ในโลกที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและความเครียด การดูแลสุขภาพจิตและร่างกายของเราเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง แต่บ่อยครั้งที่เราละเลยความสำคัญของการเยียวยาตนเอง Nicole LePera นักจิตวิทยาคลินิกและผู้เขียนหนังสือ “How to Do the Work” ได้แบ่งปันประสบการณ์ส่วนตัวและความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับการเยียวยาตนเองในหนังสือเล่มนี้
LePera เริ่มต้นเรื่องราวด้วยการเล่าถึงจุดวิกฤตในชีวิตของเธอ เมื่อร่างกายส่งสัญญาณเตือนอย่างหนัก ทั้งปัญหาลำไส้เรื้อรัง อาการปวดหัวตลอดเวลา และการเป็นลมโดยไม่ทราบสาเหตุ นอกจากนี้ เธอยังรู้สึกมึนงงและวิตกกังวลอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าเธอจะใช้ยาต้านซึมเศร้าและยาแก้ปวด แต่การรักษาด้วยยาและการบำบัดแบบดั้งเดิมก็ไม่ได้ผล
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อ LePera ตัดสินใจเริ่มต้นการเดินทางเพื่อเยียวยาตัวเอง เธอขยายขอบเขตการปฏิบัติงานในฐานะนักจิตวิทยา โดยผสมผสานองค์ประกอบทางร่างกายและจิตใจ และใช้วิธีการแบบองค์รวมในการดูแลสุขภาพอย่างแท้จริง
การตัดสินใจครั้งนี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของเธอ และเป็นแรงบันดาลใจให้เธอแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ผ่านหนังสือเล่มนี้
LePera เน้นย้ำว่าการเยียวยาจิตใจและร่างกายต้องดำเนินไปพร้อมกัน เธออธิบายว่าเรื่องจิตใจและร่างกายที่คนส่วนใหญ่เชื่อว่าทั้งสองส่วนแยกออกจากกันโดยสิ้นเชิงนั้นล้าสมัยแล้ว
งานวิจัยล่าสุดแสดงให้เห็นว่าสุขภาพลำไส้มีอิทธิพลอย่างมากต่อสุขภาพจิตของเรา และแม้แต่โรคร้ายแรงที่เราเชื่อว่าถูกกำหนดโดยพันธุกรรมก็ยังได้รับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมของเราด้วย
จิตวิทยาแบบองค์รวมที่ LePera นำเสนอนั้นมุ่งเน้นที่การสำรวจว่าผู้คนจะสามารถฝึกการเยียวยาตนเองผ่านประสบการณ์ชีวิตและสถานการณ์เฉพาะของตนได้อย่างไร โดยไม่ละเลยความจริงที่ว่าบาดแผลทางใจบางอย่างเกิดจากการกดขี่เชิงระบบ
เธอยกตัวอย่างเรื่องราวของ Jessica ผู้หญิงที่กำลังจะแต่งงานแต่ใช้ชีวิตเหมือนอยู่บนรถไฟเหาะ เชื่อทุกอย่างที่ความคิดบอกโดยไม่ไตร่ตรอง Jessica เริ่มฝึกโยคะเพื่อสำรวจรูปแบบความคิดของตัวเอง ซึ่งช่วยให้เธอตอบสนองต่อสิ่งต่าง ๆ น้อยลงและมีสติมากขึ้น
LePera ชี้ให้เห็นว่าการฝึกสติสามารถเริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น การให้ความสนใจกับประสาทสัมผัสของเราขณะเดินบนทางเท้า หรือสังเกตสิ่งรอบตัวอย่างมีสติ วิธีการเหล่านี้ช่วยให้เราเชื่อมโยงกับตัวเองและโลกรอบตัวได้ดีขึ้น
อีกประเด็นสำคัญที่ LePera กล่าวถึงคือการระบุและเยียวยาบาดแผลทางใจในวัยเด็ก เธอแบ่งปันประสบการณ์ส่วนตัวว่าเธอรู้สึกเหมือนแยกตัวออกมาตลอดช่วงวัยเด็กและวัยผู้ใหญ่ตอนต้น เพราะรู้สึกว่าถูกกดดันและไร้ซึ่งอำนาจ เธอไม่สามารถแสดงความรู้สึกและไม่รู้สึกว่าตัวเองมีตัวตน จึงหลบเข้าไปอยู่ในโลกที่เธอสร้างขึ้นเอง
LePera อธิบายว่าบาดแผลทางใจในวัยเด็กสามารถส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพจิตของเราในภายหลัง เด็กที่ถูกพ่อแม่เพิกเฉยมักจะแยกตัวออกมาหรือแสดงพฤติกรรมเพื่อเรียกร้องความสนใจ บาดแผลทางใจในวัยเด็กอาจเกิดจากพ่อแม่ที่ไม่มีความเข้าใจเรื่องความเป็นส่วนตัว และมักจะล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวของลูก และแบ่งปันข้อมูลที่ไม่เหมาะสมกับลูก สิ่งนี้ทำให้เด็กรู้สึกแปลกแยกจากสัญชาตญาณและตัวตนที่แท้จริงของตนเอง
เมื่อเรารับรู้ถึงภัยคุกคามต่อการอยู่รอด สมองส่วนที่เกี่ยวกับความกลัวจะทำงานและสั่งให้ระบบประสาทอัตโนมัติเปลี่ยนเป็นโหมดเอาตัวรอด ผู้ที่เคยประสบบาดแผลทางใจบางครั้งอาจรับรู้ภัยคุกคามไปทั่วทุกหนแห่ง แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในอันตรายจริง ๆ
LePera อธิบายว่าเมื่อเราเครียดเรื้อรัง สมองจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลเข้าสู่ร่างกาย ส่งผลให้คนรอบข้างดูน่ากลัวมากขึ้น ซึ่งระบบเอาตัวรอดของเราจะเป็นระบบอัตโนมัติที่เราไม่สามารถปิดได้เอง แต่ LePera เสนอวิธีการบางอย่างที่เราสามารถทำได้เพื่อให้ร่างกายสงบลง เช่น การควบคุมการหายใจ การหายใจลึก ๆ เข้าท้องเมื่อเราเครียดจะช่วยให้ร่างกายสงบลงทันที
นอกจากนี้ การออกกำลังกายยังช่วยปลดปล่อยฮอร์โมนแห่งความสุขเข้าสู่กระแสเลือด ซึ่งเป็นเหตุผลที่คนที่ออกกำลังกายมีโอกาสเป็นโรคหัวใจหรือภาวะสมองเสื่อมน้อยกว่า
LePera ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และอาหารหมัก ซึ่งจะช่วยดูแลสุขภาพลำไส้ของเรา เนื่องจากสุขภาพจิตของเรามีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับสุขภาพลำไส้
หนึ่งในแนวคิดสำคัญที่ LePera นำเสนอคือ “re-parenting” ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนความเชื่อหลักของเราได้ เธออธิบายว่าความเชื่อหลักในแง่ลบ เช่น “ฉันไม่มีความสำคัญ” หรือ “ไม่มีใครสนใจฉัน” มักเกิดขึ้นในวัยเด็กและกลายมาเป็นตัวกำหนดวิธีที่เรามองตัวเองในอนาคต
LePera อธิบายว่าสมองของเราเป็นเครื่องจักรที่ทรงพลัง คอยกลั่นกรองข้อมูลและสิ่งเร้าจากโลกภายนอก เมื่อเรามีความเชื่อหลักในแง่ลบ สมองของเราจะเลือกหลักฐานที่สนับสนุนความเชื่อนั้น ซึ่งเรียกว่า อคติยืนยันความเชื่อของตน (confirmation bias) ความเชื่อหลักในแง่ลบสามารถส่งผลกระทบต่อทุกด้านของชีวิตเรา ทั้งในเรื่องการทำงาน ความสัมพันธ์ และความมั่นใจในตัวเอง
LePera เสนอว่า “re-parenting” เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการปรับเปลี่ยนความเชื่อหลักของเรา โดยเริ่มจากการตระหนักถึงความเชื่อหลักในแง่ลบและทำทุกวิถีทางเพื่อเยียวยา เราสามารถเริ่มเปลี่ยนแปลงวิธีคิดและมองโลกของเราได้ เธอแนะนำให้เราย้อนกลับไปที่ต้นตอของความเชื่อเหล่านี้ ซึ่งโดยปกติแล้วมักก่อตัวขึ้นเมื่อเรายังเด็กมาก
LePera แนะนำให้เราเชื่อมโยงกับความเป็นเด็กในตัวเรา โดยให้พิจารณาว่าเราเป็นอย่างไรตอนเด็ก เธออธิบายว่าวัยเด็กในตัวเรามักแบกรับบาดแผลจากความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูก โดยอ้างอิงทฤษฎีความผูกพัน (Attachment Theory) ที่ชี้ให้เห็นว่าเมื่อเด็กรู้สึกมั่นคงในสายสัมพันธ์กับพ่อแม่ เด็กจะสามารถพัฒนาความสามารถในการปรับสภาวะอารมณ์ (emotional resilience) ตลอดจนความมั่นใจในการสำรวจโลกอย่างอิสระจากพ่อแม่ได้
อย่างไรก็ตาม LePera ชี้ให้เห็นว่าเมื่อพ่อแม่ไม่พร้อมหรือไม่แสดงความรักอย่างสม่ำเสมอ เด็กจะเริ่มรู้สึกสิ้นหวัง หรือในทางตรงกันข้าม พวกเขาอาจปิดกั้นตัวเองและหยุดการเชื่อมต่อกับผู้อื่น ในช่วงที่เปราะบางนี้เองที่จะส่งผลต่อพฤติกรรมและความสัมพันธ์ของเราในอนาคต
LePera เสนอว่าหนึ่งในวิธีที่ทรงพลังที่สุดในการเยียวยาบาดแผลเหล่านี้คือ “re-parenting” เธออธิบายว่าเมื่อคุณกลับมาใช้วิธีเลี้ยงดูตัวเองใหม่ คุณจะใช้วินัยที่เปี่ยมไปด้วยความรักโดยการให้คำมั่นสัญญาเล็ก ๆ น้อย ๆ กับตัวเองและรักษาสัญญาเหล่านั้น นอกจากนี้ การให้ความสำคัญกับการดูแลตนเองและการควบคุมอารมณ์ก็เป็นส่วนสำคัญของกระบวนการนี้
LePera อธิบายว่าหลายคนในพวกเราเติบโตมาในครอบครัวที่มองว่าการอยู่ร่วมกันเป็นรูปแบบสูงสุดของความรัก แต่ความสัมพันธ์ที่ดีต่อสุขภาพต้องมีขอบเขตที่ชัดเจน เธอแนะนำให้สร้างขอบเขต 3 ประเภท ได้แก่ ขอบเขตทางกายภาพ ขอบเขตด้านทรัพยากร และขอบเขตทางจิตใจและอารมณ์
การยืนยันขอบเขตส่วนตัวของคุณ ตามคำอธิบายของ LePera หมายถึงการสามารถสร้างพื้นที่สำหรับความรู้สึก ความคิดเห็น และความเชื่อของตัวเอง
อย่างไรก็ตาม เธอยอมรับว่าการสร้างและรักษาขอบเขตเหล่านี้อาจเป็นงานที่ยาก เธอแนะนำให้เตรียมตัวล่วงหน้าและควบคุมอารมณ์ของคุณให้ได้ก่อนที่จะสร้างขอบเขตเหล่านี้
LePera เน้นย้ำว่าการเยียวยาตนเองจะช่วยให้เรารายล้อมไปด้วยชุมชนที่เต็มไปด้วยความรักและการสนับสนุน แต่เธอเตือนว่าเมื่อคุณเปลี่ยนแปลงสถานะเดิมในความสัมพันธ์ของคุณ เช่นความสัมพันธ์กับครอบครัวหรือความสัมพันธ์กับเพื่อน คุณก็เสี่ยงที่จะถูกครอบครัวและเพื่อนกีดกันออกไปได้เช่นเดียวกัน
เธออธิบายว่าเมื่อเราทุกข์ทรมานจากบาดแผลทางใจ ระบบเอาตัวรอดของเราจะทำให้เราอยู่ในภาวะเตรียมพร้อมตลอดเวลา ความสัมพันธ์ที่เรามีมักจะสะท้อนสภาวะภายในของเราที่อารมณ์ไม่มั่นคง
LePera เตือนว่า การสร้างความผูกพันอันเจ็บปวด (trauma bonds) กับผู้อื่นที่เคยประสบบาดแผลทางจิตใจคล้าย ๆ กันไม่ใช่สิ่งที่เติมเต็มหรือยืนยันตัวตนของเราอย่างแท้จริง แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เธอแนะนำให้เราสร้างความสัมพันธ์ที่สมดุลและเคารพซึ่งกันและกันมากกว่า
LePera แบ่งปันประสบการณ์ส่วนตัวว่าเธอตัดขาดการติดต่อกับครอบครัวที่ให้กำเนิดเพื่อเยียวยาบาดแผลทางใจในวัยเด็ก แม้ว่าการตัดสินใจนี้จะยากลำบาก แต่เธอเชื่อว่ามันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเยียวยาของเธอ
ภายหลังเธอสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับพวกเขาอีกครั้งบนพื้นฐานของความเคารพและความเข้าใจที่มากขึ้น นอกจากนี้ เธอยังสามารถเสริมสร้างความสัมพันธ์กับคู่ครองและเพื่อน ๆ ของเธอให้แข็งแกร่งขึ้นด้วย
ในบทสรุป LePera เน้นย้ำว่าการเยียวยาตนเองเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องและต้องใช้เวลา เธอกล่าวว่าไม่มีจุดสิ้นสุดของการเติบโตและการพัฒนาตนเอง แต่เราสามารถเรียนรู้ที่จะรักและยอมรับตัวเองมากขึ้นในทุก ๆ วัน ผ่านการปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอและความอดทน
เธอสรุปว่าการทำงานเพื่อเยียวยาตนเองไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เป็นสิ่งที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง เมื่อเราเยียวยาตัวเอง เราไม่เพียงแต่ปรับปรุงชีวิตของตัวเองเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบในเชิงบวกต่อคนรอบข้างและโลกรอบตัวเราด้วย
LePera เชื่อว่าการเยียวยาตนเองเป็นของขวัญที่เราสามารถมอบให้กับตัวเองและคนที่เรารัก และเป็นก้าวแรกสู่การสร้างโลกที่เต็มไปด้วยความเข้าใจและความเห็นอกเห็นใจมากขึ้น
หนังสือ “How to Do the Work” ของ Nicole LePera เป็นคู่มือที่ทรงพลังสำหรับทุกคนที่ต้องการเริ่มต้นการเดินทางสู่การเยียวยาตนเอง ด้วยการผสมผสานระหว่างความรู้ทางจิตวิทยา ประสบการณ์ส่วนตัว และเครื่องมือปฏิบัติ หนังสือเล่มนี้เปิดมุมมองใหม่เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพจิตและร่างกายแบบองค์รวม
ไม่ว่าคุณจะกำลังเผชิญกับความท้าทายทางอารมณ์ ความสัมพันธ์ที่ยากลำบาก หรือเพียงต้องการพัฒนาตนเองให้ดียิ่งขึ้น แนวคิดและวิธีการที่ LePera นำเสนอสามารถเป็นเข็มทิศนำทางในการเดินทางสู่การเยียวยาและการเติบโตส่วนบุคคลของคุณได้
การเยียวยาตนเองเป็นการเดินทางที่ท้าทายแต่คุ้มค่า ด้วยความมุ่งมั่น ความอดทน และความเมตตาต่อตนเอง เราทุกคนสามารถก้าวข้ามบาดแผลในอดีต สร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมาย และค้นพบความสุขและความสงบภายในได้ หนังสือของ LePera เป็นเครื่องเตือนใจว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้เสมอ และทุกก้าวเล็ก ๆ ที่เราทำเพื่อเยียวยาตนเองล้วนมีความสำคัญ
*** หมายเหตุ ***
re-parenting เป็นวิธีการทางจิตวิทยาที่ถูกคิดขึ้นมาตั้งแต่ช่วงปี 1960s โดยนักจิตบำบัดชื่อ ฌาคคี ลี ชิฟฟ์ (Jacqui Lee Schiff) โดยวิธีของเธอนั้นค่อนข้างสุดโต่งจนกลายเป็นข้อถกเถียงในแวดวงจิตวิทยา โดยเธอให้คนไข้ที่มีปมในวัยเด็กมาอาศัยอยู่กับเธอเป็นปีๆ เพื่อพูดคุย-จำลองสถานการณ์ในวัยเด็กและเลี้ยงดูพวกเขาใหม่จริงๆ ทั้งให้นอนหนุนตัก หรือลูบหัว แล้วพูดคุยปลอบโยน เพื่อหวังจะลบบาดแผลเก่าๆ ให้หายไป
References :
หนังสือ How to Do the Work: Recognize Your Patterns, Heal from Your Past, and Create Your Self โดย Dr. Nicole LePera
https://mirrorthailand.com/self/mind/100054
https://thedawnwellnesscentre.co.th/blog/trauma-bonding/
https://www.pobpad.com/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A2%E0%B8%B7%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%83%E0%B8%88-resilience