Testosterone กับพฤติกรรมเด็ก : เคล็ดลับเข้าใจธรรมชาติลูกชาย จากมุมมองวิทยาศาสตร์

ต้องบอกว่าร่างกายมนุษย์เรามีสารเคมีตัวหนึ่งที่ไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือด สารนี้แทรกซึมเข้าสู่เซลล์เกือบทุกเซลล์ในร่างกาย รวมถึงเซลล์ประสาท และมีอิทธิพลอย่างมากต่อการมีชีวิตรอด การเติบโต และการทำงานของเซลล์เหล่านั้น

ผลกระทบของมันไม่เพียงแต่ส่งผลต่อร่างกายเท่านั้น แต่ยังส่งผลลึกซึ้งและยาวนานต่อสมองและพฤติกรรมด้วย สารเคมีที่ว่านี้คือ Testosterone หรือฮอร์โมนเพศชาย แม้ทั้งชายและหญิงจะมีฮอร์โมนนี้ แต่ในเพศชายมีมากกว่าถึง 15-20 เท่า

เป็นอีกหนึ่งข้อมูลที่น่าสนใจอีกครั้งจากเวที Ted Talks โดย Carole K. Hooven นักชีววิทยา ที่ได้มาเล่าถึงผลกระทบของฮอร์โมน Testosterone ต่อร่างกายและสมองของมนุษย์เรา

ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา การศึกษาด้าน Behavioral Endocrinology ได้เผยให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างฮอร์โมนและพฤติกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Testosterone ที่สามารถอธิบายความแตกต่างระหว่างเพศได้อย่างน่าทึ่ง อย่างไรก็ตาม ศาสตร์แขนงนี้กลับกลายเป็นประเด็นถกเถียงทางวัฒนธรรมยุคใหม่

ในปัจจุบัน แม้แต่การพูดถึงสิ่งที่นักชีววิทยาส่วนใหญ่เห็นว่าเป็นความจริงที่ชัดเจน เช่น การมีสองเพศในการสืบพันธุ์ ก็อาจนำไปสู่การโต้แย้งได้ เนื่องจากความอ่อนไหวของประเด็นนี้ในสังคมปัจจุบัน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศที่อาจรู้สึกเจ็บปวดจากการใช้ภาษาเกี่ยวกับชีววิทยาของเพศ

อย่างไรก็ตามการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เรื่องเพศกลับได้รับความสนใจอย่างมากจากนักศึกษา เพราะช่วยให้พวกเขาเข้าใจร่างกายและความรู้สึกของตัวเองมากขึ้น รวมถึงเกิดความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นที่แตกต่างจากตนเอง

ประสบการณ์ส่วนตัวที่น่าสนใจของ Carole เกิดขึ้นเมื่อ 15 ปีก่อน เมื่อเธอได้มีส่วนในการสร้างอวัยวะเล็กๆ สองอันที่ผลิต Testosterone ในมดลูก ซึ่งเชื่อมต่อกับทารกที่กำลังเติบโต ปัจจุบันทารกคนนั้นได้เติบโตเป็นเด็กชายที่มีพฤติกรรมการเล่นที่น่าสนใจ โดยเฉพาะการเล่นปล้ำสู้กับเพื่อน ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่พบได้บ่อยในเด็กชายมากกว่าเด็กหญิงทั่วโลก

การศึกษาพบว่า Testosterone มีบทบาทสำคัญตั้งแต่ช่วงแรกของการพัฒนาในครรภ์ โดยทำหน้าที่กำหนดลักษณะทางเพศชาย เตรียมความพร้อมสำหรับการผลิตอสุจิในอนาคต และที่สำคัญคือการทำงานในสมองเพื่อกระตุ้นพฤติกรรมต่างๆ เช่น การเล่นต่อสู้ ซึ่งมีความสำคัญต่อการอยู่รอดของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเพศผู้

ความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทของ Testosterone ของ Carole มีความลึกซึ้งขึ้นหลังจากการศึกษาชิมแปนซีป่าในยูกันดาตะวันตกเป็นเวลาเกือบหนึ่งปี การสังเกตพฤติกรรมประจำวันของพวกมัน ทั้งการกิน เล่น นอน ต่อสู้ และสืบพันธุ์ แสดงให้เห็นรูปแบบพฤติกรรมที่มนุษย์และชิมแปนซีมีร่วมกันอย่างน่าทึ่ง

ที่น่าสนใจคือ ลูกชิมแปนซีตัวผู้มีพฤติกรรมการเล่นต่อสู้มากกว่าตัวเมีย ความเชื่อมโยงนี้น่าทึ่งเพราะแม้เราไม่ได้มีวัฒนธรรมร่วมกับชิมแปนซี แต่เรามียีนและฮอร์โมนเกือบทั้งหมดร่วมกัน รวมถึงระดับ Testosterone ที่สูงกว่าในเพศผู้

นอกจากนี้ ยังพบว่าชิมแปนซีตัวผู้ทุ่มเทเวลาและพลังงานในการแข่งขันเพื่อความเป็นผู้นำทางสังคมมากกว่าตัวเมีย พฤติกรรมนี้เกี่ยวข้องกับการต่อสู้และการข่มขู่ รวมถึงสัญชาตญาณในการเลือกเวลาที่เหมาะสมในการท้าทายหรือถอยหนีจากการปะทะ

พฤติกรรมเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากความเข้าใจว่าจะนำไปสู่โอกาสในการสืบพันธุ์ที่มากขึ้น แต่ตัวผู้ที่มีพฤติกรรมแบบนี้มักประสบความสำเร็จในการส่งต่อยีนไปสู่รุ่นต่อไปมากกว่า และลูกชายของพวกมันก็จะสืบทอดแนวโน้มพฤติกรรมเหล่านี้ต่อไป ในมุมมองของวิวัฒนาการการมีชีวิตรอดเพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้ส่งต่อยีนจึงเป็นทางตันทางวิวัฒนาการ

สัตว์วัยเยาว์อย่างชิมแปนซีต้องเรียนรู้ทั้งทักษะการอยู่รอดและทักษะการสืบพันธุ์ผ่านการเล่น เช่นเดียวกับบรรพบุรุษของมนุษย์ และมรดกทางวิวัฒนาการนี้ยังคงปรากฏให้เห็นในพฤติกรรมของเด็กๆ ในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าเด็กชายทุกคนต้องชอบเล่นปล้ำกับเพื่อน บางคนอาจชอบเล่นสร้างบ้านหรืออาจจะชอบแต่งตัวมากกว่า และพวกเขาควรได้รับอิสระในการเลือกกิจกรรมที่ชื่นชอบ ธรรมชาติไม่ได้กำหนดกฎตายตัวว่าแต่ละเพศควรเล่นอย่างไร

Carole เล่าประสบการณ์วัยเด็กของตนเองที่เคยเล่นปล้ำกับพี่ชายทั้งสามคนและเล่น Little League baseball แต่เมื่อเล่นกับ Annie ที่เป็นเพื่อนสนิทผู้หญิง กิจกรรมจะแตกต่างออกไป ไม่ว่าจะเล่นเป็นครูสอนตุ๊กตาสัตว์ และที่แปลกไปกว่านั้นคือการเล่นสมมติเป็นพนักงานออฟฟิศ พัฒนาระบบจัดเก็บเอกสาร และใช้เวลามากมายในการกรอกแบบฟอร์มจากจดหมายขยะที่หยิบมาจากตู้จดหมายในละแวกบ้าน

การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่า รายละเอียดของการเล่นได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมเสมอ แต่การเล่นโดยทั่วไปมีส่วนสำคัญในการพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับทั้งสองเพศ เช่น การแก้ไขความขัดแย้ง และการค้นพบขีดความสามารถของตนเอง

ความแตกต่างในรูปแบบการเล่น โดยเฉพาะการที่เด็กหญิงมักชอบเล่นแบบดูแลเอาใจใส่กันมากกว่า ในขณะที่เด็กชายชอบเล่นต่อสู้มากกว่า อาจเป็นผลมาจากวิวัฒนาการที่หล่อหลอมทักษะจำเพาะที่แต่ละเพศจำเป็นต้องเรียนรู้เพื่อการสืบพันธุ์ นักวิทยาศาสตร์มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า Testosterone มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนพฤติกรรมเหล่านี้

หลักฐานที่น่าเชื่อถือที่สุดมาจากการทดลองในสัตว์ทดลอง โดยพบว่าในสัตว์เพศเมีย เช่น หนูและลิง การเพิ่ม Testosterone ในช่วงพัฒนาการแรกเริ่มส่งผลให้การเล่นแบบรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในทางกลับกันการยับยั้ง Testosterone ในสัตว์เพศผู้ในช่วงเวลาเดียวกันทำให้พฤติกรรมการเล่นแบบรุนแรงลดลงอย่างชัดเจน

ในมนุษย์ เนื่องจากไม่สามารถทดลองปรับเปลี่ยนระดับฮอร์โมนในทารกที่อยู่ในครรภ์ได้ จึงต้องอาศัยหลักฐานทางอ้อม การศึกษาจำนวนมากเกี่ยวกับรูปแบบการเล่นของเด็กผู้หญิงที่ได้รับ Testosterone ในระดับสูงผิดปกติระหว่างอยู่ในครรภ์ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเด็กผู้หญิงเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะชอบการเล่นแบบรุนแรงมากขึ้น

แม้ว่าเรายังต้องเรียนรู้อีกมากเกี่ยวกับการปฏิสัมพันธ์ระหว่างยีน ฮอร์โมน และวัฒนธรรมที่ส่งผลต่อความแตกต่างทางเพศในพฤติกรรม แต่หลักฐานทั้งหมดที่มีอยู่ชี้ให้เห็นว่าความแตกต่างของระดับ Testosterone และแรงกดดันทางวิวัฒนาการเป็นปัจจัยสำคัญที่อธิบายว่าทำไมเด็กชายจึงมีแนวโน้มที่จะชอบการเล่นปล้ำกับเพื่อนมากกว่าเด็กหญิง

การทดลองในหนูทดลองแสดงให้เห็นว่า การห้ามไม่ให้หนูตัวผู้เล่นแบบรุนแรงตามธรรมชาติ กลับนำไปสู่การพัฒนาเป็นหนูตัวผู้โตเต็มวัยที่ไม่สามารถจัดการกับแรงกระตุ้นที่ก้าวร้าวของตัวเองได้ พวกมันกลับมีพฤติกรรมก้าวร้าวมากขึ้น ไม่สามารถร่วมมือกับตัวอื่น ตอบสนองต่อสัญญาณทางสังคมได้ไม่เหมาะสม และมีปัญหาในการหาคู่

แม้ว่ามนุษย์จะแตกต่างจากสัตว์อื่นๆ แต่สิ่งที่เราพิเศษกว่าคือความสามารถในการคิดไตร่ตรอง พูดคุย และร่วมกันตัดสินใจว่าจะควบคุมแรงกระตุ้นที่อาจเป็นอันตรายได้อย่างไร

วัฒนธรรมมีบทบาทสำคัญในการสร้างความแตกต่างเหล่านี้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือความแตกต่างของระดับความรุนแรงระหว่างผู้ชายในประเทศแคนาดาและสหรัฐอเมริกา ซึ่งไม่ได้เกิดจากความแตกต่างทางชีววิทยา แต่เป็นผลมาจากปัจจัยทางวัฒนธรรม กฎหมาย ระบบสาธารณสุข และความเหลื่อมล้ำทางสังคม

การละทิ้งหรือบิดเบือนความรู้ทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับเพศออกจากการสนทนาในสังคม อาจทำให้เราสูญเสียโอกาสในการทำความเข้าใจตนเองและผู้อื่น วิทยาศาสตร์ชี้ให้เห็นว่าการเล่นแบบเพศชายไม่ใช่จุดเริ่มต้นของ “ความรุนแรงของเพศชาย” แต่เป็นพฤติกรรมที่มีประโยชน์ต่อพัฒนาการที่เราไม่ควรยับยั้ง

การมี Testosterone ในระดับที่เหมาะสมตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาเป็นปัจจัยสำคัญที่หล่อหลอมให้เด็กชายเติบโตขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ แม้ว่าในช่วงวัยรุ่น Testosterone จะพุ่งสูงถึงจุดสูงสุด แต่หากได้รับการดูแลและเข้าใจอย่างเหมาะสม เด็กชายก็สามารถเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพได้

ท้ายที่สุด สิ่งสำคัญคือการส่งเสริมให้เด็กๆ ได้เล่นและมีปฏิสัมพันธ์ในโลกจริงมากกว่าโลกเสมือน โดยเฉพาะการเล่นกลางแจ้งที่ช่วยพัฒนาทั้งร่างกายและจิตใจ ความเข้าใจในวิทยาศาสตร์เรื่องเพศจะช่วยให้เราสามารถสนับสนุนพัฒนาการของเด็กแต่ละคนได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

References :
How Testosterone and Culture Shape Behavior | Carole K. Hooven | TED
https://youtu.be/HYnZy2Cx7UM?si=vuaqF3dRPUBpbSIB


 


ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA



Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ



Geek Forever’s Podcast


“Open Your World With Technology


AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning

Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Youtube
ฟังผ่าน Youtube