Geek Life EP74 : ปลดล็อกชีวิตติดลูป ทลายกำแพงความคิดเก่า สูตรลับสร้างชีวิตใหม่ที่คุณต้องการ

ผมว่าหลายคนคงจะเคยประสบพบเจอกับชีวิตที่เหมือนติดอยู่ในวงจรเดิม ๆ ที่วนซ้ำไปมาไม่รู้จบ? ทุก ๆ วันตื่นขึ้นมาพร้อมกับความคิดและความรู้สึกแบบเดิม ทำกิจวัตรประจำวันแบบเดิม พบเจอผู้คนกลุ่มเดิม และเผชิญกับปัญหาแบบเดิม ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับว่าชีวิตของมันถูกกำหนดไว้แล้วและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

ซึ่งความจริงแล้ว สิ่งที่เหล่านี้เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นกับคนส่วนใหญ่ ต้องบอกว่าเป็นอีกหนึ่งข้อมูลที่น่าสนใจจากหนังสือ Breaking The Habit of Being Yourself: How to Lose Your Mind and Create a New One โดย Dr. Joe Dispenza  ที่มองว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าเราต้องยอมจำนนและปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปแบบนี้ตลอดไป เพราะทุกคนมีพลังที่จะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งได้ด้วยตัวของเราเอง

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/yteccrxd

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/3vesfsu3

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/jrQtacnR8lA

ปลดล็อกชีวิตติดลูป : ทลายกำแพงความคิดเก่า สูตรลับสร้างชีวิตใหม่ในแบบที่คุณต้องการ

ผมว่าหลายคนคงจะเคยประสบพบเจอกับชีวิตที่เหมือนติดอยู่ในวงจรเดิม ๆ ที่วนซ้ำไปมาไม่รู้จบ? ทุก ๆ วันตื่นขึ้นมาพร้อมกับความคิดและความรู้สึกแบบเดิม ทำกิจวัตรประจำวันแบบเดิม พบเจอผู้คนกลุ่มเดิม และเผชิญกับปัญหาแบบเดิม ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับว่าชีวิตของมันถูกกำหนดไว้แล้วและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

ซึ่งความจริงแล้ว สิ่งที่เหล่านี้เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นกับคนส่วนใหญ่ ต้องบอกว่าเป็นอีกหนึ่งข้อมูลที่น่าสนใจจากหนังสือ Breaking The Habit of Being Yourself: How to Lose Your Mind and Create a New One โดย Dr. Joe Dispenza  ที่มองว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าเราต้องยอมจำนนและปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปแบบนี้ตลอดไป เพราะทุกคนมีพลังที่จะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งได้ด้วยตัวของเราเอง

เมื่อสมองกลายเป็น “เทปม้วนเก่า”

ลองนึกภาพว่าสมองของเราเป็นเหมือนเครื่องเล่นเทปเก่า ๆ ที่เล่นเพลงซ้ำไปซ้ำมาวันแล้ววันเล่า เพลงที่เล่นนั้นก็คือความคิด ความทรงจำ และอารมณ์ความรู้สึกของเรานั่นเอง ทุกครั้งที่เรานึกถึงเหตุการณ์ในอดีต สมองของเราจะส่งสัญญาณไปยังร่างกาย ทำให้เรารู้สึกเหมือนกำลังประสบเหตุการณ์นั้นอีกครั้ง

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเคยโดนเพื่อนร่วมงานพูดจาไม่ดีใส่ เมื่อคุณนึกถึงเหตุการณ์นั้น คุณอาจรู้สึกโกรธหรือเสียใจขึ้นมาทันที ทั้ง ๆ ที่มันผ่านไปนานแล้ว นี่เป็นเพราะสมองและร่างกายของคุณไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจริง ๆ ตอนนี้ หรือเป็นแค่ความทรงจำในอดีต

การที่เราติดอยู่ในวงจรความคิดและอารมณ์แบบนี้ ทำให้เราสร้างชีวิตแบบเดิม ๆ ซ้ำไปซ้ำมาโดยไม่รู้ตัว เปรียบเสมือนการดูหนังม้วนเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วหวังว่าจะได้เห็นฉากจบที่แตกต่างออกไป

ทำไมเราถึงเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ยาก?

คำตอบง่าย ๆ ก็คือ เพราะเราถูกควบคุมโดย “โปรแกรมจิตใต้สำนึก (subconscious programming)” ที่ฝังอยู่ในตัวเรามาเป็นเวลานาน ลองคิดดูว่า 95% ของตัวตนเรา เมื่ออายุ 35 ปี ประกอบไปด้วยชุดของพฤติกรรม ปฏิกิริยาทางอารมณ์ นิสัยที่ไม่รู้ตัว ทัศนคติที่ฝังแน่น ความเชื่อ และการรับรู้ที่ถูกจดจำจนทำงานเหมือนโปรแกรมอัตโนมัติ

เมื่อเราพยายามจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เราใช้จิตสำนึกที่มีเพียง 5% พยายามต่อสู้กับจิตใต้สำนึกที่มีถึง 95% เปรียบเสมือนการให้นักยกน้ำหนักมือสมัครเล่นแข่งกับนักยกน้ำหนักระดับโอลิมปิก ไม่แปลกเลยที่เราจึงมักล้มเหลวและกลับไปสู่พฤติกรรมเดิม ๆ อยู่เสมอ

ก้าวแรกสู่การเปลี่ยนแปลง: รู้เท่าทันความคิดตัวเอง

การเปลี่ยนแปลงตัวเองเริ่มต้นจากการตระหนักรู้ถึงความคิดและพฤติกรรมของเราเอง ซึ่งคุณรู้หรือไม่ว่าในแต่ละวัน เรามีความคิดผ่านเข้ามาในหัวประมาณ 60,000 ถึง 70,000 ความคิด และ 90% ของความคิดเหล่านั้นเป็นความคิดเดียวกับวันก่อนหน้า

นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมชีวิตของเราจึงไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง เพราะความคิดเดิม ๆ นำไปสู่การเลือกแบบเดิม ๆ การเลือกแบบเดิม ๆ นำไปสู่พฤติกรรมแบบเดิม ๆ พฤติกรรมแบบเดิม ๆ สร้างประสบการณ์แบบเดิม ๆ และประสบการณ์แบบเดิม ๆ ก็สร้างอารมณ์แบบเดิม ๆ วนเวียนไปเรื่อย ๆ เหมือนงูกินหางตัวเอง

พลังแห่งการทำสมาธิ: กุญแจสู่การเปลี่ยนแปลงตนเอง

แล้วเราจะหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์นี้ได้อย่างไร? คำตอบอยู่ที่การฝึกสมาธิ การทำสมาธิไม่ใช่แค่การนั่งหลับตาสงบจิตใจเท่านั้น แต่เป็นการฝึกให้เราตระหนักรู้ถึงความคิด อารมณ์ และพฤติกรรมของตัวเองมากขึ้น

เมื่อเราเริ่มทำสมาธิ เราอาจรู้สึกอึดอัดหรือทรมานในตอนแรก เพราะร่างกายและจิตใจของเราไม่คุ้นเคยกับการอยู่นิ่ง ๆ และไม่ทำอะไร มันจะพยายามดึงเรากลับไปสู่พฤติกรรมเดิม ๆ ด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น ทำให้เรารู้สึกคัน นึกถึงงานที่ต้องทำ หรือความทรงจำในอดีต

แต่ทุกครั้งที่เราตระหนักรู้ถึงสิ่งเหล่านี้และกลับมาอยู่กับปัจจุบัน เราก็กำลังฝึกให้จิตใจของเราแข็งแกร่งขึ้น และค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงโปรแกรมเก่า ๆ ในสมองของเรา

สร้างอนาคตใหม่ด้วยพลังแห่งจินตนาการ

เมื่อคุณฝึกสมาธิจนเกิดความชำนาญ คุณจะสามารถใช้พลังแห่งจินตนาการในการสร้างอนาคตใหม่ให้กับตัวเองได้ ลองนึกภาพชีวิตที่คุณต้องการ คุณอยากเป็นคนแบบไหน? คุณอยากมีพฤติกรรมอย่างไร? แล้วลองจินตนาการว่าคุณเป็นคนแบบนั้น

สิ่งสำคัญคือ คุณต้องไม่เพียงแค่จินตนาการเท่านั้น แต่ต้องรู้สึกถึงอารมณ์และความรู้สึกนั้นในร่างกายของคุณด้วย เพราะถ้าความคิดคือภาษาของสมอง ความรู้สึกก็คือภาษาของร่างกาย เมื่อคุณสามารถทำให้ร่างกายรู้สึกถึงอารมณ์ของอนาคตที่คุณต้องการได้ นั่นหมายความว่าคุณกำลังเปลี่ยนแปลงตัวเองจากภายในสู่ภายนอก

เริ่มต้นใหม่ทุกวัน ไม่มีคำว่าสายเกินไป

การเปลี่ยนแปลงตนเองไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เหมือนกับการปลูกพืชทำสวนใหม่ คุณต้องเริ่มจากการถอนวัชพืชเก่า ๆ ออกไปก่อน แล้วค่อย ๆ เตรียมดินและปลูกเมล็ดพันธุ์ใหม่ ทีละเล็กทีละน้อย

ถ้าคุณเริ่มฝึกสมาธิและใช้พลังแห่งจินตนาการในการสร้างอนาคตใหม่ทุกวัน แม้เพียงแค่ 10-15 นาทีต่อวัน คุณจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของคุณภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์

จำไว้ว่า คุณไม่จำเป็นต้องรอให้เกิดวิกฤตหรือเหตุการณ์ร้ายแรงในชีวิตก่อนถึงจะเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเอง คุณสามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่วันนี้ ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่หรืออยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม

บทสรุป: ก้าวสู่การเป็นผู้สร้างชีวิตของตัวเอง

การเปลี่ยนแปลงตนเองเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความอดทน แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นคุ้มค่าอย่างยิ่ง เพราะมันทำให้เราสามารถหลุดพ้นจากวงจรความคิดและพฤติกรรมเดิม ๆ ซึ่งเราจะพบว่าตัวเองมีอิสระในการเลือกและสร้างชีวิตแบบที่เราต้องการได้อย่างแท้จริง

เราไม่จำเป็นต้องเป็นเหยื่อของอดีตหรือสถานการณ์รอบตัวอีกต่อไป แต่เราสามารถเป็นผู้สร้างอนาคตของตัวเองได้ ด้วยการฝึกสมาธิ การตระหนักรู้ และการใช้พลังแห่งจินตนาการ เราจะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงตัวเองจากภายในสู่ภายนอก และสร้างชีวิตที่มีความสุข มีความหมาย และเต็มไปด้วยศักยภาพที่ไม่มีขีดจำกัด

Dr. Joe Dispenza แนะนำให้เริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ ด้วยการตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ฉันอยากเป็นคนแบบไหน?” และ “ฉันจะสร้างชีวิตแบบที่ฉันต้องการได้อย่างไร?” แล้วลงมือทำ ทีละก้าว ทีละวัน คุณจะพบว่าการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่นั้น เริ่มต้นจากการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ในแต่ละวันนั่นเอง

การเปลี่ยนแปลงตนเองเป็นการเดินทางที่ท้าทาย แต่ก็เต็มไปด้วยโอกาสอันน่าตื่นเต้น เมื่อเราเริ่มต้นเดินทางนี้ เราจะค้นพบพลังที่ซ่อนอยู่ในตัวเรา และความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ที่เราไม่เคยคิดว่าจะเป็นไปได้มาก่อน จงเชื่อมั่นในตัวเอง และก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นใจ เพราะเรามีพลังที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราได้อย่างแท้จริง

References :
หนังสือ Breaking The Habit of Being Yourself: How to Lose Your Mind and Create a New One โดย Dr. Joe Dispenza 

Geek Life EP49 : เรียนรู้ ฝึกฝน รับฟีดแบค อัพสกิลตัวเองใน 3 ขั้นตอน สูตรลับที่ใคร ๆ ก็ทำได้

การพัฒนาตนเองเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา และแท้จริงแล้วชีวิตของเราก็ขึ้นอยู่กับสิ่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ทักษะใหม่เพื่อให้ได้งานในฝัน หรือการเล่นดนตรีที่เราใฝ่ฝันมานาน การเรียนรู้คือหัวใจสำคัญของทุกสิ่ง แต่บางครั้งเราอาจสงสัยว่าทำไมเราถึงไม่ได้เก่งขึ้นเลย แม้จะฝึกฝนมาหลายปี

ลองนึกถึงการเขียนหนังสือ คุณอาจจะลองเขียนมาตั้งแต่อายุ 6-7 ขวบ แต่ทักษะการเขียนของคุณอาจไม่ได้พัฒนาขึ้นมากนัก ทั้งๆ ที่ฝึกฝนมาหลายปี แต่กลับไม่เห็นพัฒนาการที่ชัดเจน นี่แสดงให้เห็นว่าการเรียนรู้นั้นต้องการมากกว่าแค่การฝึกฝนซ้ำๆ เพียงอย่างเดียว

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/2r24uwz4

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/3sw5wsaw

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/9jD72gIg3C0

Geek Life EP44 : รู้เท่าทันใจ ชนะทุกอย่าง เหนือกว่าความสำเร็จ กับวิธีสร้างชีวิตที่มีความหมาย

ในทุกวันนี้ เราทุกคนต่างแสวงหาหนทางสู่ชีวิตที่มีความสุขและมีความหมายมากขึ้น แต่บ่อยครั้งเราก็มองข้ามกุญแจสำคัญที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด นั่นคือความเชื่อมโยงระหว่างร่างกายและจิตใจของตัวเราเอง

เป็นอีกหนึ่ง speech ที่ทรงพลังมาก ๆ จาก Sadhguru Jagadish “Jaggi” Vasudev หรือที่รู้จักกันในชื่อ “สัธคุรุ” (Sadhguru) เป็น “คุรุ” หรือผู้นำทางจิตวิญญาณชาวอินเดีย เป็นผู้ทรงอิทธิพลทางความคิด มีชื่อเสียงในด้านการสอนโยคะ เป็นผู้เขียนหนังสือหลายเล่มและเป็นวิทยากรประจำในฟอรัมระหว่างประเทศและรายการโทรทัศน์ยอดนิยมเกี่ยวกับเรื่องจิตวิญญาณ และประเด็นระดับโลกอื่น ๆ มากมาย

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/5n79rfvc

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/2s9fa6t2

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/C9ArJXfpSrc

เรียนรู้ ฝึกฝน รับฟีดแบค : อัพสกิลตัวเองใน 3 ขั้นตอน สูตรลับการพัฒนาตนเองที่ใคร ๆ ก็ทำได้

การพัฒนาตนเองเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา และแท้จริงแล้วชีวิตของเราก็ขึ้นอยู่กับสิ่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ทักษะใหม่เพื่อให้ได้งานในฝัน หรือการเล่นดนตรีที่เราใฝ่ฝันมานาน การเรียนรู้คือหัวใจสำคัญของทุกสิ่ง แต่บางครั้งเราอาจสงสัยว่าทำไมเราถึงไม่ได้เก่งขึ้นเลย แม้จะฝึกฝนมาหลายปี

ลองนึกถึงการเขียนหนังสือ คุณอาจจะลองเขียนมาตั้งแต่อายุ 6-7 ขวบ แต่ทักษะการเขียนของคุณอาจไม่ได้พัฒนาขึ้นมากนัก ทั้งๆ ที่ฝึกฝนมาหลายปี แต่กลับไม่เห็นพัฒนาการที่ชัดเจน นี่แสดงให้เห็นว่าการเรียนรู้นั้นต้องการมากกว่าแค่การฝึกฝนซ้ำๆ เพียงอย่างเดียว

เป็นอีกหนึ่งข้อมูลที่น่าสนใจจากหนังสือ Get Better at Anything: 12 Maxims for Mastery โดย Scott H. Young ที่ Scott ได้อธิบายถึงปัจจัยสำคัญ 3 ประการที่จำเป็นต่อการพัฒนาตนเองในด้านต่างๆ ให้ประสบความสำเร็จ ได้แก่ การเรียนรู้จากผู้อื่น การฝึกฝนด้วยตนเอง และการรับข้อเสนอแนะ (feedback) ที่มีคุณภาพ

1. การเรียนรู้จากผู้อื่น

เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะความรู้ส่วนใหญ่ของเรามาจากการสังเกตและเลียนแบบผู้อื่น การที่จะเรียนรู้บางสิ่งด้วยตัวเองนั้นยากกว่ามาก เราจำเป็นต้องเห็นวิธีการทำของคนอื่นอย่างชัดเจน ไม่ใช่แค่ฟังคำบอกเล่า ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการเรียนรู้ของทารก พวกเขาเรียนรู้การเดินและพูดโดยการสังเกตและเลียนแบบผู้ใหญ่รอบตัว

แต่ความสามารถในการเลียนแบบนี้ก็มีข้อเสียเช่นกัน หากเราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีต้นแบบที่ดีให้เลียนแบบ การพัฒนาก็จะเป็นเรื่องยาก

ยกตัวอย่างเช่น กรณีของผู้เล่นเกม Tetris ที่ต้องใช้เวลาเกือบ 20 ปีกว่าจะพัฒนาทักษะได้อย่างก้าวกระโดด เพราะในช่วงแรกพวกเขาไม่มีโอกาสได้เห็นเทคนิคการเล่นของผู้เล่นที่เก่งกว่า

จนกระทั่งอินเทอร์เน็ตเข้ามา ทำให้พวกเขาสามารถเข้าถึงเครือข่ายผู้เล่นที่กว้างขึ้น และได้เรียนรู้จากกันและกัน ส่งผลให้ทักษะพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว

การเรียนรู้จากผู้อื่นนั้นมีหลักการที่สำคัญอยู่หลายประการ หนึ่งในนั้นคือทฤษฎี Cognitive Load Theory ซึ่งอธิบายว่าเรามีขีดจำกัดในการประมวลผลข้อมูลในหน่วยความจำขณะทำงาน (working memory) เหมือนคอมพิวเตอร์ที่มี RAM จำกัด

เมื่อเราต้องจัดการกับข้อมูลมากเกินไปในคราวเดียว สมองจะทำงานเต็มขีดความสามารถและการเรียนรู้จะหยุดชะงัก ดังนั้นการเริ่มต้นเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จึงควรเริ่มจากพื้นฐานและค่อยๆ เพิ่มความซับซ้อนขึ้นทีละน้อย

นอกจากนี้ ความสำเร็จก็มีบทบาทสำคัญในการเรียนรู้เช่นกัน แม้ว่าเราจะเรียนรู้จากความผิดพลาด แต่ความสำเร็จช่วยสร้างแรงจูงใจและเสริมสร้างความเชื่อมั่นในความสามารถของตนเอง (self-efficacy) ซึ่งหมายถึงความเชื่อว่าเราเก่งแค่ไหนในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

ความเชื่อนี้ส่วนใหญ่มาจากประสบการณ์ในอดีตมากกว่าความสามารถตามธรรมชาติ ดังนั้นการได้รับชัยชนะเล็กๆ น้อยๆ ในช่วงแรกของการเรียนรู้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาแรงจูงใจ

อย่างไรก็ตาม มีข้อควรระวังในการเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากบ่อยครั้งที่ผู้เชี่ยวชาญอาจข้ามขั้นตอนบางอย่างโดยไม่รู้ตัวเมื่ออธิบายให้ผู้อื่นฟัง เพราะกระบวนการเหล่านั้นกลายเป็นเรื่องอัตโนมัติสำหรับพวกเขาไปแล้ว

วิธีแก้ปัญหานี้คือการให้ผู้เชี่ยวชาญลงมือทำและอธิบายไปพร้อมๆ กัน ซึ่งจะช่วยลดโอกาสที่พวกเขาจะข้ามขั้นตอนสำคัญ และทำให้เราได้เห็นกระบวนการคิดของพวกเขาด้วย

2. การฝึกฝนด้วยตนเอง

เป็นขั้นตอนที่สำคัญไม่แพ้กัน การฝึกฝนช่วยลดความพยายามทางจิตใจที่จำเป็นในการทำงาน ซึ่งเหมือนกับการขับรถ ในตอนแรกอาจต้องใช้สมาธิอย่างมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป มันจะค่อยๆ กลายเป็นเรื่องอัตโนมัติ

นอกจากนี้การฝึกฝนยังช่วยให้เราจดจำข้อมูลเกี่ยวกับทักษะนั้นๆ ได้ดีขึ้น การดึงข้อมูลออกมาใช้อย่างสม่ำเสมอเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเสริมสร้างความจำระยะยาว

และที่สำคัญทักษะบางอย่างไม่สามารถเรียนรู้ได้จากการดูเพียงอย่างเดียว เช่น การเล่นกอล์ฟ คุณอาจดูการแข่งขันกอล์ฟทั้งชีวิต แต่จะไม่มีทางเก่งขึ้นเลยจนกว่าจะลงมือจับไม้กอล์ฟและฝึกฝนด้วยตัวเอง

การฝึกฝนอย่างมีประสิทธิภาพนั้นมีหลักการสำคัญหลายประการ ประการแรกคือการฝึกฝนในระดับความยากที่เหมาะสม ไม่ง่ายเกินไปจนไม่ท้าทาย และไม่ยากเกินไปจนท้อแท้

ประการที่สองคือการมุ่งเน้นที่ปริมาณผลงานมากกว่าความสมบูรณ์แบบ การศึกษาพบว่านักวิทยาศาสตร์และศิลปินที่ประสบความสำเร็จสูงมักผลิตผลงานจำนวนมาก แม้ว่าอัตราความสำเร็จจะเท่ากับคนอื่น แต่เพราะพวกเขาผลิตงานมากกว่าจึงมีโอกาสสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมได้มากกว่า

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ “จิตใจไม่ใช่กล้ามเนื้อ” ซึ่งหมายความว่าการฝึกฝนทักษะหนึ่งไม่ได้ส่งผลต่อความสามารถโดยรวมเหมือนการสร้างกล้ามเนื้อของเหล่านักกีฬา

ตัวอย่างเช่น การเล่นเกมฝึกสมองไม่ได้ช่วยพัฒนาความสามารถทางสมองโดยรวม แต่เป็นเพียงการฝึกทักษะเฉพาะในเกมนั้นๆ เท่านั้น

ดังนั้นเมื่อเราฝึกฝนเราควรทำให้มันเฉพาะเจาะจงและใกล้เคียงกับสิ่งที่เราต้องการให้สำเร็จมากที่สุด เช่น ถ้าต้องการเรียนรู้วิธีถามทางในภาษาสเปน ก็ควรฝึกพูดประโยคจริงๆ ไม่ใช่แค่ท่องคำศัพท์ภาษาสเปนแบบสุ่มในแอปพลิเคชัน

3. การรับข้อเสนอแนะ (feedback) ที่มีคุณภาพ

เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาและบรรลุระดับประสิทธิภาพสูงสุด แต่การรับข้อเสนอแนะที่มีประสิทธิภาพนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากมนุษย์เรามักจะไม่เก่งในการประเมินความสามารถของตัวเองอย่างแม่นยำ เราอาจจะคิดผิดพลาดเกี่ยวกับประสิทธิภาพของการฝึกฝนหรือระดับความสามารถของเราในบางเรื่อง

วิธีหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหานี้คือการติดตามและวิเคราะห์ประสิทธิภาพและความก้าวหน้าของตัวเองอย่างเป็นระบบ เช่น การใช้ excel โดยให้บันทึกวิธีการตัดสินใจ ผลลัพธ์ และระดับความมั่นใจในแต่ละครั้ง

วิธีนี้จะช่วยให้เราเห็นภาพรวมของพัฒนาการและความสัมพันธ์ระหว่างการตัดสินใจกับผลลัพธ์ได้ชัดเจนขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันไม่ให้เราตื่นเต้นกับไอเดียใหม่ๆ มากเกินไปจนตัดสินใจผิดพลาด ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้บ่อยในช่วงเริ่มต้นของการเรียนรู้สิ่งใหม่

เมื่อเราได้รับข้อเสนอแนะมากขึ้น เราอาจพบว่าเทคนิคบางอย่างที่เคยใช้มาไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร การเลิกใช้เทคนิคเหล่านี้อาจเป็นเรื่องยาก

แต่มีวิธีที่จะช่วยได้ เช่น การรับข้อเสนอแนะตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยแก้ไขเทคนิคที่ไม่เหมาะสมก่อนที่มันจะกลายเป็นนิสัย หรือถ้าเราพัฒนาเทคนิคที่ไม่ดีไปแล้ว เราอาจใช้วิธีเพิ่มข้อจำกัดในการฝึกฝนเพื่อบังคับให้ตัวเองใช้เทคนิคที่ถูกต้อง

ตัวอย่างที่น่าสนใจคือ ถ้าต้องการฝึกตีลูกเทนนิสให้ตรงกลางไม้ เราอาจใช้ไม้เทนนิสที่มีขนาดเล็กลง วิธีนี้จะทำให้เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตีลูกให้ตรงกลางไม้ ทำให้เราไม่สามารถพึ่งพาเทคนิคเก่าที่ไม่ถูกต้องได้

อุปสรรคสำคัญอีกประการหนึ่งในการรับข้อเสนอแนะคือความกลัว เพราะโดยธรรมชาติแล้วมนุษย์เรามักหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้รู้สึกกลัวหรืออึดอัด แม้ว่าความกลัวจะช่วยให้เรามีชีวิตรอดในบางสถานการณ์

แต่เมื่อมันเกี่ยวข้องกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ความกลัวความอับอายหรือความล้มเหลวกลับเป็นอุปสรรคสำคัญ ยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งเราหลีกเลี่ยงความกลัวมากเท่าไร สมองของเราก็ยิ่งเสริมแรงพฤติกรรมนี้ว่าเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ดี ทำให้เมื่อเวลาผ่านไป ความกลัวกลับยิ่งทวีความรุนแรงและยากที่จะเอาชนะมากขึ้น

วิธีแก้ปัญหานี้คือการบังคับตัวเองให้เผชิญหน้ากับสิ่งที่กลัว เมื่อเราลองทำสิ่งที่กลัวและได้รับประสบการณ์ที่ดี สมองของเราจะเรียนรู้อย่างรวดเร็วว่าไม่มีอะไรน่ากลัวอย่างที่คิด

เช่น ถ้าเรากลัวการพูดในที่สาธารณะ แต่เมื่อได้ลองขึ้นเวทีในคืน Open Mic และถ้าหากผ่านไปได้ด้วยดี เราก็จะเอาชนะความกลัวนั้นได้เร็วขึ้น

แต่แม้แต่ประสบการณ์ที่ไม่ดี เช่น การถูกโห่ไล่ลงจากเวที ก็สามารถช่วยลดความวิตกกังวลได้ในระยะยาว หากเรายังคงพยายามต่อไป เพราะเราจะตระหนักว่าแม้จะเป็นประสบการณ์ที่ไม่ดี แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลร้ายแรงต่อชีวิตของเราอย่างที่คิด

บทสรุป

เมื่อเราเข้าใจหลักการทั้งสามประการนี้แล้ว เราสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราต้องการเรียนรู้ทักษะใหม่หรือพัฒนาความสามารถที่มีอยู่ให้ดียิ่งขึ้น

สิ่งสำคัญที่ควรคำนึงถึงคือการปรับวิธีการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับระดับประสบการณ์ของเรา ในช่วงเริ่มต้นเราควรเน้นการเรียนรู้และฝึกฝนที่มีโครงสร้างชัดเจน เช่น การใช้คอร์สออนไลน์ที่มีการวางแผนการเรียนอย่างเป็นระบบ หรือการเลียนแบบงานของผู้อื่นอย่างใกล้ชิด

วิธีนี้จะช่วยให้เราหลีกเลี่ยงข้อมูลที่มันท่วมท้นมากจนเกินไป และช่วยให้เราเห็นความก้าวหน้าได้ชัดเจน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการสร้างแรงจูงใจ

เมื่อเรามีประสบการณ์มากขึ้น เราควรค่อยๆ ลดโครงสร้างลงและเพิ่มความท้าทายให้มากขึ้น เช่น การเลียนแบบงานของคนอื่นแต่เพิ่มการปรับเปลี่ยนบางส่วนตามความคิดของเราเอง จากนั้นค่อยๆ เพิ่มความเป็นอิสระในการสร้างสรรค์มากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดเราสามารถสร้างงานใหม่ที่เป็นของเราเองได้อย่างสมบูรณ์

งานวิจัยชี้ให้เห็นว่าการทำงานในลักษณะนี้ไม่เพียงแต่สนุกที่สุด แต่ยังมีประสิทธิภาพมากที่สุดสำหรับการเรียนรู้ในระดับสูงด้วย

นอกจากนี้ ยังมีสองสิ่งที่ทุกคนสามารถทำได้เพื่อปรับปรุงการเรียนรู้ของตนเองได้ทันที นั่นคือ การเข้าร่วม Community ของคนที่มีความสนใจหรือเป้าหมายคล้ายกัน และการหาโค้ชหรือผู้เชี่ยวชาญที่สามารถให้คำแนะนำได้

Community ที่ดีมีประโยชน์มากมาย เช่น ช่วยให้เราหลีกเลี่ยงอคติของตัวเองในการวิเคราะห์ความก้าวหน้า ช่วยลดความกลัวในการลองสิ่งใหม่ๆ เป็นแหล่งช่วยเหลือเราเมื่อเราติดขัดในการฝึกฝน และเป็นแหล่งที่ให้ข้อเสนอแนะที่มีคุณค่า

ส่วนการมีโค้ชหรือผู้เชี่ยวชาญนั้น จะช่วยให้เราได้รับข้อเสนอแนะเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดได้อย่างรวดเร็ว ช่วยควบคุมระดับความยากของการฝึกฝนให้เหมาะสมกับเรา และที่สำคัญคือเราสามารถเรียนรู้โดยตรงจากประสบการณ์ของพวกเขาได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเราสามารถดูพวกเขาทำงานจริงและฟังคำอธิบายไปพร้อมๆ กัน ซึ่งจะช่วยให้เราเห็นกระบวนการคิดและการทำงานอย่างละเอียด

ท้ายที่สุด การพัฒนาตนเองเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความพยายาม แต่ด้วยความเข้าใจในหลักการสำคัญทั้งสามประการ คือ การเรียนรู้จากผู้อื่น การฝึกฝนด้วยตนเอง และการรับข้อเสนอแนะที่มีคุณภาพ เราสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ทักษะใหม่ การพัฒนาความสามารถที่มีอยู่ หรือแม้แต่การเริ่มต้นธุรกิจใหม่ ซึ่งหลักการเหล่านี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในทุกด้านของชีวิต

References :
หนังสือ Get Better at Anything: 12 Maxims for Mastery โดย Scott H. Young