ย้อนรอยวิกฤตดอทคอม เมื่อหุ้นเทคฯ ร่วง 90% บทเรียนสำคัญสำหรับนักลงทุนยุค AI Boom

ช่วงปลายยุค 90 โลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อินเทอร์เน็ตเทคโนโลยีใหม่กำลังเข้ามาปฏิวัติทุกอย่าง จากผู้ใช้เพียง 2.6 ล้านคนในปี 1990 พุ่งทะยานเป็น 45 ล้านคนในอีกเพียง 5 ปี

ผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทุกปี เร็วยิ่งกว่าการเติบโตของวิทยุหรือทีวีในยุคแรกๆ ของสื่อเหล่านั้นมากมาย ผู้คนเริ่มปลูกฝังให้เชื่อว่าโลกกำลังเข้าสู่ยุคใหม่

ทุกอย่างเริ่มจาก Netscape เบราว์เซอร์ตัวแรกที่แสดงภาพและข้อความในหน้าเดียวกัน เจ๋งมากในยุคนั้น แจกฟรีให้ผู้ไม่ได้ใช้เชิงธุรกิจ แพร่กระจายผ่านผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตและนิตยสารคอมพิวเตอร์

Frank Quatron นายธนาคารไฟแรงจาก Morgan Stanley นำ Netscape เข้าตลาดหุ้นปี 1995 แม้บริษัทขาดทุนและมีรายได้แค่นิดเดียว แต่เป็นหุ้นที่มีแต่ผู้คนหมายปองกระหายลงทุนสุดๆ

ราคาเสนอขายพุ่งจาก 14 ดอลลาร์เป็น 28 ดอลลาร์ หุ้นเพิ่มจาก 3.5 ล้านเป็น 5 ล้านหุ้น วันแรกราคาพุ่งเป็นสองเท่า ทำให้บริษัทมีมูลค่าพรวดพราดเป็น 3 พันล้านดอลลาร์

นี่คือการปฏิวัติครั้งใหญ่ของตลาดหุ้น Netscape พิสูจน์ว่าบริษัทไม่จำเป็นต้องมีกำไรก็เข้าตลาดได้ เพียงโตเร็วพอ สักวันก็จะทำกำไรมหาศาล

การค้าออนไลน์เป็นธุรกิจที่ร้อนแรงสุดๆ บริษัทดอทคอมมากมายสัญญาจะสร้างวิธีทำธุรกิจแบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพกว่า

Priceline.com ตัวอย่างของไอเดียที่โครตเจ๋ง พวกเขาแก้ปัญหาที่นั่งเครื่องบินที่ขายไม่ออกวันละครึ่งล้านที่นั่ง ให้ลูกค้าเสนอราคาที่อยากจ่าย สายการบินขายที่นั่งส่วนเกินได้ คนซื้อได้ตั๋วถูก

Priceline เลียนแบบ Yahoo สร้างแบรนด์ด้วยการตลาดแบบจัดเต็ม ใช้เงิน 20 ล้านดอลลาร์ในการโฆษณาช่วงหกเดือนแรก จ้าง William Shatner ดาราจาก Star Trek มาเป็นพรีเซนเตอร์

เมื่อเข้าตลาดหุ้นปี 1999 มูลค่าบริษัทพุ่งเป็น 10 พันล้านดอลลาร์วันแรก เป็นมูลค่าวันแรกสูงที่สุดของบริษัทอินเทอร์เน็ตในเวลานั้น นักลงทุนไม่แคร์ว่าบริษัทขาดทุนสะสม 143 ล้านดอลลาร์

พวกเขายังไม่รู้ความลับว่า Priceline ต้องซื้อตั๋วจากสายการบินในราคาที่สูงกว่าราคาประมูลของลูกค้า ขาดทุนเฉลี่ย 30 ดอลลาร์ต่อตั๋วทุกใบที่ขาย

TheGlobe.com อีกบริษัทฮอตฮิต เป็นเครือข่ายชุมชนออนไลน์ให้คนสร้างโปรไฟล์ พูดคุยกับคนสนใจเรื่องเดียวกัน แชร์เนื้อหา เหมือน Facebook ยุค 90

IPO ปี 1998 สร้างประวัติศาสตร์ ราคาหุ้นวันแรกพุ่ง 606% บางช่วงสูงถึง 1,000% CEO และผู้ก่อตั้ง Stephen Paternot ถูกจับภาพเต้นบนโต๊ะในไนต์คลับแมนฮัตตัน สวมกางเกงไวนิล

เขาตะโกนใส่กล้องว่า “ผมได้สาว ได้เงิน ตอนนี้พร้อมใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือยและไร้สาระ” กลายเป็น “CEO ในกางเกงหนัง” ก่อนหุ้นจะดิ่งลงเหวจาก 97 ดอลลาร์เหลือไม่ถึง 10 เซนต์

ยุคดอทคอมสร้างเรื่องราวของการเป็นผู้ประกอบการในฝัน ปี 1999 ชาวอเมริกัน 1 ใน 12 คนบอกว่ากำลังก่อตั้งธุรกิจใหม่

หุ้นอินเทอร์เน็ต 199 บริษัทที่ Mary Meeker นักวิเคราะห์ดังจาก Morgan Stanley ติดตาม มีมูลค่ารวม 450 พันล้านดอลลาร์ แต่ยอดขายรวมแค่ 21 พันล้านดอลลาร์ และขาดทุนรวม 6.2 พันล้านดอลลาร์

นายธนาคารดังคนหนึ่งให้สัมภาษณ์ CNBC ว่า “คนมาบอกผมว่าสิ่งสุดท้ายที่พวกเขาต้องการคือกำไร เพราะถ้ามีกำไรจะไม่ได้การประเมินมูลค่าแบบบริษัทอินเทอร์เน็ต” ทุกคนต่างอึ้งกับความคิดแบบนี้

ก่อนยุคดอทคอม บริษัทส่วนใหญ่เข้าตลาดหลังดำเนินงาน 6-7 ปี แต่ตอนนี้บริษัทร่วมทุนให้เงินก่อน IPO เพียงไม่กี่สัปดาห์ เพียงจ่ายค่าทำหนังสือชี้ชวน

มีเรื่องเล่าว่านายธนาคารติดต่อบริษัทในวันที่เพิ่งย้ายเข้าสำนักงานเพื่อคุยเรื่องเข้าตลาด ผู้ก่อตั้งยังติดตั้งโต๊ะและต่อปลั๊กคอมพิวเตอร์อยู่เลย

ปี 1999 มี IPO 457 ราย ส่วนใหญ่เป็นหุ้นดอทคอม 117 รายราคาเพิ่มเป็นสองเท่าวันแรก บริษัทมากมายไม่มีรายได้ ไม่มีลูกค้า บางทีไม่มีแม้แต่แผนธุรกิจที่เป็นเรื่องเป็นราวเสียด้วยซ้ำ

Pets.com ตัวอย่างของความมั่วซั่ว ขายอาหารสัตว์เลี้ยงออนไลน์ที่คนซื้อง่ายๆ ตามซูเปอร์มาร์เก็ต กำไรต่ำมาก การขายออนไลน์ให้รอหลายวันซึ่งมันไม่ make sense เลย

แต่พวกเขามีมาสคอตเป็นหุ่นถุงเท้าสุดฮิต ปรากฏทั่วทีวี มีบอลลูนยักษ์ในขบวนพาเหรดวันขอบคุณพระเจ้า แต่ไม่นาน หุ่นนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความล้มเหลวทั้งหมด

ในเดือนมิถุนายน 1999 ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) ขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกจากสามครั้งในปีนั้นเพื่อลดความร้อนแรงของตลาด แต่ทุกครั้งหุ้นกลับพุ่งมากขึ้น

นักลงทุนเชื่อว่าดอกเบี้ยที่สูงขึ้นไม่มีผลกับบริษัทเหล่านี้เพราะไม่มีหนี้ และไม่มีอะไรหยุดการเติบโตได้ มันช่างเป็นการมโนที่น่าทึ่งจริงๆ ของคนนักลงทุนในยุคนั้น

ยุคดอทคอมเปลี่ยนวงการวิเคราะห์หุ้นอย่างสิ้นเชิง นักวิเคราะห์ขึ้นมามีบทบาทเหมือนนายธนาคาร ช่วยบริษัทเข้าตลาดและทำการตลาดหุ้น

Mary Meeker นักวิเคราะห์อินเทอร์เน็ตชั้นนำของ Morgan Stanley มีอิทธิพลมากถึงขนาดที่ Priceline เลือกบริษัทเธอเพราะเธอทำงานที่นั่น หลังหุ้นเริ่มซื้อขายเธอแนะนำให้ซื้อ และยังคงคำแนะนำนี้จนถึงมีนาคม 2002 แม้ราคาหุ้นจะลดฮวบไป 97%

Henry Blodget นักวิเคราะห์อีกคนที่โด่งดัง ทำนายว่าหุ้น Amazon จะเพิ่มจาก 240 เป็น 400 ดอลลาร์ ทำให้หุ้นพุ่ง 46 ดอลลาร์เป็น 289 ดอลลาร์ในวันเดียว ราคาทะลุเป้าในไม่กี่สัปดาห์

จุดเปลี่ยนมาถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2000 เมื่อ Ravi Suria นักวิเคราะห์จาก Lehman Brothers วิเคราะห์ Amazon อย่างถี่ถ้วน ชี้ปัญหาสถานะเครดิต ทำหุ้นร่วง 20% วันเดียว

Jeff Bezos เรียกรายงานนี้ว่า “เรื่องไร้สาระล้วนๆ” แต่ปีถัดมา Amazon มูลค่าลดลง 90% เมื่อนักวิเคราะห์อื่นๆ เริ่มกังวลเรื่องเงินสด

10 มีนาคม 2000 ราคาหุ้นดอทคอมถึงจุดพีค แล้วเริ่มดิ่งลง ไม่มีปัจจัยใดที่เป็นปัจจัยเดียวทำให้ฟองสบู่แตก แต่เป็นหลายอย่างรวมกัน ทั้งดอกเบี้ยขึ้น นักวิเคราะห์เปลี่ยนท่าที และคนเริ่มเห็นว่าบริษัทเหล่านี้ไม่มีทางทำกำไรได้จริง

ภายในเมษายน 2000 Nasdaq สูญเสียมากกว่าหนึ่งในสามของมูลค่า บริษัทฮอตทั้งหลายต่างมูลค่าหุ้นลดสะบั้นหั่นแหลก 80% หรือมากกว่า ความมั่งคั่งหลายล้านล้านดอลลาร์มลายหายไปหมดสิ้น

แต่ไม่ใช่ทุกบริษัทจะล่มสลาย Amazon, eBay, Craigslist, E-Trade ยังอยู่รอด พวกเขามีผู้นำฉลาด มีโมเดลธุรกิจที่ใช้ได้จริง และไม่ได้ใช้จ่ายเละเทะเหมือนบริษัทที่ล้ม

ปัจจุบัน บริษัทเทคโนโลยีคิดเป็น 40% ของ S&P 500 เทียบกับ 37% ในปี 1999 Apple เป็นบริษัทแรกที่มีมูลค่าสองล้านล้านดอลลาร์ คิดเป็น 7% ของดัชนี

แม้หุ้นเทคอาจดูแพง แต่ต่างจากเมื่อ 20 ปีก่อนมาก บริษัทเทคปัจจุบันเข้ามาแทนที่ธุรกิจดั้งเดิม แม้แต่ Warren Buffett ที่เคยไม่แตะหุ้นเทค ก็ลงทุนใน Apple

ตอนฟองสบู่แตกปี 2000 มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลกแค่ 400 ล้านคน ปัจจุบันมี 4.7 พันล้านคน คิดเป็น 59% ของประชากรโลก ฐานผู้ใช้ใหญ่กว่ามากสำหรับบริษัทดิจิทัล

ฟองสบู่ดอทคอมทิ้งมรดกสำคัญคือโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล บริษัทโทรคมนาคมระดมทุนได้เกือบ 2 ล้านล้านดอลลาร์ ในสหรัฐฯ มีการติดตั้งสายใยแก้วนำแสง 80 ล้านไมล์

การลงทุนมหาศาลนี้รังสรรค์รากฐานสำหรับอินเทอร์เน็ตในทศวรรษต่อมา ต้นทุนแบนด์วิดท์ลดลง 90% นับตั้งแต่ปี 2004 ทำให้บริการอย่าง YouTube และ Netflix เติบโตได้

ฟองสบู่ดอทคอมไม่ได้เลวร้ายทั้งหมด แม้สร้างความปั่นป่วนและสูญเสียความมั่งคั่ง แต่มันเร่งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ควรใช้เวลา 20-50 ปี ให้เกิดขึ้นในเพียง 5 ปี

โควิด-19 ยิ่งพิสูจน์ความสำคัญของมรดกนี้ หากไม่มีโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่แข็งแกร่ง ผลกระทบจากการระบาดคงโหดเหี้ยมกว่านี้มาก

ฟองสบู่ดอทคอมจึงเป็น “การทำลายล้างอย่างสร้างสรรค์” ที่แม้เจ็บปวดรวดร้าวในระยะสั้น แต่วางรากฐานการเติบโตระยะยาว บทเรียนคือต้องสร้างธุรกิจบนพื้นฐานที่ยั่งยืน ไม่ใช่แค่กระแสชั่วครู่


 


ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA



Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ



Geek Forever’s Podcast


“Open Your World With Technology


AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning

Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Youtube
ฟังผ่าน Youtube