ไขปริศนาหนี้โลก 300 ล้านล้านดอลลาร์ กู้หนี้ใหม่ มาจ่ายหนี้เก่า แล้วใครคือเจ้าหนี้ตัวจริง?

ให้ลองจินตนาการถึงเงินจำนวน 300 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ มันเป็นตัวเลขที่ใหญ่มาก ๆ ใหญ่พอที่จะสร้างถนนจากโลกไปดวงจันทร์แล้วกลับมาได้ 50 รอบ มันคือมูลค่าหนี้สินทั้งหมดที่โลกใบนี้กำลังแบกรับเอาไว้

คำถามที่ตามมาทันทีคือ… ถ้าทุกคนในโลกเป็นหนี้ แล้วใครกันแน่คือเจ้าหนี้ตัวจริง?

ปริศนานี้มันลึกลับซับซ้อนกว่าที่คิด และคำตอบของมันจะเผยให้เห็นกลไกที่ขับเคลื่อนโลกสมัยใหม่ที่ทั้งน่าทึ่งและน่าสะพรึงกลัวในเวลาเดียวกัน

เรื่องราวทั้งหมดนี้ไม่ได้เริ่มต้นที่ตึกระฟ้าหรือห้องค้าหุ้นที่วุ่นวาย แต่มันเริ่มต้นจากแนวคิดที่เรียบง่ายที่สุดของมนุษย์ นั่นคือ “ความไว้เนื้อเชื่อใจ”

ในอดีต การเป็นหนี้คือการให้คำมั่นสัญญาระหว่างเพื่อนบ้าน ไม่ต้องมีสัญญาซับซ้อน มีแค่ความไว้ใจล้วน ๆ เป็นระบบที่ดูอบอุ่นและเข้าท่ามาก ๆ

แต่เมื่อสังคมใหญ่ขึ้น ความต้องการก็ทะเยอทะยานตามไปด้วย กษัตริย์และอาณาจักรต่าง ๆ อยากจะสยายปีกอำนาจ แต่ปัญหาคือท้องพระคลังกำลังร่อยหรอ

จุดเปลี่ยนครั้งประวัติศาสตร์เกิดขึ้นในอังกฤษช่วงศตวรรษที่ 17 เมื่อกษัตริย์ Charles II กำลังจนตรอกเพราะขาดเงินทำสงคราม พระองค์และทีมงานจึงปิ๊งไอเดียสุดเจ๋งขึ้นมา

นั่นคือการซอยหนี้ก้อนใหญ่ออกเป็นส่วนเล็ก ๆ แล้วขายให้กับประชาชนทั่วไป ในรูปแบบของ “พันธบัตร” (bond) ใครให้รัฐยืมเงิน ก็จะได้ดอกเบี้ยเป็นการตอบแทน

ไอเดียนี้มันเจ๋งมาก ๆ และได้ผลดีเกินคาด รัฐบาลสามารถระดมทุนก้อนมหึมาได้โดยไม่ต้องไปรีดภาษีจนประชาชนเดือดร้อน พันธบัตรกลายเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ทุกประเทศทั่วโลกใช้

นี่คือจุดเริ่มต้นของวงจรหนี้ระดับโลก ที่จะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของมนุษยชาติไปตลอดกาล

เรื่องราวมันมาถึงจุดพีคในศตวรรษที่ 20 สงครามโลกสองครั้งผลักดันให้การกู้ยืมพุ่งกระฉูด แต่จุดเปลี่ยนที่แท้จริงที่ทำให้ทุกอย่างเลยเถิดเกิดขึ้นในปี 1971

ก่อนหน้านั้น โลกการเงินอยู่ภายใต้ระบบที่เรียกว่า Bretonwoods ที่ผูกเงินดอลลาร์ไว้กับทองคำ ทำให้รัฐบาลไม่สามารถพิมพ์เงินออกมามั่วซั่วได้

แต่แล้วประธานาธิบดี Richard Nixon ก็ได้ทำการตัดสินใจครั้งประวัติศาสตร์ที่สั่นคลอนโลกการเงิน เขาประกาศยกเลิกมาตรฐานทองคำทิ้งไปอย่างไม่ใยดี ความเชื่อมโยงระหว่างดอลลาร์กับทองคำได้จบลงในวันนั้นเอง

วินาทีนั้นเอง เงินตราของโลกก็ถูกเสกขึ้นมาใหม่ในรูปแบบที่เราเรียกว่า “เงินเฟียต” (fiat currency)

มันคือเงินที่ไม่มีทองคำหนุนหลังอีกต่อไป มีเพียง “ความเชื่อมั่น” ในรัฐบาลเป็นเครื่องค้ำประกัน ราวกับมีเวทมนตร์ที่เสกเงินขึ้นมาจากอากาศธาตุ

เมื่อกุญแจมือถูกปลดออก รัฐบาลทั่วโลกก็เริ่มจัดหนักจัดเต็ม พิมพ์เงินและกู้ยืมกันอย่างบ้าคลั่ง หนี้สินที่เคยเป็นแค่ทางเลือกยามจำเป็น กลับกลายเป็นเครื่องมือหลักในการอัดฉีดและปลุกปั้นเศรษฐกิจ

โลกได้เข้าสู่ยุคของการกู้ยืมอย่างเต็มรูปแบบ

แล้ววงจรนี้มันทำงานยังไง? ใครคือเจ้าหนี้? คำตอบก็คือ… พวกเราทุกคนนี่แหละครับที่เป็นทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ในเวลาเดียวกัน

เงินฝากในธนาคารของคุณไม่ได้นอนนิ่ง ๆ แต่มันถูกธนาคารนำไปซื้อพันธบัตรรัฐบาล หรือก็คือการให้รัฐบาลกู้นั่นเอง

กองทุนบำเหน็จบำนาญ บริษัทประกันภัย ต่างก็ทำเช่นเดียวกัน พวกเขานำเงินสดสำรองมหาศาลไปลงทุนในพันธบัตรที่มั่นคงและปลอดภัย

มันเกิดเป็นวงจรที่เงินออมของประชาชน ไหลไปเป็นเงินกู้ให้รัฐบาล รัฐบาลนำเงินไปใช้จ่าย เงินก็ไหลกลับสู่กระเป๋าประชาชนและบริษัท กลายเป็นเงินออมก้อนใหม่ วนลูปไปอย่างนี้ไม่รู้จบ

วงจรนี้ไม่ได้มีแค่ในประเทศ แต่มันเชื่อมโยงกันทั่วโลกเป็นใยแมงมุมที่ซับซ้อน เงินออมจากญี่ปุ่นอาจไหลไปให้รัฐบาลดัตช์กู้ เงินสำรองของบราซิลก็อาจไหลกลับมาซื้อพันธบัตรของสหรัฐฯ

และนี่คือความลับสุดยอดของระบบนี้… เมื่อหนี้เก่าครบกำหนดจ่าย รัฐบาลก็แค่ “กู้หนี้ใหม่มาโปะหนี้เก่า”

มันฟังดูเหมือนการกระทำที่บ้าบอ แต่นี่คือกลไกที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกอยู่ทุกวันนี้ เป็นวงจรที่ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุดไปเสียแล้ว

เมื่อเข้าใจแล้วว่าระบบนี้ทำงานอย่างไร คำถามสุดท้ายก็คือ… แล้วมันจะไปต่อแบบนี้ได้ตลอดไปจริงหรือ?

ความจริงที่โหดร้ายข้อแรกคือ ระบบนี้ทำให้เราเสพติดการเติบโตจนถอนตัวไม่ขึ้น หากรัฐบาลไหนกล้าประกาศหยุดกู้เงิน เศรษฐกิจก็จะดิ่งลงเหวทันที

ดูอย่างประเทศกรีซเป็นตัวอย่าง ตอนที่นักลงทุนหมดความเชื่อมั่นและหยุดให้กู้ในปี 2008 เศรษฐกิจของพวกเขาก็ แทบล่มสลายประชาชนต้องระทมทุกข์อยู่หลายปี

นี่คือบทเรียนที่เจ็บแสบที่ทำให้นักการเมืองไม่กล้าแตะเบรกการใช้จ่าย เพราะกลัวว่าทุกอย่างจะพังพินาศ

แต่มันก็มีมุมมืดที่น่ากลัวซ่อนอยู่เช่นกัน

สำหรับประเทศกำลังพัฒนา พวกเขาต้องเผชิญกับกับดักหนี้ ต้องกู้ใหม่เพียงเพื่อจะหาเงินมาจ่ายดอกเบี้ยหนี้เก่า

และหากประเทศไหนคิดจะแก้ปัญหาด้วยการพิมพ์เงินเพิ่มขึ้นมาง่าย ๆ การกระทำเช่นนั้นจะนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อ ค่าเงินจะกลายเป็นแค่เศษกระดาษ

ตัวอย่างสุดขั้วคือสิ่งที่เกิดขึ้นในเวเนซุเอลา ที่รัฐบาลพิมพ์เงินออกมาใช้หนี้จนเกิดภาวะเงินเฟ้อรุนแรง (hyperinflation) ราคาสินค้าเพิ่มเป็นสองเท่าทุกสัปดาห์ เงินสดกลายเป็นแค่เศษกระดาษ ประชาชนต้องใช้เงินเป็นกระสอบเพื่อซื้อขนมปังแค่แถวเดียว

และฟางเส้นสุดท้ายที่อาจทำให้ทุกอย่างพังทลายลงมาก็คือ การ “ผิดนัดชำระหนี้” (default)

มันคือการที่ประเทศหนึ่งประกาศก้องว่า “ฉันจ่ายไม่ไหวแล้ว!” ทันทีที่ประกาศคำนี้ออกมา ความเชื่อมั่นทั้งหมดจะพังทลาย ไม่มีใครในโลกอยากจะให้ประเทศนั้นกู้เงินอีกต่อไป เศรษฐกิจจะหยุดชะงัก และอาจต้องใช้เวลาหลายสิบปีกว่าจะฟื้นตัวกลับมาได้

สุดท้ายแล้ว ระบบการเงินโลกมูลค่า 300 ล้านล้านดอลลาร์นี้ ไม่ได้ยืนอยู่บนทองคำหรือสินทรัพย์ใด ๆ เลย แต่มันยืนอยู่บนคำที่เปราะบางที่สุดคำหนึ่ง นั่นคือ “ความเชื่อมั่น”

มันคือเกมแห่งความเชื่อมั่นที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ และเราทุกคนถูกลิขิตให้เป็นผู้เล่นในเกมนี้

เรื่องราวทั้งหมดนี้สอนให้เรารู้ว่า โลกที่เราอาศัยอยู่นั้นถูกสร้างขึ้นบนรากฐานที่ทั้งแข็งแกร่งและเปราะบางในเวลาเดียวกัน มันคือเครื่องยนต์ที่สร้างความมั่งคั่ง แต่ก็เป็นระเบิดเวลาที่รอวันปะทุ

และนี่อาจเป็นสาเหตุที่ในยุคดิจิทัล ผู้คนกลับโหยหาสิ่งที่จับต้องได้อย่างทองคำหรือที่ดิน เพราะเมื่อ “รอยร้าว” ของความเชื่อมั่นเริ่มปรากฏ มนุษย์เราก็มักจะมองหาสิ่งที่แน่นอนที่สุดเสมอนั่นเองครับผม

References : [imf, worldbank, treasury, fred .stlouisfed, bloomberg]


 


ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA



Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ



Geek Forever’s Podcast


“Open Your World With Technology


AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning

Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Youtube
ฟังผ่าน Youtube