บทเรียนแสนล้านของ Sony ชนะสงครามแผ่นดิสก์ แต่กลับพ่ายแพ้ให้กับอนาคต

ถ้าเราลองย้อนเวลากลับไปสักประมาณปี 2001 โลกในตอนนั้นอาจจะดูไม่คุ้นตาเท่าไหร่ อินเทอร์เน็ตยังต้องต่อผ่านสายโทรศัพท์ และถ้าคุณมีมือถือ มันก็คงเป็นรุ่นฝาพับที่มีปุ่มกดจริงๆ

ในยุคที่ยังไม่มี Facebook หรือ iPhone ถ้ามีบริษัทหนึ่งที่เป็นเหมือนศูนย์กลางของจักรวาลแห่งความบันเทิง บริษัทนั้นก็คือ Sony

ไม่ว่าคุณจะอยากฟังเพลง… ก็ต้องเป็นเครื่อง Walkman หรือ Discman อยากเล่นเกม… ก็ต้องนึกถึงเครื่อง PlayStation หรือถ้าจะดูหนังฟอร์มยักษ์ในโรงภาพยนตร์… ก็เป็นหนังจากค่ายของเขา

Sony ในวันนั้น ไม่ใช่แค่บริษัทเทคโนโลยี แต่เป็นผู้กำหนดวัฒนธรรมป๊อปของโลก พวกเขาเป็นเจ้าของทั้งฮาร์ดแวร์ที่ล้ำที่สุด และคอนเทนต์ที่ดีที่สุด เรียกว่าคุมเกมทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ

แต่คำถามคือ… แล้ววันนี้ Sony หายไปไหน?

แน่นอนว่า Sony ยังอยู่ แต่ถ้าเราพูดถึงทีวีที่ดีที่สุด เราอาจจะนึกถึง LG หรือ Samsung ถ้าอยากได้สมาร์ทโฟน ก็ต้องเป็น Apple หรือ Samsung ส่วนการดูหนังออนไลน์ ก็ต้องเป็น Netflix

Sony กลายเป็นเหมือนยักษ์ใหญ่ในอดีตที่ค่อยๆ เลือนหายไปจากความสนใจของผู้บริโภคส่วนใหญ่… เรื่องราวของยักษ์ใหญ่ที่เคยเป็นผู้สร้างเทรนด์ แต่กลับกลายเป็นเพียงอีกหนึ่งแบรนด์ทางเลือก มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

เรื่องราวทั้งหมดต้องย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้น ณ กรุงโตเกียว ปี 1946 ที่ยังคงบอบช้ำจากสงคราม ชายสองคน… คนหนึ่งคือนักฟิสิกส์ชื่อ Akio Morita และอีกคนคือวิศวกรชื่อ Masaru Ibuka ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัทเล็กๆ ขึ้นมา

เป้าหมายของพวกเขายิ่งใหญ่เกินตัวมาก นั่นคือการชุบชีวิตอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของญี่ปุ่นให้กลับมายืนหยัดบนเวทีโลกอีกครั้ง

พวกเขาไม่ได้สร้างอาณาจักรขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่ด้วย “สูตรสำเร็จ” ที่เกิดจากการผสมผสานของคนสองขั้วที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว

ขั้วแรกคือ Akio Morita เขาคือตัวแทนของ “วิสัยทัศน์ที่กล้าฉีกทุกกฎ” เขาไม่เคยเชื่อในการเดินตามใคร แต่เชื่อในการสร้างเส้นทางของตัวเองขึ้นมา

เรื่องที่ชัดเจนที่สุดคือการให้กำเนิด “Sony Walkman” ในยุคที่การฟังเพลงนอกบ้านเป็นเรื่องใหญ่ Morita กลับมีไอเดียง่ายๆ ว่า ทำไมเราไม่สร้างเครื่องเล่นเพลงส่วนตัวที่พกไปไหนก็ได้

ทีมวิศวกรของเขาคัดค้านอย่างหนัก บอกว่ามันคือการลดเกรดเทคโนโลยี เพราะมันอัดเสียงไม่ได้ แต่ Morita ไม่ฟัง และผลลัพธ์ก็คืออุปกรณ์ชิ้นเล็กๆ ที่เปลี่ยนโลกการฟังเพลงไปตลอดกาล นี่คือปรัชญาของเขา… อย่าตามเทรนด์ แต่จงสร้างมันขึ้นมา

แต่อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากขาดอีกขั้วหนึ่งมาถ่วงดุล… และคนคนนั้นก็คือ Norio Ohga ปรมาจารย์ด้าน “ความสมบูรณ์แบบทางเทคนิค”

Ohga คือชายผู้หลงใหลในคุณภาพเสียง และเป็นคนที่ผลักดันให้โลกได้รู้จักกับแผ่น Compact Disc หรือ “แผ่นซีดี” ที่ให้เสียงคมชัดใสกระจ่างกว่าเทปคาสเซ็ตต์อย่างเทียบไม่ติด

นี่คือสูตรสำเร็จของ Sony ในยุคทอง… วิสัยทัศน์ที่กล้าเสี่ยงของ Morita บวกกับความสมบูรณ์แบบทางวิศวกรรมของ Ohga มันคือส่วนผสมที่ลงตัวและพา Sony ไปสู่จุดสูงสุด

แต่แล้ว… วันหนึ่ง เมื่อผู้ก่อตั้งทั้งสองวางมือจากบริษัทไป สูตรสำเร็จนั้นก็เริ่มหายไปครึ่งหนึ่ง Sony ยังคงมีความเชี่ยวชาญทางเทคนิคที่ไม่มีใครเทียบได้ แต่ความกล้าที่จะเสี่ยงแบบถึงลูกถึงคน… มันได้จางหายไป

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อโลกก้าวเข้าสู่สหัสวรรษใหม่… เพลงดิจิทัลในรูปแบบไฟล์ MP3 ได้ถือกำเนิดขึ้น นี่คือโอกาสทองที่ Sony ควรจะเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้

พวกเขามีแบรนด์ Walkman ที่คนทั้งโลกรู้จัก มีค่ายเพลงยักษ์ใหญ่อยู่ในมือ และมีเทคโนโลยีที่พร้อมกว่าใคร แต่ Sony กลับเลือกที่จะ “ต่อต้าน” การมาของ MP3

พวกเขากลัว… กลัวว่าเพลงดิจิทัลจะมาทำลายยอดขายแผ่นซีดีที่เป็นเหมือนเครื่องจักรทำเงินของบริษัท แทนที่จะโอบรับอนาคต พวกเขากลับพยายามปกป้องอดีต

Sony สร้างกำแพงขึ้นมาด้วยการออกไฟล์เพลงรูปแบบของตัวเองที่ชื่อว่า ATRAC ใครที่ซื้อเครื่องเล่นเพลงของ Sony ต้องมานั่งแปลงไฟล์เพลงอย่างยุ่งยากและน่ารำคาญ

และในระหว่างที่ Sony กำลังวุ่นวายกับการสร้างกำแพงนั้นเอง… บริษัทคอมพิวเตอร์ที่ชื่อ Apple ก็เปิดตัวอุปกรณ์ชิ้นเล็กๆ ที่เรียบง่ายและใช้งานสะดวกอย่าง “iPod” ซึ่งนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบสำหรับ Sony ในตลาดเพลงพกพา

คำถามคือ… ทำไมบริษัทที่เคยกล้าหาญมาตลอด ถึงได้กลายเป็นบริษัทที่ขี้กลัวขนาดนี้? คำตอบซ่อนอยู่ในบาดแผลทางใจครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท… ความล้มเหลวที่ชื่อว่า “Betamax”

ย้อนกลับไปในยุค 80 สงครามรูปแบบสื่อวิดีโอเทป ระหว่าง Betamax ของ Sony กับ VHS ของ JVC ถือเป็นกรณีศึกษาที่โด่งดังไปทั่วโลก

ทุกคนรู้ดีว่าเทคโนโลยี Betamax นั้นเหนือกว่า VHS ในทุกมิติ แต่ Sony ทำพลาดอย่างมหันต์ พวกเขาหวงเทคโนโลยีของตัวเองเกินไป และเชื่อมั่นในความเหนือกว่า จนไม่สนใจความต้องการของตลาด

ในขณะที่ JVC เปิดกว้างให้ใครก็ได้ผลิต VHS ทำให้มันแพร่หลายและราคาถูกกว่าอย่างรวดเร็ว สุดท้าย…เทคโนโลยีที่ด้อยกว่ากลับเป็นผู้ชนะสงครามอย่างขาดลอย

ความพ่ายแพ้ครั้งนั้นมันไม่ใช่แค่เรื่องธุรกิจ แต่มันสร้าง “ความอัปยศ” และ “ความกลัว” ที่ฝังลึกเข้าไปในวัฒนธรรมองค์กรของ Sony พวกเขาสาบานว่าจะไม่ยอมให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกเด็ดขาด

และความยึดติดกับการต้อง “ควบคุม” มาตรฐานเทคโนโลยีในอนาคตให้ได้นี่เอง… ที่นำไปสู่หายนะครั้งต่อมาที่รุนแรงยิ่งกว่า

เมื่อ Sony เข้าสู่ธุรกิจเกมด้วย PlayStation มันคือความสำเร็จที่ถล่มทลาย PlayStation 2 ขายได้ถึง 155 ล้านเครื่อง กลายเป็นตำนานที่ไม่มีใครเทียบได้ Sony คือราชาแห่งวงการเกมอย่างแท้จริง

แต่เมื่อถึงเวลาเปิดตัว PlayStation 3 ความสำเร็จนั้นได้แปรเปลี่ยนเป็นความ “หยิ่งผยอง” และความหยิ่งผยองนี้ถูกขับเคลื่อนด้วยปมด้อยเรื่อง Betamax ที่รอวันแก้แค้น

ในช่วงนั้น สงครามรูปแบบสื่อครั้งใหม่กำลังจะเริ่มขึ้น ระหว่างแผ่น Blu-ray ของฝั่ง Sony กับ HD DVD ของคู่แข่ง Sony มองเห็นโอกาสที่จะได้ล้างอายจากความพ่ายแพ้ในอดีต

พวกเขาจึงตัดสินใจทำในสิ่งที่ผิดพลาดที่สุด… นั่นคือการ “ยัด” เครื่องเล่น Blu-ray เข้าไปใน PlayStation 3 ทุกเครื่อง โดยไม่ได้สนใจเลยว่าเกมเมอร์ต้องการมันหรือไม่

ผลลัพธ์คือ… ราคาเปิดตัวของ PS3 พุ่งสูงไปถึง 599 ดอลลาร์ แพงกว่าคู่แข่งอย่าง Xbox 360 ถึง 200 ดอลลาร์ กลายเป็นเรื่องตลกขบขันและถูกล้อเลียนไปทั่ววงการ

ซ้ำร้าย พวกเขายังสร้างสถาปัตยกรรมซีพียูที่ทรงพลังแต่ซับซ้อนเกินไป จนนักพัฒนาเกมส่วนใหญ่พากันส่ายหน้าหนี Sony หมกมุ่นกับการสร้างสุดยอดเครื่องจักรเพื่อเอาชนะสงครามรูปแบบสื่อ จนลืมไปว่าพวกเขากำลังสร้าง “เครื่องเล่นเกม”

เป็นครั้งแรกที่ PlayStation กำลังจะแพ้สงครามคอนโซลอย่างย่อยยับ… แต่แล้ว ท่ามกลางวิกฤต Sony ก็ได้ทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด

ในปี 2013 Sony ได้ทำในสิ่งที่พวกเขาเคยทำได้ดีที่สุด… นั่นคือ “การรับฟัง” พวกเขาเรียนรู้จากความผิดพลาดของ PS3 และกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ด้วย PlayStation 4

พวกเขาตัดเทคโนโลยีที่ไม่จำเป็นทิ้งไป มุ่งเน้นสิ่งที่เกมเมอร์ต้องการจริงๆ นั่นคือเกมที่ยอดเยี่ยม และราคาที่สมเหตุสมผล การกลับมาครั้งนี้คือชัยชนะที่งดงาม และพิสูจน์ให้เห็นว่า DNA ของผู้ชนะยังคงอยู่ในตัว Sony

ดูเหมือนว่าพวกเขาจะได้เรียนรู้บทเรียนราคาแพงแล้วใช่ไหม? …แต่เรื่องมันไม่ง่ายอย่างนั้น…

เพราะในขณะที่ฝ่ายเกมกำลังเฉลิมฉลองชัยชนะ ฝ่ายภาพยนตร์และบันเทิงกลับกำลังเดินซ้ำรอยความผิดพลาดเดิมอย่างไม่น่าเชื่อ

ในยุคที่การสตรีมมิ่งกำลังจะเปลี่ยนโลก… Sony ซึ่งเป็นเจ้าของสตูดิโอหนังยักษ์ใหญ่ และมีคลังคอนเทนต์มหาศาลอยู่ในมือ กลับมัวแต่วุ่นวายอยู่กับการเอาชนะในสงครามแผ่น Blu-ray

พวกเขาควรจะเป็น Netflix ได้ก่อนที่จะมี Netflix ด้วยซ้ำ… แต่พวกเขากลับพลาดโอกาสนั้นไปอย่างน่าเสียดาย เพราะมัวแต่ไปโฟกัสกับสงครามที่กำลังจะหมดความหมาย

สุดท้าย Blu-ray ก็ชนะ… แต่เป็นชัยชนะที่ว่างเปล่า เพราะในขณะที่ Sony กำลังดีใจกับชัยชนะเรื่องแผ่นดิสก์… Netflix, YouTube และ Amazon ก็ได้สร้างอนาคตที่แผ่นดิสก์ไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว

ทุกวันนี้ Sony ยังคงสร้างหนังดีๆ ออกมา แต่พวกเขาไม่ได้เป็นเจ้าของแพลตฟอร์มที่คนใช้ดูหนัง พวกเขากลายเป็นแค่ผู้ผลิตคอนเทนต์เพื่อป้อนให้กับแพลตฟอร์มของคนอื่น

เรื่องราวของ Sony คือบทเรียนราคาแพง… ที่แสดงให้เห็นว่าความสำเร็จในอดีต และความกลัวที่จะล้มเหลวซ้ำรอยเดิม มันสามารถทำลายองค์กรที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร

ความพ่ายแพ้ของ Betamax ได้สร้างบาดแผลที่ฝังลึก และคอยชี้นำการตัดสินใจของบริษัทมาตลอดหลายสิบปี ทำให้พวกเขาพลาดโอกาสครั้งแล้วครั้งเล่า

ทุกวันนี้ Sony ไม่ได้กำลังจะล้มละลาย พวกเขายังคงทำกำไรได้ดีจากธุรกิจเกมและเซ็นเซอร์กล้อง แต่พวกเขาไม่ได้เป็นผู้สร้างนวัตกรรมที่เปลี่ยนโลกอีกต่อไปแล้ว

พวกเขาเลือกที่จะหลีกเลี่ยงการต่อสู้ที่เสี่ยงเกินไป… แทนที่จะกระโจนเข้าไปสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างกล้าหาญเหมือนในอดีต

การกลับมาของ PlayStation 4 พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า Sony ยังสามารถเป็นผู้นำได้… ถ้าพวกเขาเลือกที่จะรับฟังและปรับตัว

ดังนั้น คำถามสุดท้ายที่น่าคิดจึงไม่ใช่ว่า Sony จะกลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้งหรือไม่… แต่เป็นคำถามที่ว่า… Sony จะกล้าที่จะ “เสี่ยง” เพื่อสร้างตำนานบทใหม่… อีกครั้งหรือเปล่า

References : [hbr, wired, theverge, bloomberg, forbes]


 


ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA



Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ



Geek Forever’s Podcast


“Open Your World With Technology


AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning

Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Youtube
ฟังผ่าน Youtube