รู้เท่าทันใจ ชนะทุกอย่าง : เหนือกว่าความสำเร็จ วิธีสร้างชีวิตที่มีความหมายในโลกอันแสนวุ่นวาย

ในทุกวันนี้ เราทุกคนต่างแสวงหาหนทางสู่ชีวิตที่มีความสุขและมีความหมายมากขึ้น แต่บ่อยครั้งเราก็มองข้ามกุญแจสำคัญที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด นั่นคือความเชื่อมโยงระหว่างร่างกายและจิตใจของตัวเราเอง

เป็นอีกหนึ่ง speech ที่ทรงพลังมาก ๆ จาก Sadhguru Jagadish “Jaggi” Vasudev หรือที่รู้จักกันในชื่อ “สัธคุรุ” (Sadhguru) เป็น “คุรุ” หรือผู้นำทางจิตวิญญาณชาวอินเดีย เป็นผู้ทรงอิทธิพลทางความคิด มีชื่อเสียงในด้านการสอนโยคะ เป็นผู้เขียนหนังสือหลายเล่มและเป็นวิทยากรประจำในฟอรัมระหว่างประเทศและรายการโทรทัศน์ยอดนิยมเกี่ยวกับเรื่องจิตวิญญาณ และประเด็นระดับโลกอื่น ๆ มากมาย

เขาได้กล่าวว่า การที่มนุษย์เราสามารถตระหนักรู้ได้ถึงท่าทางของร่างกาย การหายใจ การเคลื่อนไหว รวมถึงความคิดและอารมณ์ของเรา เป็นก้าวแรกสู่การเข้าใจตนเองอย่างลึกซึ้ง เพราะเราทุกคนมีความสามารถในการตระหนักรู้และใช้สติปัญญาเหล่านี้ แต่ส่วนใหญ่เรามักหมกมุ่นอยู่กับโลกภายนอก ทำให้ละเลยการพัฒนาโลกภายในของเราเอง

ในยุคปัจจุบัน เราอาจภูมิใจว่าเป็นคนรุ่นที่มีความสะดวกสบายที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราเป็นคนรุ่นที่มีความสุขที่สุด ความสะดวกสบายทางวัตถุอาจช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น แต่ไม่ได้รับประกันความสุขที่แท้จริง เพราะประสบการณ์ชีวิตของมนุษย์นั้นเกิดขึ้นจากภายใน (จิตใจ)

เราได้พัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อจัดการกับโลกภายนอกอย่างมากมาย แต่กลับละเลยการพัฒนาวิธีการจัดการกับโลกภายในจิตใจของเรา

ระบบการศึกษาของเราตั้งแต่ระดับอนุบาลเน้นการเรียนรู้เกี่ยวกับโลกภายนอก แต่แทบไม่มีการสอนเกี่ยวกับการทำความเข้าใจตนเอง ทั้งที่ประสบการณ์ชีวิตของเราล้วนเกิดขึ้นภายในตัวเราเอง

เราอาจสังเกตเห็นว่าในสถานการณ์เดียวกัน บางคนสนุกสนานเพลิดเพลิน ในขณะที่บางคนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส นี่แสดงให้เห็นว่าความสุขหรือทุกข์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ภายนอกแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับวิธีที่เรารับมือกับมันด้วย

มนุษย์เรามักแสวงหาความสุขจากภายนอก บ้างก็สร้างภาพสวรรค์ในอุดมคติ หวังว่าจะได้พบกับความสุขในโลกหน้า แต่ความจริงแล้ว เราแทบจะอยู่ในสวรรค์กันแล้ว โลกนี้คือสถานที่ที่ดีที่สุดที่เรารู้จัก เมื่อเทียบกับดาวเคราะห์อื่น ๆ ที่เราค้นพบ แต่ทำไมเราถึงยังทุกข์ทรมานอยู่? คำตอบอยู่ที่การจัดการกับตัวเราเอง

มนุษย์แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ตรงที่เราไม่ได้ถูกกำหนดขอบเขตชีวิตไว้อย่างตายตัว เรามีอิสระในการเลือกและสร้างชีวิตของเราเอง แต่อิสรภาพนี้ก็มาพร้อมกับความท้าทาย เราต้องเรียนรู้ที่จะจัดการกับความสามารถของตัวเองให้ได้ เหมือนกับการได้รับคอมพิวเตอร์ที่โครตแรง แต่แทบไม่เคยอ่านคู่มือการใช้งานมัน

ความทุกข์ส่วนใหญ่ของเราไม่ได้มาจากภายนอก แต่เป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นเอง เราทุกข์เพราะไม่สามารถควบคุมความคิดและอารมณ์ของตัวเองได้ เราสามารถทุกข์กับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว หรือกังวลกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นในอนาคต นี่แสดงให้เห็นว่าเราไม่ได้ทุกข์จากชีวิตจริง แต่ทุกข์จากความทรงจำและจินตนาการของเราเอง

ความทรงจำที่ชัดเจนและจินตนาการอันล้ำเลิศถือเป็นความสามารถพิเศษของมนุษย์ที่สิ่งมีชีวิตอื่นไม่มี แต่หากเราใช้มันอย่างไม่ถูกต้อง มันก็กลายเป็นแหล่งกำเนิดของความทุกข์ได้ เราต้องเรียนรู้ที่จะใช้ความสามารถเหล่านี้อย่างชาญฉลาด

การตระหนักรู้ถึงความสามารถของเราและการฝึกฝนที่จะใช้มันอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นกุญแจสำคัญสู่การยกระดับคุณภาพชีวิต เราต้องเริ่มจากการทำความเข้าใจตัวเอง ก่อนที่จะพยายามเปลี่ยนแปลงโลกภายนอก

ในยุคปัจจุบัน เราได้เห็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการสื่อสารที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่เราสามารถเชื่อมต่อกับผู้คนทั่วโลกได้อย่างง่ายดาย ซึ่งเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่เราจะร่วมกันสร้างการเปลี่ยนแปลงในระดับโลก

แต่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงต้องเริ่มจากภายใน เราต้องยอมรับความแตกต่างของแต่ละคน และหาจุดร่วมที่จะทำงานร่วมกันได้ แทนที่จะพยายามบังคับให้ทุกคนคิดเหมือนกันหรือเป็นเหมือนกัน เราควรมุ่งเน้นไปที่เป้าหมายร่วมกัน เช่น การมีสุขภาพที่ดี การมีชีวิตที่มีความสุขและความสงบ

การยกระดับจิตสำนึกของมนุษย์เป็นสิ่งสำคัญในยุคนี้ เมื่อความต้องการพื้นฐานทางกายภาพได้รับการตอบสนองดีกว่าที่เคยเป็นมา เราควรใช้โอกาสนี้ในการพัฒนาด้านจิตใจของเรา

เราทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในการยกระดับจิตสำนึกของมนุษยชาติได้ โดยเริ่มจากตัวเราเอง และขยายวงกว้างออกไปสู่ครอบครัว ชุมชน และสังคม สิ่งสำคัญคือการโฟกัสไปที่ความเป็นอยู่ที่ดีของตัวเองและผู้อื่น แม้แต่กับคนที่เราอาจไม่ชอบหรือไม่เห็นด้วยก็ตาม

ในท้ายที่สุด การเปลี่ยนแปลงโลกเริ่มต้นจากการเปลี่ยนแปลงตัวเอง เมื่อเราเข้าใจและจัดการกับโลกภายใน (จิตใจ) ของเราได้ดีขึ้น เราก็จะสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อโลกภายนอกได้มากขึ้นเช่นกัน นี่คือก้าวสำคัญสู่การสร้างโลกที่ดีกว่าสำหรับทุกคน

References :
Sadhguru । 20 Minutes for the NEXT 20 Years of Your LIFE
https://youtu.be/FT45NmuY_Y4?si=S7WPU-aGe5BACWUM

Geek Life EP35 : ความล้มเหลวไม่ใช่จุดจบ How to Fail เปลี่ยนความล้มเหลวให้เป็นโอกาส

คุณเคยรู้สึกว่าตัวเองล้มเหลวในชีวิตไหม? คุณกำลังดิ้นรนกับความผิดหวังและอุปสรรคอยู่หรือเปล่า? ถ้าเป็นเช่นนั้น หนังสือ “How to Fail” อาจเป็นคำตอบที่คุณกำลังมองหา

Elizabeth Day ได้นำเสนอมุมมองที่ลึกซึ้งและตรงไปตรงมาเกี่ยวกับความล้มเหลว เธอเผยให้เห็นถึงพลังที่ซ่อนอยู่และศักยภาพในการเติบโตที่สามารถเกิดขึ้นได้จากการยอมรับข้อผิดพลาดและข้อบกพร่องของเรา

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/yckhykse

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/4yxx8npn

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/2XhEXPX0VfA

Geek Life EP25 : เยียวยาตัวเอง เปลี่ยนชีวิต เปลี่ยนบาดแผลเป็นพลัง บทเรียนจากหนังสือ ‘How to Do the Work’

ในโลกที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและความเครียด การดูแลสุขภาพจิตและร่างกายของเราเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง แต่บ่อยครั้งที่เราละเลยความสำคัญของการเยียวยาตนเอง Nicole LePera นักจิตวิทยาคลินิกและผู้เขียนหนังสือ “How to Do the Work” ได้แบ่งปันประสบการณ์ส่วนตัวและความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับการเยียวยาตนเองในหนังสือเล่มนี้

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/mt72z54b

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/2f4x4few

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/pSobZfil71I

Geek Life EP15 : วงแหวนแห่งการเติบโต เมื่อความสบายใจอาจฆ่าคุณ เรียนรู้วิธีเติบโตจากความไม่สบายใจ

ในชีวิตของเรา มักมีช่วงเวลาที่เราต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนและความท้าทาย แต่น้อยคนนักที่จะมองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นโอกาสในการเติบโต

เป็นข้อมูลที่น่าสนใจจาก Bill Eckstrom ผู้ประกอบการ นักเขียน วิทยากร ชื่อดัง ที่มาพูดไว้บนเวที TEDxUniversityofNevada เกี่ยวกับเรื่องราวที่จะทำให้เรามองโลกในแง่มุมใหม่ ในเรื่องพลังของความไม่สบายใจที่สามารถผลักดันให้เราก้าวไปข้างหน้าได้อย่างไม่น่าเชื่อ

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/2bffcwr3

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/32ennta2

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/vjPeuXLqmuw

เยียวยาตัวเอง เปลี่ยนชีวิต : เปลี่ยนบาดแผลเป็นพลัง กับบทเรียนจากหนังสือ ‘How to Do the Work’

ในโลกที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและความเครียด การดูแลสุขภาพจิตและร่างกายของเราเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง แต่บ่อยครั้งที่เราละเลยความสำคัญของการเยียวยาตนเอง Nicole LePera นักจิตวิทยาคลินิกและผู้เขียนหนังสือ “How to Do the Work” ได้แบ่งปันประสบการณ์ส่วนตัวและความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับการเยียวยาตนเองในหนังสือเล่มนี้

LePera เริ่มต้นเรื่องราวด้วยการเล่าถึงจุดวิกฤตในชีวิตของเธอ เมื่อร่างกายส่งสัญญาณเตือนอย่างหนัก ทั้งปัญหาลำไส้เรื้อรัง อาการปวดหัวตลอดเวลา และการเป็นลมโดยไม่ทราบสาเหตุ นอกจากนี้ เธอยังรู้สึกมึนงงและวิตกกังวลอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าเธอจะใช้ยาต้านซึมเศร้าและยาแก้ปวด แต่การรักษาด้วยยาและการบำบัดแบบดั้งเดิมก็ไม่ได้ผล

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อ LePera ตัดสินใจเริ่มต้นการเดินทางเพื่อเยียวยาตัวเอง เธอขยายขอบเขตการปฏิบัติงานในฐานะนักจิตวิทยา โดยผสมผสานองค์ประกอบทางร่างกายและจิตใจ และใช้วิธีการแบบองค์รวมในการดูแลสุขภาพอย่างแท้จริง

การตัดสินใจครั้งนี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของเธอ และเป็นแรงบันดาลใจให้เธอแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ผ่านหนังสือเล่มนี้

LePera เน้นย้ำว่าการเยียวยาจิตใจและร่างกายต้องดำเนินไปพร้อมกัน เธออธิบายว่าเรื่องจิตใจและร่างกายที่คนส่วนใหญ่เชื่อว่าทั้งสองส่วนแยกออกจากกันโดยสิ้นเชิงนั้นล้าสมัยแล้ว

งานวิจัยล่าสุดแสดงให้เห็นว่าสุขภาพลำไส้มีอิทธิพลอย่างมากต่อสุขภาพจิตของเรา และแม้แต่โรคร้ายแรงที่เราเชื่อว่าถูกกำหนดโดยพันธุกรรมก็ยังได้รับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมของเราด้วย

จิตวิทยาแบบองค์รวมที่ LePera นำเสนอนั้นมุ่งเน้นที่การสำรวจว่าผู้คนจะสามารถฝึกการเยียวยาตนเองผ่านประสบการณ์ชีวิตและสถานการณ์เฉพาะของตนได้อย่างไร โดยไม่ละเลยความจริงที่ว่าบาดแผลทางใจบางอย่างเกิดจากการกดขี่เชิงระบบ

เธอยกตัวอย่างเรื่องราวของ Jessica ผู้หญิงที่กำลังจะแต่งงานแต่ใช้ชีวิตเหมือนอยู่บนรถไฟเหาะ เชื่อทุกอย่างที่ความคิดบอกโดยไม่ไตร่ตรอง Jessica เริ่มฝึกโยคะเพื่อสำรวจรูปแบบความคิดของตัวเอง ซึ่งช่วยให้เธอตอบสนองต่อสิ่งต่าง ๆ น้อยลงและมีสติมากขึ้น

LePera ชี้ให้เห็นว่าการฝึกสติสามารถเริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น การให้ความสนใจกับประสาทสัมผัสของเราขณะเดินบนทางเท้า หรือสังเกตสิ่งรอบตัวอย่างมีสติ วิธีการเหล่านี้ช่วยให้เราเชื่อมโยงกับตัวเองและโลกรอบตัวได้ดีขึ้น

อีกประเด็นสำคัญที่ LePera กล่าวถึงคือการระบุและเยียวยาบาดแผลทางใจในวัยเด็ก เธอแบ่งปันประสบการณ์ส่วนตัวว่าเธอรู้สึกเหมือนแยกตัวออกมาตลอดช่วงวัยเด็กและวัยผู้ใหญ่ตอนต้น เพราะรู้สึกว่าถูกกดดันและไร้ซึ่งอำนาจ เธอไม่สามารถแสดงความรู้สึกและไม่รู้สึกว่าตัวเองมีตัวตน จึงหลบเข้าไปอยู่ในโลกที่เธอสร้างขึ้นเอง

LePera อธิบายว่าบาดแผลทางใจในวัยเด็กสามารถส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพจิตของเราในภายหลัง เด็กที่ถูกพ่อแม่เพิกเฉยมักจะแยกตัวออกมาหรือแสดงพฤติกรรมเพื่อเรียกร้องความสนใจ บาดแผลทางใจในวัยเด็กอาจเกิดจากพ่อแม่ที่ไม่มีความเข้าใจเรื่องความเป็นส่วนตัว และมักจะล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวของลูก และแบ่งปันข้อมูลที่ไม่เหมาะสมกับลูก สิ่งนี้ทำให้เด็กรู้สึกแปลกแยกจากสัญชาตญาณและตัวตนที่แท้จริงของตนเอง

เมื่อเรารับรู้ถึงภัยคุกคามต่อการอยู่รอด สมองส่วนที่เกี่ยวกับความกลัวจะทำงานและสั่งให้ระบบประสาทอัตโนมัติเปลี่ยนเป็นโหมดเอาตัวรอด ผู้ที่เคยประสบบาดแผลทางใจบางครั้งอาจรับรู้ภัยคุกคามไปทั่วทุกหนแห่ง แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในอันตรายจริง ๆ

LePera อธิบายว่าเมื่อเราเครียดเรื้อรัง สมองจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลเข้าสู่ร่างกาย ส่งผลให้คนรอบข้างดูน่ากลัวมากขึ้น ซึ่งระบบเอาตัวรอดของเราจะเป็นระบบอัตโนมัติที่เราไม่สามารถปิดได้เอง แต่ LePera เสนอวิธีการบางอย่างที่เราสามารถทำได้เพื่อให้ร่างกายสงบลง เช่น การควบคุมการหายใจ การหายใจลึก ๆ เข้าท้องเมื่อเราเครียดจะช่วยให้ร่างกายสงบลงทันที

นอกจากนี้ การออกกำลังกายยังช่วยปลดปล่อยฮอร์โมนแห่งความสุขเข้าสู่กระแสเลือด ซึ่งเป็นเหตุผลที่คนที่ออกกำลังกายมีโอกาสเป็นโรคหัวใจหรือภาวะสมองเสื่อมน้อยกว่า

LePera ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และอาหารหมัก ซึ่งจะช่วยดูแลสุขภาพลำไส้ของเรา เนื่องจากสุขภาพจิตของเรามีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับสุขภาพลำไส้

หนึ่งในแนวคิดสำคัญที่ LePera นำเสนอคือ “re-parenting” ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนความเชื่อหลักของเราได้ เธออธิบายว่าความเชื่อหลักในแง่ลบ เช่น “ฉันไม่มีความสำคัญ” หรือ “ไม่มีใครสนใจฉัน” มักเกิดขึ้นในวัยเด็กและกลายมาเป็นตัวกำหนดวิธีที่เรามองตัวเองในอนาคต

LePera อธิบายว่าสมองของเราเป็นเครื่องจักรที่ทรงพลัง คอยกลั่นกรองข้อมูลและสิ่งเร้าจากโลกภายนอก เมื่อเรามีความเชื่อหลักในแง่ลบ สมองของเราจะเลือกหลักฐานที่สนับสนุนความเชื่อนั้น ซึ่งเรียกว่า อคติยืนยันความเชื่อของตน (confirmation bias) ความเชื่อหลักในแง่ลบสามารถส่งผลกระทบต่อทุกด้านของชีวิตเรา ทั้งในเรื่องการทำงาน ความสัมพันธ์ และความมั่นใจในตัวเอง

LePera เสนอว่า “re-parenting” เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการปรับเปลี่ยนความเชื่อหลักของเรา โดยเริ่มจากการตระหนักถึงความเชื่อหลักในแง่ลบและทำทุกวิถีทางเพื่อเยียวยา เราสามารถเริ่มเปลี่ยนแปลงวิธีคิดและมองโลกของเราได้ เธอแนะนำให้เราย้อนกลับไปที่ต้นตอของความเชื่อเหล่านี้ ซึ่งโดยปกติแล้วมักก่อตัวขึ้นเมื่อเรายังเด็กมาก

LePera แนะนำให้เราเชื่อมโยงกับความเป็นเด็กในตัวเรา โดยให้พิจารณาว่าเราเป็นอย่างไรตอนเด็ก เธออธิบายว่าวัยเด็กในตัวเรามักแบกรับบาดแผลจากความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูก โดยอ้างอิงทฤษฎีความผูกพัน (Attachment Theory) ที่ชี้ให้เห็นว่าเมื่อเด็กรู้สึกมั่นคงในสายสัมพันธ์กับพ่อแม่ เด็กจะสามารถพัฒนาความสามารถในการปรับสภาวะอารมณ์ (emotional resilience) ตลอดจนความมั่นใจในการสำรวจโลกอย่างอิสระจากพ่อแม่ได้

อย่างไรก็ตาม LePera ชี้ให้เห็นว่าเมื่อพ่อแม่ไม่พร้อมหรือไม่แสดงความรักอย่างสม่ำเสมอ เด็กจะเริ่มรู้สึกสิ้นหวัง หรือในทางตรงกันข้าม พวกเขาอาจปิดกั้นตัวเองและหยุดการเชื่อมต่อกับผู้อื่น ในช่วงที่เปราะบางนี้เองที่จะส่งผลต่อพฤติกรรมและความสัมพันธ์ของเราในอนาคต

LePera เสนอว่าหนึ่งในวิธีที่ทรงพลังที่สุดในการเยียวยาบาดแผลเหล่านี้คือ “re-parenting” เธออธิบายว่าเมื่อคุณกลับมาใช้วิธีเลี้ยงดูตัวเองใหม่ คุณจะใช้วินัยที่เปี่ยมไปด้วยความรักโดยการให้คำมั่นสัญญาเล็ก ๆ น้อย ๆ กับตัวเองและรักษาสัญญาเหล่านั้น นอกจากนี้ การให้ความสำคัญกับการดูแลตนเองและการควบคุมอารมณ์ก็เป็นส่วนสำคัญของกระบวนการนี้

LePera อธิบายว่าหลายคนในพวกเราเติบโตมาในครอบครัวที่มองว่าการอยู่ร่วมกันเป็นรูปแบบสูงสุดของความรัก แต่ความสัมพันธ์ที่ดีต่อสุขภาพต้องมีขอบเขตที่ชัดเจน เธอแนะนำให้สร้างขอบเขต 3 ประเภท ได้แก่ ขอบเขตทางกายภาพ ขอบเขตด้านทรัพยากร และขอบเขตทางจิตใจและอารมณ์

การยืนยันขอบเขตส่วนตัวของคุณ ตามคำอธิบายของ LePera หมายถึงการสามารถสร้างพื้นที่สำหรับความรู้สึก ความคิดเห็น และความเชื่อของตัวเอง

อย่างไรก็ตาม เธอยอมรับว่าการสร้างและรักษาขอบเขตเหล่านี้อาจเป็นงานที่ยาก เธอแนะนำให้เตรียมตัวล่วงหน้าและควบคุมอารมณ์ของคุณให้ได้ก่อนที่จะสร้างขอบเขตเหล่านี้

LePera เน้นย้ำว่าการเยียวยาตนเองจะช่วยให้เรารายล้อมไปด้วยชุมชนที่เต็มไปด้วยความรักและการสนับสนุน แต่เธอเตือนว่าเมื่อคุณเปลี่ยนแปลงสถานะเดิมในความสัมพันธ์ของคุณ เช่นความสัมพันธ์กับครอบครัวหรือความสัมพันธ์กับเพื่อน คุณก็เสี่ยงที่จะถูกครอบครัวและเพื่อนกีดกันออกไปได้เช่นเดียวกัน

เธออธิบายว่าเมื่อเราทุกข์ทรมานจากบาดแผลทางใจ ระบบเอาตัวรอดของเราจะทำให้เราอยู่ในภาวะเตรียมพร้อมตลอดเวลา ความสัมพันธ์ที่เรามีมักจะสะท้อนสภาวะภายในของเราที่อารมณ์ไม่มั่นคง

LePera เตือนว่า การสร้างความผูกพันอันเจ็บปวด (trauma bonds) กับผู้อื่นที่เคยประสบบาดแผลทางจิตใจคล้าย ๆ กันไม่ใช่สิ่งที่เติมเต็มหรือยืนยันตัวตนของเราอย่างแท้จริง แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เธอแนะนำให้เราสร้างความสัมพันธ์ที่สมดุลและเคารพซึ่งกันและกันมากกว่า

LePera แบ่งปันประสบการณ์ส่วนตัวว่าเธอตัดขาดการติดต่อกับครอบครัวที่ให้กำเนิดเพื่อเยียวยาบาดแผลทางใจในวัยเด็ก แม้ว่าการตัดสินใจนี้จะยากลำบาก แต่เธอเชื่อว่ามันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเยียวยาของเธอ

ภายหลังเธอสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับพวกเขาอีกครั้งบนพื้นฐานของความเคารพและความเข้าใจที่มากขึ้น นอกจากนี้ เธอยังสามารถเสริมสร้างความสัมพันธ์กับคู่ครองและเพื่อน ๆ ของเธอให้แข็งแกร่งขึ้นด้วย

ในบทสรุป LePera เน้นย้ำว่าการเยียวยาตนเองเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องและต้องใช้เวลา เธอกล่าวว่าไม่มีจุดสิ้นสุดของการเติบโตและการพัฒนาตนเอง แต่เราสามารถเรียนรู้ที่จะรักและยอมรับตัวเองมากขึ้นในทุก ๆ วัน ผ่านการปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอและความอดทน

เธอสรุปว่าการทำงานเพื่อเยียวยาตนเองไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เป็นสิ่งที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง เมื่อเราเยียวยาตัวเอง เราไม่เพียงแต่ปรับปรุงชีวิตของตัวเองเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบในเชิงบวกต่อคนรอบข้างและโลกรอบตัวเราด้วย

LePera เชื่อว่าการเยียวยาตนเองเป็นของขวัญที่เราสามารถมอบให้กับตัวเองและคนที่เรารัก และเป็นก้าวแรกสู่การสร้างโลกที่เต็มไปด้วยความเข้าใจและความเห็นอกเห็นใจมากขึ้น

หนังสือ “How to Do the Work” ของ Nicole LePera เป็นคู่มือที่ทรงพลังสำหรับทุกคนที่ต้องการเริ่มต้นการเดินทางสู่การเยียวยาตนเอง ด้วยการผสมผสานระหว่างความรู้ทางจิตวิทยา ประสบการณ์ส่วนตัว และเครื่องมือปฏิบัติ หนังสือเล่มนี้เปิดมุมมองใหม่เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพจิตและร่างกายแบบองค์รวม

ไม่ว่าคุณจะกำลังเผชิญกับความท้าทายทางอารมณ์ ความสัมพันธ์ที่ยากลำบาก หรือเพียงต้องการพัฒนาตนเองให้ดียิ่งขึ้น แนวคิดและวิธีการที่ LePera นำเสนอสามารถเป็นเข็มทิศนำทางในการเดินทางสู่การเยียวยาและการเติบโตส่วนบุคคลของคุณได้

การเยียวยาตนเองเป็นการเดินทางที่ท้าทายแต่คุ้มค่า ด้วยความมุ่งมั่น ความอดทน และความเมตตาต่อตนเอง เราทุกคนสามารถก้าวข้ามบาดแผลในอดีต สร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมาย และค้นพบความสุขและความสงบภายในได้ หนังสือของ LePera เป็นเครื่องเตือนใจว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้เสมอ และทุกก้าวเล็ก ๆ ที่เราทำเพื่อเยียวยาตนเองล้วนมีความสำคัญ

*** หมายเหตุ ***

re-parenting เป็นวิธีการทางจิตวิทยาที่ถูกคิดขึ้นมาตั้งแต่ช่วงปี 1960s โดยนักจิตบำบัดชื่อ ฌาคคี ลี ชิฟฟ์ (Jacqui Lee Schiff) โดยวิธีของเธอนั้นค่อนข้างสุดโต่งจนกลายเป็นข้อถกเถียงในแวดวงจิตวิทยา โดยเธอให้คนไข้ที่มีปมในวัยเด็กมาอาศัยอยู่กับเธอเป็นปีๆ เพื่อพูดคุย-จำลองสถานการณ์ในวัยเด็กและเลี้ยงดูพวกเขาใหม่จริงๆ ทั้งให้นอนหนุนตัก หรือลูบหัว แล้วพูดคุยปลอบโยน เพื่อหวังจะลบบาดแผลเก่าๆ ให้หายไป

References :
หนังสือ How to Do the Work: Recognize Your Patterns, Heal from Your Past, and Create Your Self โดย Dr. Nicole LePera
https://mirrorthailand.com/self/mind/100054
https://thedawnwellnesscentre.co.th/blog/trauma-bonding/
https://www.pobpad.com/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A2%E0%B8%B7%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%83%E0%B8%88-resilience