ถ้าเราย้อนเวลากลับไปในปี 2008 ชื่อของ Nokia คือราชาผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกโทรศัพท์มือถือ
ในยุคนั้น Nokia โกยรายได้มหาศาลกว่า 76,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ครองส่วนแบ่งการตลาดสูงที่สุดแบบที่คู่แข่งไม่เห็นฝุ่น
แต่ใครจะไปคาดคิดว่า ภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี บริษัทยักษ์ใหญ่สัญชาติฟินแลนด์แห่งนี้ จะดิ่งลงเหวอย่างรวดเร็ว
พวกเขาต้องถอนตัวออกจากตลาดสมาร์ทโฟนที่เคยเป็นเจ้าของ ผู้บริหารระดับสูงต่างพากันลาออก และบริษัทก็ดูเหมือนกำลังจะเดินไปถึงจุดจบ
แต่ท่ามกลางความมืดมิดนั้น ยังมีชายคนหนึ่งที่ไม่ยอมจำนนต่อโชคชะตา
นี่คือเรื่องราวการล่มสลาย และการฟื้นคืนชีพที่น่าทึ่งของ Nokia
เรื่องราวนี้ถูกขับเคลื่อนผ่านมุมมองของผู้บริหารสองคน คนหนึ่งนำพาบริษัทไปสู่หายนะ แต่อีกคนกลับช่วยพลิกฟื้นให้ Nokia กลับมายืนหยัดได้อีกครั้ง
เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นในยุค 90 เมื่อ Nokia เติบโตอย่างก้าวกระโดด จากรายได้ 7,500 ล้านดอลลาร์ในปี 1996 พวกเขาใช้เวลาเพียง 12 ปี พุ่งทะยานรายได้ขึ้น 10 เท่าในปี 2008
แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไปตลอดกาลในปี 2007
เหตุการณ์สำคัญที่สั่นสะเทือนโลกในวันนั้น คือการที่ Steve Jobs ก้าวขึ้นเวที พร้อมกับเปิดตัว iPhone รุ่นแรก นั่นคือจุดเริ่มต้นของยุค “สมาร์ทโฟน” อย่างแท้จริง
iPhone นำเสนอประสบการณ์ที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง ดีไซน์บางเฉียบ หน้าจอสัมผัสที่ลื่นไหล และระบบปฏิบัติการที่ “ฉลาด” และใช้งานง่าย
มันคือการปฏิวัติวงการโทรศัพท์มือถือในชั่วข้ามคืน
ในตอนนั้น แม้ Nokia จะมีทรัพยากรและประสบการณ์มหาศาล พวกเขาอยู่ในจุดที่พร้อมจะปรับตัวและตอบโต้ แต่น่าเสียดาย ที่สถานการณ์กลับไม่เป็นอย่างที่คิด
รายงานภายในที่รั่วไหลออกมา เผยให้เห็นว่า Nokia ไม่ได้ตระหนักถึงภัยคุกคามจาก iPhone อย่างจริงจัง พวกเขากลับมองข้าม และอาจจะถึงขั้น “ดูแคลน”
เหล่าวิศวกรของ Nokia วิจารณ์ว่า iPhone มีต้นทุนการผลิตที่สูงเกินไป และที่สำคัญคือ มัน “ไม่ผ่านมาตรฐานการทดสอบการตกกระแทก” ของบริษัท
พวกเขาเชื่อว่า iPhone เป็นแค่ของเล่นเฉพาะกลุ่ม ไม่สามารถตอบโจทย์คนส่วนใหญ่ได้ แต่ความจริงแล้ว นั่นคือการมองเห็นแต่สิ่งที่พวกเขาอยากเห็น
Nokia เคยเป็นที่รักในด้าน “ความทนทาน” และความน่าเชื่อถือ ทว่าในยุคใหม่ จุดแข็งนี้กลับกลายเป็นจุดอ่อน เมื่อผู้บริโภคหันไปหาสมาร์ทโฟนที่เบาบาง และมีหน้าจอสัมผัสแทน
โลกได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว แต่ Nokia ดูเหมือนจะยังตามไม่ทัน
ไม่นานนัก คู่แข่งรายอื่นๆ ก็กระโดดเข้าสู่ตลาด ในปี 2008 ทาง HTC และ Google ได้จับมือกันเปิดตัว T-Mobile G1 นี่คือสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android
ถึงจุดนี้ ผู้บริหารของ Nokia เริ่มตระหนักแล้วว่า พวกเขาประเมิน iPhone ต่ำเกินไป Nokia ตัดสินใจส่ง Nokia N97 ออกมาสู้ โดยอวดอ้างว่ามันจะเป็น “นักฆ่า iPhone”
N97 มาพร้อมคุณสมบัติที่น่าประทับใจในยุคนั้น ทั้งกล้อง 5 ล้านพิกเซล แป้นพิมพ์แบบสไลด์ พื้นที่เก็บข้อมูลมากกว่า iPhone ถึง 2 เท่า และแน่นอน… หน้าจอสัมผัส
แต่ความจริงกลับไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง
N97 เต็มไปด้วยปัญหา หน้าจอตอบสนองช้า และการใช้งานก็ซับซ้อนอย่างมาก แต่ปัญหาที่ใหญ่ที่สุด กลับอยู่ที่ “ระบบปฏิบัติการ”
Symbian ที่เคยเป็นจุดแข็งของ Nokia ในยุคมือถือทั่วไป กลับกลายเป็นตัวถ่วงที่สำคัญในยุคสมาร์ทโฟน เมื่อเทียบกับ iOS ของ Apple หรือ Android ของ Google แล้ว Symbian คือฝันร้ายของนักพัฒนาแอปพลิเคชัน
ผลลัพธ์คือ ในช่วงเปิดตัว N97 มีแอปให้เลือกใช้เพียง 500 กว่าแอป ในขณะที่ App Store ของ Apple ในเวลานั้น มีแอปพลิเคชันให้เลือกมากกว่า 100,000 รายการ
N97 ล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า และนี่คือจุดที่ Nokia ตระหนักว่า พวกเขาจำเป็นต้อง “เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่”
การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ มาพร้อมกับการแต่งตั้ง CEO คนใหม่ในเดือนกันยายน ปี 2010
ชายคนนั้นคือ Stephen Elop
Elop มีประวัติการทำงานที่น่าทึ่ง เขาเคยเป็นถึงหัวหน้าแผนกธุรกิจของ Microsoft
ภายใต้การนำของเขา Microsoft Office ประสบความสำเร็จอย่างสูง และยังบุกเบิกเทคโนโลยี Cloud จนสร้างผลกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์
Elop ได้รับการยอมรับในฐานะ “ตัวแทนแห่งการเปลี่ยนแปลง”
มันเป็นสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะลงตัวอย่างยิ่ง Nokia กำลังต้องการการเปลี่ยนแปลง และ Elop ก็ดูเหมือนจะเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด
แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ กลับส่งผลกระทบที่ไม่มีใครคาดคิด ในวันแรกที่ Elop เข้ารับตำแหน่ง เขาเรียกประชุมใหญ่พนักงานทุกคน
เหตุการณ์นี้ถูกบันทึกไว้อย่างละเอียดในหนังสือ Operation Elop ที่เขียนโดยอดีตพนักงาน Nokia
บรรยากาศในวันนั้นเต็มไปด้วยความตึงเครียดและความคาดหวัง Elop เริ่มต้นด้วยสุนทรพจน์ที่สะเทือนใจ เขาเปรียบเปรยสถานการณ์ของบริษัทว่า
“Nokia กำลังยืนอยู่บนแพลตฟอร์มที่กำลังลุกไหม้”
เขาบอกว่าเปลวไฟจากคู่แข่งมันลุกลามเร็วกว่าที่คิด Apple ได้สร้างความปั่นป่วนด้วยการนิยามสมาร์ทโฟนขึ้นมาใหม่ และดึงดูดนักพัฒนาเข้าสู่ระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่ทรงพลัง
ในขณะที่ Symbian ของ Nokia พิสูจน์แล้วว่าไม่สามารถแข่งขันได้
Elop สรุปว่า “สงครามครั้งนี้ ไม่ใช่การต่อสู้ของอุปกรณ์อีกต่อไป แต่มันคือสงครามของ Ecosystem”
Ecosystem ไม่ได้หมายถึงแค่ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ แต่มันรวมถึงนักพัฒนา, e-commerce, การโฆษณา และทุกสิ่งทุกอย่าง
เขากล่าวว่า Nokia กำลังถูกแผดเผาอย่างรุนแรง และต้องหาทางออกเพื่อกลับมาเป็นผู้นำให้ได้
แม้สุนทรพจน์ของ Elop จะดูสร้างแรงบันดาลใจ แต่มันกลับสร้างปัญหาใหญ่ตามมา
เพราะการวิพากษ์วิจารณ์ผลิตภัณฑ์ของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา ทำให้ปัญหาที่บริษัทเผชิญอยู่ ยิ่งดูเลวร้ายลงไปอีก และแม้จะมีการรักษาความปลอดภัยเข้มงวด เนื้อหาของสุนทรพจน์นี้ก็ “รั่วไหล” สู่สาธารณะ
ผลกระทบเกิดขึ้นแทบจะในทันที ภาพลักษณ์ของ Nokia เสียหาย ยอดขายดิ่งลง และความเชื่อมั่นของผู้ถือหุ้นถูกทำลาย
แต่ Elop กลับไม่ได้ดูกังวล
ว่ากันว่า เขาต้องการให้ Nokia อยู่ในสภาวะวิกฤต เพื่อที่เขาจะสามารถผลักดันการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในการประชุมคณะกรรมการที่กำลังจะมาถึง
ทุกคนรู้ว่า Symbian จำเป็นต้องถูกยกเลิก แต่คำถามคือ “อะไรจะมาแทนที่มัน”
นี่คือการตัดสินใจที่สำคัญที่สุดต่ออนาคตของ Nokia
แน่นอนว่า พวกเขามีตัวเลือกอย่าง Android ที่กำลังเป็นที่นิยมและเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นคู่แข่งเพียงหนึ่งเดียวของ iOS
แต่ Elop กลับมองไปที่ทางเลือกอื่น
เขาสร้างความรู้สึกเร่งด่วนให้กับสถานการณ์ ทำให้บอร์ดบริหารไม่มีเวลามากพอที่จะไปเจรจากับ Google เรื่องการใช้ Android
Elop ตัดสินใจเลือกใช้ระบบปฏิบัติการ Windows Phone จาก Microsoft ซึ่งเป็นบริษัทเก่าของเขา การเปลี่ยนไปใช้ Windows Phone จึงกลายเป็นทางเลือกเดียวที่คณะกรรมการสามารถยอมรับได้ในภาวะวิกฤตนั้น
ด้วยความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับ Microsoft ทั้งสองบริษัทจึงได้สร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ Nokia จะเป็นผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ ทำการวิจัยและพัฒนา และการตลาด โดยใช้ระบบปฏิบัติการ Windows เพียงอย่างเดียว
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2011 Elop ประกาศกลยุทธ์ใหม่นี้ต่อสาธารณะ
Nokia ได้รับเงินสนับสนุนหลายพันล้านดอลลาร์จาก Microsoft เพื่อพัฒนา Windows Phone รุ่นใหม่ และเป็นงบในการทำการตลาด ทั้งสองบริษัทตั้งเป้าที่จะท้าทายตลาด และสร้าง “Ecosystem ที่ 3” ขึ้นมา
เดิมพันครั้งนี้สูงลิ่ว เพราะในเวลานั้น Nokia กำลังขาดทุนอย่างหนัก
จากนั้น Nokia ก็เปิดตัวผลิตภัณฑ์แห่งความหวัง Nokia Lumia 800 และ Lumia 710
แต่นี่กลับเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาที่ใหญ่กว่าเดิม
โทรศัพท์ Lumia ประสบปัญหาตั้งแต่เริ่มต้น แม้ว่า Interface แบบ “Tiles” จะดูมีเอกลักษณ์ แต่มันก็ “มากเกินไป”
ผู้ใช้ต้องเรียนรู้วิธีการใช้งานใหม่แทบทั้งหมด หลายคนพบว่ามันไม่เป็นธรรมชาติและใช้งานยาก มันเห็นได้ชัดว่า ซอฟต์แวร์นี้ถูกออกแบบโดยบริษัทที่เน้นคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะเป็นหลัก
นอกจากนี้ Windows ยังกำหนดข้อจำกัดที่เข้มงวดกับ Nokia ระบบปฏิบัติการบังคับให้โทรศัพท์ทั้งสองรุ่นใช้ Processor แบบ Single-Core ในขณะที่คู่แข่งกำลังใช้ Dual-Core หรือ Quad-Core กันแล้ว ทำให้ Nokia ล้าหลังในด้านความเร็วและประสิทธิภาพ
แถมยังมีพื้นที่จัดเก็บข้อมูลน้อย และที่น่าแปลกใจคือ “แทบไม่มีกล้องหน้า” ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในยุคนั้น
แต่ปัญหาที่สำคัญที่สุดก็ยังคงเป็นเรื่องเดิม นั่นคือ “มีแอปพลิเคชันให้เลือกใช้น้อยมาก”
Windows Phone มี Interface ที่ไม่น่าดึงดูดใจนักพัฒนา ส่วนผู้ใช้จำนวนมากก็เลือกฝั่ง Android หรือ iOS ไปเรียบร้อยแล้ว
Ecosystem ที่ Elop เคยเน้นย้ำในสุนทรพจน์อันโด่งดัง กลับกลายเป็นจุดที่ด้อยกว่าคู่แข่งอย่างชัดเจน
เมื่อเวลาผ่านไป ความจงรักภักดีของ Elop ก็เริ่มเป็นที่น่าสงสัย
แม้เขาจะเป็น CEO ของ Nokia แต่ดูเหมือนว่าเขายังคงผูกพันกับ Microsoft อย่างลึกซึ้ง Elop ยืนกรานที่จะใช้ Windows Phone แม้จะเห็นได้ชัดว่ามันเป็นทางเลือกที่ไม่ดี
หากพวกเขาเลือกใช้ Android ตั้งแต่แรก Nokia อาจจะรอดพ้นจากวิกฤตนี้ก็ได้ แต่พวกเขากลับเลือกทำในสิ่งที่เสี่ยงยิ่งกว่า ความเสี่ยงที่กลายเป็นความล้มเหลวครั้งใหญ่
ตลอดช่วงอายุการใช้งาน ตั้งแต่ปี 2011 ถึง 2014 มีการขายสมาร์ทโฟน Lumia ที่ใช้ Windows Phone ไปเพียง 52 ล้านเครื่อง
เมื่อเปรียบเทียบกัน Samsung ใช้เวลาเพียง 2 เดือน ในการทำยอดขายเท่ากับตัวเลขนี้ ความร่วมมือระหว่าง Nokia และ Microsoft ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง และในปี 2014 Stephen Elop ก็ตัดสินใจกลับไปทำงานที่ Microsoft
แต่ที่แย่กว่านั้นคือ เขาได้นำเอา “บริษัท Nokia ส่วนใหญ่” ไปด้วย Microsoft ได้เข้าซื้อกิจการแผนกอุปกรณ์และบริการของ Nokia ด้วยมูลค่า 7,200 ล้านดอลลาร์
Elop กลายเป็นประธานกลุ่มอุปกรณ์เคลื่อนที่ใน Microsoft และได้นำผู้บริหารระดับสูงหลายคนของ Nokia ไปด้วย
ก่อนที่ Elop จะเข้ามาร่วมงานกับ Nokia บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาด 33% แต่เมื่อเขาจากไป ส่วนแบ่งการตลาดของ Nokia เหลือน้อยกว่า 3%
ความร่วมมือครั้งนี้สร้างความเสียหายมหาศาล แต่ก็มีความแตกต่างที่สำคัญ
Microsoft เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ พวกเขาสามารถรับมือกับการขาดทุนได้
ในปี 2016 Microsoft ตัดสินใจขายธุรกิจโทรศัพท์ของ Nokia ออกไปในราคาเพียง 350 ล้านดอลลาร์ และตัดบัญชีขาดทุน หันไปโฟกัสตลาด Cloud แทน
ในทางกลับกัน Nokia ถูกทิ้งไว้โดยแทบไม่เหลืออะไร
พวกเขาประสบกับการขาดทุนสะสมถึง 4,900 ล้านยูโร สูญเสียทั้งผู้บริหารและแผนกที่สำคัญที่สุด ณ จุดนั้น ลูกค้าส่วนใหญ่แทบจะลืมชื่อ Nokia ไปแล้ว และบริษัทก็ควรจะล้มละลายไป
แต่สถานการณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น
ในขณะที่แผนกโทรศัพท์กำลังลุกเป็นไฟภายใต้การนำของ Elop แผนกอื่นของ Nokia กลับทำผลงานได้น่าประทับใจ โดยเฉพาะแผนก Nokia Solutions and Networks (NSN)
แผนกนี้เคยเป็นแผนกที่ไม่เคยทำกำไรมาก่อน แต่ในปี 2009 Nokia ได้แต่งตั้ง Rajeev Suri ให้เป็นหัวหน้าแผนกนี้ และภายในปี 2014 เขาสามารถเปลี่ยนมันให้กลายเป็นส่วนธุรกิจที่ทำกำไรและมีเสถียรภาพ
Rajeev Suri ทำงานอยู่ที่ Nokia มาตั้งแต่ปี 1990 เขาเห็นทุกอย่างมาหมดแล้ว และเขาคือผู้นำที่ Nokia ต้องการอย่างยิ่ง
ในปี 2014 Rajeev Suri ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น CEO คนใหม่ของ Nokia เขาวางแผนฟื้นฟูบริษัทแทบจะในทันที Nokia จะต้องปรับโครงสร้างใหม่ทั้งหมด ตัดค่าใช้จ่าย และลดขนาดองค์กรลง
พวกเขาจำเป็นต้อง “Pivot”
คำถามคือ จะปรับเปลี่ยนไปในทิศทางไหน
คำตอบมาจากภาคส่วนเดิมที่ Rajeev Suri เคยดูแล เขากล่าวว่า Nokia ยังมีธุรกิจที่แข็งแกร่ง 3 ส่วน คือ Networks, Here (แผนที่), และ Technologies (สิทธิบัตร)
Suri แตกต่างจาก Elop อย่างสิ้นเชิง กลยุทธ์ของเขาไม่ได้ดูโดดเด่นหรือน่าตื่นเต้น แต่แผนของเขาโฟกัสไปที่สิ่งเดียว นั่นคือ “เสถียรภาพ”
ในตอนนั้น ความเชื่อมั่นของ Nokia อยู่ในระดับต่ำสุด พวกเขาจำเป็นต้องสร้างความไว้วางใจกับผู้ถือหุ้นขึ้นมาใหม่ ด้วยเงินที่ได้จากข้อตกลงกับ Microsoft สิ่งแรกที่ Suri ทำคือ “การซื้อหุ้นคืนครั้งใหญ่” ผู้ถือหุ้นได้รับเงินปันผล จำนวนหุ้นในตลาดลดลง และมูลค่าของหุ้นที่มีอยู่ก็เพิ่มขึ้น
Suri ตระหนักดีว่า Nokia ต้องมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งก่อน เขาต้องให้ผู้ถือหุ้นเชื่อมั่นในบริษัทอีกครั้ง เพื่อที่จะเริ่มดำเนินการตามแผนที่เหลือได้
จากนั้น Nokia ก็เริ่มลงทุนในกลยุทธ์ใหม่ของพวกเขา ในปี 2015 พวกเขาเข้าซื้อกิจการ Alcatel-Lucent ด้วยมูลค่ามหาศาล 16,600 ล้านดอลลาร์
ทำไมถึงซื้อบริษัทนี้?
เพราะ Alcatel-Lucent เป็นเจ้าของ Bell Labs อันเลื่องชื่อ
Bell Labs คือหนึ่งในห้องปฏิบัติการวิจัยและพัฒนา (R&D) ที่มีชื่อเสียงที่สุดในด้านโทรคมนาคม เป็นเจ้าของสิทธิบัตรมากกว่า 29,000 รายการ
Nokia กำลังลงทุนในสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เทคโนโลยีใหม่ที่จะมากอบกู้ธุรกิจ
เทคโนโลยีนั้นคือ “5G”
Suri กำลังปรับทิศทางของ Nokia จากการโฟกัสที่ผู้บริโภค (B2C) ไปสู่การให้บริการธุรกิจอื่นๆ (B2B) Nokia กำลังสร้างเครือข่าย 5G ก่อนที่มันจะพร้อมใช้งานในเชิงพาณิชย์
พวกเขาต้องเป็นผู้บุกเบิก เหมือนที่เคยทำในตลาดยุคมือถือ พวกเขาไม่สามารถแพ้ในการแข่งขันครั้งนี้ได้อีก
แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว คู่แข่งคือ Huawei และ Ericsson ซึ่งเป็นผู้เล่นหลักในตลาดนี้
แต่แล้วสถานการณ์ก็เริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ในปี 2018 หลังจากลงทุนและวิจัยมาหลายปี Nokia ก็ได้เปิดเผยความก้าวหน้าครั้งใหญ่ที่สุด นั่นคือชิปคอมพิวเตอร์ “ReefShark” ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับ 5G
ReefShark คือก้าวกระโดดครั้งใหญ่ Bandwidth ของมันวิ่งได้ถึง 84 Gbps เร็วกว่าชิป 5G รุ่นก่อนหน้าถึง 3 เท่า
ที่สำคัญคือ มันมีขนาดเล็กกว่า 50% และลดการใช้พลังงานลงถึง 64%
นี่คือสิ่งที่พลิกเกม
หลังจากการประกาศนี้ Nokia ก็ได้ประกาศความร่วมมือกับ NTT Docomo บริษัทโทรคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น
และนั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้น
ไม่นานหลังจากนั้น Nokia ก็เริ่มจัดหาอุปกรณ์ให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง AT&T และ Vodafone ภายในปี 2020 พวกเขาทำข้อตกลงเชิงพาณิชย์เกี่ยวกับ 5G ถึง 100 ข้อตกลง และภายในปี 2024 ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 300 ข้อตกลง
ปัจจุบัน Nokia ควบคุมส่วนแบ่งการตลาด 5G ถึง 29% (นอกประเทศจีน) การลงทุนและการปรับโครงสร้างของ Rajeev Suri ได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า
ก่อนการแยกตัวกับ Microsoft รายได้ของพวกเขาลดลงต่ำกว่า 6,000 ล้านดอลลาร์ แต่ภายในปี 2022 การปรับโครงสร้างของ Suri ได้เพิ่มรายได้สูงถึง 20,000 ล้านดอลลาร์
ปัจจุบัน มูลค่าตลาดของ Nokia อาจจะเหลือเพียง 1 ใน 10 ของจุดสูงสุดในอดีต
แต่เป็นครั้งแรกในรอบ 17 ปี ที่พวกเขามีสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน นั่นคือ “เสถียรภาพ”
Nokia ได้ทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ พวกเขารอดพ้นจากความตายที่ดูเหมือนจะแน่นอนแล้ว และกำลังก้าวสู่อนาคตด้วยความมั่นใจ
บทสรุปของเรื่องนี้เป็นอย่างไร
หลังจากที่ Elop กลับไปที่ Microsoft แผนกมือถือก็ยังคงประสบปัญหาต่อไป
กลยุทธ์ “กล้าได้กล้าเสีย” ของเขา นำไปสู่การล่มสลายของ Nokia ในตลาดมือถือ และส่งผลกระทบต่อตัวเขาเองในท้ายที่สุด
ภายในปี 2015 กลุ่มอุปกรณ์ Microsoft ก็ถูกปิดตัวลง และ Elop ก็ถูกเลิกจ้าง อาชีพของเขาไม่เคยกลับไปอยู่ในจุดเดิมอีกเลย
ในทางตรงกันข้าม Rajeev Suri ได้ช่วยกู้บริษัทที่เขาจงรักภักดีมาโดยตลอด ด้วยวิสัยทัศน์ระยะยาว การมองการณ์ไกล และการโฟกัสเรื่องเสถียรภาพทางการเงิน
ทั้ง Elop และ Suri ต่างก็ตัดสินใจอย่างกล้าหาญ แต่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
Elop เลือกที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง โดยหวังจะพลิกฟื้น Nokia ในเวลาอันสั้น แต่การตัดสินใจของเขากลับนำไปสู่ความเสียหายมหาศาล
ขณะที่ Suri เลือกที่จะค่อยๆ ปรับเปลี่ยน และสร้างความแข็งแกร่งจากภายใน โดยโฟกัสไปที่เทคโนโลยีที่ Nokia มีความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว
เรื่องราวของ Nokia คือบทเรียนสำคัญสำหรับทุกธุรกิจ
มันแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการปรับตัว การรักษาคุณค่าหลักของบริษัท และการมีวิสัยทัศน์ระยะยาว
แม้ Nokia จะสูญเสียตำแหน่งผู้นำในตลาดสมาร์ทโฟน แต่พวกเขาก็สามารถปรับตัวและค้นพบโอกาสใหม่ในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมได้
ปัจจุบัน ชื่อของ Nokia อาจจะไม่ได้คุ้นหูผู้บริโภคทั่วไปเหมือนในอดีต แต่พวกเขากำลังมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาเทคโนโลยี 5G และโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารทั่วโลก
การฟื้นคืนชีพของ Nokia คือเครื่องพิสูจน์ถึงความสามารถในการปรับตัวและความยืดหยุ่น
มันเป็นเครื่องเตือนใจว่า ในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความสำเร็จในอดีต ไม่ได้การันตีความสำเร็จในอนาคต
แต่ในขณะเดียวกัน ความล้มเหลว ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นจุดจบเสมอไป หากมีความกล้าหาญที่จะเปลี่ยนแปลง และมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนเพียงพอ
Nokia ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า มันเป็นไปได้ที่จะกลับมายืนหยัดได้อีกครั้ง แม้จะเผชิญกับความท้าทายที่ดูเหมือนจะเอาชนะไม่ได้ก็ตาม
References : [theverge,reuters,bloomberg,arstechnica,hbr]
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA
Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ
Geek Forever’s Podcast
“Open Your World With Technology“
AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning
Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ














