Geek Life EP68 : The Champion’s Mind วิธีปั้นใจให้แข็งแกร่ง เคล็ดลับจากนักจิตวิทยาระดับโลก

ในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นในวงการกีฬา ธุรกิจ หรือแม้แต่ในชีวิตประจำวัน เราทุกคนต่างปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จและเป็นผู้ชนะ แต่อะไรคือสิ่งที่แยกผู้ชนะออกจากคนธรรมดาทั่วไป? คำตอบอยู่ที่จิตใจ

หนังสือ “The Champion’s Mind” โดย Jim Afremow นักจิตวิทยาการกีฬาผู้มีประสบการณ์ในการช่วยเหลือนักกีฬาระดับโอลิมปิก ได้เปิดเผยให้เห็นถึงความลับของจิตใจแห่งผู้ชนะ

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/2xdn3b4n

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/5y6cwsua

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/kUi0SreTO08

Geek Life EP66 : กล้ามเนื้อแห่ง empathy อีกหนึ่งทักษะที่โรงเรียนไม่เคยสอน แต่เป็นสิ่งที่ชีวิตเราต้องการ

ในยุคปัจจุบันคำว่า “empathy” หรือ ความเห็นอกเห็นใจ ความเข้าใจในความคิดและความรู้สึกของผู้อื่นกลายเป็นทักษะที่สำคัญยิ่งต่อการอยู่ร่วมกันในสังคม แต่การจะเข้าใจจิตใจของคนอื่นนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

เป็นข้อมูลที่น่าสนใจจากเวที Ted Talks ล่าสุดที่เพิ่งมีการปล่อยออกมาโดย Alison Jane Martingano (Ph.D.) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-กรีนเบย์ (UWGB) การวิจัยเกี่ยวกับความเห็นอกเห็นใจของเธอได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการต่างๆ และเธอยังแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกทางจิตวิทยากับสาธารณชนทั่วไปเป็นประจำผ่านบล็อก Psychology Today และพอดแคสต์ Psychology & Stuff

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/53b63cux

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/4d3mfxsh

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/TFQoQjfq4J4

Geek Life EP62 : เผยเคล็ดลับ ‘สมองว่าง สร้างเงินล้าน’ วิธีใช้ความเบื่อสร้างความสำเร็จแบบอัจฉริยะ

ชีวิตมักเต็มไปด้วยเรื่องราวที่คาดไม่ถึง บางครั้งสิ่งที่เราคิดว่าเป็นอุปสรรคกลับกลายเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ เรื่องราวของ Dr. Sasha Hamdani เริ่มต้นในปี 2020 เมื่อเธอให้กำเนิดบุตร และเพียงสองวันต่อมา โลกก็ถูก shutdown ลงด้วยวิกฤตโควิด-19

ในฐานะแม่มือใหม่ Dr. Hamdani เผชิญกับความกังวลและความเครียดเช่นเดียวกับคนทั่วไป แต่ในขณะเดียวกัน การกักตัวอยู่บ้านก็สอดคล้องกับช่วงเวลาแห่งการพักฟื้นหลังคลอดได้อย่างลงตัว

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Life’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/2y5fjbka

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/477ayf5r

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/ORgpKdajSuE

The Champion’s Mind : วิธีปั้นใจให้แข็งแกร่ง เคล็ดลับความสำเร็จจากนักจิตวิทยากีฬาระดับโลก

ในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นในวงการกีฬา ธุรกิจ หรือแม้แต่ในชีวิตประจำวัน เราทุกคนต่างปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จและเป็นผู้ชนะ แต่อะไรคือสิ่งที่แยกผู้ชนะออกจากคนธรรมดาทั่วไป? คำตอบอยู่ที่จิตใจ

หนังสือ “The Champion’s Mind” โดย Jim Afremow นักจิตวิทยาการกีฬาผู้มีประสบการณ์ในการช่วยเหลือนักกีฬาระดับโอลิมปิก ได้เปิดเผยให้เห็นถึงความลับของจิตใจแห่งผู้ชนะ

Afremow เชื่อว่าความแตกต่างระหว่างการแสดงผลงานธรรมดากับผลงานที่ยอดเยี่ยมนั้น เริ่มต้นและจบลงด้วยสภาพจิตใจของเรา การมีทัศนคติของผู้ชนะจะช่วยให้เราแสดงศักยภาพสูงสุดและประสบความสำเร็จในเวลาที่สำคัญที่สุด

แต่จิตใจของผู้ชนะนั้นประกอบด้วยอะไรบ้าง? Afremow ได้สรุปองค์ประกอบสำคัญไว้ 4 ประการ โดยใช้คำย่อว่า BEST ซึ่งย่อมาจาก Belief (ความเชื่อ), Enjoyment (ความสนุกสนาน), Self-talk (การพูดกับตัวเอง) และ Toughness (ความแข็งแกร่ง)

เริ่มจาก Belief หรือความเชื่อ ผู้ชนะทุกคนมีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่าพวกเขาจะประสบความสำเร็จ แต่ความเชื่อมั่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ มันเกิดจากการเตรียมตัวอย่างหนัก

Afremow ยกตัวอย่างเรื่องเล่าของนายพลชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งที่โยนเหรียญก่อนการสู้รบ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับทหารของเขา แม้ว่าเหรียญนั้นจะมีหัวทั้งสองด้าน แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือทหารเหล่านั้นเข้าสู่สนามรบด้วยความมั่นใจว่าพวกเขาจะเป็นผู้ชนะ

เรื่องราวนี้สะท้อนให้เห็นว่า ความเชื่อมั่นนั้นสามารถสร้างขึ้นได้ และเมื่อเรามีความเชื่อมั่น มันจะส่งผลต่อการกระทำของเรา

Afremow แนะนำว่า เราควร “ฝึกซ้อมเหมือนเราเป็นอันดับสอง แต่แข่งขันเหมือนเราเป็นอันดับหนึ่ง” นี่คือคำพูดของ Merlene Ottey นักวิ่งระดับโลก ความหมายก็คือ เราควรฝึกซ้อมอย่างหนักราวกับว่าเราเพิ่งพลาดชัยชนะไปนิดเดียว แต่เมื่อถึงเวลาแข่งขันจริง เราต้องเชื่อมั่นว่าเราคือผู้ชนะ

ต่อมาคือ Enjoyment หรือความสนุกสนาน Afremow เชื่อว่าผู้ชนะทุกคนสามารถสนุกกับสิ่งที่พวกเขาทำ แม้ในสถานการณ์ที่กดดันที่สุด

Jesse Owens นักกรีฑาในตำนานผู้คว้าเหรียญทองสี่เหรียญในการแข่งขันโอลิมปิกปี 1936 ที่เบอร์ลิน เคยกล่าวไว้ว่า “จงหาสิ่งดีๆ มันอยู่รอบตัวคุณ” คำพูดนี้สะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติที่ผู้ชนะมักจะมี พวกเขามองว่าตนเองโชคดีที่ได้มีโอกาสแข่งขันในระดับสูงสุด

แต่บางครั้ง ความกดดันก็มากเกินจนเรารับกับสถานการณ์เหล่านี้ไม่ค่อยได้ Afremow แนะนำให้ใช้อารมณ์ขัน การหัวเราะสามารถลดความเครียดและเพิ่มประสิทธิภาพได้ นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมบุคลากรทางทหารและนักดับเพลิงมักจะมีอารมณ์ขันที่ดี

ตัวอย่างเช่น Lieutenant General Chesty Puller นาวิกโยธินผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์มากที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา เคยพูดกับทหารของเขาในสถานการณ์คับขันว่า “เราถูกล้อมแล้ว ดี นั่นทำให้ปัญหาง่ายขึ้น” คำพูดนี้แสดงให้เห็นถึงการใช้อารมณ์ขันเพื่อจัดการกับความเครียดในสถานการณ์ที่ยากลำบาก

องค์ประกอบที่สามคือ Self-talk หรือการพูดกับตัวเอง Dr. Daniel Amen นักประสาทวิทยาและผู้เขียนหนังสือขายดี “Change Your Brain, Change Your Life” ได้คิดค้นแนวคิดเรื่อง ANT หรือ Automatic Negative Thoughts (ความคิดด้านลบอัตโนมัติ) ขึ้นมา เขาเปรียบเทียบความคิดด้านลบเหล่านี้กับมดที่รุกรานห้องครัวของเขา เช่นเดียวกับที่เราต้องกำจัดมดออกจากบ้าน เราก็ต้องกำจัดความคิดด้านลบออกจากจิตใจของเราด้วย

ความคิดด้านลบเหล่านี้มักจะปรากฏในรูปแบบของประโยคเช่น “อย่าทำพลาด” หรือ “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าฉัน…” ตามด้วยจินตนาการถึงความล้มเหลว ความคิดเหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำให้เราเครียด แต่ยังเพิ่มโอกาสที่เราจะทำพลาดอีกด้วย เหมือนกับนักกอล์ฟที่คิดว่า “อย่าตีลงน้ำ” แล้วก็จบลงด้วยการตีลูกลงน้ำจริงๆ

แทนที่จะปล่อยให้ความคิดด้านลบครอบงำ ผู้ชนะเรียนรู้ที่จะใช้การพูดกับตัวเองในเชิงบวก พวกเขาอาจพูดกับตัวเองว่า “ตรงนี้ ตอนนี้” เพื่อให้จดจ่ออยู่กับปัจจุบัน ซึ่ง Afremow แนะนำให้เตือนตัวเองให้โฟกัสกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ตรงหน้าเพียงเท่านั้น

ตัวอย่างที่น่าสนใจคือ Sean Green นักเบสบอลอาชีพ ที่ทำสถิติตีลูกได้ 6 ครั้งจาก 6 ครั้งที่เข้าตี และตีโฮมรันได้ 4 ครั้งในเกมเดียว โดยเขาท่องในใจว่า “ตัดไม้ แบกน้ำ” ซ้ำๆ ตลอดเกม คำพูดนี้ช่วยให้เขาจดจ่ออยู่กับปัจจุบันและทำตามหลักพื้นฐานของการตีเบสบอล

องค์ประกอบสุดท้ายคือ Toughness หรือความแข็งแกร่ง Afremow อธิบายว่า ความแข็งแกร่งทางจิตใจไม่ได้หมายถึงการต้องฝืนทน แต่หมายถึงความสามารถในการรักษาความคิดเชิงบวกและเชิงรุกในสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุด

ในวงการกอล์ฟอาชีพ มีการติดตามสถิติที่เรียกว่า “bounce back” ซึ่งวัดความสามารถของนักกอล์ฟในการฟื้นตัวกลับมาแสดงผลงานที่ดีหลังจากการเล่นหลุมที่แย่ นักกอล์ฟระดับโลกมักจะมีสถิติ bounce back ที่ดีมาก นั่นแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทางจิตใจของพวกเขา

Afremow แนะนำให้เราพยายามเพิ่มสถิติ bounce back ของตัวเองในชีวิต โดยมองทุกอุปสรรคเป็นโอกาสสำหรับการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ เมื่อเผชิญกับความล้มเหลว เราควรเตือนตัวเองถึงการเตรียมตัวที่ดี ใช้อารมณ์ขันเพื่อผ่อนคลายความเครียด และใช้การพูดกับตัวเองเชิงบวกเพื่อกลับมาโฟกัสกับงานที่อยู่ตรงหน้า

นอกจากนี้ Afremow ยังแนะนำให้เราจดบันทึกคะแนน (ทางจิตใจ) สำหรับทุกการแสดงผลงานของเรา โดยให้คะแนนตัวเองในสเกล 1 ถึง 5 ในแต่ละด้านของ BEST ได้แก่ ความเชื่อ ความสนุกสนาน การพูดกับตัวเอง และความแข็งแกร่ง การทำเช่นนี้จะช่วยให้เราเห็นพัฒนาการของตัวเองและรู้ว่าเราควรปรับปรุงด้านไหนเพิ่มเติม

แนวคิดของ Afremow ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในวงการกีฬาเท่านั้น แต่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในทุกด้านของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การเรียน หรือแม้แต่การจัดการกับความท้าทายในชีวิตประจำวัน การพัฒนาจิตใจของผู้ชนะจะช่วยให้เราสามารถรับมือกับความกดดันและความท้าทายต่างๆ ได้ดีขึ้น

ลองนึกถึงสถานการณ์ที่คุณต้องนำเสนองานสำคัญต่อหน้าผู้บริหารระดับสูง หากคุณใช้หลัก BEST คุณจะเริ่มด้วยการสร้างความเชื่อมั่นในตัวเองจากการเตรียมตัวอย่างดี คุณจะพยายามสนุกกับประสบการณ์นี้ด้วยการมองว่ามันเป็นโอกาสที่ดีในการแสดงความสามารถ คุณจะใช้การพูดกับตัวเองในเชิงบวกเพื่อควบคุมความคิดและอารมณ์ และหากมีอะไรผิดพลาด คุณจะใช้ความแข็งแกร่งทางจิตใจเพื่อฟื้นตัวและดำเนินการต่อไปอย่างมั่นใจ

อย่างไรก็ตาม Afremow เตือนว่าการมีจิตใจของผู้ชนะไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่มีวันล้มเหลว แต่หมายถึงการที่เราสามารถรับมือกับความล้มเหลวได้อย่างมีประสิทธิภาพ เรียนรู้จากมัน และใช้มันเป็นแรงผลักดันให้เราก้าวไปข้างหน้า ผู้ชนะที่แท้จริงไม่ได้วัดกันที่จำนวนครั้งที่พวกเขาประสบความสำเร็จ แต่วัดที่ความสามารถในการลุกขึ้นมาใหม่หลังจากล้มลง

ในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การมีจิตใจของผู้ชนะจึงเป็นทักษะที่สำคัญอย่างยิ่ง มันไม่เพียงแต่จะช่วยให้เราประสบความสำเร็จในสิ่งที่เราทำเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เรามีความสุขและพึงพอใจในชีวิตมากขึ้นด้วย เพราะเมื่อเรามีความเชื่อมั่น สนุกกับสิ่งที่ทำ มีการพูดกับตัวเองในเชิงบวก และมีความแข็งแกร่งทางจิตใจ เราก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความท้าทายใดๆ ที่ชีวิตจะนำมา

การพัฒนาจิตใจของผู้ชนะไม่ใช่เรื่องของการเอาชนะผู้อื่น แต่เป็นเรื่องของการเอาชนะตัวเอง การก้าวข้ามข้อจำกัดของตัวเอง และการเติบโตเป็นเวอร์ชันที่ดีที่สุดของตัวเรา เมื่อเราทำเช่นนี้ได้ ความสำเร็จก็จะตามมาเอง

ในท้ายที่สุด Afremow เน้นย้ำว่า การมีจิตใจของผู้ชนะไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องเคร่งเครียดหรือจริงจังกับชีวิตตลอดเวลา แต่หมายถึงการมีความสมดุลระหว่างความมุ่งมั่นและการผ่อนคลาย การรู้จักเวลาที่จะพุ่งชน และเวลาที่จะปล่อยวาง การมีความยืดหยุ่นทางจิตใจที่จะปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆ

หนังสือ “The Champion’s Mind” ของ Jim Afremow เปรียบเสมือนคู่มือสำหรับทุกคนที่ต้องการพัฒนาตนเองและก้าวสู่ความสำเร็จ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักกีฬา นักธุรกิจ นักเรียน หรือใครก็ตาม หลักการ BEST ที่ Afremow นำเสนอสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในทุกด้านของชีวิต เพื่อช่วยให้คุณก้าวข้ามอุปสรรค เอาชนะความท้าทาย และบรรลุเป้าหมายที่คุณตั้งไว้

การพัฒนาจิตใจของผู้ชนะเป็นการเดินทางที่ไม่มีวันสิ้นสุด แต่เป็นการเดินทางที่คุ้มค่า เพราะมันไม่เพียงแต่จะนำพาเราไปสู่ความสำเร็จเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เราเติบโตเป็นบุคคลที่ดีขึ้น แข็งแกร่งขึ้น และมีความสุขมากขึ้นในทุกๆ วัน ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะกำลังเผชิญกับความท้าทายใดในชีวิต จงจำไว้ว่า ชัยชนะเริ่มต้นจากภายในตัวคุณเอง จากจิตใจของผู้ชนะที่คุณสร้างขึ้นและพัฒนามันอย่างต่อเนื่อง

References :
หนังสือ The Champion’s Mind: How Great Athletes Think, Train, and Thrive โดย Jim Afremow PhD

กล้ามเนื้อแห่ง empathy : กับอีกหนึ่งทักษะสำคัญที่โรงเรียนไม่เคยสอน แต่เป็นสิ่งที่ชีวิตเราต้องการ

ในยุคปัจจุบันคำว่า “empathy” หรือ ความเห็นอกเห็นใจ ความเข้าใจในความคิดและความรู้สึกของผู้อื่นกลายเป็นทักษะที่สำคัญยิ่งต่อการอยู่ร่วมกันในสังคม แต่การจะเข้าใจจิตใจของคนอื่นนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

เมื่อลองคิดว่าสมองของมนุษย์มีเซลล์ประสาทที่เชื่อมโยงกันมากกว่า 100 พันล้านเซลล์ ที่สามารถทำงานร่วมกันได้ในรูปแบบที่ซับซ้อนเกินกว่าจะจินตนาการ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่บางครั้งเราอาจรู้สึกว่ามันยากเหลือเกินที่จะเข้าใจกันและกัน

แต่ถึงแม้ความเห็นอกเห็นใจจะเป็นเรื่องท้าทาย หลายคนก็ยังมองว่ามันเป็นสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ โดยเฉพาะในคนที่มีจิตใจดี แต่ผลการวิจัยล่าสุดกลับชี้ให้เห็นว่า ความเห็นอกเห็นใจนั้นต้องอาศัยความพยายามอย่างมาก

เป็นข้อมูลที่น่าสนใจจากเวที Ted Talks ล่าสุดที่เพิ่งมีการปล่อยออกมาโดย Alison Jane Martingano (Ph.D.) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-กรีนเบย์ (UWGB) การวิจัยเกี่ยวกับความเห็นอกเห็นใจของเธอได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการต่างๆ และเธอยังแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกทางจิตวิทยากับสาธารณชนทั่วไปเป็นประจำผ่านบล็อก Psychology Today และพอดแคสต์ Psychology & Stuff

Alison Jane ได้ทำการทดลองโดยขอให้อาสาสมัครแสดงความเห็นอกเห็นใจ แล้วพยายามทำให้มันยากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ผลปรากฏว่าแม้แต่งานง่าย ๆ อย่างการรับรู้อารมณ์ของคนอื่นก็ยังต้องใช้ความพยายาม ส่วนงานที่ซับซ้อนมากขึ้นก็ยิ่งต้องใช้ความคิดอย่างมหาศาล

ตัวอย่างเช่น การจะเข้าใจมุมมองของใครสักคนในขณะที่เรากำลังวอกแวกนั้นเป็นเรื่องยาก และเมื่อเราต้องทำงานหลายอย่างพร้อมกัน ความห่วงใยเห็นอกเห็นใจผู้อื่นก็มักจะลดน้อยลง ที่น่าสนใจคือหากมีทางเลือกคนส่วนใหญ่มักจะหลีกเลี่ยงการแสดงความเห็นอกเห็นใจโดยสิ้นเชิง

ในการทดลองหนึ่ง นักวิจัยขอให้ผู้เข้าร่วมดูรูปภาพของคนอื่น แล้วให้เลือกว่าจะแสดงความเห็นอกเห็นใจกับคนในภาพ หรือจะแค่อธิบายลักษณะทางกายภาพของพวกเขา ผลปรากฏว่าผู้เข้าร่วมเลือกที่จะอธิบายลักษณะทางกายภาพถึง 65% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเมื่อมีทางเลือก เรามักจะหลีกเลี่ยงการแสดงความเห็นอกเห็นใจ

Alison Jane เล่าประสบการณ์ส่วนตัวเมื่อย้ายจากอังกฤษมาอยู่ที่สหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรก เธอคิดว่าเธอพูดภาษาเดียวกับชาวอเมริกัน แต่การใช้คำเดียวกันจริง ๆ แล้วทำให้เกิดความมั่นใจที่ผิด ๆ เธอคิดว่าเข้าใจสิ่งที่คนอื่นพูด แต่ความเป็นจริงแล้วเธอคิดผิดอย่างมาก

ตัวอย่างเช่น ครั้งหนึ่งเธอกำลังขับรถไปงานครอบครัวกับคู่หมั้น และคู่หมั้นบอกว่ากับเธอ “quite pretty” ซึ่งทำให้เธอรู้สึกไม่พอใจ เพราะในอังกฤษ คำว่า “quite” เป็นคำที่เหมือนกับคำว่า “ค่อนข้าง” หรือ “พอสมควร” แต่ในอเมริกา คำว่า “quite” จริง ๆ แล้วเหมือนกับคำว่า “มาก” หรือ “อย่างยิ่ง” ปัญหาคือเธอไม่ได้พยายามที่จะเข้าใจว่าคู่หมั้นหมายความว่าอย่างไร เธอยุ่งอยู่กับการรู้สึกไม่พอใจมากเกินไปจนไม่ได้มองจากมุมมองของอีกฝ่าย

เหตุการณ์นี้ทำให้เธอตระหนักว่า เมื่อเราเจอสถานการณ์ที่คนอื่นไม่คิดเหมือนเรา และเราต้องพยายามเล็กน้อยเพื่อทำความเข้าใจว่าพวกเขากำลังพยายามจะพูดอะไรหรือพวกเขารู้สึกอย่างไร นั่นคือโอกาสในการฝึกฝนความเห็นอกเห็นใจ และความเห็นอกเห็นใจก็เหมือนกล้ามเนื้อ มันพัฒนาขึ้นได้ด้วยการฝึกฝน

มีประสบการณ์ในชีวิตประจำวันมากมายที่ให้โอกาสเราในการฝึกฝนความเห็นอกเห็นใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีปฏิสัมพันธ์กับคนที่เราไม่เห็นด้วย ในการแลกเปลี่ยนที่ท้าทายเหล่านี้ ที่เราต้องพยายามมากขึ้นเพื่อเข้าใจมุมมองของพวกเขา

กล้ามเนื้อแห่งความเห็นอกเห็นใจของเราจะได้รับการทดสอบและพัฒนาอย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้ Alison Jane จึงสนับสนุนให้เราแสวงหาประสบการณ์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว การเข้าเรียนในวิทยาลัย หรือแค่ก้าวออกจาก Comfort Zone ของเราชั่วคราวเพื่อฝึกฝนความเห็นอกเห็นใจ

แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือเราไม่จำเป็นต้องพูดคุยกับคนอื่นจริง ๆ เพื่อฝึกฝนความเห็นอกเห็นใจ จริง ๆ แล้วมีสิ่งอื่น ๆ ที่เราสามารถทำได้เพื่อฝึกฝนทักษะนี้เช่นเดียวกัน

งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าสิ่งหนึ่งที่เราสามารถทำได้คือการแอบฟังการสนทนาของคนอื่น ลองจินตนาการว่าเราอยู่ในร้านกาแฟและกำลังฟังการสนทนาของคู่รักที่นั่งข้าง ๆ พวกเขากำลังมีความเข้าใจผิดกัน ฝ่ายหนึ่งคิดว่าพวกเขากำลังพูดถึงเรื่องหนึ่ง ในขณะที่อีกฝ่ายคิดว่าพวกเขากำลังพูดถึงอีกเรื่องหนึ่งที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

เราในฐานะผู้สังเกตการณ์สามารถใช้โอกาสนี้ในการพยายามทำความเข้าใจว่าแต่ละคนกำลังพยายามจะสื่อสารอะไร ซึ่งการแอบฟังการสนทนาของพวกเขาเป็นโอกาสในการฝึกฝนความเห็นอกเห็นใจในสถานการณ์ที่เราสามารถมีความเป็นกลางและไม่ลำเอียงได้มากขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ต้องระมัดระวังไม่ให้เป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้อื่นจนเกินไป

นอกจากนี้ เรายังสามารถฝึกฝนความเห็นอกเห็นใจกับสัตว์เลี้ยงของเราได้ด้วย ซึ่งแน่นนอนว่ามันอาจจะเป็นเรื่องยากที่จะรู้ว่าแมวของเรากำลังคิดอะไร แต่อาจจะง่ายกว่ากับสุนัข เจ้าของสัตว์เลี้ยงสามารถฝึกฝนความเห็นอกเห็นใจโดยพยายามเข้าใจว่าสัตว์เลี้ยงของพวกเขากำลังคิดหรือรู้สึกอย่างไร ซึ่งอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมเจ้าของสัตว์เลี้ยงโดยเฉลี่ยจึงมีความเห็นอกเห็นใจมากกว่าคนที่ไม่มีสัตว์เลี้ยง เพราะพวกเขาได้ฝึกฝนกับสัตว์เลี้ยงของตนทุกวัน

แต่ไม่ใช่แค่สัตว์จริง ๆ และมนุษย์จริง ๆ เท่านั้นที่เราสามารถฝึกฝนความเห็นอกเห็นใจได้ ตัวละครในนิยายก็เป็นโอกาสที่ดีในการฝึกฝนความเห็นอกเห็นใจเช่นกัน

โดยเราสามารถพยายามเข้าใจแรงจูงใจและอารมณ์ของตัวละคร งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าการอ่านนวนิยายเป็นการฝึกฝนความเห็นอกเห็นใจที่ยอดเยี่ยม และไม่ใช่แค่หนังสือเท่านั้น เพราะสามารถใช้ได้ทั้งในรูปแบบของภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์

อย่างไรก็ตาม เราควรระมัดระวังไม่ให้ตกหลุมพรางของการด่วนสรุปหรือเหมารวมตัวละครจากลักษณะภายนอกเพียงอย่างเดียว เช่น การคิดว่าตัวร้ายต้องสวมเสื้อผ้าสีเข้มและยืนอยู่ในเงามืดเสมอ แม้ว่าตัวร้ายแบบนี้จะสร้างความบันเทิงได้ง่าย แต่พวกเขาไม่ได้ท้าทายความสามารถในการเห็นอกเห็นใจของเรามากนัก

งานวิจัยชี้ให้เห็นว่าหากเราต้องการฝึกฝนความเห็นอกเห็นใจที่มีประสิทธิภาพ เราต้องพยายามมากขึ้นเพื่อเข้าใจสภาวะจิตใจของตัวละครที่ซับซ้อนและคลุมเครือมากขึ้น

ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ รายการโทรทัศน์ ละครเวที หรืองานศิลปะที่มองเห็นได้ เช่น ภาพ Mona Lisa ที่ลึกลับ สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดสามารถเป็นโอกาสในการฝึกฝนความเห็นอกเห็นใจ เราสามารถตั้งคำถามกับตัวเองว่า “เธอกำลังรู้สึกเศร้าหรือมีความสุขกันแน่?”

เราสามารถมองสถานการณ์เหล่านี้เป็นเหมือนโรงยิมไว้คอยฝึกฝนความเห็นอกเห็นใจในโลกแห่งจินตนาการของเรา เป็นโอกาสในการฝึกฝนความเห็นอกเห็นใจในสภาพแวดล้อมที่เป็นเรื่องแต่งขึ้น ซึ่งเราไม่เสี่ยงที่จะทำให้ใครเสียความรู้สึก

และเหมือนกับโปรแกรมการออกกำลังกาย เราต้องเลือกการออกกำลังกายที่เหมาะกับเราที่สุด บางคนอาจไม่ชอบการอ่านหนังสือเหมือนกับที่บางคนเกลียดการวิ่งออกกำลังกาย ยังมีตัวเลือกอีกมากมายให้เราได้เลือกฝึกฝนความเห็นอกเห็นใจ

ในวงการวิจัยด้านความเห็นอกเห็นใจ มีการกล่าวอ้างมากมายเกี่ยวกับวิธีแก้ปัญหาอย่างรวดเร็วสำหรับความเห็นอกเห็นใจ เทคโนโลยี Virtual Reality เป็นหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมเมื่อเร็ว ๆ นี้ แนวคิดก็คือเราสามารถเข้าใจมุมมองของคนอื่นในโลกเสมือนจริงได้

บางทีเราอาจได้สัมผัสประสบการณ์ของการเป็นผู้ลี้ภัยหรือผู้ป่วยในโรงพยาบาล แต่งานวิจัยแสดงให้เห็นว่ามันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ถ้าเราพึ่งพาแค่ชุดหูฟังให้ทำงานแทนเรา และเราไม่ได้ทุ่มเทการทำงานหนักด้วยตัวเอง กล้ามเนื้อแห่งความเห็นอกเห็นใจของเราก็จะไม่มีวันเติบโต ถ้าเราต้องการการพัฒนาความเห็นอกเห็นใจในระยะยาว เราต้องทุ่มเทการทำงานอย่างจริงจัง

ในโลกที่มีความขัดแย้งและความเข้าใจผิดมากมาย การพัฒนาความเห็นอกเห็นใจของเราอาจเป็นหนึ่งในทักษะที่สำคัญที่สุดที่เราสามารถฝึกฝนได้ มันไม่เพียงแต่ช่วยให้เราเข้าใจผู้อื่นได้ดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เราเข้าใจตัวเองได้ดีขึ้นด้วย เมื่อเราฝึกฝนการมองโลกผ่านมุมมองของผู้อื่น เราก็เปิดโอกาสให้ตัวเองได้เติบโตและเรียนรู้ในแง่มุมที่เราอาจไม่เคยคิดมาก่อน

ในท้ายที่สุด การพัฒนาความเห็นอกเห็นใจไม่เพียงแต่ทำให้เราเป็นคนที่ดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังทำให้โลกของเราเป็นสถานที่ที่ดีขึ้นด้วย เมื่อเราสามารถเข้าใจและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นได้มากขึ้น เราก็สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมายมากขึ้น แก้ไขความขัดแย้งได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และสร้างสังคมที่เปี่ยมด้วยความเข้าใจและการยอมรับมากขึ้นได้ในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

References :
How to train your empathy muscles | Alison Jane Martingano, Ph.D | TEDxUWGreenBay
https://youtu.be/MvSvdGArhxc?si=a1k51ImCuGYgzMc4