หลายคนอาจจะคุ้นกับชื่อของ Steve Ballmer เขาคือหนึ่งในมหาเศรษฐีระดับโลกที่มีเรื่องราวสุดเจ๋งมาก ๆ แตกต่างจากมหาเศรษฐีด้านเทคโนโลยีคนอื่นๆ เพราะเขาสร้างความมั่งคั่งจากการเป็นแค่พนักงานบริษัท ไม่ใช่ผู้ก่อตั้ง
7 กรกฎาคม 2021 มูลค่าสินทรัพย์ของ Ballmer พุ่งทะลุ 100 พันล้านดอลลาร์ ทำให้เขาเป็นคนที่ 9 ที่เข้าชมรมแสนล้าน ความเทพของเขาคือไม่ใช่เจ้าของ Google หรือ Amazon แต่เขาเป็นเพียงพนักงานคนหนึ่งที่ฉกฉวยโอกาสและผลักดันตัวเองให้กลายเป็นมหาเศรษฐีได้
Ballmer เกิดที่ Detroit ในปี 1956 ในครอบครัวผู้อพยพจากสวิตเซอร์แลนด์ พ่อเขาทำงานที่ Ford เป็นผู้จัดการทั่วไป ตั้งแต่เด็กเขาแสดงความฉลาดหลักแหลม จบจาก Detroit Country Day School ด้วยเกียรตินิยมสูงสุด
ความเทพทางการเรียนของเขาชัดเจนจากคะแนน SAT ที่ได้เต็ม 800 ในวิชาคณิตศาสตร์ แม้ว่าปัจจุบันผลการเรียนแบบนี้อาจเป็นแค่คุณสมบัติพื้นฐานสำหรับเข้า Harvard แต่ในปี 1973 มันเจ๋งพอที่จะทำให้เขาได้เข้าเรียนรุ่นปี 1977
ที่ Harvard เขาเลือกเรียนคณิตศาสตร์ประยุกต์และเศรษฐศาสตร์ ใช้เวลาว่างทำงานให้หนังสือพิมพ์มหาวิทยาลัยและเป็นผู้จัดการทีมฟุตบอล Harvard Crimson จุดพีคในชีวิตเกิดขึ้นเมื่อเขาได้รู้จัก Bill Gates
ช่วงนั้น Bill กำลังจะลาออกเพื่อสร้าง Microsoft มีข่าวลือว่า Bill ชวน Ballmer ให้ลาออกมาด้วยกัน แต่เขาเลือกเส้นทางปลอดภัยและขอเรียนจบที่ Harvard ก่อน ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ใครจะไปสนใจคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในปี 1975 กัน
หลังจาก Bill ลาออก ทั้งคู่แยกทางกันชั่วคราว Bill มุ่งมั่นกับ Microsoft ส่วน Ballmer เรียนจนจบด้วยเกียรตินิยมอันดับสองในปี 1977
จบแล้ว Ballmer ได้งานที่ดีมาก ๆ ที่ Procter & Gamble เป็นผู้จัดการโครงการ ทำงานที่นั่นสองปีก่อนกลับไปเรียนต่อ MBA ที่ Stanford ในช่วงฤดูร้อนถัดมา เขาติดต่อ Bill เพื่อขอทำงานช่วงปิดเทอม
แต่ Bill ไม่ต้องการแค่พนักงานชั่วคราว เขาขอให้ Ballmer ลาออกจาก Stanford มาเป็นผู้จัดการเต็มเวลาคนแรกของ Microsoft คราวนี้ Ballmer มั่นใจกว่าเดิม มีปริญญาจาก Harvard ประสบการณ์จาก P&G และเหลือเรียน MBA อีกแค่ปีเดียว
เมื่อ Ballmer บอกพ่อแม่เรื่องข้อเสนอจาก Microsoft พวกเขาแสดงความกังวล พ่อถามว่า “ซอฟต์แวร์คืออะไร” แม่สงสัยว่า “ทำไมคนต้องใช้คอมพิวเตอร์” แต่สุดท้าย Ballmer ตัดสินใจเข้าร่วม Microsoft วันที่ 11 มิถุนายน 1980
เขาเป็นพนักงานคนที่ 30 ได้เงินเดือน 50,000 ดอลลาร์ต่อปี (เทียบเท่า 163,000 ดอลลาร์ปัจจุบัน) Bill ยังสัญญาจะให้หุ้น 5-10% ในอนาคต ตำแหน่งคือผู้จัดการธุรกิจแต่จริงๆ แล้วทำทุกอย่างตั้งแต่จ้างคนไปจนถึงทำอาหารและล้างขวด
โอกาสทองมาถึงในปลายปี 1980 เมื่อ Microsoft มีประชุมกับ IBM Bill ขอให้ Ballmer เข้าร่วมไม่ใช่เพราะกลยุทธ์เจ๋งๆ ของ Ballmer แต่อย่างใด แต่เพราะเขาเป็นคนเดียวที่รู้วิธีผูกเนคไท แต่การมีส่วนร่วมของเขาพิสูจน์ว่ามีค่ามากกว่านั้น
ทั้ง Bill Gates และ Paul Allen ไม่มีประสบการณ์เจรจาธุรกิจ แม้ Ballmer จะประสบการณ์น้อย แต่ยังมากกว่าทั้งคู่ ระหว่างเจรจากับ IBM พวกเขาสามารถใส่ข้อตกลงไม่ผูกขาด (non-exclusivity) IBM จ่าย 430,000 ดอลลาร์ให้พัฒนา MS-DOS แต่ Microsoft สามารถขายต่อให้ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายอื่นได้
IBM ไม่ได้โง่ แต่ตอนนั้นพวกเขากำลังถูกสอบสวนเรื่องการผูกขาดทางธุรกิจ จึงยอมรับข้อตกลงนี้เพื่อลดแรงเสียดทานในเรื่องนี้
ระหว่างปี 1981-1985 Bill ดูแลด้านเทคนิคของ MS-DOS ส่วน Ballmer ดูแลด้านธุรกิจ ขายให้ผู้ผลิตหลายราย ส่งผลให้รายได้ Microsoft พุ่งกระฉูดจาก 16 ล้านดอลลาร์เป็น 140 ล้านดอลลาร์
ผลงานของ Ballmer ทำให้ Bill รักษาสัญญาให้หุ้นตามที่ตกลงไว้ เมื่อ Microsoft เข้าตลาดหุ้นปี 1986 มูลค่าบริษัทแตะ 780 ล้านดอลลาร์ หุ้น 8% ของ Ballmer มีมูลค่า 51.5 ล้านดอลลาร์ เทียบเท่ากับทำงานแค่ 6 ปีได้ปีละ 10 ล้านดอลลาร์ พ่อแม่เขาคงภูมิใจมากขึ้นแล้ว
หลังยุคบุกเบิก Ballmer รับบทบาทบริหารมากขึ้น จนถึงปี 1992 ได้เป็นรองประธานฝ่ายขายและสนับสนุน ช่วงนี้เขานำการพัฒนา .NET Framework เรียกได้ว่าสร้างผลงานได้อย่างน่าทึ่ง
กรกฎาคม 1998 เขาได้เลื่อนเป็นประธาน Microsoft เป็นอันดับสองรองจาก Bill Gates และเมื่อ Bill ลงจากตำแหน่ง CEO ในปี 2000 Ballmer ก็ได้เป็น CEO เต็มตัว
แม้ Ballmer มักถูกวิจารณ์ว่าเป็น CEO ที่ไม่เอาไหน แต่ความจริงไม่ได้เป็นแบบนั้น คนวิจารณ์มักชี้ว่าราคาหุ้น Microsoft ไม่เติบโตในช่วง 14 ปีที่เขาบริหาร แต่ลืมไปว่า Ballmer รับตำแหน่งตอนฟองสบู่ดอทคอมกำลังจะแตก
หลังเขารับตำแหน่งได้ไม่นาน หุ้น Microsoft ร่วงจาก 58 ดอลลาร์เหลือ 21 ดอลลาร์ภายใน 12 เดือน ลดฮวบไป 63% และเมื่อเริ่มฟื้น ก็เจอกับวิกฤตการเงินจนเหลือแค่ 15 ดอลลาร์
แต่พูดถึงความเจ๋งของ Ballmer เขาสนับสนุน Xbox อย่างเต็มที่ ทั้งที่ผู้บริหารหลายคนคิดว่า Microsoft ควรทำแค่ซอฟต์แวร์ ไม่ควรทำฮาร์ดแวร์ แต่เขายืนยันและปัจจุบัน Xbox เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ทำรายได้มหาศาลให้กับบริษัท
ในปี 2010 ภายใต้การนำของ Ballmer Microsoft เปิดตัวบริการคลาวด์ Azure ซึ่งกลายเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และแม้เขาจะไม่เห็นศักยภาพ iPhone แต่เขาเล็งเห็นโอกาสอื่น เช่นลงทุน 240 ล้านดอลลาร์ใน Facebook ปี 2007 ตอนมูลค่าเพียง 15 พันล้านดอลลาร์ ปัจจุบันพุ่งทะยานเป็นล้านล้านดอลลาร์
ผลงานที่ชัดเจนของ Ballmer คือตัวเลขธุรกิจ ช่วงที่เขาเป็น CEO รายได้ Microsoft เพิ่มจาก 25 พันล้านเป็น 70 พันล้านดอลลาร์ กำไรเพิ่มจาก 9.4 พันล้านเป็น 22 พันล้านดอลลาร์ นักลงทุนเริ่มเห็นคุณค่าของเขาหลังจากที่เขาลาออกไปแล้ว
เขาได้เกษียณจาก Microsoft ในปี 2014 หลังจากนั้น Ballmer ได้เข้าซื้อทีม LA Clippers ด้วยเงิน 2 พันล้านดอลลาร์ และกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ Microsoft ขณะที่ Bill Gates ลดสัดส่วนการถือหุ้นจาก 45% เหลือแค่ 1.3% ส่วน Ballmer ยังถือ 4% จากเดิม 8%
มันเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากถ้าหาก Bill ไม่ขายหุ้นเลย ปัจจุบันจะมีมูลค่า 900 พันล้านดอลลาร์ และถ้า Ballmer ไม่ขายหุ้นเลย จะมี 160 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่า Bill Gates ในปัจจุบัน
แม้จะขายหุ้นไปบ้าง แต่ Ballmer ยังภูมิใจที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Microsoft เขาเทิดทูนบริษัทมาก ถึงขั้นห้ามทีม Clippers ใช้ผลิตภัณฑ์ Apple และไม่ให้ครอบครัวใช้ iPhone
ความมุ่งมั่นของเขาไม่ใช่แค่การแสดง แต่เป็นความจริงใจเมื่อพูดว่า “ผมมีสี่คำจะบอกคุณ: ผมรักบริษัทนี้” นี่คือเรื่องราวสุดเจ๋งของ Steve Ballmer ที่สร้างสินทรัพย์มูลค่า 100 พันล้านดอลลาร์จากการเป็นพนักงานธรรมดา ๆ
ความสำเร็จไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของบริษัทเสมอไป บางครั้งการเลือกเส้นทางการเป็นพนักงาน แต่ทำงานด้วยความมุ่งมั่น ซื่อสัตย์ และการพยายามคว้าโอกาสที่สำคัญ ๆ ไว้ก็สามารถสร้างความยิ่งใหญ่ได้ ซึ่ง Ballmer เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า พนักงานเงินเดือนก็มีโอกาสรวยระดับโลกได้ ถ้ามีวิสัยทัศน์และกล้าที่จะเสี่ยง