จากพนักงานเงินเดือนสู่มหาเศรษฐีแสนล้าน กับบทพิสูจน์ว่าทำงานประจำก็รวยได้แบบ Steve Ballmer

หลายคนอาจจะคุ้นกับชื่อของ Steve Ballmer เขาคือหนึ่งในมหาเศรษฐีระดับโลกที่มีเรื่องราวสุดเจ๋งมาก ๆ แตกต่างจากมหาเศรษฐีด้านเทคโนโลยีคนอื่นๆ เพราะเขาสร้างความมั่งคั่งจากการเป็นแค่พนักงานบริษัท ไม่ใช่ผู้ก่อตั้ง

7 กรกฎาคม 2021 มูลค่าสินทรัพย์ของ Ballmer พุ่งทะลุ 100 พันล้านดอลลาร์ ทำให้เขาเป็นคนที่ 9 ที่เข้าชมรมแสนล้าน ความเทพของเขาคือไม่ใช่เจ้าของ Google หรือ Amazon แต่เขาเป็นเพียงพนักงานคนหนึ่งที่ฉกฉวยโอกาสและผลักดันตัวเองให้กลายเป็นมหาเศรษฐีได้

Ballmer เกิดที่ Detroit ในปี 1956 ในครอบครัวผู้อพยพจากสวิตเซอร์แลนด์ พ่อเขาทำงานที่ Ford เป็นผู้จัดการทั่วไป ตั้งแต่เด็กเขาแสดงความฉลาดหลักแหลม จบจาก Detroit Country Day School ด้วยเกียรตินิยมสูงสุด

ความเทพทางการเรียนของเขาชัดเจนจากคะแนน SAT ที่ได้เต็ม 800 ในวิชาคณิตศาสตร์ แม้ว่าปัจจุบันผลการเรียนแบบนี้อาจเป็นแค่คุณสมบัติพื้นฐานสำหรับเข้า Harvard แต่ในปี 1973 มันเจ๋งพอที่จะทำให้เขาได้เข้าเรียนรุ่นปี 1977

ที่ Harvard เขาเลือกเรียนคณิตศาสตร์ประยุกต์และเศรษฐศาสตร์ ใช้เวลาว่างทำงานให้หนังสือพิมพ์มหาวิทยาลัยและเป็นผู้จัดการทีมฟุตบอล Harvard Crimson จุดพีคในชีวิตเกิดขึ้นเมื่อเขาได้รู้จัก Bill Gates

ช่วงนั้น Bill กำลังจะลาออกเพื่อสร้าง Microsoft มีข่าวลือว่า Bill ชวน Ballmer ให้ลาออกมาด้วยกัน แต่เขาเลือกเส้นทางปลอดภัยและขอเรียนจบที่ Harvard ก่อน ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ใครจะไปสนใจคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในปี 1975 กัน

หลังจาก Bill ลาออก ทั้งคู่แยกทางกันชั่วคราว Bill มุ่งมั่นกับ Microsoft ส่วน Ballmer เรียนจนจบด้วยเกียรตินิยมอันดับสองในปี 1977

จบแล้ว Ballmer ได้งานที่ดีมาก ๆ ที่ Procter & Gamble เป็นผู้จัดการโครงการ ทำงานที่นั่นสองปีก่อนกลับไปเรียนต่อ MBA ที่ Stanford ในช่วงฤดูร้อนถัดมา เขาติดต่อ Bill เพื่อขอทำงานช่วงปิดเทอม

แต่ Bill ไม่ต้องการแค่พนักงานชั่วคราว เขาขอให้ Ballmer ลาออกจาก Stanford มาเป็นผู้จัดการเต็มเวลาคนแรกของ Microsoft คราวนี้ Ballmer มั่นใจกว่าเดิม มีปริญญาจาก Harvard ประสบการณ์จาก P&G และเหลือเรียน MBA อีกแค่ปีเดียว

เมื่อ Ballmer บอกพ่อแม่เรื่องข้อเสนอจาก Microsoft พวกเขาแสดงความกังวล พ่อถามว่า “ซอฟต์แวร์คืออะไร” แม่สงสัยว่า “ทำไมคนต้องใช้คอมพิวเตอร์” แต่สุดท้าย Ballmer ตัดสินใจเข้าร่วม Microsoft วันที่ 11 มิถุนายน 1980

เขาเป็นพนักงานคนที่ 30 ได้เงินเดือน 50,000 ดอลลาร์ต่อปี (เทียบเท่า 163,000 ดอลลาร์ปัจจุบัน) Bill ยังสัญญาจะให้หุ้น 5-10% ในอนาคต ตำแหน่งคือผู้จัดการธุรกิจแต่จริงๆ แล้วทำทุกอย่างตั้งแต่จ้างคนไปจนถึงทำอาหารและล้างขวด

โอกาสทองมาถึงในปลายปี 1980 เมื่อ Microsoft มีประชุมกับ IBM Bill ขอให้ Ballmer เข้าร่วมไม่ใช่เพราะกลยุทธ์เจ๋งๆ ของ Ballmer แต่อย่างใด แต่เพราะเขาเป็นคนเดียวที่รู้วิธีผูกเนคไท แต่การมีส่วนร่วมของเขาพิสูจน์ว่ามีค่ามากกว่านั้น

ทั้ง Bill Gates และ Paul Allen ไม่มีประสบการณ์เจรจาธุรกิจ แม้ Ballmer จะประสบการณ์น้อย แต่ยังมากกว่าทั้งคู่ ระหว่างเจรจากับ IBM พวกเขาสามารถใส่ข้อตกลงไม่ผูกขาด (non-exclusivity) IBM จ่าย 430,000 ดอลลาร์ให้พัฒนา MS-DOS แต่ Microsoft สามารถขายต่อให้ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายอื่นได้

IBM ไม่ได้โง่ แต่ตอนนั้นพวกเขากำลังถูกสอบสวนเรื่องการผูกขาดทางธุรกิจ จึงยอมรับข้อตกลงนี้เพื่อลดแรงเสียดทานในเรื่องนี้

ระหว่างปี 1981-1985 Bill ดูแลด้านเทคนิคของ MS-DOS ส่วน Ballmer ดูแลด้านธุรกิจ ขายให้ผู้ผลิตหลายราย ส่งผลให้รายได้ Microsoft พุ่งกระฉูดจาก 16 ล้านดอลลาร์เป็น 140 ล้านดอลลาร์

ผลงานของ Ballmer ทำให้ Bill รักษาสัญญาให้หุ้นตามที่ตกลงไว้ เมื่อ Microsoft เข้าตลาดหุ้นปี 1986 มูลค่าบริษัทแตะ 780 ล้านดอลลาร์ หุ้น 8% ของ Ballmer มีมูลค่า 51.5 ล้านดอลลาร์ เทียบเท่ากับทำงานแค่ 6 ปีได้ปีละ 10 ล้านดอลลาร์ พ่อแม่เขาคงภูมิใจมากขึ้นแล้ว

หลังยุคบุกเบิก Ballmer รับบทบาทบริหารมากขึ้น จนถึงปี 1992 ได้เป็นรองประธานฝ่ายขายและสนับสนุน ช่วงนี้เขานำการพัฒนา .NET Framework เรียกได้ว่าสร้างผลงานได้อย่างน่าทึ่ง

กรกฎาคม 1998 เขาได้เลื่อนเป็นประธาน Microsoft เป็นอันดับสองรองจาก Bill Gates และเมื่อ Bill ลงจากตำแหน่ง CEO ในปี 2000 Ballmer ก็ได้เป็น CEO เต็มตัว

แม้ Ballmer มักถูกวิจารณ์ว่าเป็น CEO ที่ไม่เอาไหน แต่ความจริงไม่ได้เป็นแบบนั้น คนวิจารณ์มักชี้ว่าราคาหุ้น Microsoft ไม่เติบโตในช่วง 14 ปีที่เขาบริหาร แต่ลืมไปว่า Ballmer รับตำแหน่งตอนฟองสบู่ดอทคอมกำลังจะแตก

หลังเขารับตำแหน่งได้ไม่นาน หุ้น Microsoft ร่วงจาก 58 ดอลลาร์เหลือ 21 ดอลลาร์ภายใน 12 เดือน ลดฮวบไป 63% และเมื่อเริ่มฟื้น ก็เจอกับวิกฤตการเงินจนเหลือแค่ 15 ดอลลาร์

แต่พูดถึงความเจ๋งของ Ballmer เขาสนับสนุน Xbox อย่างเต็มที่ ทั้งที่ผู้บริหารหลายคนคิดว่า Microsoft ควรทำแค่ซอฟต์แวร์ ไม่ควรทำฮาร์ดแวร์ แต่เขายืนยันและปัจจุบัน Xbox เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ทำรายได้มหาศาลให้กับบริษัท

ในปี 2010 ภายใต้การนำของ Ballmer Microsoft เปิดตัวบริการคลาวด์ Azure ซึ่งกลายเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และแม้เขาจะไม่เห็นศักยภาพ iPhone แต่เขาเล็งเห็นโอกาสอื่น เช่นลงทุน 240 ล้านดอลลาร์ใน Facebook ปี 2007 ตอนมูลค่าเพียง 15 พันล้านดอลลาร์ ปัจจุบันพุ่งทะยานเป็นล้านล้านดอลลาร์

ผลงานที่ชัดเจนของ Ballmer คือตัวเลขธุรกิจ ช่วงที่เขาเป็น CEO รายได้ Microsoft เพิ่มจาก 25 พันล้านเป็น 70 พันล้านดอลลาร์ กำไรเพิ่มจาก 9.4 พันล้านเป็น 22 พันล้านดอลลาร์ นักลงทุนเริ่มเห็นคุณค่าของเขาหลังจากที่เขาลาออกไปแล้ว

เขาได้เกษียณจาก Microsoft ในปี 2014 หลังจากนั้น Ballmer ได้เข้าซื้อทีม LA Clippers ด้วยเงิน 2 พันล้านดอลลาร์ และกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ Microsoft ขณะที่ Bill Gates ลดสัดส่วนการถือหุ้นจาก 45% เหลือแค่ 1.3% ส่วน Ballmer ยังถือ 4% จากเดิม 8%

มันเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากถ้าหาก Bill ไม่ขายหุ้นเลย ปัจจุบันจะมีมูลค่า 900 พันล้านดอลลาร์ และถ้า Ballmer ไม่ขายหุ้นเลย จะมี 160 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่า Bill Gates ในปัจจุบัน

แม้จะขายหุ้นไปบ้าง แต่ Ballmer ยังภูมิใจที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Microsoft เขาเทิดทูนบริษัทมาก ถึงขั้นห้ามทีม Clippers ใช้ผลิตภัณฑ์ Apple และไม่ให้ครอบครัวใช้ iPhone

ความมุ่งมั่นของเขาไม่ใช่แค่การแสดง แต่เป็นความจริงใจเมื่อพูดว่า “ผมมีสี่คำจะบอกคุณ: ผมรักบริษัทนี้” นี่คือเรื่องราวสุดเจ๋งของ Steve Ballmer ที่สร้างสินทรัพย์มูลค่า 100 พันล้านดอลลาร์จากการเป็นพนักงานธรรมดา ๆ

ความสำเร็จไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของบริษัทเสมอไป บางครั้งการเลือกเส้นทางการเป็นพนักงาน แต่ทำงานด้วยความมุ่งมั่น ซื่อสัตย์ และการพยายามคว้าโอกาสที่สำคัญ ๆ ไว้ก็สามารถสร้างความยิ่งใหญ่ได้ ซึ่ง Ballmer เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า พนักงานเงินเดือนก็มีโอกาสรวยระดับโลกได้ ถ้ามีวิสัยทัศน์และกล้าที่จะเสี่ยง

Geek Story EP294 : จากพนักงานเงินเดือนสู่มหาเศรษฐีแสนล้าน กับบทพิสูจน์ว่าทำงานประจำก็รวยได้แบบ Steve Ballmer

ในโลกของความสำเร็จและความมั่งคั่ง มีเรื่องราวมากมายที่เล่าถึงผู้ก่อตั้งบริษัทยักษ์ใหญ่ที่สร้างอาณาจักรด้วยความคิดสร้างสรรค์และวิสัยทัศน์อันกว้างไกล แต่วันนี้ เราจะมาพบกับเรื่องราวที่แตกต่างออกไป เรื่องราวของชายคนหนึ่งที่สร้างความมั่งคั่งมหาศาลจากการเป็นเพียงพนักงานบริษัท

วันที่ 7 กรกฎาคม 2021 เป็นวันสำคัญที่ Steve Ballmer ก้าวขึ้นสู่การเป็นมหาเศรษฐีระดับแสนล้านอย่างเป็นทางการ ด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิที่ทะลุ 100 พันล้านดอลลาร์ เขากลายเป็นสมาชิกคนที่ 9 ในกลุ่มมหาเศรษฐีระดับนี้ แต่สิ่งที่ทำให้ Steve แตกต่างจากคนอื่นๆ ในกลุ่มคือ เขาไม่ได้เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Google, Facebook, Oracle หรือ Amazon และไม่ได้โชคดีจากการลงทุนในช่วงจังหวะทองอย่างการซื้อ Bitcoin ในปี 2009 หรือลงทุนใน Amazon ในช่วงวิกฤต Dotcom

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/yewatrvz

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/47mk8vtk

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/yuy99xu6

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/jrnzTINKv9E

หยุดกลัวการถูกปฏิเสธ! ชายจีนผู้ท้าทายการถูกปฏิเสธ 100 วัน และบทเรียนที่เปลี่ยนชีวิต

ในโลกแห่งการแข่งขันทางธุรกิจและการใช้ชีวิตประจำวัน เราทุกคนต่างเคยเผชิญกับความกลัวการถูกปฏิเสธมาแล้วทั้งนั้น บางคนถึงขั้นยอมทิ้งความฝันและโอกาสดีๆ ในชีวิตเพียงเพราะกลัวคำว่า “ไม่”

แต่มีชายคนหนึ่งที่กล้าท้าทายความกลัวนี้ด้วยวิธีที่แปลกประหลาดและน่าสนใจ เขาคือ Jia Jiang ชายชาวจีนผู้อพยพมาอเมริกาพร้อมความฝันที่จะเป็นผู้ประกอบการ

Jia Jiang เกิดและเติบโตในเมืองปักกิ่ง ประเทศจีน ตั้งแต่เด็กเขามีความฝันที่จะเป็นผู้ประกอบการในอเมริกา แรงบันดาลใจนี้เกิดขึ้นหลังจากที่เขาได้พบกับ Bill Gates ในงานที่โรงเรียนตอนอายุ 14 ปี ทำให้เขาตัดสินใจมุ่งมั่นที่จะย้ายมาเรียนและทำงานในอเมริกา

แม้จะประสบความสำเร็จในการเรียนและการทำงานในบริษัทชั้นนำ แต่ความฝันของเขากลับถูกขัดขวางด้วยความกลัวการถูกปฏิเสธที่ฝังรากลึก จนกระทั่งวันหนึ่ง หลังจากนักลงทุนปฏิเสธที่จะสนับสนุนสตาร์ทอัพของเขา แทนที่จะยอมแพ้ เขากลับตัดสินใจท้าทายตัวเองด้วยการทำภารกิจที่เรียกว่า “100 วันแห่งการถูกปฏิเสธ” ซึ่งผมว่ามันเป็นการทดลองที่เจ๋งมาก ๆ

แรงบันดาลใจในการทำภารกิจนี้มาจาก Jason Comely ผู้สร้างเกม “Rejection Therapy” ที่มีกฎง่ายๆ คือผู้เล่นต้องทำให้ตัวเองถูกปฏิเสธจากใครสักคนทุกวัน Comely สร้างเกมนี้หลังจากที่ภรรยาของเขาจากไป และเขาต้องต่อสู้กับความกลัวการถูกปฏิเสธอย่างรุนแรง

ภารกิจของ Jia Jiang เริ่มต้นด้วยการขอสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ในแต่ละวัน เช่น การขอยืมเงิน 100 ดอลลาร์จากคนแปลกหน้า การขอให้พนักงาน Krispy Kreme ทำโดนัทเป็นรูปวงแหวนโอลิมปิก การเคาะประตูบ้านคนแปลกหน้าเพื่อขอเล่นฟุตบอลในสนามหลังบ้าน การขอถ่ายรูปกับพนักงานรักษาความปลอดภัยในท่าซูเปอร์ฮีโร่ หรือแม้แต่การเดินเข้าไปในออฟฟิศแบบสุ่มเพื่อขอทำงานเพียงวันเดียว

หนึ่งในเหตุการณ์ที่น่าประทับใจที่สุดคือวันที่เขาขอให้พนักงาน Krispy Kreme ทำโดนัทรูปวงแหวนโอลิมปิก แทนที่จะถูกปฏิเสธ Jackie พนักงานที่อยู่เวรกลับใช้เวลา 15 นาทีในการวาดและจัดวางโดนัทเป็นรูปวงแหวนโอลิมปิก พร้อมทั้งใช้น้ำตาลสีต่างๆ ตกแต่งให้สวยงาม โดยไม่คิดเงินเพิ่ม

จากการทดลองนี้ Jia Jiang ได้ค้นพบความจริงที่น่าทึ่งเกี่ยวกับธรรมชาติของการถูกปฏิเสธ ประการแรก เขาพบว่าการถูกปฏิเสธนั้นเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนบุคคล ไม่ต่างจากการที่คนไม่ชอบไอศกรีมรสมินต์ปฏิเสธที่จะรับประทาน มันไม่ได้สะท้อนถึงคุณค่าของตัวเราแต่อย่างใด

ในระหว่างการทดลอง เขาพบว่าผู้คนมักมีเหตุผลส่วนตัวในการปฏิเสธที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเขาเลย เช่น กฎระเบียบขององค์กร ข้อจำกัดด้านเวลา หรือแม้แต่อารมณ์ความรู้สึกในขณะนั้น การเข้าใจเรื่องนี้ช่วยให้เขารับมือกับการถูกปฏิเสธได้ดีขึ้น

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือกรณีของ Joshua Bell นักไวโอลินรางวัล Grammy ที่แต่งตัวธรรมดาใส่ยีนส์และหมวกเบสบอล ไปเล่นดนตรีในสถานีรถไฟใต้ดิน DC มีเพียง 7 คนจาก 1,097 คนที่หยุดฟัง ทั้งที่การแสดงของเขามักได้รับเสียงปรบมือยืนยาวในคอนเสิร์ตฮอลล์ชื่อดังอย่าง John F. Kennedy Center

การทดลองของ Joshua Bell เป็นส่วนหนึ่งของโครงการที่จัดทำโดยหนังสือพิมพ์ Washington Post ในปี 2007 เพื่อศึกษาการรับรู้ความงามของศิลปะในบริบทที่ไม่คาดคิด Bell เล่นบทเพลงคลาสสิกที่ยากที่สุดบางบทด้วยไวโอลิน Stradivarius มูลค่า 3.5 ล้านดอลลาร์ แต่ได้รับเงินบริจาคเพียง 32 ดอลลาร์จากการแสดง 45 นาที

นี่แสดงให้เห็นว่าบริบทและจังหวะเวลามีผลต่อการตอบรับมากกว่าความสามารถที่แท้จริง เช่นเดียวกับที่คนในสถานีรถไฟไม่ได้ปฏิเสธความสามารถของ Joshua Bell แต่พวกเขาแค่ไม่ได้อยู่ในโหมดที่จะชื่นชมดนตรีคลาสสิกในตอนเช้าที่เร่งรีบ

ประการที่สอง การถามหาเหตุผลของการปฏิเสธอย่างสุภาพสามารถเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ๆ ได้ เช่นครั้งที่ Jia Jiang ขอประกาศเรื่องความปลอดภัยบนเครื่องบิน Southwest แม้จะถูกปฏิเสธในตอนแรก แต่เมื่อถามถึงเหตุผล พนักงานกลับคิดหาทางออกใหม่ให้เขาได้พูดต้อนรับผู้โดยสารแทน

การถามหาเหตุผลยังช่วยให้เราเข้าใจมุมมองของอีกฝ่าย และบางครั้งอาจนำไปสู่ทางออกที่ดีกว่าเดิม เช่นกรณีที่เขาขอใช้เครื่องประกาศเสียงที่ร้าน Costco เพื่อประกาศชมเชยพนักงาน แม้จะถูกปฏิเสธ แต่ผู้จัดการกลับรู้สึกประทับใจในความตั้งใจดีของเขาและเลี้ยงอาหารเป็นการตอบแทน

นอกจากนี้ การถามเหตุผลยังช่วยให้เราได้ข้อมูลที่มีค่าสำหรับการปรับปรุงคำขอในครั้งต่อไป เช่น เมื่อเขาขอให้สายการบินอนุญาตให้ประกาศ เขาได้เรียนรู้ว่ามีข้อกำหนดด้านความปลอดภัยที่ต้องคำนึงถึง ทำให้ในครั้งต่อไปเขาสามารถปรับคำขอให้สอดคล้องกับข้อกำหนดเหล่านั้นได้

ประการที่สาม การลดขนาดคำขอลง หรือที่ Robert Cialdini ผู้เขียนหนังสือ “Influence” เรียกว่า “Retreating” เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ เพราะผู้คนมักรู้สึกไม่สบายใจที่จะปฏิเสธคำขอเล็กๆ หลังจากที่ปฏิเสธคำขอใหญ่ไปแล้ว

จากการศึกษาของ Cialdini พบว่าการลดขนาดคำขอสามารถเพิ่มโอกาสการตอบรับได้ถึง 76% เพราะเป็นการแสดงความยืดหยุ่นและความเข้าใจต่อข้อจำกัดของอีกฝ่าย นอกจากนี้ ยังเป็นการใช้ประโยชน์จากหลักจิตวิทยาที่เรียกว่า “การตอบแทน (Reciprocity)” ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าควรตอบแทนความยืดหยุ่นที่เราแสดงออก

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือเมื่อ Jia Jiang ขอแซนด์วิช McGriddle จาก McDonald’s ในตอนบ่าย 2 โมง ซึ่งเลยเวลาอาหารเช้าไปแล้ว เมื่อถูกปฏิเสธและได้รับคำอธิบายว่าเครื่องทำไข่และไส้กรอกถูกล้างไปแล้ว เขาจึงปรับคำขอเป็นขนมปังกริดเดิลราดน้ำผึ้งกับชีสแทน ซึ่งพนักงานสามารถจัดให้ได้

การลดขนาดคำขอยังช่วยให้เราได้เรียนรู้ว่าบางครั้งสิ่งที่เราต้องการจริงๆ อาจไม่ใช่สิ่งที่เราขอในตอนแรก เช่น ในกรณีของ McDonald’s เขาได้ค้นพบว่าสิ่งที่เขาต้องการจริงๆ คือรสชาติของขนมปังกริดเดิล ไม่ใช่แซนด์วิช McGriddle ทั้งชิ้น

การถูกปฏิเสธยังมีประโยชน์แฝงอยู่หลายประการที่น่าสนใจ ประการแรกคือการสร้างภูมิคุ้มกันต่อการถูกปฏิเสธในอนาคต เมื่อเราเข้าใจว่าการถูกปฏิเสธไม่ได้ทำลายคุณค่าในตัวเรา เราจะกล้าเผชิญกับความเสี่ยงมากขึ้น เหมือนการฉีดวัคซีนที่ช่วยให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรค การเผชิญกับการถูกปฏิเสธบ่อยๆ จะช่วยให้เราแข็งแกร่งขึ้น

ในช่วงท้ายของการทดลอง Jia Jiang พบว่าเขาสามารถรับมือกับการถูกปฏิเสธได้ดีขึ้นมาก เขารู้สึกเจ็บปวดน้อยลงเมื่อถูกปฏิเสธ และสามารถมองหาโอกาสใหม่ๆ ได้เร็วขึ้น เขาเปรียบเทียบว่าเหมือนกับนักมวยที่โดนต่อยบ่อยๆ จนชินและรู้วิธีรับมือกับหมัด

ประการที่สองคือการเพิ่มแรงจูงใจ เหมือนกรณีของ Michael Jordan ที่ใช้การถูกปฏิเสธจากทีมบาสเก็ตบอลมัธยมเป็นแรงผลักดันในการฝึกซ้อมหนักขึ้น จนกลายเป็นหนึ่งในนักบาสเก็ตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล

Michael Jordan เคยเล่าว่าเขาถูกตัดตัวจากทีมบาสเก็ตบอลมัธยมปลายในปีที่สอง แต่แทนที่จะยอมแพ้ เขากลับใช้ความผิดหวังนั้นเป็นแรงผลักดันให้ตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้า เพื่อซ้อมก่อนเข้าเรียน และซ้อมต่อจนถึงค่ำทุกวัน จนในที่สุดเขาก็ได้กลับเข้าทีมและกลายเป็นดาวเด่น

ประการสุดท้ายคือการให้แนวทางในการปรับปรุง ดังที่ Thomas Edison กล่าวว่า เขาไม่ได้ล้มเหลว 10,000 ครั้ง แต่ค้นพบ 10,000 วิธีที่ใช้ไม่ได้ผล การมองการปฏิเสธแบบไม่มีเรื่องอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องจะช่วยให้เราเห็นจุดที่ต้องปรับปรุงได้ชัดเจนขึ้น

Edison เป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้การล้มเหลวเป็นบทเรียน ในการคิดค้นหลอดไฟฟ้า เขาทดลองวัสดุที่จะใช้เป็นไส้หลอดมากกว่า 6,000 ชนิด แต่ละครั้งที่ล้มเหลว เขาจดบันทึกอย่างละเอียดว่าทำไมมันถึงใช้ไม่ได้ จนในที่สุดเขาก็ค้นพบว่าใยไม้ไผ่เป็นวัสดุที่เหมาะสมที่สุด

หลังจากจบภารกิจ 100 วัน Jia Jiang ได้กลายเป็นวิทยากรและผู้เชี่ยวชาญด้านการเอาชนะความกลัวการถูกปฏิเสธ เขาได้เขียนหนังสือ “Rejection Proof” และให้การบรรยาย TED Talk ที่มีผู้ชมนับล้าน ประสบการณ์ของเขาได้สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนทั่วโลกกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความกลัวการถูกปฏิเสธ

ปัจจุบัน Jia Jiang ได้ก่อตั้งบริษัท Rejection Therapy เพื่อช่วยให้ผู้คนและองค์กรต่างๆ เอาชนะความกลัวการถูกปฏิเสธ เขาได้รับเชิญไปบรรยายในองค์กรชั้นนำมากมาย เช่น Google, Microsoft, และ Bank of America โดยเขาเน้นย้ำว่าการเอาชนะความกลัวการถูกปฏิเสธไม่เพียงช่วยให้เราประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน แต่ยังช่วยให้เรามีความสุขในชีวิตมากขึ้นด้วย

ในท้ายที่สุด Jia Jiang สรุปว่า การถูกปฏิเสธที่เคยเป็นเหมือนยักษ์โกลิอัทในชีวิตของเขา ได้กลายเป็นเพียงความท้าทายที่สามารถเอาชนะได้ด้วยมุมมองที่ถูกต้องและการฝึกฝน เมื่อเราเข้าใจว่าการถูกปฏิเสธไม่ใช่การตัดสินคุณค่าของเรา เราก็จะมีอิสระในการขอสิ่งที่ต้องการมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขอเลื่อนตำแหน่ง การขอความช่วยเหลือ หรือแม้แต่การขอโอกาสในการทำความฝันให้เป็นจริง

References :
หนังสือ Rejection Proof: How I Beat Fear and Became Invincible Through 100 Days of Rejection โดย Jia Jiang

Geek Life EP122 : ไม่มีความฝันไหนใหญ่เกินไป ถูกไล่ออกจากงาน แต่กลับมาเป็นซีอีโอ กับบทเรียนจากบ้านสีชมพู

ณ เมืองเล็กๆ ชื่อ Wrens ในรัฐ Georgia ห่างจากเมือง Atlanta ไปทางใต้ราว 2.5 ชั่วโมง มีบ้านสีชมพูหลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ริมถนนดิน ติดกับทางหลวง East 88 บ้านหลังนี้ไม่เพียงแต่เป็นที่อยู่อาศัยของคุณยาย แต่ยังเป็นจุดกำเนิดของบทเรียนชีวิตอันล้ำค่าที่หล่อหลอมให้เด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่งเติบโตขึ้นมาเป็นผู้นำที่แข็งแกร่ง

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/423x2c4t

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/3sdkxcec

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/v8xXFO89LE0

Geek Life EP116 : พรสวรรค์ VS ความพากเพียร อะไรสำคัญกว่ากัน? พบคำตอบที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณ

หากจะพูดถึงปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จในชีวิต หลายคนอาจนึกถึงพรสวรรค์เป็นอันดับแรก แต่งานวิจัยของ Angela Duckworth นักจิตวิทยาจาก University of Pennsylvania กลับชี้ให้เห็นว่า ความพากเพียรต่างหากที่เป็นกุญแจสำคัญ

ในหนังสือ “Grit: The Power of Passion and Perseverance” Angela ได้ทุ่มเทศึกษาวิจัยเพื่อค้นหาคำตอบของคำถามที่ว่า “อะไรคือปัจจัยที่แท้จริงที่ทำให้คนประสบความสำเร็จ”

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/yc6f999y

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/stxdjf6u

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/-3wPJhnIYJ8