ผมว่าถ้าเราย้อนเวลากลับไปแค่เพียง 5 ปีก่อน แล้วมีคนมาบอกเราว่าจะมีโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สามารถพูดคุยโต้ตอบกับเราได้อย่างเป็นธรรมชาติ เราอาจจะนึกถึงเพียงแค่ภาพในภาพยนตร์ Sci-Fi
แต่ในวันนี้ สิ่งนั้นไม่ได้อยู่แค่ในจินตนาการอีกต่อไป มันกลายเป็นความจริงที่อยู่ในมือของเราทุกคน และเบื้องหลังการปฏิวัติครั้งประวัติศาสตร์นี้ มีชื่อของชายคนหนึ่งที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของยุคสมัยไปแล้ว เขาคือ Sam Altman
เรื่องราวของ Sam Altman และบริษัทของเขาอย่าง OpenAI ไม่ใช่แค่ตำนานความสำเร็จทางเทคโนโลยี แต่มันคือการเดิมพันครั้งสำคัญที่สุด ที่อาจจะส่งผลต่ออนาคตของมวลมนุษยชาติไปตลอดกาล
แล้วชายที่เคยฝันอยากใช้ชีวิตอย่างสงบในห้องแล็บวิจัย กลายมาเป็นคนที่แบกรับความคาดหวังของคนทั้งโลกไว้ได้อย่างไร?
ก่อนที่ชื่อของ Sam Altman จะเป็นที่รู้จักในฐานะ “มิสเตอร์ AI” จริงๆ แล้วใน Silicon Valley เขามีชื่อเสียงในอีกบทบาทหนึ่งมาก่อน
เขาคืออดีตประธานของ Y Combinator หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า YC ซึ่งเปรียบเสมือนสถาบันปั้นราชาให้กับเหล่าสตาร์ทอัพ ที่นี่คือจุดกำเนิดของบริษัทระดับโลกอย่าง Airbnb, Dropbox และอีกมากมาย
หน้าที่ของ Sam ที่ YC คือการคัดเลือกและให้คำปรึกษาสตาร์ทอัพนับพันรายในแต่ละปี ประสบการณ์นี้ทำให้เขามีสายตาที่เฉียบคม สามารถมองเห็น “รูปแบบ” ของอนาคตได้ก่อนใคร
และหนึ่งในเทคโนโลยีที่เขาเห็นศักยภาพอันมหาศาล ก็คือ ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI
ในปี 2015, Sam Altman ได้ร่วมมือกับบุคคลสำคัญในวงการเทคโนโลยีอีกหลายคน ก่อตั้งองค์กรที่ชื่อว่า OpenAI ขึ้นมา แต่จุดเริ่มต้นของมันแตกต่างจากบริษัททั่วไปอย่างสิ้นเชิง
OpenAI ในวันแรกไม่ได้ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อแสวงหาผลกำไร แต่เป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร (Non-profit) ที่มีภารกิจที่ยิ่งใหญ่และดูเป็นอุดมคติอย่างมาก
นั่นคือการทำให้แน่ใจว่า ปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป หรือ Artificial General Intelligence (AGI) จะเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติอย่างแท้จริง
Sam เคยให้สัมภาษณ์ว่า เขาแค่อยากจะบริหารห้องปฏิบัติการวิจัยเล็กๆ มันควรจะเป็นงานหลังเกษียณของเขาด้วยซ้ำ เป็นที่ที่รวบรวมคนเก่งๆ มาทำงานวิจัยที่น่าตื่นเต้น โดยไม่ต้องกังวลเรื่องผลกำไร
ในช่วงแรก OpenAI ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ พวกเขาสร้างผลงานวิจัยที่ล้ำหน้ามากมาย แต่ก็ยังเป็นที่รู้จักในวงจำกัด เป็นเหมือนขุมทรัพย์ที่รอวันถูกค้นพบ
แต่แล้วทุกอย่างก็มาถึงจุดเปลี่ยน…
การจะสร้าง AI ที่ฉลาดล้ำได้นั้น จำเป็นต้องใช้พลังการประมวลผลและข้อมูลมหาศาล ซึ่งหมายถึงต้นทุนที่สูงลิบลิ่ว การเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรเพียงอย่างเดียว อาจไม่เพียงพอที่จะทำให้ฝันนั้นเป็นจริงได้
OpenAI จึงต้องปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ กลายเป็นบริษัทแบบ “Capped-Profit” หรือบริษัทที่จำกัดเพดานผลกำไร เพื่อเปิดทางให้สามารถระดมทุนก้อนโตจากนักลงทุนภายนอกได้
และหนึ่งในนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดที่เข้ามา ก็คือ Microsoft ที่มองเห็นอนาคตเช่นเดียวกัน และได้ร่วมลงทุนเป็นเงินหลายพันล้านดอลลาร์ นี่คือจุดเปลี่ยนที่สำคัญ จากห้องแล็บในฝัน กำลังจะกลายเป็นโรงงานสร้างอนาคตที่ทรงพลังที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
วันที่ 30 พฤศจิกายน 2022 คือวันที่โลกได้รู้จักกับ ChatGPT และทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ความสำเร็จของมันเกิดขึ้นแบบชั่วข้ามคืน ผู้คนทั่วโลกต่างตกตะลึงกับความสามารถที่เหนือความคาดหมาย
มันไม่ใช่แค่ Chatbot ที่ตอบตามสคริปต์ แต่มันมีความสามารถในการ “ใช้เหตุผล” หรือ Reasoning ได้อย่างน่าทึ่ง
Sam อธิบายว่าการที่ AI “ถอดรหัสการใช้เหตุผล” ได้นั้น หมายความว่ามันสามารถคิดวิเคราะห์เรื่องที่ซับซ้อนได้ในระดับเดียวกับผู้เชี่ยวชาญระดับปริญญาเอก นี่คือการก้าวกระโดดครั้งสำคัญที่แม้แต่ทีมงาน OpenAI เองก็ยังประหลาดใจกับความเร็วในการพัฒนา
เมื่อความสำเร็จมาถึง สิ่งที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือการแข่งขันที่ดุเดือด
บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ทุกเจ้า ไม่ว่าจะเป็น Google หรือ Meta ต่างก็รู้ดีว่านี่คือคลื่นปฏิวัติลูกใหม่ที่ใหญ่ที่สุด หากตกขบวนครั้งนี้ อาจหมายถึงการสูญเสียตำแหน่งผู้นำไปตลอดกาล
สงครามแย่งชิงบุคลากรจึงได้เริ่มต้นขึ้น…
Sam เล่าว่า Meta พยายามอย่างหนักที่จะดึงตัวคนเก่งๆ ของ OpenAI ด้วยข้อเสนอที่น่าทึ่ง อย่างเช่นโบนัสแรกเข้าที่สูงถึง 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ Sam กลับมองว่ามันเป็นบทพิสูจน์วัฒนธรรมองค์กรของเขา เขามีความสุขที่คนเก่งๆ ส่วนใหญ่ยังคงเลือกที่จะอยู่กับ OpenAI ต่อไป
นี่คือการต่อสู้กันระหว่างสองแนวคิด… ฝั่งหนึ่งคือการใช้เงินเป็นตัวนำ และอีกฝั่งคือ OpenAI ที่ใช้ “ภารกิจ” (Mission) ในการสร้าง Superintelligence เป็นแรงผลักดันที่สำคัญกว่า
แต่ภารกิจของ Sam Altman ไม่ได้หยุดอยู่แค่ซอฟต์แวร์ chatbot เขามองเห็นภาพที่ใหญ่และซับซ้อนกว่านั้นมาก เขาเรียกมันว่า “โรงงาน AI” (AI Factory)
โรงงานนี้คือระบบนิเวศทั้งหมดที่จำเป็นต่อการสร้าง AI ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ
ลองนึกภาพตาม… มันเริ่มต้นตั้งแต่ “อิเล็กตรอน” หรือพลังงาน Sam เชื่อว่าในอนาคตเราจะต้องการพลังงานในปริมาณมหาศาล และเขาค่อนข้างมั่นใจว่าพลังงานสะอาดอย่างฟิวชันและฟิชชันรูปแบบใหม่ๆ จะเป็นคำตอบ
ถัดมาคือฮาร์ดแวร์ ชิปประมวลผล และศูนย์ข้อมูลขนาดยักษ์ ไปจนถึงการสร้างอุปกรณ์รูปแบบใหม่ๆ ที่จะมาปฏิวัติวิธีที่เรามีปฏิสัมพันธ์กับเทคโนโลยี ซึ่งนี่อาจเป็นเหตุผลที่เขาร่วมมือกับ Jony Ive ตำนานนักออกแบบของ Apple
และปลายทางของโรงงานนี้ ก็คือ AI ที่จะแทรกซึมไปอยู่ในทุกสิ่ง… ไม่ใช่แค่ในห้องแชท แต่เป็น AI ที่จะไปขับเคลื่อนรถยนต์, เป็นหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ที่เดินปะปนกับผู้คน, หรือแม้กระทั่งเป็นเพื่อนคู่คิด AI ส่วนตัวของเรา
สิ่งที่น่าทึ่งและอาจจะน่ากลัวที่สุดในวิสัยทัศน์ของ Sam คือ เขาเชื่อว่าในอีก 5-10 ปีข้างหน้า AI จะไม่ได้แค่ทำงานตามที่เราสั่ง แต่มันจะสามารถค้นพบวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ ได้ด้วยตัวเอง
ลองจินตนาการถึงโลกที่ AI สามารถคิดค้นยารักษาโรคใหม่ๆ ค้นพบทฤษฎีฟิสิกส์ที่ล้ำลึก หรือไขปริศนาของจักรวาลที่มนุษย์ยังทำไม่สำเร็จ ถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นจริง มันจะเปลี่ยนโฉมหน้าของอารยธรรมเราไปตลอดกาล
แต่ท่ามกลางความฝันอันยิ่งใหญ่นี้ มันก็มีคำถามสำคัญซ่อนอยู่… ถ้าเราสร้างสิ่งที่ฉลาดกว่ามนุษย์ได้สำเร็จ โลกของเราจะหน้าตาเป็นอย่างไรต่อไป?
มาถึงจุดนี้ Sam Altman ดูจะมั่นใจมากที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา ว่าทีมของเขารู้แล้วว่าจะต้องทำอะไรเพื่อไปให้ถึงจุดหมาย นั่นคือการสร้าง Superintelligence
แต่สิ่งที่น่าแปลกใจและน่าขบคิดอย่างยิ่งคือ เขากลับยอมรับว่าเขาสับสนอย่างสิ้นเชิงว่าสังคมจะมีหน้าตาเป็นอย่างไรหากวันนั้นมาถึง
นี่คือความย้อนแย้งที่น่าสนใจ… เราอาจจะแก้ปัญหาทางเทคนิคที่ยากที่สุดในประวัติศาสตร์ได้ แต่เราอาจจะยังไม่พร้อมสำหรับผลกระทบทางสังคมที่จะตามมา
Sam ตั้งข้อสังเกตว่า ทุกวันนี้เรามี ChatGPT ที่มีความสามารถสูงมาก มันเหมือนกับการที่เราผ่านการทดสอบของทัวริงไปแล้ว แต่กลับไม่มีใครสนใจเท่าที่ควร ชีวิตประจำวันของเราส่วนใหญ่ยังคงเหมือนเดิม
เป็นไปได้ไหมว่า เราจะสร้าง AI ที่มี IQ ระดับ 400 ขึ้นมาได้ แต่วิถีชีวิตของเราก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง? Sam ตอบว่าเขาคิดว่า “เป็นไปได้อย่างแน่นอน”
แล้วเรื่อง “งาน” ที่หลายคนกังวลล่ะ? Sam เชื่อว่างานจำนวนมากจะหายไปและเปลี่ยนแปลงไป แต่เขาก็ยังเชื่อมั่นในความสามารถของมนุษย์ที่จะปรับตัวและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ขึ้นมาทำอยู่เสมอ
เขาเปรียบเทียบว่าอาชีพอย่าง Youtuber หรือ Podcaster ก็ไม่ใช่งานที่เคยมีอยู่จริงในอดีต แต่มนุษย์เราก็สร้างมันขึ้นมาได้
ในท้ายที่สุดแล้ว Sam Altman มองว่าสิ่งที่ OpenAI กำลังสร้าง ไม่ใช่แค่ผลิตภัณฑ์ แต่คือ “แพลตฟอร์ม” ที่จะเปลี่ยนทุกอย่าง เขาอยากจะสร้าง AI ที่ไม่ใช่เครื่องมือที่คอยแย่งชิงเวลาหรือความสนใจของเรา แต่เป็น AI ที่อยู่ข้างเราอย่างแท้จริง
เรื่องราวของ Sam Altman และ OpenAI เป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่า การปฏิวัติเทคโนโลยีครั้งนี้มันซับซ้อนกว่าที่เราคิด มันไม่ใช่แค่เรื่องของโค้ดและอัลกอริทึม แต่เป็นเรื่องของปรัชญา จริยธรรม และการออกแบบสังคมในอนาคต
จากเด็กหนุ่มนักปั้นสตาร์ทอัพ สู่การเป็นผู้นำองค์กรที่อาจมีความสำคัญต่ออนาคตของมนุษยชาติมากที่สุด เขาต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายมากมายและแบกรับความคาดหวังอันหนักอึ้ง
คำถามสุดท้ายที่เรื่องราวนี้ทิ้งไว้ให้เราคิด อาจไม่ใช่ “AI จะฉลาดแค่ไหน” แต่อาจจะเป็น… “เมื่อมันฉลาดขึ้นมาแล้ว เราในฐานะมนุษย์ จะเลือกใช้ชีวิตกันอย่างไรต่อไป”
References : [openai, ycombinator, forbes, wired, nytimes]
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA
Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ
Geek Forever’s Podcast
“Open Your World With Technology“
AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning
Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ