ไขปริศนาหนี้โลก 300 ล้านล้านดอลลาร์ กู้หนี้ใหม่ มาจ่ายหนี้เก่า แล้วใครคือเจ้าหนี้ตัวจริง?

ให้ลองจินตนาการถึงเงินจำนวน 300 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ มันเป็นตัวเลขที่ใหญ่มาก ๆ ใหญ่พอที่จะสร้างถนนจากโลกไปดวงจันทร์แล้วกลับมาได้ 50 รอบ มันคือมูลค่าหนี้สินทั้งหมดที่โลกใบนี้กำลังแบกรับเอาไว้

คำถามที่ตามมาทันทีคือ… ถ้าทุกคนในโลกเป็นหนี้ แล้วใครกันแน่คือเจ้าหนี้ตัวจริง?

ปริศนานี้มันลึกลับซับซ้อนกว่าที่คิด และคำตอบของมันจะเผยให้เห็นกลไกที่ขับเคลื่อนโลกสมัยใหม่ที่ทั้งน่าทึ่งและน่าสะพรึงกลัวในเวลาเดียวกัน

เรื่องราวทั้งหมดนี้ไม่ได้เริ่มต้นที่ตึกระฟ้าหรือห้องค้าหุ้นที่วุ่นวาย แต่มันเริ่มต้นจากแนวคิดที่เรียบง่ายที่สุดของมนุษย์ นั่นคือ “ความไว้เนื้อเชื่อใจ”

ในอดีต การเป็นหนี้คือการให้คำมั่นสัญญาระหว่างเพื่อนบ้าน ไม่ต้องมีสัญญาซับซ้อน มีแค่ความไว้ใจล้วน ๆ เป็นระบบที่ดูอบอุ่นและเข้าท่ามาก ๆ

แต่เมื่อสังคมใหญ่ขึ้น ความต้องการก็ทะเยอทะยานตามไปด้วย กษัตริย์และอาณาจักรต่าง ๆ อยากจะสยายปีกอำนาจ แต่ปัญหาคือท้องพระคลังกำลังร่อยหรอ

จุดเปลี่ยนครั้งประวัติศาสตร์เกิดขึ้นในอังกฤษช่วงศตวรรษที่ 17 เมื่อกษัตริย์ Charles II กำลังจนตรอกเพราะขาดเงินทำสงคราม พระองค์และทีมงานจึงปิ๊งไอเดียสุดเจ๋งขึ้นมา

นั่นคือการซอยหนี้ก้อนใหญ่ออกเป็นส่วนเล็ก ๆ แล้วขายให้กับประชาชนทั่วไป ในรูปแบบของ “พันธบัตร” (bond) ใครให้รัฐยืมเงิน ก็จะได้ดอกเบี้ยเป็นการตอบแทน

ไอเดียนี้มันเจ๋งมาก ๆ และได้ผลดีเกินคาด รัฐบาลสามารถระดมทุนก้อนมหึมาได้โดยไม่ต้องไปรีดภาษีจนประชาชนเดือดร้อน พันธบัตรกลายเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ทุกประเทศทั่วโลกใช้

นี่คือจุดเริ่มต้นของวงจรหนี้ระดับโลก ที่จะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของมนุษยชาติไปตลอดกาล

เรื่องราวมันมาถึงจุดพีคในศตวรรษที่ 20 สงครามโลกสองครั้งผลักดันให้การกู้ยืมพุ่งกระฉูด แต่จุดเปลี่ยนที่แท้จริงที่ทำให้ทุกอย่างเลยเถิดเกิดขึ้นในปี 1971

ก่อนหน้านั้น โลกการเงินอยู่ภายใต้ระบบที่เรียกว่า Bretonwoods ที่ผูกเงินดอลลาร์ไว้กับทองคำ ทำให้รัฐบาลไม่สามารถพิมพ์เงินออกมามั่วซั่วได้

แต่แล้วประธานาธิบดี Richard Nixon ก็ได้ทำการตัดสินใจครั้งประวัติศาสตร์ที่สั่นคลอนโลกการเงิน เขาประกาศยกเลิกมาตรฐานทองคำทิ้งไปอย่างไม่ใยดี ความเชื่อมโยงระหว่างดอลลาร์กับทองคำได้จบลงในวันนั้นเอง

วินาทีนั้นเอง เงินตราของโลกก็ถูกเสกขึ้นมาใหม่ในรูปแบบที่เราเรียกว่า “เงินเฟียต” (fiat currency)

มันคือเงินที่ไม่มีทองคำหนุนหลังอีกต่อไป มีเพียง “ความเชื่อมั่น” ในรัฐบาลเป็นเครื่องค้ำประกัน ราวกับมีเวทมนตร์ที่เสกเงินขึ้นมาจากอากาศธาตุ

เมื่อกุญแจมือถูกปลดออก รัฐบาลทั่วโลกก็เริ่มจัดหนักจัดเต็ม พิมพ์เงินและกู้ยืมกันอย่างบ้าคลั่ง หนี้สินที่เคยเป็นแค่ทางเลือกยามจำเป็น กลับกลายเป็นเครื่องมือหลักในการอัดฉีดและปลุกปั้นเศรษฐกิจ

โลกได้เข้าสู่ยุคของการกู้ยืมอย่างเต็มรูปแบบ

แล้ววงจรนี้มันทำงานยังไง? ใครคือเจ้าหนี้? คำตอบก็คือ… พวกเราทุกคนนี่แหละครับที่เป็นทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ในเวลาเดียวกัน

เงินฝากในธนาคารของคุณไม่ได้นอนนิ่ง ๆ แต่มันถูกธนาคารนำไปซื้อพันธบัตรรัฐบาล หรือก็คือการให้รัฐบาลกู้นั่นเอง

กองทุนบำเหน็จบำนาญ บริษัทประกันภัย ต่างก็ทำเช่นเดียวกัน พวกเขานำเงินสดสำรองมหาศาลไปลงทุนในพันธบัตรที่มั่นคงและปลอดภัย

มันเกิดเป็นวงจรที่เงินออมของประชาชน ไหลไปเป็นเงินกู้ให้รัฐบาล รัฐบาลนำเงินไปใช้จ่าย เงินก็ไหลกลับสู่กระเป๋าประชาชนและบริษัท กลายเป็นเงินออมก้อนใหม่ วนลูปไปอย่างนี้ไม่รู้จบ

วงจรนี้ไม่ได้มีแค่ในประเทศ แต่มันเชื่อมโยงกันทั่วโลกเป็นใยแมงมุมที่ซับซ้อน เงินออมจากญี่ปุ่นอาจไหลไปให้รัฐบาลดัตช์กู้ เงินสำรองของบราซิลก็อาจไหลกลับมาซื้อพันธบัตรของสหรัฐฯ

และนี่คือความลับสุดยอดของระบบนี้… เมื่อหนี้เก่าครบกำหนดจ่าย รัฐบาลก็แค่ “กู้หนี้ใหม่มาโปะหนี้เก่า”

มันฟังดูเหมือนการกระทำที่บ้าบอ แต่นี่คือกลไกที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกอยู่ทุกวันนี้ เป็นวงจรที่ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุดไปเสียแล้ว

เมื่อเข้าใจแล้วว่าระบบนี้ทำงานอย่างไร คำถามสุดท้ายก็คือ… แล้วมันจะไปต่อแบบนี้ได้ตลอดไปจริงหรือ?

ความจริงที่โหดร้ายข้อแรกคือ ระบบนี้ทำให้เราเสพติดการเติบโตจนถอนตัวไม่ขึ้น หากรัฐบาลไหนกล้าประกาศหยุดกู้เงิน เศรษฐกิจก็จะดิ่งลงเหวทันที

ดูอย่างประเทศกรีซเป็นตัวอย่าง ตอนที่นักลงทุนหมดความเชื่อมั่นและหยุดให้กู้ในปี 2008 เศรษฐกิจของพวกเขาก็ แทบล่มสลายประชาชนต้องระทมทุกข์อยู่หลายปี

นี่คือบทเรียนที่เจ็บแสบที่ทำให้นักการเมืองไม่กล้าแตะเบรกการใช้จ่าย เพราะกลัวว่าทุกอย่างจะพังพินาศ

แต่มันก็มีมุมมืดที่น่ากลัวซ่อนอยู่เช่นกัน

สำหรับประเทศกำลังพัฒนา พวกเขาต้องเผชิญกับกับดักหนี้ ต้องกู้ใหม่เพียงเพื่อจะหาเงินมาจ่ายดอกเบี้ยหนี้เก่า

และหากประเทศไหนคิดจะแก้ปัญหาด้วยการพิมพ์เงินเพิ่มขึ้นมาง่าย ๆ การกระทำเช่นนั้นจะนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อ ค่าเงินจะกลายเป็นแค่เศษกระดาษ

ตัวอย่างสุดขั้วคือสิ่งที่เกิดขึ้นในเวเนซุเอลา ที่รัฐบาลพิมพ์เงินออกมาใช้หนี้จนเกิดภาวะเงินเฟ้อรุนแรง (hyperinflation) ราคาสินค้าเพิ่มเป็นสองเท่าทุกสัปดาห์ เงินสดกลายเป็นแค่เศษกระดาษ ประชาชนต้องใช้เงินเป็นกระสอบเพื่อซื้อขนมปังแค่แถวเดียว

และฟางเส้นสุดท้ายที่อาจทำให้ทุกอย่างพังทลายลงมาก็คือ การ “ผิดนัดชำระหนี้” (default)

มันคือการที่ประเทศหนึ่งประกาศก้องว่า “ฉันจ่ายไม่ไหวแล้ว!” ทันทีที่ประกาศคำนี้ออกมา ความเชื่อมั่นทั้งหมดจะพังทลาย ไม่มีใครในโลกอยากจะให้ประเทศนั้นกู้เงินอีกต่อไป เศรษฐกิจจะหยุดชะงัก และอาจต้องใช้เวลาหลายสิบปีกว่าจะฟื้นตัวกลับมาได้

สุดท้ายแล้ว ระบบการเงินโลกมูลค่า 300 ล้านล้านดอลลาร์นี้ ไม่ได้ยืนอยู่บนทองคำหรือสินทรัพย์ใด ๆ เลย แต่มันยืนอยู่บนคำที่เปราะบางที่สุดคำหนึ่ง นั่นคือ “ความเชื่อมั่น”

มันคือเกมแห่งความเชื่อมั่นที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ และเราทุกคนถูกลิขิตให้เป็นผู้เล่นในเกมนี้

เรื่องราวทั้งหมดนี้สอนให้เรารู้ว่า โลกที่เราอาศัยอยู่นั้นถูกสร้างขึ้นบนรากฐานที่ทั้งแข็งแกร่งและเปราะบางในเวลาเดียวกัน มันคือเครื่องยนต์ที่สร้างความมั่งคั่ง แต่ก็เป็นระเบิดเวลาที่รอวันปะทุ

และนี่อาจเป็นสาเหตุที่ในยุคดิจิทัล ผู้คนกลับโหยหาสิ่งที่จับต้องได้อย่างทองคำหรือที่ดิน เพราะเมื่อ “รอยร้าว” ของความเชื่อมั่นเริ่มปรากฏ มนุษย์เราก็มักจะมองหาสิ่งที่แน่นอนที่สุดเสมอนั่นเองครับผม

References : [imf, worldbank, treasury, fred .stlouisfed, bloomberg]

Geek Talk EP107 : ไขปริศนาหนี้โลก 300 ล้านล้านดอลลาร์ แล้วใครคือเจ้าหนี้ตัวจริง?

โลกของเราทุกวันนี้มันหมุนเร็วขึ้นทุกวัน ตึกระฟ้าผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด เทคโนโลยีใหม่ ๆ เกิดขึ้นแทบไม่ทันได้กระพริบตา แต่เคยสงสัยกันไหมครับว่า “พลังงาน” ที่ขับเคลื่อนความก้าวหน้าทั้งหมดนี้มาจากไหน?

คำตอบอาจจะทำให้หลายคนประหลาดใจครับ เพราะมันคือ “หนี้”

หนี้สิน คือเครื่องยนต์ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังโลกสมัยใหม่ และวันนี้ เรากำลังพูดถึงตัวเลขที่น่าตกใจ นั่นคือหนี้ทั่วโลกกว่า 300 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

คำถามที่ตามมาทันทีก็คือ… ถ้าทั้งโลกเป็นหนี้มหาศาลขนาดนี้ แล้วเราเป็นหนี้ใครกันแน่? มันเหมือนกับคำถามปรัชญาที่ว่าถ้าทุกคนยืมเงินกันไปมา แล้วสุดท้ายใครคือเจ้าหนี้ตัวจริง?

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/mr4bz4tj

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
 https://tinyurl.com/4ff66ftj

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/m4d88s9v

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/7A6nSciiZ6g

เมื่อญี่ปุ่นกำลังตายอย่างช้าๆ 260% หนี้ VS GDP กับวิกฤตหนี้ที่อาจสั่นคลอนเศรษฐกิจโลก

เคยมีช่วงเวลาหนึ่งที่ญี่ปุ่นเป็นที่เทิดทูนของโลก แต่ใครจะคิดว่าประเทศแห่งเทคโนโลยีล้ำยุคและรถยนต์คุณภาพสูง จะกลายเป็นระเบิดเวลาที่พร้อมสั่นคลอนเศรษฐกิจโลก

แต่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรญี่ปุ่นระยะยาว 30 และ 40 ปี พุ่งทะยานไปสู่ระดับสูงที่สุดในประวัติศาสตร์

ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่แค่ตัวเลขธรรมดา มันเป็นสัญญาณเตือนว่า นักลงทุนทั่วโลกเริ่มสูญเสียความเชื่อมั่น ในประเทศที่มีหนี้มากกว่า 260% ของ GDP

ย้อนกลับไปในยุคทอง หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นสร้างสิ่งที่เรียกว่า “Japanese Economic Miracle” เศรษฐกิจเติบโต 7% ทุกปีตั้งแต่ปี 1955 ถึง 1990

แต่แล้วทุกอย่างก็เละเทะในทศวรรษ 1990 เมื่อฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์และตลาดหุ้นแตกสลาย ราคาบ้านลดฮวบ 50% อสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ดิ่งลงเหว 85% และ ตลาดหุ้น Nikkei ดิ่งลงกว่า 75%

ญี่ปุ่นเข้าสู่ยุค “Lost Decades” ทศวรรษที่สูญสิ้นทุกสิ่ง การเติบโตและเงินเฟ้อเกือบเป็นศูนย์เป็นเวลากว่า 30 ปี เป็นช่วงที่เจ็บปวดรวดร้าวสำหรับประเทศที่เคยเป็นที่เชิดหน้าชูตาของโลก

Bank of Japan หรือ BOJ ตัดสินใจปรับนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย ลดอัตราดอกเบียใกล้ศูนย์ และเริ่มซื้อพันธบัตรรัฐบาลมูลค่าหลายพันล้านเยน

นี่คือการ “พิมพ์เงิน” อย่างแท้จริง เพราะโดยพื้นฐานแล้วคือการสร้างเงินขึ้นมาใหม่ แล้วให้รัฐบาลนำไปใช้จ่ายกับปัญหาเศรษฐกิจ

หลังวิกฤตการเงิน 2008 BOJ ยังเริ่มซื้อหนี้ของบริษัทด้วย ซึ่งหมายความว่าพวกเขากำลังให้เงินกับบริษัทญี่ปุ่นโดยตรง เทคนิคที่โครตเทพจนธนาคารกลางตะวันตกถึงกับต้องเลียนแบบ

หลายคนอาจจะไม่ทราบว่า BOJ เป็นผู้บุกเบิกเทคนิค Quantitative Easing (QE) ที่ Federal Reserve และ European Central Bank เอาไปใช้กันอย่างแพร่หลายภายหลัง

แต่โชคร้ายที่นโยบายเหล่านี้ไม่สามารถดึงญี่ปุ่นออกจากหลุมดำได้ ทั้งการเติบโตและเงินเฟ้อยังคงติดหล่มใกล้ศูนย์ ในขณะที่ภาระหนี้ของรัฐบาลพุ่งกระฉูดไปมากกว่า 260% ของ GDP

ต้นปี 2022 เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ เมื่อปัญหาเงินเฟ้อจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนและปัญหา Supply Chain ผลักดันอัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นสูงกว่า 2% เป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษ

สำหรับผู้กำหนดนโยบายญี่ปุ่น พวกเขาเห็นโอกาสทองที่จะนำเศรษฐกิจกลับสู่ภาวะปกติ ด้วยการกระตุ้นให้เกิด “mild wage-price spiral” ซึ่งเป็นวัฏจักรการเพิ่มขึ้นของค่าจ้างและราคาสินค้าเป็นวงจรต่อเนื่องกัน

แผนการฟังดูเข้าท่ามาก ให้คนงานเรียกร้องค่าจ้างที่สูงขึ้นเมื่อเผชิญกับราคาสินค้าที่แพงขึ้น ซึ่งจะสร้างอำนาจซื้อและความต้องการที่มากขึ้น เงินเฟ้อเล็กน้อยจะขับเคลื่อนให้คนใช้จ่ายแทนการออม

และแล้วมันก็เริ่มเข้ารูปเข้ารอย ในปี 2024 การเติบโตของค่าจ้างเฉลี่ยในบริษัทใหญ่ขึ้นไปถึงเหนือ 5% ระดับสูงสุดตั้งแต่ปี 1991 สหภาพแรงงาน Rengo เปิดเผยว่าบริษัทญี่ปุ่นตกลงเพิ่มค่าจ้างเฉลี่ย 5.1% ในปี 2024

ผู้กำหนดนโยบายมองโลกในแง่ดีว่า เมื่อเงินเฟ้อกลายเป็นอย่างงี้ต่อไป พวกเขาจะสามารถปรับนโยบายการเงินและการคลังให้เป็นปกติได้ BOJ จะไม่ต้องซื้อหนี้อย่างต่อเนื่องอีกต่อไป

ปรากฏว่าการเปลี่ยนผ่านจากเศรษฐกิจที่มีปัญหามา 30 ปี ไปสู่เศรษฐกิจ “ปกติ” เป็นเรื่องที่เหมือนการเข็นครกขึ้นภูเขา

วงจร mild wage-price spiral ที่ผู้กำหนดนโยบายต้องการให้เป็น กลับกลายเป็นรุนแรงขึ้น เงินเฟ้อยังคงอยู่เหนือเป้าหมาย 2% ของ BOJ ตั้งแต่ปี 2022 ในเดือนเมษายน 2025 เงินเฟ้อหลักพุ่งไปถึง 3.6% ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 3.5%

สิ่งที่เลวร้ายกว่านั้นคือ ผู้บริโภคญี่ปุ่นที่คุ้นเคยกับราคาสินค้าที่ค่อนข้าง stable มา 30 ปี ตอบสนองอย่างรุนแรงต่อการขึ้นราคา โดยเฉพาะข้าว ทำให้เกิดแรงกดดันให้รัฐบาลลดภาษีการบริโภค

เงินเฟ้อนี้บังคับให้ BOJ เพิ่มอัตราดอกเบี้ยจากติดลบมาเป็น 0.5% ระดับสูงสุดตั้งแต่ปี 2008 ฟังดูไม่สูง แต่เพราะกองหนี้ของญี่ปุ่นมีขนาดมหึมา แม้การเพิ่มขึ้นเล็กน้อยก็ทำให้ต้นทุนการชำระหนี้พุ่งทะยานเป็นอย่างมาก

ขณะนี้ญี่ปุ่นคาดว่าจะใช้จ่าย 32 ล้านล้านเยนสำหรับการชำระหนี้ในปีหน้า คิดเป็น 5% ของ GDP ซึ่งมากกว่าประเทศอื่นๆ เกือบทั้งหมด เมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาอื่นที่ใช้แค่ 1-2% ของ GDP

นายกรัฐมนตรี Shigeru Ishiba ได้เตือนผู้มีสิทธิเลือกตั้งว่า “สถานการณ์การคลังของญี่ปุ่นแย่กว่ากรีซในช่วงวิกฤตหนี้ยุโรป”

แล้วสถานการณ์ก็เลวร้ายลงไปอีกในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เมื่อเกิดการขายพันธบัตรญี่ปุ่นอย่างรุนแรงผลักดันต้นทุนการกู้ยืมระยะยาวไปสู่ระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน

การประมูลพันธบัตร 20 ปีเมื่อไม่กี่วันก่อนกลายเป็นหายนะ รัฐบาลญี่ปุ่นพยายามขายพันธบัตรให้นักลงทุน แต่กลับพบว่าไม่มีใครอยากซื้อจริงๆ อัตราส่วน bid-to-cover ลดลงไปสู่ระดับที่ไม่เคยเห็นมาตั้งแต่ปี 2012

แล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมนักลงทุนถึงหนีพันธบัตรญี่ปุ่น?

ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ หลังจากที่ Moody’s ลดอันดับเครดิตอเมริกาจาก Aaa ลงมาเป็น Aa1

ผลตอบแทนพันธบัตรของประเทศอื่นๆ มักจะตามพันธบัตรสหรัฐฯ ทำให้ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร และยุโรป มีการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการกู้ยืมในเวลาเดียวกัน

แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุดคือ ตลาดเริ่มไม่เชื่อว่าญี่ปุ่นสามารถรับภาระหนี้เพิ่มเติมได้ กองหนี้ขนาดมหึมา การเติบโตที่อ่อนแอ GDP หดตัว 0.2% ในไตรมาสแรกของปี 2025

ตลาดไม่ไว้ใจ Ishiba ว่าเขามีต้นทุนทางการเมืองที่มากพอในการบังคับใช้ระเบียบวินัยทางการคลังที่จำเป็น ประเทศกำลังเผชิญกับแรงกดดันจากหลายทิศทาง

ประชาชนต้องการให้รัฐบาลลดภาษีเพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพ แต่การลดภาษีจะทำให้รายได้รัฐบาลลดลง และต้องออกหนี้เพิ่มมากขึ้น

BOJ ติดอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก หากกลับไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลอีกครั้ง มันจะเป็นการยอมรับว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นอาจไม่เคยกลับสู่ภาวะปกติได้

แต่หากปล่อยให้อัตราดอกเบียสูงขึ้นต่อไป ต้นทุนการชำระหนี้ของรัฐบาลจะพุ่งสูงขึ้นไปอีก และอาจทำให้เกิดวิกฤตหนี้ที่แท้จริง

สิ่งที่สะพรึงกลัวมากขึ้นไปอีกคือผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก เป็นเวลาหลายทศวรรษที่ญี่ปุ่นเป็นแหล่งเงินทุนต้นทุนต่ำสำหรับนักลงทุนทั่วโลกผ่าน “Yen Carry Trade”

นักลงทุนกู้เงินในสกุลเยนที่มีดอกเบียต่ำ แล้วนำไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าในประเทศอื่น การประมาณการชี้ให้เห็นว่ามีเงินหลายล้านล้านดอลลาร์ที่ถูกนำไปใช้ทั่วโลกผ่านกลยุทธ์นี้

เมื่ออัตราดอกเบียญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น การ Carry Trade นี้จะไม่คุ้มค่าอีกต่อไป เงินทุนจะเริ่มไหลกลับญี่ปุ่น ทำให้เกิดความผันผวนในตลาดการเงินทั่วโลก

บริษัทประกันชีวิตของญี่ปุ่นที่จัดการสินทรัพย์มากกว่า 2.6 ล้านล้านดอลลาร์ กำลังเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุน จากที่เคยซื้อพันธบัตรต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ตอนนี้กลับกลายเป็นผู้ขายแทน

สำหรับสหรัฐอเมริกา ประเทศที่ญี่ปุ่นถือพันธบัตรรัฐบาลมูลค่า 1.13 ล้านล้านดอลลาร์ หากนักลงทุนญี่ปุ่นเริ่มขายพันธบัตรสหรัฐฯ เพื่อนำเงินกลับประเทศ ผลกระทบต่อตลาดพันธบัตรอเมริกาจะรุนแรงมาก

สถานการณ์นี้ยังเสี่ยงที่จะสร้างปัญหาในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ Donald Trump การกลับสู่นโยบายการเงินที่หย่อนยานจะส่งผลให้เงินเยนอ่อนค่าลง ซึ่งเป็นสิ่งที่ Trump เคยบ่นในอดีต

ตัวเลขล่าสุดแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังแย่ GDP หดตัว 0.2% ในไตรมาสแรกของปี 2025 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และหดตัว 0.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน

Trump ได้ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้า 25% สำหรับรถยนต์ญี่ปุ่น และ 10% สำหรับสินค้าอื่นๆ และขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีตอบโต้ 24% หากไม่บรรลุข้อตกลงภายในกรกฎาคม

ประเด็นสำคัญคือ ญี่ปุ่นไม่เหมือนกรีซ ญี่ปุ่นมีสกุลเงินของตัวเองและครอบครองสินทรัพย์ต่างประเทศมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์ รวมถึงพันธบัตรสหรัฐฯ 1.13 ล้านล้านดอลลาร์ และยังเป็นผู้ส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมมูลค่าสูง

แต่ปัญหาคือ เงินเยนได้อ่อนค่าลงอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และแม้จะมีการเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร แต่อัตราผลตอบแทนพันธบัตร 40 ปีของญี่ปุ่นยังคงต่ำกว่าพันธบัตร 30 ปีของสหรัฐฯ ที่เกือบแตะ 5%

BOJ ต้องเลือกระหว่างสองทางที่ยากลำบากเท่ากัน ทางเลือกแรกคือไว้ใจให้ Ishiba จัดการกับปัญหาการคลัง ซึ่งหมายถึงการปล่อยให้อัตราดอกเบียสูงขึ้นต่อไป และเสี่ยงต่อการเกิดวิกฤตหนี้ที่แท้จริง

ทางเลือกที่สองคือเริ่มซื้อหนี้รัฐบาลใหม่ เพื่อบรรเทาแรงกดดัน แต่ก็ยอมรับว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นอาจไม่เคยกลับสู่ภาวะปกติได้ และยังเสี่ยงที่จะทำให้เงินเยนอ่อนค่าลงมากขึ้น

ในระยะสั้น รัฐบาลญี่ปุ่นกำลังพิจารณาลดการออกพันธบัตรระยะยาวเพื่อบรรเทาแรงกดดันในตลาด แต่นี่เป็นเพียงการแก้ปัญหาชั่วคราว เพราะจำนวนหนี้รวมของประเทศยังคงเพิ่มขึ้นอยู่

นักวิเคราะห์หลายคนเตือนว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่นไม่ใช่แค่เรื่องภายในประเทศ แต่เป็นสัญญาณเตือนว่ายุคของการกู้ยืมต้นทุนต่ำกำลังจะจบแล้ว และแม้แต่ผู้กู้ที่ปลอดภัยที่สุดก็ไม่สามารถรอดพ้นได้

สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในญี่ปุ่นคือ ผู้ประท้วงเริ่มมารวมตัวกันนอกกระทรวงการคลัง เป็นสิ่งที่แทบไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศที่มีวัฒนธรรมการเมืองที่สงบ

เป็นเวลาหลายปีที่ญี่ปุ่นจัดการกับแรงกดดันทางการเมืองด้วยการใช้จ่ายของรัฐ เงินอุดหนุน และโครงการโครงสร้างพื้นฐาน ช่วยหลีกเลี่ยงการต่อต้านแบบที่เห็นในประเทศร่ำรวยอื่นๆ

สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากกรณีญี่ปุ่นคือ การพึ่งพานโยบายการเงินและการคลังที่ผ่อนคลายเป็นเวลานานเกินไป สามารถสร้างปัญหาที่ใหญ่กว่าปัญหาเดิมได้

การ “พิมพ์เงิน” และการออกหนี้อย่างไม่มีขีดจำกัดไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาเศรษฐกิจในระยะยาว มันเป็นเพียงการเลื่อนปัญหาไปสู่อนาคต จนกระทั่งมันกลายเป็นภูเขาที่ไม่สามารถปีนขึ้นไปได้

สำหรับประเทศอื่นๆ ที่มีหนี้สูง รวมถึงสหรัฐอเมริกา สิ่งที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่นควรเป็นบทเรียน เมื่อตลาดเริ่มสูญเสียความเชื่อมั่นในความสามารถของรัฐบาลในการชำระหนี้ การเปลี่ยนแปลงสามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วและรุนแรง

ญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับช่วงเวลาสำคัญที่จะกำหนดอนาคตของประเทศ หากสามารถจัดการวิกฤตนี้ได้สำเร็จ อาจจะเป็นการเริ่มต้นใหม่ของเศรษฐกิจญี่ปุ่น แต่หากล้มเหลว ผลกระทบจะลุกลามไปยังเศรษฐกิจโลกทั้งหมด

นี่คือเหตุผลที่เราทุกคนควรติดตามสถานการณ์ในญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิด เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นที่นั่นไม่ใช่แค่เรื่องของประเทศเดียว แต่เป็นเรื่องที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในทศวรรษหน้า

วิกฤตหนี้ญี่ปุ่นที่เรากำลังเห็นอยู่นี้ เป็นมากกว่าแค่ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศเดียว มันเป็นสัญญาณเตือนว่า ยุคของการกู้ยืมต้นทุนต่ำและการพึ่งพานโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากเกินไปกำลังจะจบลง

จากประเทศที่เคยเป็นปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจ ไปสู่ประเทศที่ติดกับดักหนี้และเงินเฟ้อ ญี่ปุ่นแสดงให้เห็นว่าแม้แต่เศรษฐกิจที่แข็งแกร่งที่สุดก็สามารถประสบปัญหาได้ หากไม่มีการปฏิรูปโครงสร้างที่แท้จริง

การที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรญี่ปุ่นพุ่งสูงขึ้นสู่ระดับประวัติศาสตร์ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่เป็นเสียงเตือนจากตลาดว่า ความอดทนของนักลงทุนมีขีดจำกัด

ในท้ายที่สุด สิ่งที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่นอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเศรษฐกิจโลก ที่จะบังคับให้ประเทศต่างๆ ทบทวนนโยบายการเงินและการคลังของตนเอง และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ที่ความรับผิดชอบทางการคลังจะกลับมามีความสำคัญอีกครั้ง

มันเป็นคำเตือนว่า ในโลกของเศรษฐกิจและการเงิน ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรี ๆ และการเลื่อนปัญหาด้วยการพิมพ์เงินและออกหนี้ จะต้องมีวันที่ต้องจ่ายคืนในราคาที่แสบสันกว่าเดิมหลายเท่านั่นเองครับผม

References: [reuters, imf, deloitte, nippon, ig, invezz, wolfstreet, bloomberg]

Geek Talk EP98 : เมื่อญี่ปุ่นกำลังตายอย่างช้าๆ กับวิกฤตหนี้ที่อาจสั่นคลอนเศรษฐกิจโลก

ถ้าพูดถึงญี่ปุ่น หลายคนคงนึกถึงประเทศที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัย รถยนต์คุณภาพดี และวัฒนธรรมที่น่าสนใจ แต่ที่หลายคนไม่รู้คือ ญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับปัญหาทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ

พอดแคสต์ EP นี้จะมาชวนคุยกันในเรื่องที่สำคัญมาก ๆ ที่อาจจะเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจโลกไปตลอดกาล นั่นคือวิกฤตหนี้ของญี่ปุ่นที่กำลังระเบิดขึ้นมาในตอนนี้

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/yy36k6as

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/5ydkzezh

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/3rajv2r7

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/FW_N6uxYWX0