The Second Coming กับการตัดสินใจที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงการธุรกิจ

ต้องบอกว่าถือเป็นหนึ่งในการตัดสินใจที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงการธุรกิจที่ดำเนินการโดยคณะกรรมการบริหารของ Apple ในปี 1996 เพื่อนำ Steve Jobs กลับคืนสู่บริษัทที่เขาร่วมก่อตั้งมา

ในช่วงเวลาทศวรรษครึ่งระหว่างการกลับมาของ Steve Jobs ไปจวบจนถึงการเสียชีวิตของเขาในปี 2011 เขาได้ทำให้ Apple กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก 

อย่างไรก็ตามข้อเท็จจริงและสถานการณ์ของการกลับมาของ Jobs แสดงให้เห็นว่าเบื้องหลังการตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่บางอย่างหรืออาจจะทั้งหมดเป็นการผสมผสานระหว่างจังหวะเวลาที่ดีและเรื่องของโชคชะตา

ต้องบอกว่า Apple เป็นเรื่องราวความสำเร็จของอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1980 จากความแข็งแกร่งของคอมพิวเตอร์ Macintosh และการทำให้ Mac เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับผู้บริโภคเครื่องแรกที่มีอินเทอร์เฟซผู้ใช้แบบกราฟิกและเมาส์ซึ่งได้กลายมาเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรมในภายหลัง

ภายใต้คำบรรยายอันสวยหรูของ Steve Jobs เครื่อง Mac นั้นใช้งานง่ายและวางตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยแคมเปญโฆษณาชื่อดัง “1984” ที่ Apple เปิดตัวในงาน Super Bowl โดยในปีนั้น Apple แสดงให้เห็นว่าตัวเองเป็นผู้กำราบ IBM ที่เป็นยักษ์ใหญ่ที่ทรงพลังมาก ๆ ในยุคนั้นได้สำเร็จ

อย่างไรก็ตามในหลายปีต่อมา Apple ก็ต้องสะดุดเพราะเริ่มมีการขยายไปสู่ผลิตภัณฑ์หลายประเภทตั้งแต่เครื่องพิมพ์ไปจนถึงคอมพิวเตอร์พกพาอย่างเครื่อง Newton

หากการจัดการของ Apple อ่อนแอคณะกรรมการของบริษัทก็อยู่ในสภาพที่ไม่ต่างกันนัก ในปี 1993 เหล่าคณะกรรมการได้แทนที่ CEO คนเก่าอย่าง John Sculley ด้วยหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการที่เยอรมันของ Apple อย่าง Michael Spindler 

Spindler ต้องเข้ามากอบกู้ Apple ที่กำลังตกต่ำ ในปี 1995 เขาพยายามที่จะขายบริษัทให้กับ Sun Microsystems แต่สุดท้ายข้อตกลงดังกล่าวก็ไม่ได้เกิดขึ้น 

และในช่วงเวลาเดียวกันกับมหาเศรษฐี Larry Ellison ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของ Steve Jobs ได้พิจารณาซื้อ Apple และจะนำเพื่อนของเขาอย่าง Jobs กลับมาอีกครั้งในตำแหน่ง CEO 

แต่ทว่า Ellison ไม่เคยเปลี่ยนการพูดคุยของเขาให้กลายเป็นการกระทำอย่างแท้จริง และในปี 1996 คณะกรรมการไม่พอใจกับ Spindler และหันไปหา Gil Amelio ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทผู้ผลิตชิป National Semiconductor

โดยพื้นฐานแล้ว Amelio ไม่เคยแม้จะมีโอกาสที่จะกลายมาเป็นผู้บริหารระดับสูงของ Apple เลยด้วยซ้ำ ด้วยภูมิหลังที่ขายส่วนประกอบให้กับผู้ผลิตรายอื่นเขาจึงไม่มีประสบการณ์ด้านสินค้าสำหรับผู้บริโภค

ในปี 1996 Apple ขาดทุน 816 ล้านดอลลาร์จากยอดขาย 9.8 พันล้านดอลลาร์ซึ่งบริษัทกำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางที่ผิดโดยยอดขายลดลง 11% จากปีก่อนหน้า

ในช่วงเวลาอันมืดมนนี้คณะกรรมการของ Apple ซึ่งมีความผิดฐานจ้าง CEO ที่ล้มเหลวมาแล้วถึง 2 คน และเกือบจะล้มเหลวเป็นครั้งที่สามกับ Amelio 

แต่ Amelio ทำให้คณะกรรมการเชื่อมั่นว่า Apple จำเป็นต้องซื้อบริษัทซอฟต์แวร์เพื่อที่จะได้ทรัพย์สินทางปัญญาและความสามารถในการแทนที่ซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการที่มีอายุมากเกินไปของพวกเขา

Apple ได้ยื่นข้อเสนอให้กับบริษัท Be ซึ่งบริหารงานโดย Jean-Louis Gassée อดีตผู้บริหารของ Apple  แต่ Gassée ไม่พอใจกับข้อเสนอของ Apple เท่าใดนัก

และในช่วงเวลาเดียวกันนี่เอง Garrett Rice ผู้บริหารระดับกลางของ NeXT ได้ติดต่อผู้บริหารระดับสูงของ Apple พร้อมคำแนะนำว่า Apple ควรซื้อ NeXT เพราะผู้ก่อตั้ง NeXT ไม่ใช่ใครอื่นเพราะเขาคือ Steve Jobs

Steve Jobs ที่ได้ไปเริ่มต้นใหม่กับ NeXT แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร (CR: Cult of Mac)
Steve Jobs ที่ได้ไปเริ่มต้นใหม่กับ NeXT แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร (CR: Cult of Mac)

เขาเริ่มต้นบริษัทได้ไม่นานหลังจากออกจาก Apple ซึ่งเดิมทีนั้น NeXT เป็นผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ที่พุ่งเป้าหมายไปที่ตลาดการศึกษา อย่างไรก็ตาม NeXT ก็ล้มเหลวในฐานะผู้ผลิตฮาร์ดแวร์และกำลังประสบปัญหาในตลาดซอฟต์แวร์ด้วยเช่นเดียวกัน 

Garrett โทรหา Apple โดยที่ไม่รู้ปัญหาในอดีตของ Jobs แต่อย่างใด และ Apple ก็เริ่มคุยกับ NeXT โดยที่ภายในบอร์ดของ Apple ไม่มีใครรู้เรื่องดังกล่าวนี้ 

ในช่วงปลายปี 1996 การเจรจากับ Be สิ้นสุดลง และ Apple เริ่มเจรจาอย่างจริงจังกับ NeXT คราวนี้ Gil Amelio ได้กลายมาเป็นศูนย์กลางของการสนทนา 

Amelio เข้าใจถึงคุณค่าของซอฟต์แวร์ของ NeXT และผลกระทบต่อขวัญกำลังใจต่อเหล่าพนักงานของ Apple ทั้งเรื่องวิสัยทัศน์ของผลิตภัณฑ์และความคิดสร้างสรรค์ซึ่งอาจมาจากการโน้มน้าวให้ Steve Jobs กลับมาร่วมงานที่ Apple อีกครั้ง

Amelio เคยพบกับ Jobs ในปี 1994 เมื่อ Amelio เข้าร่วมคณะกรรมการ Apple และ Jobs ขอความช่วยเหลือจาก Amelio ในการตั้ง CEO ของบริษัท

Amelio อาจจะคิดไปเองว่า Jobs เป็น CEO ที่มีชื่อเสียงอย่างฉาวโฉ่ในการบริหารงาน Apple ในวาระแรก และที่ NeXT เอง Jobs ก็ไม่ได้ถือว่าประสบความสำเร็จมากนัก แม้ว่า Jobs จะเก่งและมีเสน่ห์ แต่ Jobs ในปี 1996 นั้นก็ไม่ใช่ตัวแทนของ CEO ที่ชัดเจนนักที่จะฝากฝังอนาคตไว้ได้แต่อย่างใด

ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนว่า Jobs จะไม่แยแสกับการเข้าร่วม Apple อีกครั้ง จนเขาปฏิเสธคำขอของ Amelio ในการเซ็นสัญญาจ้างงานกับบริษัทโดย Jobs เลือกที่จะเป็นที่ปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการมากกว่า

นอกจากนี้ Jobs ยังเรียกร้องให้ Apple จ่ายเงินจำนวน 427 ล้านดอลลาร์ให้กับ NeXT เป็นเงินสดซึ่งหมายความว่า Jobs แทบจะไม่สนใจสิ่งจูงใจในระยะยาวว่าการเข้าซื้อ NeXT ของ Apple จะประสบความสำเร็จมากกว่าที่เขาได้รับเงินเป็นเงินสด

โดย Jobs ได้ขอที่นั่งในบอร์ดบริหารของ Apple แต่คำขอดังกล่าวถูก Amelio ปฏิเสธ ข้อตกลงดังกล่าวได้รับการประกาศเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 1996 และอีกหลายสัปดาห์ต่อมา Jobs มีบทบาทเล็กน้อยในการนำเสนอของ Apple ในงาน Macworld ในปีนั้น

สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงปี 1997 เป็นการตัดสินใจที่สำคัญอีกครั้ง Amelio ที่ต้องการเวทมนต์ของ Jobs เพื่อมากอบกู้ Apple อย่างชัดเจน แม้ว่า Amelio ก็ต้องการที่จะรักษางานของเขาไว้ด้วยก็ตามที

ไม่นานหลังจากที่ Jobs ได้กลายมาเป็น “ที่ปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการ” ให้กับบริษัทเดิมของเขา เขาก็เริ่มท่องไปในบริษัทราวกับว่าเขาเป็นเจ้านายคนใหม่ ในช่วงเวลานี้เองที่เขาได้พบกับ Jonathan Ive นักออกแบบรุ่นใหม่ไฟแรงซึ่งเมื่อปีก่อนหน้าเพิ่งได้รับตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายออกแบบของ Apple 

Jobs ได้ชื่นชมต้นแบบที่ Ive กำลังสร้างอยู่รวมถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ All – In – One โปร่งแสงที่จะกลายเป็น iMac ในภายหลัง ซึ่ง Jobs ยังอยากรู้ในสิ่งที่ทุกคนทำอยู่หลังจากหายไปจากบริษัทเป็นเวลาเนิ่นนาน

Jobs เองก็ไม่ได้เป็นพนักงานของ Apple (ในความเป็นจริงเขาเป็น CEO ของ Pixar ในเวลานั้น) เขาไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นที่สำคัญ เขาไม่ได้เป็นสมาชิกของคณะกรรมการด้วยซ้ำ แต่ข่าวลือรอบ ๆ Apple ก็เริ่มมีกระแสที่จะเกิดการรัฐประหารขึ้นกับ Apple ซึ่งในไม่ช้าชาวซิลิกอนวัลเลย์ก็รู้ว่า Jobs กำลังแย่งชิงอำนาจจาก Amelio อย่างเงียบ ๆ

ในเวลานั้นสมาชิกคณะกรรมการคนใหม่ล่าสุดของ Apple อดีต CEO ของดูปองท์อย่าง Edgar Woolard เริ่มตื่นตระหนกเกี่ยวกับ Amelio เขาพูดคุยกับทั้ง Amelio และ Jobs รวมถึงผู้บริหารระดับสูงของ Apple คนอื่น ๆ

ในขณะที่ Apple อยู่ในโหมดของการลดขนาดองค์กรอย่างต่อเนื่อง และ Woolard ก็กังวลเกี่ยวกับความสามารถของ บริษัทในการบรรลุตามแผนการรวมถึงเรื่องของขวัญกำลังใจพนักงานที่กำลังตกต่ำแบบสุดขีด

ในเดือนกรกฎาคมหลังจากปรึกษากับ Jobs ก็เป็น Woolard นี่เองที่เป็นหัวหอกในการตัดสินใจของคณะกรรมการที่จะไล่ Amelio ออกไปให้พ้นทาง 

ในขณะที่ Woolard เองก็ไม่แน่ใจว่า Jobs จะก้าวเข้ามาเป็น CEO หรือไม่ แต่เขารู้สึกได้ว่าองค์กรเริ่มจะคล้อยตามอดีตผู้นำของพวกเขา ซึ่งการไล่ Amelio นั้นเป็นการตัดสินใจที่จะช่วยให้ Jobs ฟื้นอำนาจในบริษัทได้ในท้ายที่สุด 

Gil Amelio ผู้นำพา Steve Jobs กลับมา ก่อนที่ตัวเองจะถูกไล่ออกตามไป (CR:Allaboutstevejobs)
Gil Amelio ผู้นำพา Steve Jobs กลับมา ก่อนที่ตัวเองจะถูกไล่ออกตามไป (CR:Allaboutstevejobs)

แม้ว่า Amelio จะจากไปแล้วก็ตามที Jobs ก็ยังไม่เต็มใจที่จะเป็น CEO ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความกังวลว่าเขาไม่สามารถเป็น CEO ของ Apple และ Pixar พร้อมกันได้ และส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาไม่แน่ใจว่า Apple จะอยู่รอดต่อไปได้หรือไม่ในสมรภูมิธุรกิจสุดโหดในยุคนั้น

อย่างไรก็ตาม Jobs ตกลงที่จะเข้าร่วมคณะกรรมการของ Apple ด้วยเงื่อนไขที่คณะกรรมการทุกคนต้องอึ้ง เพราะเขาต้องการให้ทุกคนในคณะกรรมการยกเว้นเพียงแค่ Woolard ลาออกไป เพื่อให้ Jobs สามารถสร้างบอร์ดบริหารชุดใหม่สำหรับคนที่เขาไว้ใจได้ 

เมื่อ Amelio จากไป Jobs ก็เริ่มบริหารงาน Apple อย่างมีประสิทธิภาพ Fred Anderson ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของบริษัทกลายเป็น CEO ชั่วคราว แต่ก็อยู่ในการควบคุมของ Jobs

เขาจัดการการเจรจากับ Microsoft ซึ่งส่งผลให้เกิดการลงทุนใน Apple มูลค่า 150 ล้านดอลลาร์ซึ่งประกาศในเดือนสิงหาคมรวมทั้งความมุ่งมั่นของ Microsoft ในการสร้าง Microsoft Office สำหรับ Macintosh ต่อไป

ภายในเดือนกันยายน Jobs ได้กวาดล้างบอร์ด Apple และได้นำเอาเพื่อนจำนวนหนึ่งซึ่งรวมทั้ง Ellison และ Bill Campbell อดีตผู้บริหารของ Apple เข้ามาแทนที่ ในเดือนนั้นเขาได้ประกาศว่าเขาจะเป็น “CEO ชั่วคราว” ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีบันทึกภายใน Apple ในฐานะ iCEO 

Jobs กลับมาแล้ว แต่ในแง่หนึ่งคณะกรรมการก็ยังไม่ได้ตัดสินใจที่จะพาเขากลับมา คณะกรรมการได้ว่าจ้างบริษัท ภายนอกเพื่อค้นหา CEO ถาวร แต่ไม่มีใครเก่งพอที่จะรับงานเพื่อกอบกู้สถานการณ์ของ Apple ในตอนนั้น 

“มีพวกเราจำนวนหนึ่งในคณะกรรมการที่ตัดสินใจซื้อ NeXT เพียงเพื่อนำ Jobs กลับมาที่บริษัท ” เบอร์นาร์ด โกลด์สไตน์ อดีตผู้บริหารวาณิชธนกิจ เล่าถึงประสบการณ์ที่ถูกปลดออกจากบอร์ด “เราไม่ได้คาดหวังว่า NeXT จะนำความก้าวหน้าทางเทคนิคมาให้เรา ผมโหวตให้ Jobs กลับมาแม้ว่า Jobs จะบอกชัดเจนว่าเขาไม่ต้องการให้ผมอยู่ต่อไปก็ตามที”

ในที่สุด Jobs ได้นำพาบอร์ดบริหารชุดใหม่ที่ประกอบด้วยบุคคลที่ประสบความสำเร็จสูงซึ่งยังคงถูกมองว่าเป็นที่ปรึกษาให้กับเขามากกว่าเจ้านาย

โดยขั้นตอนที่ Jobs ใช้ในการฟื้นฟู Apple นั้นเด็ดขาด เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเพื่อกำจัดโครงสร้างที่อ่อนแอของ Apple ให้กลับมาฟื้นคืนชีพได้อีกครั้งหนึ่ง

โดยเลือกที่จะรวมการตัดสินใจทั้งเรื่องการวางแผนและการโฆษณาไว้ที่เดียวแทน โดยเขาได้ไล่ผู้จัดการระดับกลางหลายพันคนและทำการว่าจ้างผู้บริหารด้านโลจิสติกส์คนใหม่

Tim Cook ซึ่งเข้ามาช่วยในการปิดโรงงานและคลังสินค้าที่เป็นของ Apple และทำการละทิ้งผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ มากมาย รวมถึง Newton และกล้องดิจิทัลรุ่นแรกของ Apple อย่าง QuickTake 150

สิ่งที่ทำให้การกลับมาของ Steve Jobs น่าสนใจมากคือความเป็นผู้นำของเขาเข้ากับวัฒนธรรมของบริษัทที่เขาก่อตั้งขึ้นได้อย่างไร พนักงานและลูกค้าของ Apple ต่างชื่นชอบ เพราะเขาแสดงถึงความมีไหวพริบและความภาคภูมิใจที่ทำให้ผู้คนกลับมามีความรู้สึกตื่นเต้นกับ Apple ได้อีกครั้ง

ในการนำเสนอในงาน Macworld ในช่วงต้นปี 1998 ซึ่งเป็นเวลาหลายเดือนหลังจากเข้าควบคุมบริษัท Jobs ได้แสดงให้แฟน ๆ ของบริษัทเห็นกลุ่มผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์ใหม่ที่น่าตื่นเต้นและปลูกฝังความรู้สึกที่ว่า Apple พร้อมที่จะกลับมาแล้ว และอย่างที่เราได้รับรู้กันในวันนี้ ความจริงที่เกิดขึ้นได้เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของธุรกิจทั่วโลกในอีกหลายปีข้างหน้านับจากที่เขากลับเข้ามากุมบังเหียน Apple ได้สำเร็จอีกครั้งนั่นเองครับผม

References : หนังสือ The Greatest Business Decisions of All Time
https://www.thejournal.ie/steve-jobs-predicted-commerce-1821623-Dec2014/
https://appleinsider.com/articles/18/07/10/gil-amelio-resigned-at-apple-ceo-21-years-ago-paving-the-way-for-steve-jobs-ascension-as-ceo

“เพอร์ร่า” ออกคอลเล็กชั่น 2024 ดึง “Malika Favre” ศิลปินชาวฝรั่งเศส ดีไซน์ฉลากลิมิเต็ด เอดิชั่น ย้ำจุดแข็งน้ำแร่ เบอร์ 1

“เพอร์ร่า” ตอกย้ำผู้นำตลาดน้ำแร่ ภาพลักษณ์แบรนด์แฟชั่นและไลฟ์สไตล์ ดึงศิลปินระดับสากลร่วมดีไซน์ฉลากลิมิเต็ด เอดิชั่น ประจำปี 2024 ล่าสุดร่วมกับ “Malika Favre” (มาลิกา ฟาฟเร่) นักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟิกชื่อดังชาวฝรั่งเศสออกคอลเล็กชั่นใหม่ “The joy of life” มาพร้อมคอนเซ็ปต์ให้คุณสนุกและเอนจอยไปกับโมเมนต์เล็กๆ ในทุกวัน

คุณพรรณทิพย์ ลีตะชีวะ ผู้อำนวยการกลุ่มการตลาดแบรนด์น็อนแอลกอฮอล์ บริษัทบุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด เปิดเผยว่า การทำตลาดของน้ำแร่เพอร์ร่าด้วยกลยุทธ์ที่แตกต่าง เพื่อตอบสนองผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ “เพอร์ร่า” ครองความเป็นเบอร์ 1 ในตลาดน้ำแร่อย่างแข็งแกร่งติดต่อกันเป็นปีที่ 4

ด้วยกลยุทธ์การทำตลาดผ่านการนำเสนอความเป็นแฟชั่นและไลฟ์สไตล์แบรนด์ ที่ผ่านมาได้ร่วมงานกับดีไซน์เนอร์ชื่อดังทั่วไทยและต่างประเทศ ในการออกฉลากลิมิเต็ด เอดิชั่นแต่ละปีและเป็นการยกระดับความเป็นแฟชั่นแบรนด์ให้แข็งแรงมากขึ้น 

สำหรับการออกฉลากลิมิเต็ด เอดิชันแห่งปี 2024 น้ำแร่เพอร์ร่าได้ทำงานร่วมกับศิลปินนักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟิกชาวฝรั่งเศส “Malika Favre” (มาลิกา ฟาฟเร่) มาดีไซน์ ออกแบบฉลากคอลเล็กชั่นพิเศษ “The Joy of Life” และมาพร้อมคอนเซ็ปต์ “The Joy of Life Collection” Cherish every little moment of your day.

สนุกไปกับโมเมนต์เล็กๆ ในทุกวัน มาลิกา ฟาฟเร่ เป็น illustrator ที่มีจุดเด่นในการสร้างสรรค์ผลงานที่มีลักษณะเฉพาะ คือความเรียบง่ายแบบป๊อปอาร์ตและศิลปะแบบออปอาร์ต (Pop Art meets Op Art) ด้วยการผสมผสานภาพประกอบที่เรียบง่ายเข้ากับรูปแบบทางเรขาคณิต การใช้พื้นที่และสีมีความโดดเด่น

จนทำให้ได้ร่วมงานกับแบรนด์ดังมากมาย เช่น นิตยสาร Vogue และ The New Yorker และ ร้านจำหน่ายเครื่องสำอางชื่อดัง Sephora เป็นต้น

น้ำแร่เพอร์ร่าคอลเล็คชั่นใหม่ มี 2 ขนาด ได้แก่ขนาด 600 มิลลิลิตร จำหน่ายผ่านช่องทางร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น ส่วนขนาด 600 มิลลิลิตร และ 1,500 มิลลิลิตร มาในรูปแบบแพ็คพิเศษ จะวางจำหน่ายผ่านห้างค้าปลีกชั้นนำทั่วไป ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 พฤษภาคม 2567

และกิจกรรมพิเศษ เมื่อซื้อน้ำแร่เพอร์ร่า รับของ Premium สุดเก๋จากคอลเล็กชั่น “The Joy of Life”(สินค้ามีจำนวนจำกัด) หาซื้อได้ที่ (Emporium, Emsphere, Emquartier, Paragon) ระหว่างวันที่9 พ.ค.-21 พ.ค. 2567 และช่องทาง Online FB: Singha Online ระหว่างวันที่ 22 เม.ย.-28 เม.ย. 2567

Geek Story EP192 : Amazon Echo จากฝันสู่ความเป็นจริงในการสร้างคอมพิวเตอร์ Star Trek ของ Jeff Bezos

เรื่องราวของต้นกำเนิดของ Amazon Echo สะท้อนให้เห็นถึงความทะเยอทะยานและความท้าทายภายใน Amazon ในขณะที่ Amazon มุ่งเป้าไปที่สมรภูมิใหญ่แห่งต่อไปของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอย่างเงียบๆ  

แต่เส้นทางของ Echo สู่บ้านของผู้บริโภคนั้นแทบจะไม่มีอะไรแน่นอน แกดเจ็ตดังกล่าวติดอยู่ในห้องแล็บภายในของ Amazon เป็นเวลาหลายปี โดยขึ้นอยู่กับความต้องการที่สมบูรณ์แบบของ Jeff Bezos ซีอีโอของ Amazon และการถกเถียงภายในที่ยาวนาน และที่สำคัญเป็นช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อของบริษัทหลังจากความล้มเหลวของผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟนตัวแรกของบริษัทอย่าง Amazon Fire

เลือกฟังกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกด Follow ติดตาม PodCast ช่อง Geek Forever’s Podcast ของผมกันด้วยนะครับ

🎧 ฟังผ่าน Spotify : 
https://tinyurl.com/3yn9srfm

🎧 ฟังผ่าน Apple Podcast :
https://tinyurl.com/ycprfrdz

🎧 ฟังผ่าน Podbean : 
https://tinyurl.com/5h8mahpj

🎧 ฟังผ่าน Google Podcast : 
https://tinyurl.com/2ss73m7t

🎧 ฟังผ่าน Youtube 
https://youtu.be/iQ2FF9SdlII

HPE ยกระดับ GenAI เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน AIOps บนแพลตฟอร์ม HPE Aruba Networking Central

บริษัทฮิวเลตต์ แพคการ์ด เอนเตอร์ไพรส์ [Hewlett Packard Enterprise (NYSE: HPE)] ได้ประกาศเปิดตัว ส่วนขยายของความสามารถในการบริหารจัดการเครือข่าย AIOps  โดยการผสานรวมโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ของ AI ชนิดสร้างเนื้อหา (Generative AI) ไว้ภายใน HPE Aruba Networking Central ซึ่งเป็นโซลูชันการจัดการเครือข่ายแบบคลาวด์เนทีฟของ HPE ซึ่งโฮสต์อยู่บนแพลตฟอร์ม HPE GreenLake Cloud

นอกจากนี้ HPE ยังประกาศว่า Verizon Business กำลังจะขยายพอร์ตโฟลิโอบริการที่มีการจัดการ (Managed services) ให้ครอบคลุมถึง HPE Aruba Networking Central

ชุดโมเดล LLM ที่มีในตัวแบบใหม่ของ HPE Aruba Networking Central นั้นต่างจากวิธีจัดการเครือข่าย GenAI แบบอื่น ๆ ที่ไม่ใช่แค่ส่งการเรียกใช้ API ไปยัง LLM สาธารณะ เพราะชุดโมเดล LLM ใหม่นี้ได้รับการออกแบบด้วยนวัตกรรมการประมวลผลล่วงหน้าและการ์ดเรลเพื่อปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้และประสิทธิภาพการทำงาน

โดยเน้นที่ระยะเวลาในการตอบสนองการค้นหา ความถูกต้อง และความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ด้วย Data Lake ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในอุตสาหกรรม จึงทำให้ HPE Aruba Networking สามารถรวบรวมข้อมูลระยะไกลจากอุปกรณ์ที่อยู่ในการจัดการของเครือข่ายเกือบ 4 ล้านเครื่อง และระบบปลายทางของลูกค้าที่ไม่ซ้ำกันมากกว่า 1 พันล้านระบบ ซึ่งขับเคลื่อนโมเดลการเรียนรู้ของเครื่องของ HPE Aruba Networking Central เพื่อใช้ในการวิเคราะห์และการแนะนำเชิงคาดการณ์

ฟังก์ชั่นการทำงานของ GenAI LLM ใหม่จะถูกรวมเข้ากับฟีเจอร์ AI Search ของ HPE Aruba Networking Central ซึ่งจะช่วยเสริมประสิทธิภาพ AI ที่ใช้การเรียนรู้ของเครื่อง (ML) ที่มีอยู่แล้วทั่วทั้งเครือข่าย HPE Networking Central เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกที่ลึกยิ่งขึ้น การวิเคราะห์ที่ดีขึ้น และความสามารถที่เป็นเชิงรุกมากขึ้น

นายพลาศิลป์ วิชิวานิเวศน์ กรรมการผู้จัดการ ฮิวเลตต์ แพคการ์ด เอ็นเตอร์ไพรส์ ประเทศไทย และเวียดนาม กล่าวว่า “ลูกค้าระบบเครือข่ายสมัยใหม่ต้องการข้อมูลเชิงลึกที่ความปลอดภัยมาก่อนเป็นอันดับแรกและขับเคลื่อนด้วย AI ในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของตน

และนั่นคือสิ่งที่เรากำลังนำเสนอ และ HPE ยังสร้างประวัติศาสตร์ที่แข็งแกร่งในด้านนวัตกรรม AI ต่อไปด้วยการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญนี้ รวมถึงแนวทางใหม่ของ HPE Aruba Networking Central ในการปรับใช้โมเดล LLM หลายแบบเพื่อรองรับความสามารถของ GenAI”

HPE Aruba Networking ยังคงมุ่งมั่นที่จะใช้ประโยชน์จาก AI อย่างปลอดภัยด้วยการให้ความปลอดภัยมาเป็นอันดับแรกในส่วนของข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลที่สามารถระบุตัวตนลูกค้าได้ (PII/CII) เนื่องจาก LLM นั้นได้รับ “การพัฒนาโดยการทดสอบในระบบปิด หรือ แซนด์บ็อกซ์” ไว้ภายใน HPE Aruba Networking Central ซึ่งทำงานบน HPE GreenLake Cloud Platform

อีกทั้ง HPE Aruba Networking Central ยังรับประกันความปลอดภัยของข้อมูลลูกค้าด้วย LLM ที่เป็นกรรมสิทธิ์และสร้างขึ้นโดยเฉพาะ ซึ่งจะลบข้อมูล PII/CII และปรับปรุงความแม่นยำในการค้นหา คุณสมบัติทั้งหมดนี้มาพร้อมกับบริการตอบคำถามเกี่ยวกับการทำงานของเครือข่ายได้อย่างรวดเร็วเพียงเสี้ยววินาที

ความสามารถที่ขยายเพิ่มเติมนี้ยังรวมถึงชุดการเทรนของ HPE Aruba Networking Central สำหรับโมเดล GenAI ที่มีขนาดใหญ่กว่าแพลตฟอร์มบนคลาวด์อื่น ๆ ถึงสิบเท่า และมีเอกสารที่มาจาก HPE Aruba Networking นับหมื่นรายการในโดเมนสาธารณะ รวมถึงคำถามมากกว่าสามล้านข้อที่รวบรวมมาจากฐานลูกค้าตลอดระยะเวลาหลายปีที่บริษัทได้ดำเนินงานมา

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นับตั้งแต่การเปิดตัวในปี 2014 HPE Aruba Networking Central ได้ส่งมอบความสามารถที่มีประสิทธิภาพสูงในการกำหนดค่า จัดการ ติดตามตรวจสอบ และแก้ไขปัญหาเครือข่ายผ่าน LAN แบบมีสายและไร้สาย, WAN และ IoT

โดยผสานรวมฟังก์ชันต่าง ๆ ตลอดวงจรชีวิตของการทำงานของเครือข่าย HPE Aruba Networking Central เป็นข้อเสนอบริการ SaaS ที่จำหน่ายโดยการสมัครสมาชิกรายปีเป็นหลัก พร้อมรูปแบบสิทธิ์การใช้งานแบบสองระดับ (พื้นฐานและขั้นสูง)

เครื่องมือค้นหาที่ใช้ GenAI LLM ใหม่นี้จะพร้อมใช้งานในไตรมาสที่ 2 ปีงบประมาณ 2024 ของ HPE และรวมอยู่ในสิทธิ์การใช้งานทุกระดับ นอกเหนือจากจะมีในรูปแบบข้อเสนอบริการ SaaS แบบแยกเดี่ยวแล้ว HPE Aruba Networking Central ยังเป็นส่วนหนึ่งของการสมัครสมาชิก HPE GreenLake for Networking (NaaS) และมีให้บริการผ่านแพลตฟอร์ม HPE GreenLake อีกด้วย

ทุกวันนี้ ลูกค้ากำลังมองหาแอปพลิเคชัน AI ที่ใช้งานได้จริง ซึ่งสามารถปรับปรุงธุรกิจของพวกเขาได้อย่างชัดเจน และเมื่อพูดถึงการจัดการเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพ ข้อมูลและโมเดลย่อมมีความสำคัญ AI ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับงานด้านเครือข่ายและการรักษาความปลอดภัย

แต่ AI สร้างเนื้อหามาช่วยเสริมอินเทอร์เฟซด้วยภาษาที่เป็นธรรมชาติ ความท้าทายอยู่ที่การจัดวางคำถามให้สอดคล้องกับอัลกอริธึมของ AI เพื่อส่งมอบผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ตรงกับความต้องการและตรงจุดประสงค์ ชุด LLM ที่สร้างขึ้นตามวัตถุประสงค์ ซึ่งส่งมอบในแซนด์บ็อกซ์ที่มีชุดโมเดลในตัวให้ทั้งความเป็นส่วนตัวและประสิทธิภาพที่ดีที่สุด ตามประกาศจาก HPE Aruba Networking Central นี้ HPE กำลังจะเปิดตัวฟังก์ชัน AI สร้างเนื้อหา (Generative AI) ที่น่าสนใจ ซึ่งช่วยให้เราไม่ต้องลดประสิทธิภาพเพื่อให้ได้ความปลอดภัยที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

อีกทั้งพันธมิตรอย่าง Verizon Business ยังใช้งาน HPE Aruba Networking Central หรือ Verizon Managed SD Branch เพื่อช่วยให้องค์กรปรับปรุงประสิทธิภาพของเครือข่ายและแอปพลิเคชัน รวมทั้งสนับสนุนผลลัพธ์ที่คล่องตัวและคาดการณ์ได้มากขึ้น โดยไม่ส่งผลกระทบต่อทรัพยากร IT ภายในองค์กร

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับการประกาศในวันนี้ในบล็อก HPE Aruba Networking, “Let’s welcome GenAI’s arrival in HPE Aruba Networking Central”

การปรับตัวที่ช้าไป กับความยิ่งใหญ่ที่กลายเป็นอดีตของ MSN Messenger

เริ่มแรกที่เรารู้จัก MSN Messenger นั้นต้องนับย้อนไปตั้งแต่การถือกำเนิดของแพลตฟอร์มนี้ในปี 1999 และ ในภายหลังได้ถูกแปรเปลี่ยนมาเป็น Windows Live Messenger ซึ่งอดีตยักษ์ใหญ่แห่งบริการส่งข้อความถูกปิดฉากบริการไปในวันที่ 31 ตุลาคม 2014 และคุณอาจสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น?

MSN Messenger ได้แข่งขันกับยักษ์ใหญ่ด้านการส่งข้อความอื่น ๆ ในยุคบุกเบิก ซึ่งได้แก่ ICQ, AOL AIM และ Yahoo!  

ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1990 และในช่วงกลางของการเปิดตัว Windows 95 ที่ทำให้ Microsoft เผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ครั้งแรกนั่นคือกระแสความนิยมของอินเทอร์เน็ตในบ้าน 

ยักษ์ใหญ่แห่ง Redmond กำลังจะปล่อยระบบปฏิบัติการใหม่อย่าง Windows 95 และในช่วงไม่กี่เดือนก่อนหน้านั้น Bill Gates ได้ส่งบันทึกให้ทีมผู้บริหารของเขาซึ่งกลายเป็นเอกสารที่มีความหมายมากสำหรับสถานการณ์ของ Microsoft ในขณะนั้น

เอกสารดังกล่าวมีชื่อว่า“ The Tidal Wave” ที่กล่าวถึง ความสำคัญของการพัฒนาอินเทอร์เน็ตสำหรับบริษัทในยุคต่อไป

ใจความสำคัญของเอกสารก็คือ Bill Gates ให้ความสำคัญสูงสุดกับอินเทอร์เน็ต ในบันทึกนี้ Gates ต้องการทำให้ชัดเจนว่าการให้ความสำคัญกับอินเทอร์เน็ตเป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจของ Microsoft ในทุก ๆ ส่วน 

อินเทอร์เน็ตเป็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ IBM เปิดตัวพีซีเครื่องแรกในปี 1981 มันสำคัญยิ่งกว่าการมาถึงของส่วนต่อประสานกราฟิกผู้ใช้ (GUI) เสียอีก

Gates ตกใจกับภัยคุกคามทางอินเทอร์เน็ตที่มีต่อธุรกิจของเขา เขาพิจารณาว่า Microsoft ยังไม่พร้อมสำหรับการมาถึงของอินเทอร์เน็ต และซอฟต์แวร์หลักของ Microsoft ในยุคนั้น ซึ่งก็คือ Internet Explorer และ MSN ยังไม่พร้อมให้บริการ แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็สามารถผลักดันมันออกมาได้พร้อมกับ Windows 95 ในวันเปิดตัวได้แบบฉิวเฉียด

ในเวลานั้นอินเทอร์เน็ตถูกลดขนาดให้เหมาะกับสิ่งที่บริษัทอย่าง AOL หรือ Microsoft ที่มี MSN เสนอบนพอร์ทัลของพวกเขา การรวม MSN เข้ากับ Windows 95 เป็นการกระทำที่นำปัญหาทางกฎหมายมาสู่ Microsoft เนื่องจากคู่แข่งกล่าวหาว่าเขากำลังผูกขาดตลาดในทางที่ผิด

AOL (America OnLine) เป็นรายแรกที่เปิดตัวบริการ AIM (AOL Instant Messenger) ในปี 1997 ซึ่งทันทีที่ผู้ใช้เริ่มเข้ามาใช้บริการนี้มันก็ดังกระฉูดแทบจะทันที แทบจะทุกบ้านของชาวอเมริกันที่ใช้อินเทอร์เน็ตต้องมีบริการของ AIM

เนื่องจากความนิยมของคู่แข่ง Microsoft จึงเปิดตัว Client การส่งข้อความของตัวเองในปี 1999 MSN Messenger ถือกำเนิดขึ้นเป็นบริการแรกที่มีรายชื่อผู้ติดต่อ และบริการส่งข้อความผ่านออนไลน์

ตั้งแต่ต้น MSN Messenger ต้องการเสนอความเป็นไปได้ในการแชทกับผู้ใช้บริการส่งข้อความอื่น ๆ เช่นกัน ดังนั้นเมื่อมีการเปิดตัว พวกเขาก็ได้ทำให้มันสามารถเข้ากันได้กับเครือข่ายของ AIM ซึ่งทำให้ AOL ไม่ชอบใจเป็นอย่างยิ่ง จึงเป็นที่มาของการเริ่มเปิดสงครามระหว่างบริการทั้งสอง

เมื่อใดก็ตามที่ Microsoft เปิดใช้งานการสื่อสารนี้ AIM จะแก้ไขรหัสเพื่อยืนยันว่าลูกค้าสื่อสารกับลูกค้า AIM ได้เพียงเท่านั้น และ block บริการจากทางฝั่งของ MSN Messenger  ซึ่งในที่สุด Microsoft ได้ละทิ้งในความพยายามที่จะเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ของ AIM

ทุกคนที่เป็นวัยรุ่นในช่วงยุคทองของ MSN Messenger จะจดจำความสำคัญของโปรแกรมนี้ ทันทีที่คุณกลับถึงบ้านคุณจะนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์แล้วเปิดโปรแกรมแชทกับเพื่อนที่โรงเรียนด้วย “ Messenger” แทนที่การโทรไปยังโทรศัพท์พื้นฐานซึ่ง MSN Messenger นั้นจะให้ความเป็นส่วนตัวมากกว่า

MSN Messenger ที่เป็นที่นิยมสำหรับวัยรุ่นมาก ๆ ในยุคนั้น
MSN Messenger ที่เป็นที่นิยมสำหรับวัยรุ่นมาก ๆ ในยุคนั้น (CR:CNBC)

MSN Messenger เริ่มที่จะรวมฟังก์ชั่นการใช้งานซึ่งเป็นพื้นฐานของเครือข่ายสังคมออนไลน์ ผู้ใช้แต่ละคนมีแถบสถานะที่เขาสามารถแสดงข้อความส่วนตัวได้ มันเป็นต้นแบบสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้ Facebook ประสบความสำเร็จในทุกวันนี้

นอกจากนี้ปุ่มสถานะยังได้รับความนิยมอย่างมากซึ่งคุณสามารถบอกผู้ติดต่อของคุณได้อย่างรวดเร็วว่า คุณว่าง ไม่ว่าง หรือออฟไลน์อยู่ หรือการตั้งค่าให้มองไม่เห็น ดังนั้นไม่มีใครจะรบกวนคุณได้ผ่าน MSN Messenger 

ฟังก์ชั่นนี้ได้รับความนิยมอย่างมากจนมีการสร้างเว็บไซต์ที่อนุญาตให้รู้สถานะของผู้ใช้แต่ละรายหากมีอีเมลของเขาหรือแม้กระทั่งรู้ว่าเพื่อนมีการบล็อกคุณหรือไม่

เมื่อถึงสิ้นปี 2005 MSN Messenger ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Windows Live Messenger การเติบโตอย่างรวดเร็วของบริการรับส่งข้อความโดยเฉพาะตลาดนอกสหรัฐฯที่ AIM ยังคงเป็นผู้นำ และจีนเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการขยายบริการนี้อย่างรวดเร็วมาก ๆ จนทำให้บริษัท Tencent ตัดสินใจที่จะสร้างบริการส่งข้อความ QQ ของตัวเองออกมา

บริการส่งข้อความมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด : เพื่อให้บริการของตนเองดียิ่งขึ้นแต่ละแพลตฟอร์มจึงมีค่าใช้จ่ายสูงในการบำรุงรักษา แต่ในตอนนั้นมันยังไม่สามารถสร้างรายได้ด้วยตัวเอง และนั่นคือในยุคที่บริการส่งข้อความเป็นเพียงแค่ตัวช่วยให้สมาชิกของบริการอินเทอร์เน็ตภายในพอร์ทัลของพวกเขาเพิ่มมากขึ้นเพียงเท่านั้น ในยุคนั้นพวกเขาไม่ได้มองถึง Business Model รูปแบบอื่น ๆ เหมือนอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน

Business Model ที่เพียงแค่เพิ่มฐานสมาชิกในเว๊บพอร์ทัลหลักเท่านั้น
Business Model ที่เพียงแค่เพิ่มฐานสมาชิกในเว๊บพอร์ทัลหลักเท่านั้น (CR:AOL)

เมื่อก้าวเข้าสู่เดือนมิถุนายน 2009 MSN Messenger ก้าวขึ้นไปสู่จุดสูงสุดมีผู้ใช้งานถึง 330 ล้านคนต่อเดือน แต่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีกำลังก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเมื่อเรากำลังเข้าสู่ยุคสมาร์ทโฟน

แนวคิดเกี่ยวกับเครือข่ายสังคมออนไลน์นั้นกำลังเข้ามากลืนกินเครือข่ายการส่งข้อความ เช่น Windows Live Messenger แน่นอนว่า Facebook ไม่ได้เป็นเครือข่ายโซเชียลมีเดียแห่งแรกที่ทำการเปิดตัว แต่เป็นบริการแรกที่ทำได้ดี และเข้าใจถึงเรื่องเครือข่ายสังคมอย่างแท้จริง

เมื่อเครือข่ายโซเชียลมีเดียของ Mark Zuckerberg คลายข้อจำกัดลงจากเดิมที่ Focus แค่กลุ่มผู้ใช้งานมหาลัยหลังจากเปิดให้ใช้งานกับกลุ่มผู้ใช้อื่น ๆ แบบอิสระมากขึ้น ก็ทำให้ผู้ใช้ส่วนใหญ่เริ่มที่จะหนีออกจาก MSN Messenger มากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ที่แท้จริงอย่าง Facebook 

แต่สิ่งที่ทำให้ Windows Live Messenger ต้องจบชะตากรรมไป คือ การเกิดขึ้นของสมาร์ทโฟน แม้ว่า Microsoft จะไม่พลาดในคลื่นลูกใหม่นี้ และพยายามผลักดัน Windows Live Messenger ไปในทุก ๆ แพล็ตฟอร์มในยุคนั้นไม่ว่าจะเป็น BlackBerry OS, Xbox 360, iOS, Java ME, Symbian หรือแม้แต่เครื่องเล่น mp3 Zune HD ของ Microsoft เอง แต่ดูเหมือนมันไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก

คู่แข่งอย่าง BlackBerry Messenger กลายเป็นผู้บุกเบิกในการส่งข้อความมือถือ แต่มันเป็นเช่นนั้นได้เพียงไม่นาน จนกระทั่งการปรากฏตัวขึ้นของ iPhone ในเดือนมกราคม 2007 การเปิดตัว App Store ในปี 2008 และความนิยมของ Android จากปี 2010 ทำให้ Windows Live Messenger ได้รับผลกระทบอย่างหนักมาก ๆ

Blackberry Messenger ที่กลายเป็นบริการยอดฮิตแรกในยุคของสมา์ทโฟน
Blackberry Messenger ที่กลายเป็นบริการยอดฮิตแรกในยุคของสมา์ทโฟน (CR:TechCrunch)

การล่มสลายของ Messenger สามารถตีความได้ว่าเป็นตัวบ่งชี้ถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นภายหลังในตลาดพีซี 

เมื่อสถานการณ์ตลาดพีซีในขณะนั้นยอดขายกำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นการล่มสลายของ Windows Live Messenger เป็นเหมือนสัญญาณเตือน ที่กำลังบ่งชี้ว่าสมาร์ทโฟนกำลังจะกลายเป็นอุปกรณ์ที่สมบูรณ์แบบเพื่อแทนที่การส่งข้อความแบบเดิม ๆ ผ่านพีซี นั่นเอง

สมาร์ทโฟนถือเป็นการปฏิวัติชนิดหนึ่ง มีบริษัทใหม่ ๆ ที่เริ่มสร้างบริการส่งข้อความบนแพล็ตฟอร์ม สมาร์ทโฟน ไม่วาจะเป็น  WhatsApp, Telegram, Facebook Messenger, Line, WeChat และดูเหมือนว่าพวกเขาก็เข้าใจ Ecosystem ใน สมาร์ทโฟนได้ดีกว่าที่ Microsoft สามารถเข้าใจได้ในยุคนั้น

Windows Live Messenger ไม่สามารถกู้คืนสถานการณ์ที่ตกต่ำลงอย่างต่อเนื่องของยุค Post-PC และในท้ายที่สุด ในช่วงปลายปี 2012 Microsoft ประกาศการรวมบริการ Windows Live Messenger เข้ากับ Skype และในช่วงสิ้นปี 2013 ถือเป็นเป็นการปิดฉากอดีตที่ยิ่งใหญ่ของ Windows Live Messenger ไปในท้ายที่สุด

ต้องบอกว่าถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่น่าสนใจของการไม่สามารถปรับตัวได้ เมื่อธุรกิจถูก Disrupt ซึ่งในยุคนั้นก็คือการเปลี่ยนผ่านจากยุค PC ไปยังยุคของสมาร์ทโฟนที่ดูเหมือน Microsoft นั้นจะปรับตัวช้าเกินไป ทั้งที่บริการอย่าง Windows Live Messenger มีผู้ใช้งานสูงสุดถึงกว่า 300 ล้านคนในยุคนั้น

ซึ่งตัวอย่างดังกล่าว มันแสดงให้เห็นว่า ถึงแม้จะเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่แค่ไหนมีเงินมากมายขนาดไหน แต่ในยุค Disruption นั้น การเคลื่อนตัวที่ช้าอาจจะส่งผลให้ธุรกิจถึงคราวล่มสลายได้ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีเลยทีเดียว เหมือนอย่างที่เราได้เห็นบทเรียนจาก MSN Messenger ในบทความนี้นั่นเองครับผม

References : https://pandorafms.com/blog/what-happened-with-msn-messenger/
https://www.msnmessenger-download.com/rise-and-fall-msn-messenger
https://www.theverge.com/2014/8/29/6082199/msn-messenger-shutting-down-15-years-history
https://community.plus.net/t5/Plusnet-Blogs/The-Rise-and-Demise-of-MSN-Messenger/ba-p/1322022