อถูกปฏิเสธและได้รับคำอธิบายว่าเครื่องทำไข่และไส้กรอกถูกล้างไปแล้ว เขาจึงปรับคำขอเป็นขนมปังกริดเดิลราดน้ำผึ้งกับชีสแทน ซึ่งพนักงานสามารถจัดให้ได้

การลดขนาดคำขอยังช่วยให้เราได้เรียนรู้ว่าบางครั้งสิ่งที่เราต้องการจริงๆ อาจไม่ใช่สิ่งที่เราขอในตอนแรก เช่น ในกรณีของ McDonald’s เขาได้ค้นพบว่าสิ่งที่เขาต้องการจริงๆ คือรสชาติของขนมปังกริดเดิล ไม่ใช่แซนด์วิช McGriddle ทั้งชิ้น

การถูกปฏิเสธยังมีประโยชน์แฝงอยู่หลายประการที่น่าสนใจ ประการแรกคือการสร้างภูมิคุ้มกันต่อการถูกปฏิเสธในอนาคต เมื่อเราเข้าใจว่าการถูกปฏิเสธไม่ได้ทำลายคุณค่าในตัวเรา เราจะกล้าเผชิญกับความเสี่ยงมากขึ้น เหมือนการฉีดวัคซีนที่ช่วยให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรค การเผชิญกับการถูกปฏิเสธบ่อยๆ จะช่วยให้เราแข็งแกร่งขึ้น

ในช่วงท้ายของการทดลอง Jia Jiang พบว่าเขาสามารถรับมือกับการถูกปฏิเสธได้ดีขึ้นมาก เขารู้สึกเจ็บปวดน้อยลงเมื่อถูกปฏิเสธ และสามารถมองหาโอกาสใหม่ๆ ได้เร็วขึ้น เขาเปรียบเทียบว่าเหมือนกับนักมวยที่โดนต่อยบ่อยๆ จนชินและรู้วิธีรับมือกับหมัด

ประการที่สองคือการเพิ่มแรงจูงใจ เหมือนกรณีของ Michael Jordan ที่ใช้การถูกปฏิเสธจากทีมบาสเก็ตบอลมัธยมเป็นแรงผลักดันในการฝึกซ้อมหนักขึ้น จนกลายเป็นหนึ่งในนักบาสเก็ตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล

Michael Jordan เคยเล่าว่าเขาถูกตัดตัวจากทีมบาสเก็ตบอลมัธยมปลายในปีที่สอง แต่แทนที่จะยอมแพ้ เขากลับใช้ความผิดหวังนั้นเป็นแรงผลักดันให้ตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้า เพื่อซ้อมก่อนเข้าเรียน และซ้อมต่อจนถึงค่ำทุกวัน จนในที่สุดเขาก็ได้กลับเข้าทีมและกลายเป็นดาวเด่น

ประการสุดท้ายคือการให้แนวทางในการปรับปรุง ดังที่ Thomas Edison กล่าวว่า เขาไม่ได้ล้มเหลว 10,000 ครั้ง แต่ค้นพบ 10,000 วิธีที่ใช้ไม่ได้ผล การมองการปฏิเสธแบบไม่มีเรื่องอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องจะช่วยให้เราเห็นจุดที่ต้องปรับปรุงได้ชัดเจนขึ้น

Edison เป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้การล้มเหลวเป็นบทเรียน ในการคิดค้นหลอดไฟฟ้า เขาทดลองวัสดุที่จะใช้เป็นไส้หลอดมากกว่า 6,000 ชนิด แต่ละครั้งที่ล้มเหลว เขาจดบันทึกอย่างละเอียดว่าทำไมมันถึงใช้ไม่ได้ จนในที่สุดเขาก็ค้นพบว่าใยไม้ไผ่เป็นวัสดุที่เหมาะสมที่สุด

หลังจากจบภารกิจ 100 วัน Jia Jiang ได้กลายเป็นวิทยากรและผู้เชี่ยวชาญด้านการเอาชนะความกลัวการถูกปฏิเสธ เขาได้เขียนหนังสือ “Rejection Proof” และให้การบรรยาย TED Talk ที่มีผู้ชมนับล้าน ประสบการณ์ของเขาได้สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนทั่วโลกกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความกลัวการถูกปฏิเสธ

ปัจจุบัน Jia Jiang ได้ก่อตั้งบริษัท Rejection Therapy เพื่อช่วยให้ผู้คนและองค์กรต่างๆ เอาชนะความกลัวการถูกปฏิเสธ เขาได้รับเชิญไปบรรยายในองค์กรชั้นนำมากมาย เช่น Google, Microsoft, และ Bank of America โดยเขาเน้นย้ำว่าการเอาชนะความกลัวการถูกปฏิเสธไม่เพียงช่วยให้เราประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน แต่ยังช่วยให้เรามีความสุขในชีวิตมากขึ้นด้วย

ในท้ายที่สุด Jia Jiang สรุปว่า การถูกปฏิเสธที่เคยเป็นเหมือนยักษ์โกลิอัทในชีวิตของเขา ได้กลายเป็นเพียงความท้าทายที่สามารถเอาชนะได้ด้วยมุมมองที่ถูกต้องและการฝึกฝน เมื่อเราเข้าใจว่าการถูกปฏิเสธไม่ใช่การตัดสินคุณค่าของเรา เราก็จะมีอิสระในการขอสิ่งที่ต้องการมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขอเลื่อนตำแหน่ง การขอความช่วยเหลือ หรือแม้แต่การขอโอกาสในการทำความฝันให้เป็นจริง

References :
หนังสือ Rejection Proof: How I Beat Fear and Became Invincible Through 100 Days of Rejection โดย Jia Jiang

เลิกทุกข์ได้ ถ้ากล้าให้เขาเกลียด : จิตวิทยา Adlerian กับบทเรียนจากหนังสือ The Courage to be Disliked

ในยุคที่ผู้คนต่างแสวงหาความสุขและความสำเร็จในชีวิต หนังสือ “The Courage to be Disliked” โดย Ichiro Kishimi และ Fumiaki Koga ได้นำเสนอมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับการค้นพบความสุขที่แท้จริง ผ่านแนวคิดจิตวิทยา Adlerian ที่มีมานานกว่าศตวรรษ

เริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามที่ว่า ทำไมเราถึงไม่มีความสุข? คำตอบที่น่าประหลาดใจคือ ความทุกข์ที่เราเผชิญอยู่นั้นไม่ได้เกิดจากสภาพแวดล้อมหรือโชคชะตา แต่เป็นเพราะเราเลือกที่จะทุกข์ด้วยตัวเอง ความโกรธ ความวิตกกังวล และความเครียดที่เราเผชิญล้วนมีจุดประสงค์แอบแฝง เราใช้อารมณ์เหล่านี้เป็นเครื่องมือเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ

เมื่อมีคนทำร้ายจิตใจเรา เราเลือกที่จะจมอยู่กับความเจ็บปวดนั้นเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกผิดและพยายามชดเชยมัน ความเจ็บปวดจึงกลายเป็นอาวุธที่เราใช้เพื่อเรียกร้องความสนใจและความเห็นอกเห็นใจ เช่นเดียวกับความโกรธที่เราแสดงออกมาเพื่อบอกว่า “มองฉันสิ” หรือความเหนื่อยล้าที่เราใช้เป็นข้ออ้างในการหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับความกลัวการถูกปฏิเสธ

หากลองจินตนาการว่าเราเป็นมนุษย์คนสุดท้ายบนโลก ไม่มีใครให้เราต้องรู้สึกประทับใจ ไม่มีใครปฏิเสธเรา และไม่มีแรงกดดันทางสังคม เราก็จะดำเนินชีวิตไปอย่างเรียบง่าย ปราศจากความปั่นป่วนทางอารมณ์ โดยเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยการปรับเปลี่ยนมุมมองและวิธีที่เราสัมพันธ์กับผู้อื่น

ประการแรก เราต้องตระหนักว่าไม่มีความสัมพันธ์แนวตั้งในโลกนี้ มนุษย์ทุกคนล้วนมีคุณค่าเท่าเทียมกัน การที่เรามักเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น ทำให้เกิดปมด้อยและปมเหนือกว่าที่บั่นทอนความสุขของเรา

เมื่อรู้สึกด้อยเราจะหมกมุ่นกับการถูกตัดสินจากคนที่เราคิดว่าเหนือกว่า เมื่อรู้สึกเหนือกว่า เราก็จะหวาดกลัวการสูญเสียตำแหน่งนั้น ทำให้ชีวิตกลายเป็นการแข่งขันที่น่าเบื่อหน่าย

แต่หากเราเปลี่ยนมุมมองใหม่ โดยมองว่าทุกคนมีคุณค่าเท่าเทียมกันอยู่บนระนาบเดียวกัน ความปั่นป่วนจะค่อยๆ สงบลง เพราะไม่มีใครที่เราต้องพยายามทำให้ประทับใจ และไม่มีใครที่ทำให้เรารู้สึกว่าถูกคุกคาม

เราสามารถเห็นคุณค่าที่มีอยู่ในตัวทุกคน ไม่ว่าจะเป็นทารกแรกเกิดที่นำความสุขมาสู่ครอบครัวเพียงแค่การมีตัวตน หรือคนชราที่เป็นโรคสมองเสื่อมที่ยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้ลูกหลานระลึกถึงความรักและคุณค่าที่ได้รับการส่งต่อ

ในทางกลับกัน สิ่งที่เรามองว่าเป็นข้อได้เปรียบในชีวิต เช่น ความมั่งคั่งและชื่อเสียง อาจกลายเป็นสิ่งที่ผูกมัดผู้คนไว้กับภาระที่ไม่ได้เลือก จนสูญเสียอิสรภาพในการใช้ชีวิต หากเราได้เห็นปัญหาที่แท้จริงของคนที่เรามองว่าประสบความสำเร็จ เราอาจพบว่าปัญหาของเราไม่ได้หนักหนาอย่างที่คิด

ประการที่สอง เราต้องแยกแยะภารกิจในความสัมพันธ์ให้ชัดเจน ในทุกปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ มีภารกิจหลักสองประการ คือ ภารกิจของเราในการหาวิธีที่ดีที่สุดในการมีส่วนร่วม และภารกิจของผู้อื่นในการตัดสินใจว่าจะตอบสนองต่อการมีส่วนร่วมของเราอย่างไร โดยสรุปคือ เราทำหน้าที่ของเราในการให้ และปล่อยให้ผู้อื่นมีอิสระในการคิดและทำอะไรก็ได้กับสิ่งที่เราให้

ยกตัวอย่างเช่น ในฐานะพ่อแม่ หน้าที่ของเราคือการสร้างโอกาสให้ลูกได้เรียนรู้และเติบโต แต่การที่ลูกจะใช้โอกาสเหล่านั้นหรือไม่ เป็นการตัดสินใจของพวกเขา ในที่ทำงาน หน้าที่ของเราคือการทำงานให้ดีที่สุด ส่วนผู้อื่นจะชื่นชมความพยายามของเราหรือไม่ เป็นเรื่องของพวกเขา

ปัญหาความสัมพันธ์มักเกิดขึ้นเมื่อเราก้าวก่ายภารกิจของผู้อื่น เช่น การพยายามบังคับให้คนอื่นชื่นชมหรือยอมรับในสิ่งที่เราทำ ทั้งที่จริงแล้ว ภารกิจของเราคือการใช้ความรู้ความสามารถที่มีเพื่อสร้างประโยชน์ให้ผู้อื่น การมีส่วนร่วมของเราควรชัดเจนในตัวเอง โดยไม่ต้องการการยืนยันจากใคร

บางครั้งการมีส่วนร่วมที่ดีที่สุดอาจเป็นเพียงการรับฟังอย่างตั้งใจ การให้กำลังใจ หรือแม้แต่การให้พื้นที่ผู้อื่นได้เติบโตด้วยตัวเอง ยิ่งเราทุ่มเทกับการเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นมากเท่าไร เราจะยิ่งพบความสุขที่แท้จริงและยั่งยืนมากขึ้นเท่านั้น เพราะความสุขที่แท้จริงเกิดจากความรู้สึกว่าได้มีส่วนร่วมในการสร้างคุณค่าให้กับผู้อื่น

เมื่อเรารู้ว่าได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างดีที่สุดแล้ว เราก็ไม่ต้องกังวลว่าใครจะคิดอย่างไรกับเรา นี่คือสิ่งที่ Kishimi และ Koga เรียกว่า “ความกล้าที่จะถูกเกลียด” ซึ่งเป็นอิสรภาพขั้นสูงสุดที่จะปลดปล่อยเราจากความทุกข์ทั้งปวง และนำพาเราไปสู่ความสุขที่แท้จริงและยั่งยืน

การเดินทางสู่ความสุขที่แท้จริงอาจไม่ใช่เส้นทางที่ง่าย แต่ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องและความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง เราทุกคนสามารถก้าวผ่านความกลัวและความทุกข์ไปสู่ชีวิตที่มีความหมายและเต็มเปี่ยมด้วยความสุขได้ในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

References :
หนังสือ The Courage to Be Disliked: How to Free Yourself, Change your Life and Achieve Real Happiness โดย Ichiro Kishimi, Fumitake Koga

Geek Life EP112 : หยุดคิดว่าตัวเองไม่เก่ง! บทเรียนจากโค้ชผู้สร้างแชมป์ ทำไมคนเก่งถึงพ่ายแพ้ให้คนมั่นใจ

ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาของการเป็นโค้ชฟุตบอลในระดับมหาวิทยาลัย Dr. Ivan Joseph ได้พบเจอกับความท้าทายและบทเรียนมากมายที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ทั้งในสนามกีฬาและในชีวิตจริง หลังจากที่ทีมของเขาประสบความสำเร็จในการคว้าแชมป์ระดับประเทศ

หลายคนมักเข้าใจผิดว่านักกีฬามากมายอยากเข้าร่วมทีมเพราะชื่อเสียงของทีมเขา แต่ความจริงแล้วแรงจูงใจหลักคือทุนการศึกษามูลค่า 25,000 ดอลลาร์ต่อปี ซึ่งเป็นโอกาสที่จะช่วยให้พวกเขาได้รับการศึกษาที่ดีควบคู่ไปกับการพัฒนาทักษะด้านกีฬา

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/4jekmy7j

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/yttz8pex

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/5RNQzY_60bA

หยุดคิดว่าตัวเองไม่เก่ง! บทเรียนจากโค้ชผู้สร้างแชมป์ ทำไมคนเก่งถึงพ่ายแพ้ให้คนมั่นใจ

ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาของการเป็นโค้ชฟุตบอลในระดับมหาวิทยาลัย Dr. Ivan Joseph ได้พบเจอกับความท้าทายและบทเรียนมากมายที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ทั้งในสนามกีฬาและในชีวิตจริง หลังจากที่ทีมของเขาประสบความสำเร็จในการคว้าแชมป์ระดับประเทศ

หลายคนมักเข้าใจผิดว่านักกีฬามากมายอยากเข้าร่วมทีมเพราะชื่อเสียงของทีมเขา แต่ความจริงแล้วแรงจูงใจหลักคือทุนการศึกษามูลค่า 25,000 ดอลลาร์ต่อปี ซึ่งเป็นโอกาสที่จะช่วยให้พวกเขาได้รับการศึกษาที่ดีควบคู่ไปกับการพัฒนาทักษะด้านกีฬา

การพูดคุยกับผู้ปกครองในแต่ละฤดูกาลทำให้ Joseph ได้เห็นภาพที่ชัดเจนว่า หลายครอบครัวยังคงให้ความสำคัญกับทักษะทางกายภาพมากเกินไป โดยมองข้ามปัจจัยสำคัญที่จะทำให้นักกีฬาประสบความสำเร็จในระยะยาว

เมื่อผู้ปกครองเข้ามาถามเขาว่า “ลูกของผมอยากมาเล่นให้ทีมของคุณ เราควรต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง? คุณกำลังมองหาคุณสมบัติแบบไหน?” ด้วยแนวทางการสอนแบบ Socratic ที่ทาง Joseph ยึดถือมาตลอด เขามักจะย้อนถามกลับไปว่า “ลูกของคุณมีความโดดเด่นในด้านใด?”

การตอบคำถามของผู้ปกครองส่วนใหญ่สะท้อนให้เห็นถึงค่านิยมในสังคมที่มักให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ที่จับต้องได้มากกว่าการพัฒนาทักษะด้านจิตใจ

ผู้ปกครองส่วนใหญ่มักจะยกย่องความสามารถทางกายภาพและทักษะการเล่น เช่น ลูกชายมีวิสัยทัศน์ดี มองเกมออก สามารถอ่านเกมและคาดการณ์สถานการณ์ได้อย่างแม่นยำ หรือลูกสาววิ่งเร็วที่สุดในทีม ไม่มีใครสามารถไล่ตามทัน หรือลูกชายเตะบอลด้วยเท้าซ้ายได้อย่างแม่นยำ เล่นลูกกลางอากาศเก่ง

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ทักษะเหล่านี้กลับเป็นสิ่งสุดท้ายที่ Joseph ให้ความสำคัญในการพิจารณารับนักกีฬาเข้าทีม เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมา เขาพบว่าทักษะทางกายภาพสามารถพัฒนาได้ด้วยการฝึกฝน แต่สิ่งที่ยากกว่านั้นคือการสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง

ความเชื่อมั่นในตนเองคือหัวใจสำคัญของการพัฒนาตนเอง ไม่เพียงแต่ในวงการกีฬา แต่รวมถึงในทุกแง่มุมของชีวิต เปรียบเสมือนรากฐานที่จะช่วยค้ำจุนให้ความสามารถด้านอื่นๆ เติบโตและแข็งแกร่งขึ้น

การขาดความเชื่อมั่นในตนเองเปรียบเสมือนการสร้างบ้านบนทรายที่ไม่มั่นคง ไม่ว่าคุณจะมีทักษะยอดเยี่ยมเพียงใด แต่หากขาดความเชื่อมั่น ทุกอย่างก็อาจพังทลายลงได้ในพริบตา

Dr. Albert Bandura นักจิตวิทยาชื่อดังได้ศึกษาและพบว่า ความเชื่อมั่นในตนเอง หรือที่เขาเรียกว่า “Self-efficacy” มีผลโดยตรงต่อการตัดสินใจ แรงจูงใจ และความพยายามที่บุคคลจะทุ่มเทให้กับเป้าหมาย บุคคลที่มีความเชื่อมั่นในตนเองสูงมักจะตั้งเป้าหมายที่ท้าทายและพยายามอย่างหนักเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น แม้จะเผชิญกับอุปสรรคก็ตาม

การสร้างความเชื่อมั่นในตนเองเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความอดทนและความทุ่มเท เปรียบเสมือนการสร้างกล้ามเนื้อที่ต้องฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ

หลายคนมักจะบอกว่า “ฉันเป็นคนขี้อาย ฉันคงทำไม่ได้หรอก” แต่นั่นคือความเข้าใจผิดที่อันตราย เพราะความเชื่อมั่นเป็นทักษะที่สามารถพัฒนาได้เช่นเดียวกับทักษะอื่นๆ

Malcolm Gladwell ในหนังสือ “Outliers: The Story of Success” ได้นำเสนอแนวคิดเรื่องกฎ 10,000 ชั่วโมง ซึ่งกล่าวว่าการจะเชี่ยวชาญในทักษะใดๆ ต้องใช้เวลาฝึกฝนประมาณ 10,000 ชั่วโมง

แนวคิดนี้สอดคล้องกับประสบการณ์จริงที่ Joseph ได้พบเห็นในการโค้ชนักกีฬา ตัวอย่างที่ชัดเจนคือกรณีของผู้รักษาประตูจาก Colombia ที่เมื่อเริ่มต้นมาเล่นในทีม เขาแทบจะจับบอลไม่อยู่เลย ทักษะพื้นฐานยังต้องปรับปรุงอีกมาก แต่สิ่งที่ทำให้ Joseph ประทับใจคือความมุ่งมั่นของเขา

ทุกวัน เขาจะมาซ้อมก่อนเพื่อนร่วมทีมและกลับบ้านเป็นคนสุดท้าย การฝึกซ้อมวันละ 350 ครั้ง ต่อเนื่องเป็นเวลา 8 เดือน ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ด้วยความเชื่อมั่นว่าตนเองสามารถพัฒนาได้ ในที่สุดเขาก็ได้รับโอกาสไปเล่นในยุโรป นี่คือตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าความเชื่อมั่นในตนเองเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จ

การพัฒนาความเชื่อมั่นในตนเองยังเกี่ยวข้องกับการสื่อสารภายในจิตใจ หรือที่นักจิตวิทยาเรียกว่า “Self-talk” เสียงที่ดังอยู่ในหัวของเราคือตัวกำหนดทิศทางของความคิดและการกระทำ

Muhammad Ali เป็นตัวอย่างที่ดีในการใช้คำพูดเชิงบวกกับตนเอง เมื่อเขาประกาศว่า “I am the greatest!” นั่นไม่ใช่เพียงคำโอ้อวด แต่เป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับตนเอง เป็นการตอกย้ำความสามารถและศักยภาพที่มีอยู่ในตัว

Dr. Carol Dweck จาก Stanford University ได้ทำการวิจัยและพบว่า บุคคลที่มี Growth Mindset หรือความเชื่อว่าความสามารถสามารถพัฒนาได้ มักจะประสบความสำเร็จมากกว่าผู้ที่มี Fixed Mindset หรือเชื่อว่าความสามารถเป็นสิ่งตายตัว การสร้างความเชื่อมั่นในตนเองจึงเริ่มต้นจากการเปลี่ยนแปลงมุมมองที่มีต่อความสามารถของตนเอง

การสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้อื่นเป็นอีกทักษะสำคัญที่ต้องฝึกฝน การมองหาจุดดีและให้คำชมเชยอย่างจริงใจจะช่วยสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการพัฒนาความเชื่อมั่น

ผู้ที่มีความเชื่อมั่นในตนเองจะสามารถมองสถานการณ์ต่างๆ ในแง่บวกและเรียนรู้จากความผิดพลาดได้ดี พวกเขามักจะมองความล้มเหลวเป็นโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนา ไม่ใช่จุดจบของความพยายาม

ประสบการณ์ในการเป็นโค้ชสอน Joseph ว่าการสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการพัฒนาความเชื่อมั่นเป็นสิ่งสำคัญ เราต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ที่ผู้คนกล้าที่จะลองผิดลองถูก กล้าที่จะทำผิดพลาด และเรียนรู้จากความผิดพลาดนั้น

โดยในทีมของเขา แทบไม่เคยลงโทษนักกีฬาที่พยายามทำสิ่งใหม่ๆ แม้จะล้มเหลวก็ตาม เพราะนั่นคือส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้และพัฒนา

สุดท้ายแล้วความเชื่อมั่นในตนเองเปรียบเสมือนเข็มทิศที่จะนำทางเราไปสู่ความสำเร็จ ไม่มีใครจะเชื่อในตัวคุณได้ถ้าคุณไม่เชื่อในตัวเองก่อน และเมื่อคุณกล้าที่จะแตกต่าง กล้าที่จะยืนหยัดในความเชื่อของตนเอง นั่นคือจุดเริ่มต้นของการสร้างตัวตนที่แท้จริงของคุณ

References :
The skill of self confidence | Dr. Ivan Joseph | TEDxRyersonU
https://youtu.be/w-HYZv6HzAs?si=zWSXFRpO2BBMkdLv