หยุดกลัวการถูกปฏิเสธ! ชายจีนผู้ท้าทายการถูกปฏิเสธ 100 วัน และบทเรียนที่เปลี่ยนชีวิต

ในโลกแห่งการแข่งขันทางธุรกิจและการใช้ชีวิตประจำวัน เราทุกคนต่างเคยเผชิญกับความกลัวการถูกปฏิเสธมาแล้วทั้งนั้น บางคนถึงขั้นยอมทิ้งความฝันและโอกาสดีๆ ในชีวิตเพียงเพราะกลัวคำว่า “ไม่”

แต่มีชายคนหนึ่งที่กล้าท้าทายความกลัวนี้ด้วยวิธีที่แปลกประหลาดและน่าสนใจ เขาคือ Jia Jiang ชายชาวจีนผู้อพยพมาอเมริกาพร้อมความฝันที่จะเป็นผู้ประกอบการ

Jia Jiang เกิดและเติบโตในเมืองปักกิ่ง ประเทศจีน ตั้งแต่เด็กเขามีความฝันที่จะเป็นผู้ประกอบการในอเมริกา แรงบันดาลใจนี้เกิดขึ้นหลังจากที่เขาได้พบกับ Bill Gates ในงานที่โรงเรียนตอนอายุ 14 ปี ทำให้เขาตัดสินใจมุ่งมั่นที่จะย้ายมาเรียนและทำงานในอเมริกา

แม้จะประสบความสำเร็จในการเรียนและการทำงานในบริษัทชั้นนำ แต่ความฝันของเขากลับถูกขัดขวางด้วยความกลัวการถูกปฏิเสธที่ฝังรากลึก จนกระทั่งวันหนึ่ง หลังจากนักลงทุนปฏิเสธที่จะสนับสนุนสตาร์ทอัพของเขา แทนที่จะยอมแพ้ เขากลับตัดสินใจท้าทายตัวเองด้วยการทำภารกิจที่เรียกว่า “100 วันแห่งการถูกปฏิเสธ” ซึ่งผมว่ามันเป็นการทดลองที่เจ๋งมาก ๆ

แรงบันดาลใจในการทำภารกิจนี้มาจาก Jason Comely ผู้สร้างเกม “Rejection Therapy” ที่มีกฎง่ายๆ คือผู้เล่นต้องทำให้ตัวเองถูกปฏิเสธจากใครสักคนทุกวัน Comely สร้างเกมนี้หลังจากที่ภรรยาของเขาจากไป และเขาต้องต่อสู้กับความกลัวการถูกปฏิเสธอย่างรุนแรง

ภารกิจของ Jia Jiang เริ่มต้นด้วยการขอสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ในแต่ละวัน เช่น การขอยืมเงิน 100 ดอลลาร์จากคนแปลกหน้า การขอให้พนักงาน Krispy Kreme ทำโดนัทเป็นรูปวงแหวนโอลิมปิก การเคาะประตูบ้านคนแปลกหน้าเพื่อขอเล่นฟุตบอลในสนามหลังบ้าน การขอถ่ายรูปกับพนักงานรักษาความปลอดภัยในท่าซูเปอร์ฮีโร่ หรือแม้แต่การเดินเข้าไปในออฟฟิศแบบสุ่มเพื่อขอทำงานเพียงวันเดียว

หนึ่งในเหตุการณ์ที่น่าประทับใจที่สุดคือวันที่เขาขอให้พนักงาน Krispy Kreme ทำโดนัทรูปวงแหวนโอลิมปิก แทนที่จะถูกปฏิเสธ Jackie พนักงานที่อยู่เวรกลับใช้เวลา 15 นาทีในการวาดและจัดวางโดนัทเป็นรูปวงแหวนโอลิมปิก พร้อมทั้งใช้น้ำตาลสีต่างๆ ตกแต่งให้สวยงาม โดยไม่คิดเงินเพิ่ม

จากการทดลองนี้ Jia Jiang ได้ค้นพบความจริงที่น่าทึ่งเกี่ยวกับธรรมชาติของการถูกปฏิเสธ ประการแรก เขาพบว่าการถูกปฏิเสธนั้นเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนบุคคล ไม่ต่างจากการที่คนไม่ชอบไอศกรีมรสมินต์ปฏิเสธที่จะรับประทาน มันไม่ได้สะท้อนถึงคุณค่าของตัวเราแต่อย่างใด

ในระหว่างการทดลอง เขาพบว่าผู้คนมักมีเหตุผลส่วนตัวในการปฏิเสธที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเขาเลย เช่น กฎระเบียบขององค์กร ข้อจำกัดด้านเวลา หรือแม้แต่อารมณ์ความรู้สึกในขณะนั้น การเข้าใจเรื่องนี้ช่วยให้เขารับมือกับการถูกปฏิเสธได้ดีขึ้น

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือกรณีของ Joshua Bell นักไวโอลินรางวัล Grammy ที่แต่งตัวธรรมดาใส่ยีนส์และหมวกเบสบอล ไปเล่นดนตรีในสถานีรถไฟใต้ดิน DC มีเพียง 7 คนจาก 1,097 คนที่หยุดฟัง ทั้งที่การแสดงของเขามักได้รับเสียงปรบมือยืนยาวในคอนเสิร์ตฮอลล์ชื่อดังอย่าง John F. Kennedy Center

การทดลองของ Joshua Bell เป็นส่วนหนึ่งของโครงการที่จัดทำโดยหนังสือพิมพ์ Washington Post ในปี 2007 เพื่อศึกษาการรับรู้ความงามของศิลปะในบริบทที่ไม่คาดคิด Bell เล่นบทเพลงคลาสสิกที่ยากที่สุดบางบทด้วยไวโอลิน Stradivarius มูลค่า 3.5 ล้านดอลลาร์ แต่ได้รับเงินบริจาคเพียง 32 ดอลลาร์จากการแสดง 45 นาที

นี่แสดงให้เห็นว่าบริบทและจังหวะเวลามีผลต่อการตอบรับมากกว่าความสามารถที่แท้จริง เช่นเดียวกับที่คนในสถานีรถไฟไม่ได้ปฏิเสธความสามารถของ Joshua Bell แต่พวกเขาแค่ไม่ได้อยู่ในโหมดที่จะชื่นชมดนตรีคลาสสิกในตอนเช้าที่เร่งรีบ

ประการที่สอง การถามหาเหตุผลของการปฏิเสธอย่างสุภาพสามารถเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ๆ ได้ เช่นครั้งที่ Jia Jiang ขอประกาศเรื่องความปลอดภัยบนเครื่องบิน Southwest แม้จะถูกปฏิเสธในตอนแรก แต่เมื่อถามถึงเหตุผล พนักงานกลับคิดหาทางออกใหม่ให้เขาได้พูดต้อนรับผู้โดยสารแทน

การถามหาเหตุผลยังช่วยให้เราเข้าใจมุมมองของอีกฝ่าย และบางครั้งอาจนำไปสู่ทางออกที่ดีกว่าเดิม เช่นกรณีที่เขาขอใช้เครื่องประกาศเสียงที่ร้าน Costco เพื่อประกาศชมเชยพนักงาน แม้จะถูกปฏิเสธ แต่ผู้จัดการกลับรู้สึกประทับใจในความตั้งใจดีของเขาและเลี้ยงอาหารเป็นการตอบแทน

นอกจากนี้ การถามเหตุผลยังช่วยให้เราได้ข้อมูลที่มีค่าสำหรับการปรับปรุงคำขอในครั้งต่อไป เช่น เมื่อเขาขอให้สายการบินอนุญาตให้ประกาศ เขาได้เรียนรู้ว่ามีข้อกำหนดด้านความปลอดภัยที่ต้องคำนึงถึง ทำให้ในครั้งต่อไปเขาสามารถปรับคำขอให้สอดคล้องกับข้อกำหนดเหล่านั้นได้

ประการที่สาม การลดขนาดคำขอลง หรือที่ Robert Cialdini ผู้เขียนหนังสือ “Influence” เรียกว่า “Retreating” เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ เพราะผู้คนมักรู้สึกไม่สบายใจที่จะปฏิเสธคำขอเล็กๆ หลังจากที่ปฏิเสธคำขอใหญ่ไปแล้ว

จากการศึกษาของ Cialdini พบว่าการลดขนาดคำขอสามารถเพิ่มโอกาสการตอบรับได้ถึง 76% เพราะเป็นการแสดงความยืดหยุ่นและความเข้าใจต่อข้อจำกัดของอีกฝ่าย นอกจากนี้ ยังเป็นการใช้ประโยชน์จากหลักจิตวิทยาที่เรียกว่า “การตอบแทน (Reciprocity)” ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าควรตอบแทนความยืดหยุ่นที่เราแสดงออก

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือเมื่อ Jia Jiang ขอแซนด์วิช McGriddle จาก McDonald’s ในตอนบ่าย 2 โมง ซึ่งเลยเวลาอาหารเช้าไปแล้ว เมื่อถูกปฏิเสธและได้รับคำอธิบายว่าเครื่องทำไข่และไส้กรอกถูกล้างไปแล้ว เขาจึงปรับคำขอเป็นขนมปังกริดเดิลราดน้ำผึ้งกับชีสแทน ซึ่งพนักงานสามารถจัดให้ได้

การลดขนาดคำขอยังช่วยให้เราได้เรียนรู้ว่าบางครั้งสิ่งที่เราต้องการจริงๆ อาจไม่ใช่สิ่งที่เราขอในตอนแรก เช่น ในกรณีของ McDonald’s เขาได้ค้นพบว่าสิ่งที่เขาต้องการจริงๆ คือรสชาติของขนมปังกริดเดิล ไม่ใช่แซนด์วิช McGriddle ทั้งชิ้น

การถูกปฏิเสธยังมีประโยชน์แฝงอยู่หลายประการที่น่าสนใจ ประการแรกคือการสร้างภูมิคุ้มกันต่อการถูกปฏิเสธในอนาคต เมื่อเราเข้าใจว่าการถูกปฏิเสธไม่ได้ทำลายคุณค่าในตัวเรา เราจะกล้าเผชิญกับความเสี่ยงมากขึ้น เหมือนการฉีดวัคซีนที่ช่วยให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรค การเผชิญกับการถูกปฏิเสธบ่อยๆ จะช่วยให้เราแข็งแกร่งขึ้น

ในช่วงท้ายของการทดลอง Jia Jiang พบว่าเขาสามารถรับมือกับการถูกปฏิเสธได้ดีขึ้นมาก เขารู้สึกเจ็บปวดน้อยลงเมื่อถูกปฏิเสธ และสามารถมองหาโอกาสใหม่ๆ ได้เร็วขึ้น เขาเปรียบเทียบว่าเหมือนกับนักมวยที่โดนต่อยบ่อยๆ จนชินและรู้วิธีรับมือกับหมัด

ประการที่สองคือการเพิ่มแรงจูงใจ เหมือนกรณีของ Michael Jordan ที่ใช้การถูกปฏิเสธจากทีมบาสเก็ตบอลมัธยมเป็นแรงผลักดันในการฝึกซ้อมหนักขึ้น จนกลายเป็นหนึ่งในนักบาสเก็ตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล

Michael Jordan เคยเล่าว่าเขาถูกตัดตัวจากทีมบาสเก็ตบอลมัธยมปลายในปีที่สอง แต่แทนที่จะยอมแพ้ เขากลับใช้ความผิดหวังนั้นเป็นแรงผลักดันให้ตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้า เพื่อซ้อมก่อนเข้าเรียน และซ้อมต่อจนถึงค่ำทุกวัน จนในที่สุดเขาก็ได้กลับเข้าทีมและกลายเป็นดาวเด่น

ประการสุดท้ายคือการให้แนวทางในการปรับปรุง ดังที่ Thomas Edison กล่าวว่า เขาไม่ได้ล้มเหลว 10,000 ครั้ง แต่ค้นพบ 10,000 วิธีที่ใช้ไม่ได้ผล การมองการปฏิเสธแบบไม่มีเรื่องอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องจะช่วยให้เราเห็นจุดที่ต้องปรับปรุงได้ชัดเจนขึ้น

Edison เป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้การล้มเหลวเป็นบทเรียน ในการคิดค้นหลอดไฟฟ้า เขาทดลองวัสดุที่จะใช้เป็นไส้หลอดมากกว่า 6,000 ชนิด แต่ละครั้งที่ล้มเหลว เขาจดบันทึกอย่างละเอียดว่าทำไมมันถึงใช้ไม่ได้ จนในที่สุดเขาก็ค้นพบว่าใยไม้ไผ่เป็นวัสดุที่เหมาะสมที่สุด

หลังจากจบภารกิจ 100 วัน Jia Jiang ได้กลายเป็นวิทยากรและผู้เชี่ยวชาญด้านการเอาชนะความกลัวการถูกปฏิเสธ เขาได้เขียนหนังสือ “Rejection Proof” และให้การบรรยาย TED Talk ที่มีผู้ชมนับล้าน ประสบการณ์ของเขาได้สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนทั่วโลกกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความกลัวการถูกปฏิเสธ

ปัจจุบัน Jia Jiang ได้ก่อตั้งบริษัท Rejection Therapy เพื่อช่วยให้ผู้คนและองค์กรต่างๆ เอาชนะความกลัวการถูกปฏิเสธ เขาได้รับเชิญไปบรรยายในองค์กรชั้นนำมากมาย เช่น Google, Microsoft, และ Bank of America โดยเขาเน้นย้ำว่าการเอาชนะความกลัวการถูกปฏิเสธไม่เพียงช่วยให้เราประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน แต่ยังช่วยให้เรามีความสุขในชีวิตมากขึ้นด้วย

ในท้ายที่สุด Jia Jiang สรุปว่า การถูกปฏิเสธที่เคยเป็นเหมือนยักษ์โกลิอัทในชีวิตของเขา ได้กลายเป็นเพียงความท้าทายที่สามารถเอาชนะได้ด้วยมุมมองที่ถูกต้องและการฝึกฝน เมื่อเราเข้าใจว่าการถูกปฏิเสธไม่ใช่การตัดสินคุณค่าของเรา เราก็จะมีอิสระในการขอสิ่งที่ต้องการมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขอเลื่อนตำแหน่ง การขอความช่วยเหลือ หรือแม้แต่การขอโอกาสในการทำความฝันให้เป็นจริง

References :
หนังสือ Rejection Proof: How I Beat Fear and Became Invincible Through 100 Days of Rejection โดย Jia Jiang

Geek Life EP24 : ปฏิเสธอย่างไรให้ชีวิตดีขึ้น วิธีพูด ‘ไม่’ แบบมืออาชีพโดยไม่ทำลายความสัมพันธ์

ในโลกที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบและความคาดหวังมากมาย ต้องบอกว่าการเรียนรู้ที่จะปฏิเสธอย่างมีศิลปะถือเป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยให้เราสามารถจัดการชีวิตและความสัมพันธ์ได้อย่างสมดุล

หนังสือ “The Art of Saying No : How To Stand Your Ground, Reclaim Your Time And Energy, And Refuse To Be Taken For Granted (Without Feeling Guilty!)” โดย Damon Zahariads นำเสนอมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับการปฏิเสธอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของเรา แต่ยังช่วยรักษาความสัมพันธ์อันดีกับผู้อื่นอีกด้วย

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/u7pt4rt9

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/2b9bzeyj

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/k05wK-2opk4

Geek Life EP15 : วงแหวนแห่งการเติบโต เมื่อความสบายใจอาจฆ่าคุณ เรียนรู้วิธีเติบโตจากความไม่สบายใจ

ในชีวิตของเรา มักมีช่วงเวลาที่เราต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนและความท้าทาย แต่น้อยคนนักที่จะมองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นโอกาสในการเติบโต

เป็นข้อมูลที่น่าสนใจจาก Bill Eckstrom ผู้ประกอบการ นักเขียน วิทยากร ชื่อดัง ที่มาพูดไว้บนเวที TEDxUniversityofNevada เกี่ยวกับเรื่องราวที่จะทำให้เรามองโลกในแง่มุมใหม่ ในเรื่องพลังของความไม่สบายใจที่สามารถผลักดันให้เราก้าวไปข้างหน้าได้อย่างไม่น่าเชื่อ

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/2bffcwr3

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/32ennta2

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/vjPeuXLqmuw

ปฏิเสธอย่างไรให้ชีวิตดีขึ้น : วิธีพูด ‘ไม่’ แบบมืออาชีพโดยไม่ทำลายความสัมพันธ์

ในโลกที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบและความคาดหวังมากมาย ต้องบอกว่าการเรียนรู้ที่จะปฏิเสธอย่างมีศิลปะถือเป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยให้เราสามารถจัดการชีวิตและความสัมพันธ์ได้อย่างสมดุล

หนังสือ “The Art of Saying No : How To Stand Your Ground, Reclaim Your Time And Energy, And Refuse To Be Taken For Granted (Without Feeling Guilty!)” โดย Damon Zahariads นำเสนอมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับการปฏิเสธอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของเรา แต่ยังช่วยรักษาความสัมพันธ์อันดีกับผู้อื่นอีกด้วย

เราอาจเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า “เวลาคือเงิน” แต่ความจริงแล้ว เวลามีค่ามากกว่าเงินเสียอีก เพราะเงินสามารถหาเพิ่มได้ แต่เวลาที่ผ่านไปแล้วไม่มีวันหวนกลับมา การปฏิเสธจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการปกป้องทรัพยากรอันมีค่านี้ แต่ทำไมหลายคนจึงรู้สึกลำบากใจเมื่อต้องปฏิเสธ?

ความกลัวที่จะปฏิเสธ: รากเหง้าของปัญหา

ตั้งแต่เด็ก เราถูกปลูกฝังให้เชื่อฟังและตอบรับคำขอของผู้ใหญ่ การปฏิเสธมักนำมาซึ่งผลลัพธ์ในแง่ลบ ไม่ว่าจะเป็นการถูกดุว่าหรือถูกลงโทษ ประสบการณ์เหล่านี้ฝังรากลึกในจิตใจของเรา จนกระทั่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เราก็ยังคงมีความรู้สึกผิดหรือกลัวที่จะปฏิเสธ แม้ว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนไปแล้วก็ตาม

นอกจากนี้ สังคมยังปลูกฝังค่านิยมว่าการเห็นแก่ตัวเป็นสิ่งไม่ดี การคิดถึงตนเองก่อนผู้อื่นถูกมองว่าเป็นลักษณะนิสัยที่ไม่ดี ทำให้เรารู้สึกว่าการปฏิเสธเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเองเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ

แต่ความจริงแล้ว การรู้จักปฏิเสธอย่างเหมาะสมไม่ใช่การเห็นแก่ตัว แต่เป็นวิธีการดูแลตนเองอย่างมีคุณค่า เพื่อให้เรามีพลังเพียงพอที่จะช่วยเหลือผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว

การเปลี่ยนมุมมอง: ปฏิเสธเพื่อตอบรับสิ่งที่สำคัญกว่า

การปฏิเสธไม่ใช่การปิดโอกาส แต่เป็นการเปิดโอกาสให้กับสิ่งที่มีความสำคัญมากกว่า Zahariads เสนอแนวคิด “3P” ที่ช่วยให้เราเห็นภาพชัดเจนขึ้นว่าอะไรคือสิ่งที่เราควรให้ความสำคัญ:

  1. People (คน): เมื่อเราปฏิเสธคำขอที่ไม่จำเป็น เราจะมีเวลามากขึ้นสำหรับคนที่เรารักและให้ความสำคัญ ลองนึกภาพครอบครัวที่รอคอยการกลับบ้านของเรา หรือเพื่อนที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างแท้จริง
  2. Projects (โปรเจกต์): การปฏิเสธงานที่ไม่สอดคล้องกับเป้าหมายหลักของเรา ทำให้เรามีเวลาและพลังงานมากขึ้นในการทำโปรเจกต์ที่เราหลงใหลและมีความหมายต่อชีวิตของเรา
  3. Personal well-being (ความเป็นอยู่ที่ดีของตัวเอง): การปฏิเสธกิจกรรมที่ทำให้เราเหนื่อยล้าหรือท่วมท้น ทำให้เรามีเวลาดูแลสุขภาพกายและใจของตัวเองมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อทุกด้านของชีวิตในระยะยาว

การมองเห็นภาพเหล่านี้จะช่วยให้เรามีแรงจูงใจในการปฏิเสธมากขึ้น เพราะเราเข้าใจว่าการปฏิเสธนั้นไม่ได้ทำให้เราสูญเสียอะไร แต่เป็นการเลือกที่จะได้รับสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่า

ศิลปะแห่งการปฏิเสธ: วิธีการที่ทั้งนุ่มนวลและมีประสิทธิภาพ

การปฏิเสธอย่างสร้างสรรค์ไม่ได้หมายถึงการพูด “ไม่” อย่างแข็งกร้าว แต่เป็นการสื่อสารอย่างชาญฉลาดที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจและยอมรับได้ Zahariads นำเสนอเทคนิค 3 ประการที่ช่วยให้เราปฏิเสธได้อย่างมีประสิทธิภาพ:

  1. การปฏิเสธอย่างชัดเจน (The categorical no)

การสร้างกฎหรือนโยบายส่วนตัวที่ชัดเจนจะช่วยให้การปฏิเสธง่ายขึ้น เช่น “ฉันไม่ดื่มแอลกอฮอล์ในวันธรรมดา” หรือ “ฉันไม่รับนัดประชุมก่อนเที่ยง” การมีกฎที่ชัดเจนทำให้การปฏิเสธดูเป็นเรื่องปกติและไม่ใช่การเลือกปฏิบัติกับใครโดยเฉพาะ

ตัวอย่างเช่น หากมีคนชวนไปดื่มหลังเลิกงานในวันจันทร์ เราสามารถตอบว่า “ขอบคุณสำหรับคำเชิญนะ แต่ฉันมีนโยบายไม่ดื่มในวันธรรมดาน่ะ เพราะต้องตื่นเช้าทำงาน แต่ถ้าเป็นวันศุกร์หรือเสาร์ล่ะก็ ฉันยินดีมาก!” การตอบแบบนี้แสดงให้เห็นว่าเราไม่ได้ปฏิเสธเพราะไม่ชอบคนชวน แต่เป็นเพราะมีหลักการของตัวเองที่ยึดถือ

  1. อ้างอิงถึงข้อผูกมัด (Referencing a commitment)

การอ้างถึงข้อผูกมัดที่มีอยู่แล้ว ทั้งกับตัวเองหรือผู้อื่น เป็นวิธีที่ทำให้การปฏิเสธฟังดูมีเหตุผลและน่าเข้าใจ เช่น “ฉันมีข้อผูกมัดที่จะใช้เวลากับครอบครัวทุกวันอาทิตย์” หรือ “ฉันให้คำมั่นกับตัวเองว่าจะออกกำลังกายทุกเย็นหลังเลิกงาน”

การใช้คำว่า “ข้อผูกมัด” แทนคำว่า “แผน” หรือ “ความตั้งใจ” ทำให้ฟังดูจริงจังและแน่วแน่มากกว่า ทำให้ผู้ขอรู้สึกว่าไม่ควรกดดันเราให้ผิดคำมั่นสัญญา

ตัวอย่างเช่น หากมีเพื่อนร่วมงานขอให้เราทำงานล่วงเวลาในวันที่เรามีแผนจะไปออกกำลังกาย เราอาจตอบว่า “ฉันเข้าใจว่างานนี้สำคัญ แต่ฉันมีข้อผูกมัดที่จะต้องไปออกกำลังกายวันนี้ เพราะเป็นส่วนหนึ่งของแผนการดูแลสุขภาพของฉัน แต่ฉันยินดีจะมาเริ่มงานเช้ากว่าปกติในวันพรุ่งนี้เพื่อชดเชยเวลา จะได้ไหมคะ/ครับ?”

  1. เสนอทางเลือกอื่น (Making a counteroffer)

บางครั้งการปฏิเสธโดยสิ้นเชิงอาจทำให้ความสัมพันธ์เสียหายได้ โดยเฉพาะกับคนที่เราให้ความสำคัญ การเสนอทางเลือกอื่นที่เล็กกว่าหรือใช้เวลาน้อยกว่าเป็นวิธีที่ช่วยรักษาสัมพันธ์ไว้ได้ เช่น “ฉันไม่สามารถเข้าร่วมประชุมทั้งวันได้ แต่ฉันยินดีจะส่งข้อมูลสำคัญทางอีเมลให้ทีมก่อนการประชุม และพร้อมตอบคำถามทางโทรศัพท์หากมีประเด็นที่ต้องการความเห็นจากฉัน”

การเสนอทางเลือกแสดงให้เห็นว่าเราใส่ใจและพยายามหาวิธีที่จะช่วยเหลือ แม้จะไม่สามารถทำตามคำขอเดิมได้ทั้งหมด วิธีนี้ช่วยรักษาความสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจระหว่างกันได้เป็นอย่างดี

ตัวอย่างเช่น หากมีเพื่อนขอให้เราช่วยย้ายบ้านทั้งวันในวันเสาร์ แต่เรามีแผนจะพักผ่อนกับครอบครัว เราอาจตอบว่า “ฉันเข้าใจว่าการย้ายบ้านเป็นงานใหญ่และต้องการความช่วยเหลือ แต่วันเสาร์ฉันมีแผนกับครอบครัวที่วางไว้นานแล้ว ฉันไม่สามารถมาช่วยได้ทั้งวัน แต่ฉันยินดีจะแวะมาช่วยยกของหนักๆ สัก 2-3 ชั่วโมงในช่วงเช้าก่อนที่จะไปทำกิจกรรมกับครอบครัว จะเป็นไปไหมคะ/ครับ?” การเสนอทางเลือกแบบนี้แสดงให้เห็นว่าเราใส่ใจและพยายามหาจุดสมดุลระหว่างการช่วยเหลือเพื่อนและการรักษาเวลาสำหรับครอบครัว

การฝึกฝนศิลปะแห่งการปฏิเสธ

การเรียนรู้ที่จะปฏิเสธอย่างสร้างสรรค์เป็นทักษะที่ต้องอาศัยการฝึกฝนและความอดทน เราอาจรู้สึกไม่สบายใจในช่วงแรก แต่เมื่อเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในชีวิต ทั้งด้านประสิทธิภาพการทำงานและคุณภาพความสัมพันธ์ เราจะเริ่มรู้สึกมั่นใจมากขึ้นในการใช้ทักษะนี้

เริ่มต้นด้วยการสำรวจตัวเองว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของเรา ทั้งในแง่ของคน โปรเจกต์ และความเป็นอยู่ที่ดี จากนั้นลองกำหนดขอบเขตและกฎเกณฑ์ส่วนตัวที่จะช่วยปกป้องสิ่งเหล่านั้น เช่น กำหนดเวลาทำงาน เวลาครอบครัว หรือเวลาส่วนตัวที่ชัดเจน

ฝึกใช้ประโยคปฏิเสธที่สุภาพและชัดเจน โดยอาจเขียนสคริปต์ไว้ล่วงหน้าสำหรับสถานการณ์ที่มักเกิดขึ้นบ่อย เช่น “ขอบคุณสำหรับคำเชิญนะคะ/ครับ แต่ตอนนี้ฉันกำลังมุ่งเน้นไปที่โปรเจกต์ X ทำให้ไม่สามารถรับงานเพิ่มได้ในขณะนี้” หรือ “ฉันซาบซึ้งที่คุณนึกถึงฉัน แต่ฉันมีนโยบายไม่ทำงานในวันหยุดสุดสัปดาห์เพื่อใช้เวลากับครอบครัว”

ที่สำคัญ อย่าลืมว่าการปฏิเสธไม่ใช่การทำร้ายความรู้สึกของผู้อื่น แต่เป็นการดูแลตัวเองและรักษาสมดุลในชีวิต การปฏิเสธอย่างสุภาพและจริงใจจะช่วยให้ผู้อื่นเข้าใจและเคารพขอบเขตของเรามากขึ้น

ผลลัพธ์ที่น่าประหลาดใจของการรู้จักปฏิเสธ

เมื่อเราเริ่มใช้ทักษะการปฏิเสธอย่างสร้างสรรค์ เราอาจพบกับผลลัพธ์ที่น่าประหลาดใจหลายประการ:

  1. ความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น: แม้จะฟังดูขัดแย้ง แต่การรู้จักปฏิเสธอย่างเหมาะสมจะทำให้ผู้อื่นเคารพเราและเห็นคุณค่าของเวลาเรามากขึ้น นำไปสู่ความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพและความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้น
  2. ประสิทธิภาพการทำงานที่สูงขึ้น: เมื่อเรามีเวลาและพลังงานที่จำกัดอยู่กับงานที่สำคัญจริงๆ เราจะพบว่าคุณภาพของผลงานและความพึงพอใจในการทำงานเพิ่มขึ้นอย่างมาก
  3. ความเครียดที่ลดลง: การไม่ต้องแบกรับภาระงานหรือความรับผิดชอบที่เกินกำลัง ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขมากขึ้นในชีวิตประจำวัน
  4. การค้นพบตัวเอง: การปฏิเสธสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับเป้าหมายของเรา ทำให้เรามีโอกาสค้นพบสิ่งที่เราหลงใหลและมีความหมายต่อชีวิตมากขึ้น
  5. ความเชื่อมั่นในตนเองที่เพิ่มขึ้น: การรู้จักยืนหยัดเพื่อปกป้องเวลาและพลังงานของตัวเอง ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจและความเคารพในตนเอง

การปฏิเสธอย่างสร้างสรรค์ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เป็นทักษะที่มีคุณค่าอย่างยิ่งในโลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความคาดหวังต่าง ๆ มากมาย การเรียนรู้ที่จะปฏิเสธอย่างสุภาพและมีประสิทธิภาพจะช่วยให้เรารักษาสมดุลในชีวิต มีเวลาสำหรับสิ่งที่สำคัญจริงๆ และสร้างความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพกับผู้อื่น

จากแนวคิดของ Damon Zahariads ในหนังสือ “The Art of Saying No” เราได้เรียนรู้ว่าการปฏิเสธไม่ใช่การปิดประตู แต่เป็นการเปิดโอกาสให้กับสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่า ไม่ว่าจะเป็นเวลาคุณภาพกับครอบครัว โอกาสในการพัฒนาตนเอง หรือการทำงานที่มีความหมายอย่างแท้จริง

การฝึกฝนทักษะนี้อาจต้องใช้เวลาและความอดทน แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นคุ้มค่าอย่างยิ่ง เมื่อเราเริ่มเห็นชีวิตที่สมดุลและมีความสุขมากขึ้น เราจะตระหนักว่าศิลปะแห่งการปฏิเสธไม่เพียงแต่เป็นทักษะที่จำเป็น แต่ยังเป็นของขวัญที่เรามอบให้กับตัวเองและคนรอบข้างอีกด้วย

ท้ายที่สุด การรู้จักปฏิเสธอย่างสร้างสรรค์ไม่ใช่เพียงเรื่องของการพูด “ไม่” แต่เป็นเรื่องของการพูด “ใช่” กับสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเรา เมื่อเราเรียนรู้ที่จะจัดลำดับความสำคัญและรักษาขอบเขตของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราจะพบว่าชีวิตเต็มไปด้วยโอกาสและความสุขที่แท้จริง

References :
หนังสือ “The Art Of Saying NO: How To Stand Your Ground, Reclaim Your Time And Energy, And Refuse To Be Taken For Granted (Without Feeling Guilty!)” โดย Damon Zahariads