Geek Life EP139 : หยุด 3 ความคิดทำลายจิตใจ บทเรียนจาก Amy Morin ที่จะทำให้คุณลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง

ชีวิตมักเต็มไปด้วยเรื่องราวที่คาดไม่ถึง เฉกเช่นเรื่องราวของ Amy Morin นักจิตบำบัดวัย 23 ปี ที่กำลังมีความสุขกับการดูบาสเกตบอลและหัวเราะร่วมกับแม่ของเธอ

แต่โชคชะตากลับพลิกผัน เมื่อเพียง 24 ชั่วโมงต่อมา แม่ของเธอจากไปอย่างกะทันหันด้วยโรคหลอดเลือดสมองแตก ความโศกเศร้าครั้งนั้นยังไม่ทันจางหาย อีกสามปีต่อมา สามีของเธอก็เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/mp7fuz7f

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/mwjbuxn6

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/pdh9K7Oz5PU

เลิกทุกข์ได้ ถ้ากล้าให้เขาเกลียด : จิตวิทยา Adlerian กับบทเรียนจากหนังสือ The Courage to be Disliked

ในยุคที่ผู้คนต่างแสวงหาความสุขและความสำเร็จในชีวิต หนังสือ “The Courage to be Disliked” โดย Ichiro Kishimi และ Fumiaki Koga ได้นำเสนอมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับการค้นพบความสุขที่แท้จริง ผ่านแนวคิดจิตวิทยา Adlerian ที่มีมานานกว่าศตวรรษ

เริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามที่ว่า ทำไมเราถึงไม่มีความสุข? คำตอบที่น่าประหลาดใจคือ ความทุกข์ที่เราเผชิญอยู่นั้นไม่ได้เกิดจากสภาพแวดล้อมหรือโชคชะตา แต่เป็นเพราะเราเลือกที่จะทุกข์ด้วยตัวเอง ความโกรธ ความวิตกกังวล และความเครียดที่เราเผชิญล้วนมีจุดประสงค์แอบแฝง เราใช้อารมณ์เหล่านี้เป็นเครื่องมือเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ

เมื่อมีคนทำร้ายจิตใจเรา เราเลือกที่จะจมอยู่กับความเจ็บปวดนั้นเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกผิดและพยายามชดเชยมัน ความเจ็บปวดจึงกลายเป็นอาวุธที่เราใช้เพื่อเรียกร้องความสนใจและความเห็นอกเห็นใจ เช่นเดียวกับความโกรธที่เราแสดงออกมาเพื่อบอกว่า “มองฉันสิ” หรือความเหนื่อยล้าที่เราใช้เป็นข้ออ้างในการหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับความกลัวการถูกปฏิเสธ

หากลองจินตนาการว่าเราเป็นมนุษย์คนสุดท้ายบนโลก ไม่มีใครให้เราต้องรู้สึกประทับใจ ไม่มีใครปฏิเสธเรา และไม่มีแรงกดดันทางสังคม เราก็จะดำเนินชีวิตไปอย่างเรียบง่าย ปราศจากความปั่นป่วนทางอารมณ์ โดยเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยการปรับเปลี่ยนมุมมองและวิธีที่เราสัมพันธ์กับผู้อื่น

ประการแรก เราต้องตระหนักว่าไม่มีความสัมพันธ์แนวตั้งในโลกนี้ มนุษย์ทุกคนล้วนมีคุณค่าเท่าเทียมกัน การที่เรามักเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น ทำให้เกิดปมด้อยและปมเหนือกว่าที่บั่นทอนความสุขของเรา

เมื่อรู้สึกด้อยเราจะหมกมุ่นกับการถูกตัดสินจากคนที่เราคิดว่าเหนือกว่า เมื่อรู้สึกเหนือกว่า เราก็จะหวาดกลัวการสูญเสียตำแหน่งนั้น ทำให้ชีวิตกลายเป็นการแข่งขันที่น่าเบื่อหน่าย

แต่หากเราเปลี่ยนมุมมองใหม่ โดยมองว่าทุกคนมีคุณค่าเท่าเทียมกันอยู่บนระนาบเดียวกัน ความปั่นป่วนจะค่อยๆ สงบลง เพราะไม่มีใครที่เราต้องพยายามทำให้ประทับใจ และไม่มีใครที่ทำให้เรารู้สึกว่าถูกคุกคาม

เราสามารถเห็นคุณค่าที่มีอยู่ในตัวทุกคน ไม่ว่าจะเป็นทารกแรกเกิดที่นำความสุขมาสู่ครอบครัวเพียงแค่การมีตัวตน หรือคนชราที่เป็นโรคสมองเสื่อมที่ยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้ลูกหลานระลึกถึงความรักและคุณค่าที่ได้รับการส่งต่อ

ในทางกลับกัน สิ่งที่เรามองว่าเป็นข้อได้เปรียบในชีวิต เช่น ความมั่งคั่งและชื่อเสียง อาจกลายเป็นสิ่งที่ผูกมัดผู้คนไว้กับภาระที่ไม่ได้เลือก จนสูญเสียอิสรภาพในการใช้ชีวิต หากเราได้เห็นปัญหาที่แท้จริงของคนที่เรามองว่าประสบความสำเร็จ เราอาจพบว่าปัญหาของเราไม่ได้หนักหนาอย่างที่คิด

ประการที่สอง เราต้องแยกแยะภารกิจในความสัมพันธ์ให้ชัดเจน ในทุกปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ มีภารกิจหลักสองประการ คือ ภารกิจของเราในการหาวิธีที่ดีที่สุดในการมีส่วนร่วม และภารกิจของผู้อื่นในการตัดสินใจว่าจะตอบสนองต่อการมีส่วนร่วมของเราอย่างไร โดยสรุปคือ เราทำหน้าที่ของเราในการให้ และปล่อยให้ผู้อื่นมีอิสระในการคิดและทำอะไรก็ได้กับสิ่งที่เราให้

ยกตัวอย่างเช่น ในฐานะพ่อแม่ หน้าที่ของเราคือการสร้างโอกาสให้ลูกได้เรียนรู้และเติบโต แต่การที่ลูกจะใช้โอกาสเหล่านั้นหรือไม่ เป็นการตัดสินใจของพวกเขา ในที่ทำงาน หน้าที่ของเราคือการทำงานให้ดีที่สุด ส่วนผู้อื่นจะชื่นชมความพยายามของเราหรือไม่ เป็นเรื่องของพวกเขา

ปัญหาความสัมพันธ์มักเกิดขึ้นเมื่อเราก้าวก่ายภารกิจของผู้อื่น เช่น การพยายามบังคับให้คนอื่นชื่นชมหรือยอมรับในสิ่งที่เราทำ ทั้งที่จริงแล้ว ภารกิจของเราคือการใช้ความรู้ความสามารถที่มีเพื่อสร้างประโยชน์ให้ผู้อื่น การมีส่วนร่วมของเราควรชัดเจนในตัวเอง โดยไม่ต้องการการยืนยันจากใคร

บางครั้งการมีส่วนร่วมที่ดีที่สุดอาจเป็นเพียงการรับฟังอย่างตั้งใจ การให้กำลังใจ หรือแม้แต่การให้พื้นที่ผู้อื่นได้เติบโตด้วยตัวเอง ยิ่งเราทุ่มเทกับการเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นมากเท่าไร เราจะยิ่งพบความสุขที่แท้จริงและยั่งยืนมากขึ้นเท่านั้น เพราะความสุขที่แท้จริงเกิดจากความรู้สึกว่าได้มีส่วนร่วมในการสร้างคุณค่าให้กับผู้อื่น

เมื่อเรารู้ว่าได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างดีที่สุดแล้ว เราก็ไม่ต้องกังวลว่าใครจะคิดอย่างไรกับเรา นี่คือสิ่งที่ Kishimi และ Koga เรียกว่า “ความกล้าที่จะถูกเกลียด” ซึ่งเป็นอิสรภาพขั้นสูงสุดที่จะปลดปล่อยเราจากความทุกข์ทั้งปวง และนำพาเราไปสู่ความสุขที่แท้จริงและยั่งยืน

การเดินทางสู่ความสุขที่แท้จริงอาจไม่ใช่เส้นทางที่ง่าย แต่ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องและความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง เราทุกคนสามารถก้าวผ่านความกลัวและความทุกข์ไปสู่ชีวิตที่มีความหมายและเต็มเปี่ยมด้วยความสุขได้ในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

References :
หนังสือ The Courage to Be Disliked: How to Free Yourself, Change your Life and Achieve Real Happiness โดย Ichiro Kishimi, Fumitake Koga

Geek Life EP134 : วิธีพูด ‘ไม่’ แบบที่ไม่ทำให้ใครเกลียด เทคนิคปฏิเสธแบบมืออาชีพ จาก Harvard ที่ใครๆ ก็ทำได้

ในโลกแห่งการทำงานและความสัมพันธ์ทางสังคม มนุษย์ทุกคนต่างเคยเผชิญกับสถานการณ์ที่ต้องเลือกระหว่างการรักษาน้ำใจผู้อื่นกับการที่จะต้องดูแลเวลาตนเอง การปฏิเสธคำขอจากผู้อื่นเป็นทักษะที่ละเอียดอ่อนและท้าทายอย่างมาก โดยเฉพาะในสังคมไทยที่ให้ความสำคัญกับการรักษาความสัมพันธ์และการไม่ทำให้ผู้อื่นเสียหน้า

ผู้คนส่วนใหญ่มักพบตัวเองในสถานการณ์ที่ยากลำบากเมื่อต้องตอบปฏิเสธคำขอจากผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้างานที่ขอให้อยู่ทำงานล่วงเวลาในช่วงที่มีนัดสำคัญกับครอบครัว หรือเพื่อนร่วมงานที่ขอความช่วยเหลือในโครงการใหม่ทั้งที่งานประจำก็ท่วมหัวกันอยู่แล้ว ความรู้สึกผิดและความกลัวที่จะทำให้ผู้อื่นผิดหวังมักทำให้หลายคนจำต้องตอบตกลงทั้งที่ในใจนั้นอยากปฏิเสธมากแค่ไหนก็ตาม

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/4zx3y6a7

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/5785vhxr

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/-oeKKNZe5Sg

ถอดรหัสความสำเร็จ Rometty : เคล็ดลับการใช้ ‘พลังแห่งความดี’ พลิกชีวิตและธุรกิจ

เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่ถือว่าได้ว่ามีเนื้อหาฉีกแนวบทเรียนทางด้านธุรกิจแบบเดิม ๆ ที่ตัวผมเองได้เคยอ่านมาสำหรับหนังสือ Good Power: Leading Positive Change in Our Lives, Work, and World โดย Ginni Rometty

ในทุกวันนี้หลายคนอาจรู้สึกว่าตนเองไม่มีพลังพอที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลง การขาดความมั่นใจในศักยภาพของตนเองมักเป็นกำแพงที่ขวางกั้นผู้คนจากการลงมือทำสิ่งดีๆ เพื่อสังคม

แต่ Ginni Rometty อดีต CEO ของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง IBM มีมุมมองที่แตกต่างออกไป เธอเชื่อว่าทุกคนมีพลังที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกได้ ผ่านสิ่งที่เธอเรียกว่า “Good Power” หรือ “พลังแห่งความดี” ซึ่งโดยส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องนามธรรมที่วัดยากในเชิงธุรกิจเป็นอย่างมาก

ในหนังสือ “Good Power” Rometty ได้ถ่ายทอดประสบการณ์และแนวคิดที่หล่อหลอมตัวเธอตั้งแต่วัยเด็ก จนก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำองค์กรระดับโลก เธอเล่าถึงการเติบโตมาในครอบครัวที่มีความท้าทาย

หลังจากพ่อจากไป แม่ของเธอต้องทำงานหนักเพื่อเลี้ยงดูลูกๆ ทำให้ Rometty ต้องรับบทบาทดูแลน้องๆ ตั้งแต่อายุยังน้อย ประสบการณ์นี้ได้ปลูกฝังความรับผิดชอบและความเข้าใจในการดูแลผู้อื่น

ความท้าทายในวัยเด็กไม่ได้ทำให้ Rometty ย่อท้อ แต่กลับกลายเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เธอเข้าใจถึงความสำคัญของการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน การที่ต้องดูแลน้องๆ ในขณะที่แม่ออกไปทำงาน ทำให้เธอเรียนรู้ทักษะการจัดการ การแก้ปัญหา และการสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นในครอบครัว ซึ่งทักษะเหล่านี้กลายเป็นรากฐานสำคัญในการทำงานของเธอในอนาคต

เมื่อ Rometty เริ่มทำงานที่ IBM เธอได้นำหลักการของ “พลังแห่งความดี” มาประยุกต์ใช้ในบริบทธุรกิจ โดยเฉพาะในการทำงานร่วมกับลูกค้ารายสำคัญอย่าง Allstate บริษัทประกันภัยยักษ์ใหญ่ที่ต้องการปรับเปลี่ยนองค์กรด้วยเทคโนโลยี

แทนที่จะเสนอโซลูชันแบบสำเร็จรูป เธอและทีมเลือกที่จะทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง ทำการวิจัยอย่างละเอียดเกี่ยวกับแนวโน้มและความท้าทายในอุตสาหกรรมประกันภัย เพื่อนำเสนอทางออกที่ตอบโจทย์อย่างแท้จริง

ความสำเร็จในการทำงานกับ Allstate ไม่ได้เกิดจากความเชี่ยวชาญทางเทคนิคเพียงอย่างเดียว แต่มาจากความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าเทคโนโลยีควรเป็นเครื่องมือที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน

Rometty และทีมใช้เวลาอย่างมากในการรับฟังความคิดเห็นจากพนักงานทุกระดับของ Allstate เพื่อให้มั่นใจว่าการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นจะเป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย ไม่ใช่แค่ผู้บริหารระดับสูง

การก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง CEO ของ IBM เปิดโอกาสให้ Rometty ได้ใช้ “พลังแห่งความดี” ในการสร้างผลกระทบระดับโลก เธอริเริ่มโครงการ “Skills First” ที่ปฏิวัติแนวทางการจ้างงานของบริษัท โดยให้ความสำคัญกับทักษะมากกว่าวุฒิการศึกษา

แม้จะเผชิญกับความท้าทายและการต่อต้านในช่วงแรก แต่นโยบายนี้ได้เปิดโอกาสให้คนที่มีความสามารถแต่ขาดโอกาสทางการศึกษาได้เข้าสู่อาชีพด้านเทคโนโลยีที่มีรายได้สูง

โครงการ “Skills First” ไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนแปลงนโยบายการจ้างงาน แต่เป็นการท้าทายความเชื่อดั้งเดิมของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี Rometty เชื่อว่าความสามารถที่แท้จริงไม่ได้วัดจากใบปริญญา แต่วัดจากความมุ่งมั่น ความสามารถในการเรียนรู้ และการประยุกต์ใช้ความรู้ในสถานการณ์จริง

การตัดสินใจครั้งนี้ไม่เพียงช่วยให้ IBM ได้พนักงานที่มีความสามารถหลากหลาย แต่ยังช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคมด้วย

นอกจากการสร้างโอกาสในการทำงาน Rometty ยังผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวัฒนธรรมองค์กร เธอส่งเสริมความหลากหลายและการมีส่วนร่วม สร้างสภาพแวดล้อมที่พนักงานทุกคนรู้สึกมีคุณค่าและได้รับการสนับสนุนให้พัฒนาศักยภาพของตนเอง เธอเชื่อว่าองค์กรจะเติบโตอย่างยั่งยืนได้ก็ต่อเมื่อพนักงานทุกคนได้รับโอกาสในการเติบโตเช่นกัน

หนึ่งในความสำเร็จที่โดดเด่นของ Rometty คือการที่เธอสามารถพิสูจน์ให้เห็นว่าการทำธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมไม่ได้ขัดแย้งกับการสร้างผลกำไร

ในทางตรงกันข้าม การใช้พลังแห่งความดีในการบริหารองค์กรกลับช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันระยะยาว เพราะนำมาซึ่งความไว้วางใจจากลูกค้า ความจงรักภักดีของพนักงาน และภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาของสังคม

แนวคิดเรื่อง Good Power หรือ “พลังแห่งความดี” ของ Rometty ไม่ใช่เพียงทฤษฎีหรือแนวคิดเชิงอุดมคติ หรือเรื่องนามธรรม แต่เป็นหลักการที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถนำไปปฏิบัติได้จริงและสร้างผลลัพธ์ที่วัดผลได้ เธอแสดงให้เห็นว่าการนำองค์กรด้วยความเมตตา ความเข้าใจ และความมุ่งมั่นที่จะสร้างประโยชน์ต่อส่วนรวม สามารถนำไปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืนได้

พลังแห่งความดีที่ Rometty นำเสนอมีองค์ประกอบสำคัญหลายประการ เริ่มจากการรับฟังและเข้าใจความต้องการของผู้อื่นอย่างแท้จริง การคิดค้นทางออกที่สร้างสรรค์และตอบโจทย์ความต้องการนั้น การลงมือทำอย่างมุ่งมั่นและต่อเนื่อง และที่สำคัญที่สุดคือการวัดผลลัพธ์และปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน

แก่นแท้ของพลังแห่งความดีอยู่ที่การตระหนักว่าทุกคนมีความสามารถที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งหรือบทบาทใด การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่มักเริ่มต้นจากการกระทำเล็กๆ ที่มาจากความตั้งใจดีและความมุ่งมั่นที่จะสร้างประโยชน์ให้กับผู้อื่น

ในโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทายและปัญหาที่ซับซ้อน เราอาจรู้สึกว่าความพยายามของเราเพียงคนเดียวนั้นเล็กน้อยเกินไปที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลง แต่เรื่องราวของ Rometty เตือนใจเราว่า พลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไม่ใช่อำนาจหรือตำแหน่ง แต่เป็นความตั้งใจดีและความมุ่งมั่นที่จะใช้ศักยภาพของเราเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับผู้อื่น

เรื่องราวของ Rometty จึงไม่เพียงเป็นบทเรียนสำหรับผู้นำองค์กรเท่านั้น แต่เป็นแรงบันดาลใจสำหรับทุกคนที่ปรารถนาจะสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในโลกใบนี้ เธอพิสูจน์ให้เห็นว่าพลังแห่งความดีไม่ใช่แนวคิดที่เป็นนามธรรม แต่เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน ทั้งสำหรับตัวเราเองและสังคมโดยรวม

ในท้ายที่สุด บทเรียนสำคัญที่สุดจากเรื่องราวของ Rometty อาจไม่ใช่วิธีการบริหารองค์กรหรือกลยุทธ์ทางธุรกิจ แต่เป็นการตระหนักว่าทุกคนมีพลังที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลง และการใช้พลังนั้นเพื่อประโยชน์ส่วนรวมคือหนทางที่จะนำไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงและยั่งยืนได้ในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

References :
หนังสือ Good Power: Leading Positive Change in Our Lives, Work, and World โดย Ginni Rometty

4 ฤดูกาลแห่งชีวิต : เข้าใจตัวเอง เข้าใจโลก เข้าใจความสำเร็จ กับบทเรียนจาก Tony Robbins

ทุกความสำเร็จล้วนมีจุดเริ่มต้น เช่นเดียวกับเรื่องราวของ Tony Robbins ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาศักยภาพมนุษย์ที่เริ่มต้นอาชีพด้วยความกล้าที่จะท้าทายตนเอง และเป็นอีกหนึ่งข้อมูลที่สนใจจาก PBD Podcast ที่สัมภาษณ์ Tony Robbins โดยมีเนื้อหาที่น่าสนใจมาก ๆ ในหัวข้อ “Patterns Can Make You UNSTOPPABLE” 

ในปี 1984 ที่ Los Angeles Tony ได้ทำงานกับนักกีฬาโอลิมปิก จนประสบความสำเร็จด้วยการคว้าชัยชนะในการแข่งขันว่ายน้ำท่าฟรีสไตล์ 1,500 เมตร ทั้งที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน จากนั้นเขาได้ร่วมงานกับบุคคลสำคัญระดับโลกมากมาย ทั้ง Nelson Mandela, Mother Teresa, Gorbachev และ Clinton

ปัจจุบัน Tony กำลังจะมีอายุครบ 65 ปี มีครอบครัวที่อบอุ่นพร้อมด้วยลูก 5 คนและหลาน 5 คน โดยลูกสาวคนโตอายุ 50 ปี และคนเล็กอายุเพียง 3 ปีครึ่ง เนื่องจากเขารับเด็ก 3 คนมาเลี้ยงดูตั้งแต่อายุ 24-25 ปี

เมื่อมองไปที่อนาคตของลูกหลาน Tony ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะการที่ 40% ของงานจะถูกแทนที่ด้วย AI หุ่นยนต์ สิ่งนี้ทำให้เขาค้นพบว่าทักษะสำคัญที่จะช่วยให้มนุษย์ประสบความสำเร็จในอนาคตประกอบด้วยการจดจำรูปแบบ การใช้รูปแบบ และการสร้างรูปแบบใหม่ ๆ

Tony อธิบายว่าการจดจำรูปแบบที่เคยเกิดขึ้นจะช่วยขจัดความกลัว เช่น เมื่อเราเข้าใจว่าความขัดแย้งทางการเมืองไม่ได้รุนแรงเท่าในอดีต ซึ่งการใช้รูปแบบสามารถเรียนรู้ได้จากผู้ประสบความสำเร็จ เช่น นักลงทุนระดับโลกอย่าง Ray Dalio, Carl Icahn และ Warren Buffett ส่วนการสร้างรูปแบบใหม่จะเกิดขึ้นได้หลังจากที่เราเรียนรู้และเข้าใจรูปแบบที่มีอยู่อย่างลึกซึ้ง

การพัฒนาของมนุษยชาติมีจุดเปลี่ยนสำคัญเมื่อเราเริ่มเข้าใจ “ฤดูกาล” ย้อนไปในยุคโบราณ มนุษย์เราต้องเร่ร่อนเพื่อหาอาหาร แต่เมื่อเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล เราจึงสามารถตั้งถิ่นฐาน สร้างชุมชน และพัฒนาอารยธรรมขึ้นมาได้

Tony ชี้ให้เห็นว่าการทำสิ่งที่ถูกต้องในเวลาที่เหมาะสมจะนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ เปรียบเสมือนการเพาะปลูกที่ต้องทำในฤดูกาลที่เหมาะสม

ชีวิตมนุษย์ก็เช่นกัน มีฤดูกาลของตัวเอง เริ่มจากฤดูใบไม้ผลิในช่วงอายุ 0-21 ปี เป็นช่วงที่ทุกอย่างเติบโตได้ง่าย ได้รับการปกป้องดูแลและการศึกษา ต่อด้วยฤดูร้อนในช่วงอายุ 22-42 ปี เป็นช่วงแห่งการทดสอบที่ท้าทาย หลายคนเริ่มเข้าใจว่าความฝันและความเป็นจริงอาจแตกต่างกัน จากนั้นเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงในช่วงอายุ 43-63 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่ประสบความสำเร็จและมีพลังสูงสุด และสุดท้ายคือฤดูหนาวในช่วงอายุ 63 ปีขึ้นไป เป็นช่วงที่ได้เก็บเกี่ยวผลแห่งความสำเร็จและพร้อมที่จะแบ่งปันประสบการณ์ให้กับผู้อื่น

Tony ยังได้วิเคราะห์วงจรของประวัติศาสตร์ผ่านมุมมองของคนที่เกิดในปี 1910 ซึ่งเริ่มต้นชีวิตในยุคเฟื่องฟู แต่ต้องเผชิญกับ Great Depression ในปี 1929 และสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1939 คนรุ่นนี้ถูกเรียกว่า “The Greatest American Generation” เพราะผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากและกลับมาเป็นวีรบุรุษ

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โลกเข้าสู่ยุคแห่งความหวังในช่วงปี 1950 ถึงต้นปี 1960 แต่หลังจากการลอบสังหาร Kennedy, Bobby Kennedy และ Martin Luther King Jr. สังคมก็เปลี่ยนแปลงไป เกิดความขัดแย้งระหว่างคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ ส่งผลให้รูปแบบการเลี้ยงดูลูกเปลี่ยนไป เกิดปรากฏการณ์ “latchkey kids” หรือเด็กที่ต้องดูแลตัวเองที่บ้าน

ค่านิยมในสังคมก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย จากที่เคยให้ความสำคัญกับปรัชญาชีวิตที่ทำให้มีความสุขในช่วงปี 1960-1970 กลับเปลี่ยนมาเน้นทักษะปฏิบัติเพื่อความมั่นคงทางการเงินในช่วงปี 1980-2000

Tony มองว่าปัจจุบันเราอยู่ในช่วงฤดูหนาวของประวัติศาสตร์ ที่ต้องเผชิญกับความท้าทายทั้งด้านเศรษฐกิจและความขัดแย้งรูปแบบใหม่ แต่เขาเชื่อว่าหลังจากนี้จะเป็นฤดูใบไม้ผลิอีกครั้ง โดยเฉพาะกลุ่ม Millennials และ Generation Z ที่กำลังผ่านช่วงเวลายากลำบากจะกลายเป็นวีรบุรุษรุ่นต่อไป

ในด้านการทำธุรกิจ Tony เน้นย้ำว่าความสำเร็จประกอบด้วยจิตวิทยาและอารมณ์ 80% และกลยุทธ์ 20% โดยกลยุทธ์ที่ถูกต้องสามารถประหยัดเวลาได้ถึง 10 ปี

โดยตัวเขาเองบริหารธุรกิจ 114 บริษัทมูลค่า 8 พันล้านดอลลาร์ ด้วยการเป็นเจ้าของที่แท้จริงและบริหารโดยตรงเพียง 12 บริษัท ที่เหลือให้คำปรึกษาเชิงกลยุทธ์ผ่านโปรแกรม Business Mastery ที่รับประกันการเติบโต 30-130% ภายใน 18 เดือน

สาระสำคัญที่ Tony ต้องการสื่อคือ การเข้าใจวัฏจักรของชีวิต ธุรกิจ และประวัติศาสตร์ จะช่วยให้เราเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและใช้ประโยชน์จากทุกสถานการณ์ได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ซึ่งมักเป็นโอกาสในการสร้างความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ดังที่ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่า บริษัทชั้นนำถึง 60% ใน Fortune 1000 เกิดขึ้นในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ เช่น FedEx และ Disney

ความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราอยู่ในฤดูกาลไหน แต่อยู่ที่ว่าเราเข้าใจและใช้ประโยชน์จากฤดูกาลนั้นได้ดีเพียงใด การรู้จักจังหวะของชีวิตและประวัติศาสตร์จะช่วยให้เราก้าวผ่านช่วงเวลาที่ท้าทายและเติบโตอย่างแข็งแกร่งในทุกสถานการณ์ได้นั่นเองครับผม

References :
“Patterns Can Make You UNSTOPPABLE” – Tony Robbins BREAKS DOWN The Cycles Of Failure & Success
https://youtu.be/_uVm_MykGLk?si=Hqki639sLqXR_Q7y