สมาธิหาย ชีวิตพัง : วิธีกู้คืนความโฟกัสในยุคดิจิทัล กับเทคนิคจากหนังสือ Stolen Focus

ในยุคปัจจุบัน การมีสมาธิจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งกลายเป็นความท้าทายที่สำคัญของคนยุคนี้ Johann Hari นักเขียนชื่อดังได้นำเสนอมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับประเด็นนี้ในหนังสือ “Stolen Focus” ของเขา โดยชี้ให้เห็นว่าสมาธิเป็นรากฐานสำคัญของความสำเร็จและความสุขในชีวิต

หากปราศจากสมาธิที่แน่วแน่ เราอาจพบว่าตัวเองไม่สามารถทำงานที่มีคุณค่าให้สำเร็จลุล่วงได้ และต้องพอใจกับผลลัพธ์ที่ไม่ได้คุณภาพ นอกจากนี้ การขาดสมาธิในการมุ่งไปสู่เป้าหมายระยะยาวอาจทำให้เราหลงทางในชีวิตได้ง่าย ๆ เช่นเดียวกัน

Victor Frankl นักจิตวิทยาชื่อดังเคยกล่าวไว้ว่า “สิ่งที่มนุษย์ต้องการคือการดิ้นรนและต่อสู้เพื่อเป้าหมายที่มีคุณค่า” แต่หากเราไม่มีสมาธิ เราก็จะขาดความเข้าใจในตัวเองที่จำเป็นต่อการค้นพบว่าอะไรคือเป้าหมายที่แท้จริงที่เราควรไล่ตาม

Hari เสนอว่าเพื่อค้นพบความสำเร็จและความสุขที่แท้จริง เราจำเป็นต้องพัฒนาสมาธิใน 3 รูปแบบ ได้แก่:

  1. Spotlight หรือจุดโฟกัส: ความสามารถในการจดจ่อกับงานหรือกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน จนสามารถสร้างความก้าวหน้ากับงานนั้น ๆ หรือเข้าใจมันอย่างลึกซึ้ง
  2. Starlight หรือแสงดาว: ความสามารถในการมองเห็นภาพใหญ่และเป้าหมายระยะยาวที่มีความหมาย เปรียบเสมือนดาวเหนือที่นำทางชีวิตเรา
  3. Daylight หรือแสงกลางวัน: ความสามารถในการสังเกตและเข้าใจตนเองในชีวิตประจำวัน ซึ่งจำเป็นต่อการค้นพบว่าเป้าหมายใดมีคุณค่าและควรค่าแก่การไล่ตาม

น่าเสียดายที่ในปัจจุบัน สมาธิทั้งสามรูปแบบนี้กำลังถูกบั่นทอนลงเรื่อย ๆ โดยแนวโน้มที่น่ากังวล 2 ประการ ได้แก่ “The Great Acceleration” และ “The Gradual Deprivation”

The Great Acceleration หมายถึงการที่โลกของเราเคลื่อนที่และเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยีและการสื่อสาร ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ในปี 2013 หัวข้อการสนทนายอดนิยม 50 อันดับแรกบน Twitter มีอายุเฉลี่ย 17.5 ชั่วโมง แต่เพียงสามปีต่อมา อายุเฉลี่ยของหัวข้อเหล่านี้ลดลงเหลือเพียง 11.9 ชั่วโมงเท่านั้น และยิ่งผ่านพ้นไปก็จะเหลือน้อยลงไปเรื่อย ๆ

กระแสข้อมูลมหาศาลที่ไหลบ่าเข้ามาทุกวันทำให้เราต้องปรับตัวด้วยการอ่านข้อมูลอย่างผิวเผินและรวดเร็ว ซึ่งส่งผลให้เราขาดความอดทนในการศึกษาเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างลึกซึ้งหรือจัดการกับงานที่ท้าทาย

ลองนึกย้อนไปถึงช่วงเวลาที่เราต้องจัดการกับอีเมลจำนวนมาก ติดตามข่าวสารในกลุ่มแชท เรียกดูข่าวล่าสุด หรือเลื่อนดูโซเชียลมีเดีย

การบริโภคข้อมูลแบบรวดเร็วเช่นนี้ ไม่สามารถทำให้เรามีสมาธิ และทำให้เราไม่มีความพร้อมที่จะทำงานที่ต้องใช้ความคิดเชิงลึก และที่สำคัญเราแทบจะจำข้อมูลจำนวนมากเหล่านี้แทบไม่ได้เลย

งานวิจัยพบว่ายิ่งเราอ่านเร็วเท่าไหร่ ความเข้าใจก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น และเรามีแนวโน้มที่จะหลีกเลี่ยงเนื้อหาที่ท้าทายและมีความซับซ้อนมากขึ้น

Johann Hari เปรียบเทียบความต้องการที่จะดูดซับข้อมูลมหาศาลโดยไม่สูญเสียความสามารถในการโฟกัสว่าเหมือนกับความต้องการที่จะกินอาหารขยะทุกวันแต่ยังอยากผอมเพรียว ซึ่งเป็นความฝันที่เป็นไปไม่ได้ เพราะสมองมนุษย์ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในรอบ 40,000 ปีที่ผ่านมา

ส่วน “The Gradual Deprivation” นั้นหมายถึงการที่เราค่อย ๆ สูญเสียทรัพยากรสำคัญที่จำเป็นต่อการมีสมาธิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนอนหลับ National Sleep Foundation ประมาณการว่าในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา เวลานอนเฉลี่ยต่อคืนลดลงถึง 20% และยังคงลดลงเรื่อย ๆ

บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Netflix, Facebook และ Google ใช้ทีมวิศวกรจำนวนมากเพื่อออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ดึงดูดความสนใจของเราและทำให้เรานอนดึกขึ้น

ในปัจจุบันบริษัทเหล่านี้ยังใช้ AI ขั้นสูงที่เรียนรู้จากพฤติกรรมมนุษย์นับล้านชั่วโมงเพื่อปรับปรุงเนื้อหาและลดเวลานอนของเราให้มากขึ้นไปอีก TikTok เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าเนื้อหาที่ขับเคลื่อนด้วย AI สามารถสร้างการเสพติดได้มากเพียงใด

แม้ว่าการนอนน้อยลงเพียง 1-2 ชั่วโมงอาจดูไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ความจริงแล้วส่งผลกระทบอย่างมาก เพราะ 80% ของการนอนหลับแบบ REM (Rapid Eye Movement) ซึ่งเป็นช่วงที่สมองประมวลผลและจัดระเบียบข้อมูลที่ได้รับระหว่างวัน เกิดขึ้นใน 20% สุดท้ายของช่วงเวลา 7-8 ชั่วโมงที่เราควรนอนในแต่ละคืน

หากเราพลาดการนอนหลับแบบ REM ไป เราจะเริ่มต้นวันใหม่ด้วยความรู้สึกสับสนและไม่สามารถมีสมาธิหรือเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Matthew Walker นักวิจัยด้านการนอนหลับพบว่าการนอนหลับเพียง 6 ชั่วโมงต่อคืนเป็นเวลา 10 วันติดต่อกัน ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลงเทียบเท่ากับการไม่ได้นอนเลยเป็นเวลา 24 ชั่วโมง

แล้วเราจะแก้ไขมันได้อย่างไร? Hari เสนอแนวทางดังนี้:

  1. ให้ตระหนักถึงผลกระทบของการบริโภคข้อมูลอย่างรวดเร็ว เมื่อเรารู้ตัวว่าพฤติกรรมนี้ส่งผลต่อสมาธิและความสัมพันธ์ของเรา เราจะมีแนวโน้มที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมากขึ้น
  2. งดเว้นการเช็คโทรศัพท์และรับข้อมูลดิจิทัลในช่วง 60 นาทีแรกหลังตื่นนอน ใช้เวลานี้เพื่อฟื้นฟู Daylight, Starlight และ Spotlight ของเรา โดย:
  • ให้ลองตั้งคำถามกับตัวเองว่า อะไรสำคัญที่สุดสำหรับเรา? อะไรคือจุดแข็งของเรา? เราจะสร้างคุณค่าที่แตกต่างให้กับผู้อื่นได้อย่างไร?
  • เขียนเป้าหมายระยะยาวและวางแผนการทำงานรายสัปดาห์และรายวันที่จะนำไปสู่เป้าหมายเหล่านั้น
  • เจาะลึกเป้าหมายประจำวันหนึ่งข้อจนครบ 60 นาที

3. ฝึกนิสัย “อ่านหนังสือก่อน” เมื่อเช็คโทรศัพท์ โดยเปิดแอปอ่านอีบุ๊กและอ่านสักสองสามย่อหน้าก่อนที่จะเช็คอีเมล แชท หรือโซเชียลมีเดีย วิธีนี้จะช่วยฝึกสมาธิที่ดีขึ้น เพราะการอ่านหนังสือส่งเสริมให้เราเจาะลึกเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างต่อเนื่อง แทนที่จะกระโดดข้ามจากเรื่องหนึ่งไปอีกเรื่องหนึ่งอย่างไร้ทิศทาง การอ่านหนังสือยังช่วยให้เราได้รับข้อมูลที่ผ่านการกลั่นกรองและเรียบเรียงอย่างดี โดยไม่ถูกรบกวนด้วยโฆษณาหรือเนื้อหาที่ไม่เกี่ยวข้อง

  1. ให้ความสำคัญกับการนอนหลับ โดยให้คำมั่นสัญญากับตัวเองล่วงหน้าเพื่อป้องกันไม่ให้เทคโนโลยีมารบกวนการนอน ตัวอย่างเช่น:
  • ลบแอปที่ทำให้เรานอนดึกออกจากโทรศัพท์ และย้ายไปไว้ในอุปกรณ์อื่นที่เก็บล็อกไว้ก่อนเวลานอน
  • ใช้โปรแกรมบล็อกแอปเพื่อจำกัดการใช้งานแอปต่าง ๆ ในช่วงสองชั่วโมงก่อนเข้านอน
  • ติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมไฟฟ้าอัจฉริยะเพื่อตัดไฟอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในเวลาที่กำหนด
  1. ประกาศความแน่วแน่ให้สังคมรับรู้ เช่น:
  • ประกาศให้ครอบครัวรับรู้ว่าเราจะปิดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดในเวลาที่กำหนด และหันไปทำกิจกรรมอื่นแทน เช่น เล่นบอร์ดเกมหรืออ่านหนังสือ
  • มอบโทรศัพท์ให้แฟนของเราเก็บรักษาไว้ในช่วงเวลาพักผ่อน โดยขอคืนเฉพาะกรณีฉุกเฉินเท่านั้น
  • หากการใช้โซเชียลมีเดียทำให้เรานอนดึก ให้ประกาศพักการใช้งานแอปนั้น ๆ เป็นระยะเวลาหนึ่ง เช่น สองเดือน และแจ้งให้เพื่อน ๆ ในโลกออนไลน์ทราบ

การฝึกฝนเหล่านี้อาจดูเหมือนเป็นการจำกัดตัวเองในตอนแรก แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันคือการปลดปล่อยตัวเราจากพันธนาการของเทคโนโลยีและคืนอิสรภาพให้กับจิตใจของเรา เมื่อเราสามารถควบคุมความสนใจและสมาธิของตัวเองได้ดีขึ้น เราจะพบว่าชีวิตมีคุณภาพและความหมายมากขึ้น

Mihaly Csikszentmihalyi นักจิตวิทยาผู้ศึกษาเรื่อง flow state มาอย่างยาวนาน พบว่าการอ่านหนังสือเป็นวิธีที่ง่ายและเชื่อถือได้ที่สุดสำหรับผู้คนในการสัมผัสประสบการณ์ flow state ซึ่งเป็นสภาวะที่เรารู้สึกมีความสุข มีสมาธิจดจ่อ และมีประสิทธิภาพสูงสุด

น่าเสียดายที่ในปัจจุบัน มีชาวอเมริกันเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้นที่อ่านหนังสืออย่างน้อยหนึ่งเล่มต่อปี และจำนวนผู้ที่ไม่อ่านหนังสือเลยได้เพิ่มขึ้นเป็นสามเท่าระหว่างปี 1978 ถึง 2014

แม้ว่าสถิติเหล่านี้จะน่าวิตก แต่มันก็เป็นโอกาสสำหรับเราที่จะสร้างความแตกต่างให้กับชีวิตตัวเองได้ ด้วยการเริ่มต้นอ่านหนังสือเพียงวันละสองสามย่อหน้า เราสามารถฝึกจิตใจให้มีความสามารถในการจดจ่อกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้ลึกซึ้งมากขึ้น ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในการต่อต้าน “The Great Acceleration” ของโลกยุคดิจิทัล

Johann Hari สรุปไว้อย่างชัดเจนว่า “เราต้องตัดสินใจตอนนี้ว่าเราให้คุณค่ากับความสนใจและสมาธิหรือไม่ ความสามารถในการคิดอย่างลึกซึ้งสำคัญสำหรับเราหรือไม่ เราต้องการสิ่งนี้สำหรับลูก ๆ ของเราหรือไม่ ถ้าเราต้องการ เราก็ต้องต่อสู้เพื่อมัน”

คำพูดนี้เป็นการเตือนสติที่ทรงพลัง เพราะในโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งเร้าและการแข่งขัน การมีสมาธิที่แน่วแน่อาจกลายเป็น “ซุปเปอร์พาวเวอร์” ที่ทำให้เราโดดเด่นและประสบความสำเร็จได้

การเรียกคืนสมาธิของเราไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไป เริ่มต้นด้วยการตระหนักถึงผลกระทบของการบริโภคข้อมูลอย่างผิวเผิน จากนั้นค่อย ๆ สร้างนิสัยที่ส่งเสริมสมาธิเชิงลึก เช่น การงดเว้นการใช้เทคโนโลยีในช่วงเช้า การฝึกอ่านหนังสือก่อนเช็คโซเชียลมีเดีย และการให้ความสำคัญกับการนอนหลับอย่างเพียงพอ

การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจดูเล็กน้อย แต่เมื่อทำอย่างต่อเนื่อง มันจะสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ต่อคุณภาพชีวิตของเรา เมื่อเรามีสมาธิที่ดีขึ้น เราจะสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เข้าใจตัวเองและผู้อื่นได้ลึกซึ้งขึ้น และมีความสุขกับชีวิตมากขึ้น

ในท้ายที่สุด การมีสมาธิไม่ได้หมายถึงการตัดขาดจากโลกดิจิทัลโดยสิ้นเชิง แต่เป็นการเรียนรู้ที่จะใช้เทคโนโลยีอย่างชาญฉลาดและมีสติ โดยไม่ปล่อยให้มันควบคุมชีวิตของเรา เมื่อเราสามารถสร้างสมดุลระหว่างการเชื่อมต่อกับโลกภายนอกและการเชื่อมต่อกับตัวเองได้ เราจะพบว่าชีวิตมีความหมายและความสุขมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

References :
หนังสือ Stolen Focus: Why You Can’t Pay Attention–and How to Think Deeply Again โดย Johann Hari


 


ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA



Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ



Geek Forever’s Podcast


“Open Your World With Technology


AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning

Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Youtube
ฟังผ่าน Youtube