รีบูตสมอง รีชาร์จชีวิต: จากทาสมือถือ สู่นายของเทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณใน 30 วัน

ในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเราอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาร์ทโฟนที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว เราอาจไม่ทันสังเกตว่าความสัมพันธ์ระหว่างเรากับอุปกรณ์เหล่านี้ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก จนบางครั้งดูเหมือนว่าเราถูกควบคุมโดยมันมากกว่าที่เราควบคุมมัน

ลองนึกภาพดูว่า คุณตื่นนอนในตอนเช้า สิ่งแรกที่คุณทำคืออะไร? หลายคนคงตอบว่าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็ค และมันก็เป็นสิ่งสุดท้ายที่คุณทำก่อนเข้านอนเช่นกัน นี่เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นกับคนส่วนใหญ่ในสังคมปัจจุบัน แม้แต่ในห้องประชุมที่เต็มไปด้วยผู้บริหารระดับสูงที่ประสบความสำเร็จในชีวิตมามากมาย ก็ยังพบว่าหลายคนไม่สามารถละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์ได้แม้เพียงไม่กี่นาที

แต่ทำไมเราถึงติดโทรศัพท์มือถือขนาดนี้? คำตอบอยู่ที่การออกแบบของแอปพลิเคชันต่างๆ ที่ใช้หลักการทางจิตวิทยาเพื่อดึงดูดความสนใจของเรา โดยอาศัยกลไกการทำงานของสมองมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบการหลั่งสารโดปามีน

โดปามีนเป็นสารสื่อประสาทที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกพึงพอใจและการให้รางวัล ซึ่งมีความสำคัญต่อการเรียนรู้และการสร้างนิสัย ในธรรมชาติ ระบบนี้ช่วยให้เราจดจำและทำซ้ำพฤติกรรมที่จำเป็นต่อการอยู่รอด เช่น การกินอาหารหรือการสืบพันธุ์ แต่ในโลกดิจิทัล กลไกนี้ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างความติดใจในการใช้แอปพลิเคชันต่างๆ

แอปพลิเคชันฟรีทั้งหลาย โดยเฉพาะโซเชียลมีเดีย ใช้กลยุทธ์นี้อย่างแยบยล พวกเขาไม่ได้มองเราเป็นลูกค้า แต่มองเราเป็น “ผลิตภัณฑ์” ที่ถูกขายให้กับนักโฆษณา โดยสิ่งที่มีค่าคือเวลาและความสนใจของเรา ยิ่งเราใช้เวลากับแอปมากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งมีข้อมูลเกี่ยวกับเรามากขึ้นเท่านั้น ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการนำเสนอโฆษณาที่ตรงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ

แอปเหล่านี้ใช้เทคนิคที่คล้ายคลึงกับเครื่องสล็อตแมชชีน ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ได้ชื่อว่าสร้างการเสพติดได้มากที่สุด โดยใช้ตัวกระตุ้นต่างๆ เช่น สีสันสดใส เสียง และรางวัลแบบสุ่ม เพื่อกระตุ้นการหลั่งโดปามีน ทำให้เราอยากกลับมาใช้ซ้ำแล้วซ้ำอีก

ที่น่าสนใจคือ สมองของเราจะปล่อยโดปามีนมากกว่าเมื่อคาดหวังถึงรางวัล เมื่อเทียบกับตอนที่ได้รับรางวัลจริงๆ นี่อธิบายว่าทำไมแค่เห็นคนอื่นใช้โทรศัพท์ ก็สามารถกระตุ้นให้เราอยากหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูบ้าง เหมือนเราถูกปรับพฤติกรรมให้เป็นเหมือนสุนัขของ Pavlov ที่น้ำลายไหลเมื่อได้ยินเสียงกระดิ่ง

นอกจากการกระตุ้นด้วยความพึงพอใจแล้ว แอปพลิเคชันยังใช้ความวิตกกังวลเป็นเครื่องมือดึงดูดเรา เมื่อเราไม่ได้เช็คโทรศัพท์เป็นเวลานาน เราอาจรู้สึกกังวลว่าจะพลาดข้อมูลสำคัญ ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนความเครียดอย่างคอร์ติซอล ซึ่งปกติมีไว้เพื่อรับมือกับภัยคุกคามทางกายภาพ แต่ในกรณีนี้ มันถูกกระตุ้นโดยความกลัวที่จะพลาดการแจ้งเตือนหรือข่าวสารล่าสุด เพื่อบรรเทาความรู้สึกไม่สบายนี้ เราจึงมักจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คอีกครั้ง

ผลลัพธ์ของกลไกเหล่านี้คือ คนทั่วไปในปัจจุบันใช้เวลากับโทรศัพท์มือถือเฉลี่ยวันละ 4 ชั่วโมง ซึ่งคิดเป็นเวลาถึง 60 วันเต็มต่อปี หรือหนึ่งในหกของเวลาที่เรามีชีวิตอยู่ นี่เป็นเวลาที่เราไม่ได้ใช้กับครอบครัว เพื่อน หรือการพัฒนาอาชีพการงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่อาจให้ความหมายและความสุขกับชีวิตเรามากกว่า

การใช้เวลากับโทรศัพท์มากเกินไปไม่เพียงแต่ส่งผลต่อการใช้เวลาของเราเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อสมองของเราด้วย การที่เราทำอะไรซ้ำๆ เป็นเวลานานๆ ทุกวัน ย่อมส่งผลต่อโครงสร้างและการทำงานของสมอง

จากการศึกษาพบว่า การใช้โทรศัพท์มือถือมากเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการจดจ่อ สมาธิ ความจำ ความคิดสร้างสรรค์ ประสิทธิภาพในการทำงาน สุขภาพกาย ความภาคภูมิใจในตนเอง และคุณภาพการนอน

นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับครอบครัวและลูกๆ ของเรา เมื่อเราให้ความสำคัญกับโทรศัพท์มากกว่าการมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง อาจทำให้เกิดความห่างเหินในความสัมพันธ์ และส่งผลต่อพัฒนาการทางอารมณ์และสังคมของเด็กๆ ได้

แม้ว่าภาพรวมอาจดูน่ากังวล แต่ก็มีข่าวดีคือ เราสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและมีความสุขกับโทรศัพท์มือถือได้ โดยการเปลี่ยนมุมมองและพฤติกรรมการใช้งาน เป้าหมายไม่ใช่การเลิกใช้โทรศัพท์โดยสิ้นเชิง แต่เป็นการใช้อย่างมีสติและเป็นประโยชน์ โดยไม่ให้มันมาควบคุมชีวิตของเรา

วิธีการเริ่มต้นที่ง่ายและได้ผลคือ:

  1. สร้างความตระหนักรู้: ฝึกสังเกตตัวเองเมื่อเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ คุณอาจใช้เทคนิคง่ายๆ เช่น ใส่ยางรัดรอบโทรศัพท์ หรือเปลี่ยนข้อความบนหน้าจอล็อคเป็นคำถามที่ทำให้คุณคิด เช่น “คุณต้องการหยิบฉันขึ้นมาจริงๆ หรือ?” สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้คุณหยุดชั่วครู่และตัดสินใจอย่างมีสติมากขึ้นว่าจะใช้โทรศัพท์หรือไม่
  2. เลือกการใช้ความสนใจแบบมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน: แทนที่จะปล่อยให้โทรศัพท์เป็นตัวกำหนดว่าคุณจะใช้เวลาและความสนใจไปกับอะไร ลองตั้งเป้าหมายว่าคุณอยากใช้เวลากับอะไรมากขึ้น อาจเป็นการอ่านหนังสือ ใช้เวลากับครอบครัว หรือออกกำลังกาย สิ่งสำคัญคือให้รู้สึกว่าเป็นของขวัญที่คุณให้กับตัวเอง ไม่ใช่ข้อจำกัดที่บังคับตัวเอง
  3. สร้างการมีปฏิสัมพันธ์ที่แท้จริง: ในสถานการณ์ที่คุณรู้สึกอยากหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เช่น ในช่วงพักระหว่างการประชุม ลองเปลี่ยนเป็นการพูดคุยกับคนรอบข้างแทน แม้อาจรู้สึกอึดอัดในตอนแรก แต่การสร้างความสัมพันธ์และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้อื่นจะให้ประสบการณ์ที่มีคุณค่ามากกว่าการจมอยู่กับหน้าจอโทรศัพท์

การเริ่มต้นอาจทำได้ด้วยการตั้งคำถามง่ายๆ เช่น “คุณคิดว่าอะไรคือสิ่งที่น่าสนใจที่สุดในการประชุมครั้งนี้?” หรือ “คุณมีเคล็ดลับอะไรในการรักษาสมดุลระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัวบ้าง?”

คำถามเหล่านี้อาจนำไปสู่การสนทนาที่น่าสนใจและมีคุณค่า ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นของมิตรภาพหรือโอกาสทางธุรกิจที่คุณไม่คาดคิดมาก่อน

ประเด็นสำคัญที่เราควรตระหนักคือ ชีวิตของเราคือสิ่งที่เราให้ความสนใจ เราจดจำและมีประสบการณ์เฉพาะในสิ่งที่เราใส่ใจ ดังนั้น การตัดสินใจว่าจะใช้ความสนใจของเราอย่างไรในแต่ละช่วงเวลา จึงเป็นการตัดสินใจว่าเราต้องการใช้ชีวิตอย่างไรในภาพรวม

การปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์กับโทรศัพท์มือถือไม่ได้หมายความว่าเราต้องเลิกใช้มันโดยสิ้นเชิง แต่เป็นการเรียนรู้ที่จะใช้อย่างมีสติและมีจุดมุ่งหมาย โดยมองว่าความสนใจของเราเป็นทรัพยากรอันมีค่า เมื่อเราตัดสินใจใช้มันกับสิ่งใด ควรเป็นผลมาจากการเลือกอย่างรอบคอบ ไม่ใช่เพียงเพราะถูกกระตุ้นโดยการออกแบบของแอปพลิเคชัน

ประสบการณ์ของผู้คนมากมายที่ได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์มือถือแสดงให้เห็นว่า การมีจุดมุ่งหมายในการใช้ความสนใจมากขึ้น ไม่เพียงแต่ช่วยให้เราควบคุมการใช้อุปกรณ์ดิจิทัลได้ดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เรารู้สึกว่าได้ควบคุมชีวิตของตัวเองกลับคืนมาด้วย

การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลดีในหลายด้าน เช่น การมีสมาธิดีขึ้นในการทำงาน ความสัมพันธ์ในครอบครัวแน่นแฟ้นขึ้น มีเวลาสำหรับงานอดิเรกหรือการพัฒนาตนเองมากขึ้น และที่สำคัญคือความรู้สึกว่าเราเป็นผู้ควบคุมเทคโนโลยี ไม่ใช่ถูกเทคโนโลยีควบคุม

ในโลกที่เทคโนโลยีพัฒนาไปอย่างรวดเร็วและมีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้นเรื่อยๆ การรู้จักใช้เทคโนโลยีอย่างชาญฉลาดจึงเป็นทักษะสำคัญ เราต้องเรียนรู้ที่จะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีโดยไม่ตกเป็นทาสของมัน ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุขและมีประสิทธิภาพในยุคดิจิทัลนี้

การเริ่มต้นอาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ด้วยความตั้งใจและการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ เราสามารถสร้างนิสัยใหม่ที่ดีกว่าได้ เริ่มจากการตั้งเป้าหมายเล็กๆ เช่น กำหนดช่วงเวลาปลอดโทรศัพท์ในแต่ละวัน หรือตั้งกฎว่าจะไม่ใช้โทรศัพท์ระหว่างมื้ออาหารกับครอบครัว แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามความเหมาะสม

นอกจากนี้ การแบ่งปันเป้าหมายและความตั้งใจของคุณกับคนรอบข้าง อาจช่วยสร้างระบบในการช่วยสนับสนุนและสร้างความรับผิดชอบร่วมกัน ซึ่งจะทำให้การเปลี่ยนแปลงนิสัยเป็นไปได้ง่ายขึ้น อาจชวนเพื่อนหรือครอบครัวมาร่วมท้าทายการลดการใช้โทรศัพท์ไปด้วยกัน ซึ่งนอกจากจะช่วยกระตุ้นให้ทุกคนบรรลุเป้าหมายแล้ว ยังอาจนำไปสู่การใช้เวลาร่วมกันอย่างมีคุณภาพมากขึ้นด้วย

ในท้ายที่สุด การปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์กับเทคโนโลยีไม่ใช่เรื่องของการปฏิเสธหรือหลีกหนี แต่เป็นการเรียนรู้ที่จะใช้มันอย่างชาญฉลาดและสมดุล เพื่อให้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือที่เสริมสร้างคุณภาพชีวิตของเรา ไม่ใช่สิ่งที่บั่นทอนหรือควบคุมชีวิตเรา

การมีสติและใส่ใจกับการใช้เทคโนโลยีจะช่วยให้เรามีเวลาและพลังงานมากขึ้นสำหรับสิ่งที่มีความหมายในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง การพัฒนาตนเอง หรือการทำสิ่งที่เราหลงใหล ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญของชีวิตที่มีความสุขและมีความหมาย

ดังนั้น ขอให้เราทุกคนลองทบทวนและปรับเปลี่ยนวิธีการใช้เทคโนโลยีของตนเอง เพื่อให้มันเป็นส่วนเสริมที่มีคุณค่าในชีวิต แทนที่จะเป็นสิ่งที่ดึงเราออกจากประสบการณ์และความสัมพันธ์ที่แท้จริง การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวันอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในคุณภาพชีวิตของเราในระยะยาวได้นั่นเองครับผม

References :
How to Break Up With Your Phone I Fortune
https://youtu.be/c7knxu3utKA?si=rIiI1gVrH4CJ2xD0


 


ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA



Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ



Geek Forever’s Podcast


“Open Your World With Technology


AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning

Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Youtube
ฟังผ่าน Youtube