หยุดกลัวการถูกปฏิเสธ! ชายจีนผู้ท้าทายการถูกปฏิเสธ 100 วัน และบทเรียนที่เปลี่ยนชีวิต

ในโลกแห่งการแข่งขันทางธุรกิจและการใช้ชีวิตประจำวัน เราทุกคนต่างเคยเผชิญกับความกลัวการถูกปฏิเสธมาแล้วทั้งนั้น บางคนถึงขั้นยอมทิ้งความฝันและโอกาสดีๆ ในชีวิตเพียงเพราะกลัวคำว่า “ไม่”

แต่มีชายคนหนึ่งที่กล้าท้าทายความกลัวนี้ด้วยวิธีที่แปลกประหลาดและน่าสนใจ เขาคือ Jia Jiang ชายชาวจีนผู้อพยพมาอเมริกาพร้อมความฝันที่จะเป็นผู้ประกอบการ

Jia Jiang เกิดและเติบโตในเมืองปักกิ่ง ประเทศจีน ตั้งแต่เด็กเขามีความฝันที่จะเป็นผู้ประกอบการในอเมริกา แรงบันดาลใจนี้เกิดขึ้นหลังจากที่เขาได้พบกับ Bill Gates ในงานที่โรงเรียนตอนอายุ 14 ปี ทำให้เขาตัดสินใจมุ่งมั่นที่จะย้ายมาเรียนและทำงานในอเมริกา

แม้จะประสบความสำเร็จในการเรียนและการทำงานในบริษัทชั้นนำ แต่ความฝันของเขากลับถูกขัดขวางด้วยความกลัวการถูกปฏิเสธที่ฝังรากลึก จนกระทั่งวันหนึ่ง หลังจากนักลงทุนปฏิเสธที่จะสนับสนุนสตาร์ทอัพของเขา แทนที่จะยอมแพ้ เขากลับตัดสินใจท้าทายตัวเองด้วยการทำภารกิจที่เรียกว่า “100 วันแห่งการถูกปฏิเสธ” ซึ่งผมว่ามันเป็นการทดลองที่เจ๋งมาก ๆ

แรงบันดาลใจในการทำภารกิจนี้มาจาก Jason Comely ผู้สร้างเกม “Rejection Therapy” ที่มีกฎง่ายๆ คือผู้เล่นต้องทำให้ตัวเองถูกปฏิเสธจากใครสักคนทุกวัน Comely สร้างเกมนี้หลังจากที่ภรรยาของเขาจากไป และเขาต้องต่อสู้กับความกลัวการถูกปฏิเสธอย่างรุนแรง

ภารกิจของ Jia Jiang เริ่มต้นด้วยการขอสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ในแต่ละวัน เช่น การขอยืมเงิน 100 ดอลลาร์จากคนแปลกหน้า การขอให้พนักงาน Krispy Kreme ทำโดนัทเป็นรูปวงแหวนโอลิมปิก การเคาะประตูบ้านคนแปลกหน้าเพื่อขอเล่นฟุตบอลในสนามหลังบ้าน การขอถ่ายรูปกับพนักงานรักษาความปลอดภัยในท่าซูเปอร์ฮีโร่ หรือแม้แต่การเดินเข้าไปในออฟฟิศแบบสุ่มเพื่อขอทำงานเพียงวันเดียว

หนึ่งในเหตุการณ์ที่น่าประทับใจที่สุดคือวันที่เขาขอให้พนักงาน Krispy Kreme ทำโดนัทรูปวงแหวนโอลิมปิก แทนที่จะถูกปฏิเสธ Jackie พนักงานที่อยู่เวรกลับใช้เวลา 15 นาทีในการวาดและจัดวางโดนัทเป็นรูปวงแหวนโอลิมปิก พร้อมทั้งใช้น้ำตาลสีต่างๆ ตกแต่งให้สวยงาม โดยไม่คิดเงินเพิ่ม

จากการทดลองนี้ Jia Jiang ได้ค้นพบความจริงที่น่าทึ่งเกี่ยวกับธรรมชาติของการถูกปฏิเสธ ประการแรก เขาพบว่าการถูกปฏิเสธนั้นเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนบุคคล ไม่ต่างจากการที่คนไม่ชอบไอศกรีมรสมินต์ปฏิเสธที่จะรับประทาน มันไม่ได้สะท้อนถึงคุณค่าของตัวเราแต่อย่างใด

ในระหว่างการทดลอง เขาพบว่าผู้คนมักมีเหตุผลส่วนตัวในการปฏิเสธที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเขาเลย เช่น กฎระเบียบขององค์กร ข้อจำกัดด้านเวลา หรือแม้แต่อารมณ์ความรู้สึกในขณะนั้น การเข้าใจเรื่องนี้ช่วยให้เขารับมือกับการถูกปฏิเสธได้ดีขึ้น

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือกรณีของ Joshua Bell นักไวโอลินรางวัล Grammy ที่แต่งตัวธรรมดาใส่ยีนส์และหมวกเบสบอล ไปเล่นดนตรีในสถานีรถไฟใต้ดิน DC มีเพียง 7 คนจาก 1,097 คนที่หยุดฟัง ทั้งที่การแสดงของเขามักได้รับเสียงปรบมือยืนยาวในคอนเสิร์ตฮอลล์ชื่อดังอย่าง John F. Kennedy Center

การทดลองของ Joshua Bell เป็นส่วนหนึ่งของโครงการที่จัดทำโดยหนังสือพิมพ์ Washington Post ในปี 2007 เพื่อศึกษาการรับรู้ความงามของศิลปะในบริบทที่ไม่คาดคิด Bell เล่นบทเพลงคลาสสิกที่ยากที่สุดบางบทด้วยไวโอลิน Stradivarius มูลค่า 3.5 ล้านดอลลาร์ แต่ได้รับเงินบริจาคเพียง 32 ดอลลาร์จากการแสดง 45 นาที

นี่แสดงให้เห็นว่าบริบทและจังหวะเวลามีผลต่อการตอบรับมากกว่าความสามารถที่แท้จริง เช่นเดียวกับที่คนในสถานีรถไฟไม่ได้ปฏิเสธความสามารถของ Joshua Bell แต่พวกเขาแค่ไม่ได้อยู่ในโหมดที่จะชื่นชมดนตรีคลาสสิกในตอนเช้าที่เร่งรีบ

ประการที่สอง การถามหาเหตุผลของการปฏิเสธอย่างสุภาพสามารถเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ๆ ได้ เช่นครั้งที่ Jia Jiang ขอประกาศเรื่องความปลอดภัยบนเครื่องบิน Southwest แม้จะถูกปฏิเสธในตอนแรก แต่เมื่อถามถึงเหตุผล พนักงานกลับคิดหาทางออกใหม่ให้เขาได้พูดต้อนรับผู้โดยสารแทน

การถามหาเหตุผลยังช่วยให้เราเข้าใจมุมมองของอีกฝ่าย และบางครั้งอาจนำไปสู่ทางออกที่ดีกว่าเดิม เช่นกรณีที่เขาขอใช้เครื่องประกาศเสียงที่ร้าน Costco เพื่อประกาศชมเชยพนักงาน แม้จะถูกปฏิเสธ แต่ผู้จัดการกลับรู้สึกประทับใจในความตั้งใจดีของเขาและเลี้ยงอาหารเป็นการตอบแทน

นอกจากนี้ การถามเหตุผลยังช่วยให้เราได้ข้อมูลที่มีค่าสำหรับการปรับปรุงคำขอในครั้งต่อไป เช่น เมื่อเขาขอให้สายการบินอนุญาตให้ประกาศ เขาได้เรียนรู้ว่ามีข้อกำหนดด้านความปลอดภัยที่ต้องคำนึงถึง ทำให้ในครั้งต่อไปเขาสามารถปรับคำขอให้สอดคล้องกับข้อกำหนดเหล่านั้นได้

ประการที่สาม การลดขนาดคำขอลง หรือที่ Robert Cialdini ผู้เขียนหนังสือ “Influence” เรียกว่า “Retreating” เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ เพราะผู้คนมักรู้สึกไม่สบายใจที่จะปฏิเสธคำขอเล็กๆ หลังจากที่ปฏิเสธคำขอใหญ่ไปแล้ว

จากการศึกษาของ Cialdini พบว่าการลดขนาดคำขอสามารถเพิ่มโอกาสการตอบรับได้ถึง 76% เพราะเป็นการแสดงความยืดหยุ่นและความเข้าใจต่อข้อจำกัดของอีกฝ่าย นอกจากนี้ ยังเป็นการใช้ประโยชน์จากหลักจิตวิทยาที่เรียกว่า “การตอบแทน (Reciprocity)” ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าควรตอบแทนความยืดหยุ่นที่เราแสดงออก

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือเมื่อ Jia Jiang ขอแซนด์วิช McGriddle จาก McDonald’s ในตอนบ่าย 2 โมง ซึ่งเลยเวลาอาหารเช้าไปแล้ว เมื่อถูกปฏิเสธและได้รับคำอธิบายว่าเครื่องทำไข่และไส้กรอกถูกล้างไปแล้ว เขาจึงปรับคำขอเป็นขนมปังกริดเดิลราดน้ำผึ้งกับชีสแทน ซึ่งพนักงานสามารถจัดให้ได้

การลดขนาดคำขอยังช่วยให้เราได้เรียนรู้ว่าบางครั้งสิ่งที่เราต้องการจริงๆ อาจไม่ใช่สิ่งที่เราขอในตอนแรก เช่น ในกรณีของ McDonald’s เขาได้ค้นพบว่าสิ่งที่เขาต้องการจริงๆ คือรสชาติของขนมปังกริดเดิล ไม่ใช่แซนด์วิช McGriddle ทั้งชิ้น

การถูกปฏิเสธยังมีประโยชน์แฝงอยู่หลายประการที่น่าสนใจ ประการแรกคือการสร้างภูมิคุ้มกันต่อการถูกปฏิเสธในอนาคต เมื่อเราเข้าใจว่าการถูกปฏิเสธไม่ได้ทำลายคุณค่าในตัวเรา เราจะกล้าเผชิญกับความเสี่ยงมากขึ้น เหมือนการฉีดวัคซีนที่ช่วยให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรค การเผชิญกับการถูกปฏิเสธบ่อยๆ จะช่วยให้เราแข็งแกร่งขึ้น

ในช่วงท้ายของการทดลอง Jia Jiang พบว่าเขาสามารถรับมือกับการถูกปฏิเสธได้ดีขึ้นมาก เขารู้สึกเจ็บปวดน้อยลงเมื่อถูกปฏิเสธ และสามารถมองหาโอกาสใหม่ๆ ได้เร็วขึ้น เขาเปรียบเทียบว่าเหมือนกับนักมวยที่โดนต่อยบ่อยๆ จนชินและรู้วิธีรับมือกับหมัด

ประการที่สองคือการเพิ่มแรงจูงใจ เหมือนกรณีของ Michael Jordan ที่ใช้การถูกปฏิเสธจากทีมบาสเก็ตบอลมัธยมเป็นแรงผลักดันในการฝึกซ้อมหนักขึ้น จนกลายเป็นหนึ่งในนักบาสเก็ตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล

Michael Jordan เคยเล่าว่าเขาถูกตัดตัวจากทีมบาสเก็ตบอลมัธยมปลายในปีที่สอง แต่แทนที่จะยอมแพ้ เขากลับใช้ความผิดหวังนั้นเป็นแรงผลักดันให้ตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้า เพื่อซ้อมก่อนเข้าเรียน และซ้อมต่อจนถึงค่ำทุกวัน จนในที่สุดเขาก็ได้กลับเข้าทีมและกลายเป็นดาวเด่น

ประการสุดท้ายคือการให้แนวทางในการปรับปรุง ดังที่ Thomas Edison กล่าวว่า เขาไม่ได้ล้มเหลว 10,000 ครั้ง แต่ค้นพบ 10,000 วิธีที่ใช้ไม่ได้ผล การมองการปฏิเสธแบบไม่มีเรื่องอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องจะช่วยให้เราเห็นจุดที่ต้องปรับปรุงได้ชัดเจนขึ้น

Edison เป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้การล้มเหลวเป็นบทเรียน ในการคิดค้นหลอดไฟฟ้า เขาทดลองวัสดุที่จะใช้เป็นไส้หลอดมากกว่า 6,000 ชนิด แต่ละครั้งที่ล้มเหลว เขาจดบันทึกอย่างละเอียดว่าทำไมมันถึงใช้ไม่ได้ จนในที่สุดเขาก็ค้นพบว่าใยไม้ไผ่เป็นวัสดุที่เหมาะสมที่สุด

หลังจากจบภารกิจ 100 วัน Jia Jiang ได้กลายเป็นวิทยากรและผู้เชี่ยวชาญด้านการเอาชนะความกลัวการถูกปฏิเสธ เขาได้เขียนหนังสือ “Rejection Proof” และให้การบรรยาย TED Talk ที่มีผู้ชมนับล้าน ประสบการณ์ของเขาได้สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนทั่วโลกกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความกลัวการถูกปฏิเสธ

ปัจจุบัน Jia Jiang ได้ก่อตั้งบริษัท Rejection Therapy เพื่อช่วยให้ผู้คนและองค์กรต่างๆ เอาชนะความกลัวการถูกปฏิเสธ เขาได้รับเชิญไปบรรยายในองค์กรชั้นนำมากมาย เช่น Google, Microsoft, และ Bank of America โดยเขาเน้นย้ำว่าการเอาชนะความกลัวการถูกปฏิเสธไม่เพียงช่วยให้เราประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน แต่ยังช่วยให้เรามีความสุขในชีวิตมากขึ้นด้วย

ในท้ายที่สุด Jia Jiang สรุปว่า การถูกปฏิเสธที่เคยเป็นเหมือนยักษ์โกลิอัทในชีวิตของเขา ได้กลายเป็นเพียงความท้าทายที่สามารถเอาชนะได้ด้วยมุมมองที่ถูกต้องและการฝึกฝน เมื่อเราเข้าใจว่าการถูกปฏิเสธไม่ใช่การตัดสินคุณค่าของเรา เราก็จะมีอิสระในการขอสิ่งที่ต้องการมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขอเลื่อนตำแหน่ง การขอความช่วยเหลือ หรือแม้แต่การขอโอกาสในการทำความฝันให้เป็นจริง

References :
หนังสือ Rejection Proof: How I Beat Fear and Became Invincible Through 100 Days of Rejection โดย Jia Jiang

Geek Life EP22 : The Super Mario Effect! ทำไมการมองชีวิตเป็นเกมถึงช่วยให้คุณพัฒนาตัวเองได้เร็วขึ้น

ในโลกแห่งการเรียนรู้และการพัฒนาตนเอง มีแนวคิดหนึ่งที่น่าสนใจและทรงพลังเป็นอย่างมาก นั่นก็คือ “The Super Mario Effect” ซึ่งถูกนำเสนอโดย Mark Rober นักประดิษฐ์และยูทูบเบอร์ชื่อดัง แนวคิดนี้ชี้ให้เห็นว่าการมองชีวิตเหมือนเกมวิดีโอ สามารถช่วยให้เราเรียนรู้ได้มากขึ้นและประสบความสำเร็จได้มากขึ้น

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/54t3shha

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/4ms6j5fs

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/gllioDcjD30

The Super Mario Effect! ทำไมการมองชีวิตเป็นเกมถึงช่วยให้คุณเรียนรู้และพัฒนาตัวเองได้เร็วขึ้น

ในโลกแห่งการเรียนรู้และการพัฒนาตนเอง มีแนวคิดหนึ่งที่น่าสนใจและทรงพลังเป็นอย่างมาก นั่นก็คือ “The Super Mario Effect” ซึ่งถูกนำเสนอโดย Mark Rober นักประดิษฐ์และยูทูบเบอร์ชื่อดัง แนวคิดนี้ชี้ให้เห็นว่าการมองชีวิตเหมือนเกมวิดีโอ สามารถช่วยให้เราเรียนรู้ได้มากขึ้นและประสบความสำเร็จได้มากขึ้น

Mark เริ่มต้นด้วยการเล่าถึงการทดลองที่เขาทำกับผู้ติดตามช่อง YouTube ของเขา โดยให้พวกเขาเล่นเกมปริศนาการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์อย่างง่ายๆ ผลลัพธ์ที่ได้นั้นน่าทึ่ง เมื่อแบ่งผู้เล่นออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มที่ไม่ถูกลงโทษเมื่อทำผิดพลาดมีอัตราความสำเร็จสูงถึง 68% ในขณะที่กลุ่มที่ถูกลงโทษมีอัตราความสำเร็จเพียง 52% นี่เป็นความแตกต่างที่มีนัยสำคัญถึง 16% ยิ่งไปกว่านั้น กลุ่มที่ไม่ถูกลงโทษยังมีความพยายามในการแก้ปัญหามากกว่าเกือบสองเท่าครึ่ง

Mark เชื่อว่าเคล็ดลับในการเรียนรู้ให้มากขึ้นและประสบความสำเร็จมากขึ้นคือการหาวิธีที่เหมาะสมในการกำหนดกรอบของกระบวนการเรียนรู้ เขาเปรียบเทียบแนวคิดนี้กับวิธีที่เด็กวัยหัดเดินเรียนรู้ที่จะเดิน พวกเขาไม่ได้กังวลกับความล้มเหลว และผู้ปกครองก็ไม่ได้ลงโทษพวกเขาเมื่อพวกเขาล้ม แต่กลับมุ่งเน้นไปที่เป้าหมายสุดท้ายและฉลองความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ

Mark ยังได้ยกตัวอย่างจากประสบการณ์ส่วนตัวของเขาในการสร้างสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ เช่น เป้ายิงปืนที่เคลื่อนที่ได้เพื่อให้ยิงโดนตรงกลางทุกครั้ง เขาเล่าว่าเขามีทัศนคติต่อความท้าทายนี้เหมือนกับทัศนคติที่เขามีต่อการเล่นเกม Super Mario Bros. แม้ว่าความล้มเหลวและอุปสรรคแต่ละครั้งจะเจ็บปวด แต่เขาก็มองว่ามันเป็นโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนา

Mark เชื่อว่าแนวคิดของการทำให้ชีวิตเป็นเกมนี้มากกว่าแค่ “มีทัศนคติเชิงบวก” หรือ “อย่ายอมแพ้” เพราะสิ่งเหล่านั้นมีนัยว่าคุณต้องอดทนต่อความคิดที่ฝังหัวคุณว่าต้องการที่จะยอมแพ้ แต่เมื่อคุณกำหนดกรอบความท้าทายในแบบที่เขาอธิบาย มันให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติที่จะไม่สนใจความล้มเหลวและพยายามลองใหม่อีกครั้ง

Mark ยังได้แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างการมองสิ่งต่างๆ เป็น “แบบทดสอบ” กับการมองเป็น “เกม” แม้ว่าจะเป็นงานเดียวกัน แต่การเปลี่ยนมุมมองสามารถเปลี่ยนทัศนคติและแรงจูงใจของเราได้อย่างสิ้นเชิง เขายกตัวอย่างว่าคนส่วนใหญ่จะไม่ยอมจ่ายเงินเพื่อทำ “แบบทดสอบ” แต่กลับยินดีจ่ายเงินเพื่อเล่น “เกม” ของ Nintendo

ในฐานะนักทำ YouTube ด้านวิทยาศาสตร์ Mark พยายามใช้แนวคิดนี้ในการสอนวิทยาศาสตร์ เขาพยายามทำให้การเรียนรู้วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องสนุกและน่าตื่นเต้น แทนที่จะเป็นเรื่องน่ากลัวหรือน่าเบื่อ เขาเปรียบเทียบวิธีการสอนของเขากับวิธีการล่าของ Velociraptor โดยดึงดูดผู้ชมด้วยสิ่งที่น่าทึ่งก่อน แล้วจึงสอดแทรกความรู้ทางวิทยาศาสตร์เข้าไป

Mark สรุปว่าโดยการกำหนดกรอบกระบวนการเรียนรู้ใหม่และมุ่งเน้นไปที่เป้าหมายสุดท้ายที่น่าตื่นเต้น ความกลัวต่อความล้มเหลวมักจะถูกกำจัดออกไป และการเรียนรู้ก็จะเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น เขาเชื่อว่าชีวิตจริงนั้นเต็มไปด้วยความท้าทายและอุปสรรค สิ่งที่มีคุณค่าในชีวิตมักจะมาจากการล้มเหลวและลุกขึ้นสู้ใหม่หลายครั้ง

Mark ทิ้งท้ายด้วยการเน้นย้ำว่าแม้ว่าผลลัพธ์อาจแตกต่างกันไปสำหรับแต่ละคน แต่มีหลักการบางอย่างสามารถใช้งานได้จริง โดยการเปลี่ยนความสนใจไปที่เป้าหมายสุดท้ายและปฏิบัติต่อความท้าทายในชีวิตเหมือนวิดีโอเกม เราสามารถหลอกสมองของเราและเรียนรู้ได้มากขึ้น รวมถึงเห็นความสำเร็จมากขึ้นด้วย

แนวคิด “The Super Mario Effect” นี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในหลายด้านของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การทำงาน หรือแม้แต่การพัฒนาทักษะใหม่ๆ การมองความท้าทายและอุปสรรคเป็นเหมือนด่านในเกมที่ต้องผ่านไปให้ได้ แทนที่จะมองเป็นความล้มเหลว อาจช่วยให้เรามีแรงจูงใจและความมุ่งมั่นมากขึ้นในการเอาชนะปัญหาและบรรลุเป้าหมายของเรา

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักว่าแนวคิดนี้อาจไม่เหมาะกับทุกสถานการณ์หรือทุกคน บางครั้งความล้มเหลวก็อาจนำมาซึ่งบทเรียนที่มีค่าและการเติบโต การหาสมดุลระหว่างการมองโลกในแง่ดีแบบ “เกม” และการยอมรับความเป็นจริงของชีวิตจึงเป็นสิ่งสำคัญ

ในท้ายที่สุด “The Super Mario Effect” เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการเปลี่ยนมุมมองของเราต่อความท้าทายและการเรียนรู้ โดยการนำแนวคิดนี้มาใช้อย่างชาญฉลาด เราอาจพบว่าตัวเองสามารถเอาชนะอุปสรรคที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ และบรรลุเป้าหมายที่เราไม่เคยคิดว่าจะทำได้มาก่อน

References :
The Super Mario Effect – Tricking Your Brain into Learning More | Mark Rober | TEDxPenn
https://youtu.be/9vJRopau0g0?si=vvSmKB19DkyOgoCt