สงครามเย็นยุคใหม่ การต่อสู้ไม่ใช่แค่ใช้อาวุธ แต่คือ “แร่ธาตุ” ที่กุมอนาคตโลก

เคยสงสัยไหมครับ ว่าในสมาร์ทโฟนที่เราหยิบขึ้นมาใช้ทุกวัน ในรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังจะกลายเป็นอนาคต หรือแม้แต่ในขีปนาวุธที่ทรงอานุภาพ มันมีส่วนประกอบลับอะไรที่เหมือนกันซ่อนอยู่

คำตอบคือกลุ่มแร่ธาตุที่ชื่อว่า แรร์เอิร์ธ (Rare Earths) ซึ่งเปรียบเสมือน “วิตามิน” ที่ขาดไม่ได้ของโลกเทคโนโลยีสมัยใหม่

แร่ธาตุเหล่านี้คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด เรื่องราวของสงครามเย็นยุคใหม่ที่ไม่ได้รบกันด้วยอาวุธ แต่รบกันด้วยการควบคุมห่วงโซ่อุปทานที่สำคัญที่สุดในศตวรรษที่ 21

และวันนี้ การเดินหมากครั้งสำคัญของจีน ได้เปลี่ยนสมรภูมินี้ไปตลอดกาล

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในช่วงที่สงครามการค้าระหว่างรัฐบาลของ Donald Trump และจีนกำลังคุกรุ่น จีนได้ตัดสินใจเล่นไพ่ใบที่สำคัญที่สุดที่ตัวเองถืออยู่

จีนได้ยกระดับการตอบโต้ไปอีกขั้น แต่ไม่ใช่การขึ้นภาษี ไม่ใช่การแบนสินค้า แต่เป็นสิ่งที่ลึกซึ้งและส่งผลกระทบวงกว้างกว่านั้นมาก

นั่นคือการจำกัด หรืออาจถึงขั้นยกเลิกการส่งออก “อุปกรณ์ที่ใช้ในการแปรรูป” (processing equipment) ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับแรร์เอิร์ธ

หลายคนอาจจะคิดว่า ก็แค่เครื่องจักรไม่ใช่หรือ จะเป็นปัญหาใหญ่ขนาดนั้นเชียว?

ผมอยากให้ลองนึกภาพตามแบบนี้ครับ สมมติว่าเรามีเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ดีที่สุดในโลก แต่เราไม่มีจอบ ไม่มีรถไถ ไม่มีโรงสี เราก็ไม่สามารถปลูกข้าวหรือผลิตข้าวสารออกมาได้

สถานการณ์ของชาติตะวันตกในตอนนี้ก็ไม่ต่างกันเลย พวกเขามีแร่ดิบ แต่ไม่มี “เครื่องมือ” ที่จะเปลี่ยนแร่ดิบเหล่านั้นให้กลายเป็นโลหะบริสุทธิ์ หรือโลหะผสมประสิทธิภาพสูงที่นำไปใช้งานได้

ทำไมเรื่องนี้ถึงสำคัญ? มีตัวอย่างที่เห็นภาพชัดเจนมากครับ

เมื่อไม่นานมานี้ มีคนไปเยี่ยมชมโรงงานแม่เหล็กแห่งใหม่ของบริษัท Neo Performance ที่ประเทศเอสโตเนีย ก็พบว่าเครื่องจักรสำคัญในโรงงานนั้นผลิตในประเทศจีน

ตอนนั้นมีคนตั้งคำถามว่า “ทำได้อย่างไร ในเมื่อจีนเริ่มจำกัดการส่งออกเทคโนโลยีแล้ว?”

คำตอบในตอนนั้นก็คือ จีนยังอนุญาตให้ส่งออกตัว “อุปกรณ์” ได้ แต่ไม่ได้ให้ “เทคโนโลยี” มาด้วย นั่นคือคุณซื้อเครื่องจักรไปได้ แต่จะไม่มีคู่มือ ไม่มีช่างเทคนิค หรือไม่มีองค์ความรู้ใดๆ ติดไปด้วย

แต่ ณ วันนี้ แม้แต่การซื้อเครื่องจักรเปล่าๆ แบบนั้น ก็ไม่สามารถทำได้อีกต่อไปแล้ว

จีนได้หยุดการส่งออกทั้งหมด และยังจำกัดแรร์เอิร์ธทุกชนิดที่มีความเป็นไปได้ในการ “ใช้งานสองทาง” (dual use)

คำว่า Dual Use เป็นศัพท์ที่สำคัญมาก มันหมายถึงวัสดุที่ใช้ได้ทั้งในสินค้าพลเรือนทั่วไป เช่น มอเตอร์รถยนต์ไฟฟ้า และในขณะเดียวกันก็สามารถนำไปใช้ในยุทโธปกรณ์ทางการทหารได้ด้วย เช่น ระบบนำวิถีของจรวด

การเคลื่อนไหวครั้งนี้เปรียบเสมือนการดึงบันไดออก ในขณะที่คู่แข่งกำลังจะปีนขึ้นมา

ลองดูตัวอย่างของบริษัท Less Common Metals ที่เคยมีอุปกรณ์ชิ้นสำคัญเรียกว่า spin caster ซึ่งน่าสนใจมาก เพราะภายในเป็นของจีน แต่ภายนอกเป็นของญี่ปุ่น

เหตุผลก็เพราะพวกเขายอมรับว่า จีนทำเครื่องจักรส่วนแกนกลางได้ดีที่สุดในโลก แต่เตาหลอมที่ใช้คู่กัน ของญี่ปุ่นกลับดีกว่า

เรื่องนี้บอกอะไรเรา? มันบอกว่าแม้แต่ชาติตะวันตกเอง ก็ต้องยอมรับในความเชี่ยวชาญของจีน และต้องผสมผสานเทคโนโลยีจากหลายแหล่งเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุด

แต่ตอนนี้ บริษัทนั้นถูกซื้อกิจการไปแล้วโดย USA Rare Earths ซึ่งวางแผนจะสร้างโรงงานใหญ่ในสหรัฐอเมริกา และพวกเขากำลังเจอกับปัญหาที่แก้ไม่ตก

พวกเขาจะไปหาเครื่องจักรแบบนั้นมาจากไหน? คำตอบคือ ไม่มี

นั่นหมายความว่าพวกเขาต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ทั้งหมด ต้องออกแบบ สร้าง ทดสอบ และเรียนรู้ความผิดพลาดด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นกระบวนการที่อาจทำให้โครงการล่าช้าไปอีกหลายปี

ทำไมการสร้างเครื่องจักรเองถึงได้ยากเย็นขนาดนั้น?

คำตอบไม่ได้อยู่ที่ความซับซ้อนทางวิศวกรรมเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ “ความรู้ที่หายไป”

ในอดีตช่วงทศวรรษ 1980 สหรัฐอเมริกาเคยเป็นผู้นำของโลกในการผลิตแรร์เอิร์ธจากเหมือง Mountain Pass ในแคลิฟอร์เนีย แต่แล้วพวกเขาก็เจอแรงกดดัน

แรงกดดันทั้งในเรื่องต้นทุนที่สูงกว่า และกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวด ทำให้การผลิตในสหรัฐฯ ไม่สามารถแข่งขันกับจีนที่เข้ามาในตลาดด้วยราคาที่ถูกกว่ามากได้

สุดท้าย ชาติตะวันตกก็ค่อยๆ ย้ายฐานการผลิตที่ “สกปรก” และ “ไม่คุ้มทุน” นี้ไปยังประเทศจีน และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการสูญเสียองค์ความรู้ครั้งสำคัญ

ความเชี่ยวชาญในการออกแบบเครื่องจักรที่ต้องทนต่อสารเคมีฤทธิ์กัดกร่อนรุนแรง ความรู้เรื่องอุณหภูมิที่แม่นยำในแต่ละขั้นตอนการผลิต หรือแม้แต่เทคนิคการบำรุงรักษา สิ่งเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในตำราเรียน

แต่มันคือประสบการณ์ที่สั่งสมมาจากการลองผิดลองถูกเป็นเวลาหลายสิบปี ซึ่งความรู้เหล่านี้ ได้ย้ายไปอยู่กับวิศวกรชาวจีนแทบจะทั้งหมด

มีเรื่องเล่าในวงการว่า ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา มีโรงงานสกัดแรร์เอิร์ธขนาดใหญ่ของชาติตะวันตกอย่างน้อยสองแห่ง ต้องประสบกับความล้มเหลวครั้งใหญ่

สาเหตุก็เพราะอุปกรณ์อย่างท่อส่งสารเคมี เกิดการรั่วและพังทลายลงมา เพราะผู้ออกแบบไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าสารเคมีในกระบวนการนั้นมีฤทธิ์กัดกร่อนรุนแรงเพียงใด

ปัญหานี้ทำให้โครงการต้องหยุดชะงักไปนานหลายปี และสูญเงินไปหลายร้อยล้านดอลลาร์

แล้วใครที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาได้? คำตอบคือ วิศวกรชาวจีน

ไม่ใช่เพราะพวกเขามีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ากว่า แต่เพราะพวกเขาเคยเจอปัญหาแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว พวกเขาเคยทำมันพัง และเรียนรู้ที่จะแก้ไขมันจนเชี่ยวชาญ

นี่คือสิ่งที่เงินซื้อไม่ได้ มันคือ “กำแพงทางความรู้” ที่มองไม่เห็น ซึ่งตอนนี้จีนได้ใช้มันเป็นอาวุธสำคัญในสงครามการค้า

จีนรู้ดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ นี่ไม่ใช่การตัดสินใจที่เกิดขึ้นชั่ววูบ แต่เป็นหมากกลเชิงยุทธศาสตร์ที่วางแผนมาเป็นอย่างดี

มันคือการต่อสู้กันโดยตรงระหว่างผู้นำอย่าง Xi Jinping และ Donald Trump ซึ่ง Xi Jinping กำลังแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นฝ่ายที่กุมไพ่เหนือกว่า

แล้วตลาดตอบสนองต่อเรื่องนี้อย่างไร?

สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือ ราคาหุ้นของบริษัทเหมืองแรร์เอิร์ธนอกประเทศจีนกลับพุ่งสูงขึ้น ด้วยความคิดง่ายๆ ที่ว่า “ในเมื่อจีนไม่ขาย เราก็ต้องพึ่งพาบริษัทเหล่านี้แทน”

แต่ในความเป็นจริงแล้ว บริษัทเหล่านี้อาจไม่ใช่ทางออก แต่คือส่วนหนึ่งของปัญหา

พวกเขาจะทำอะไรได้ถ้าไม่มีเทคโนโลยีและเครื่องจักรจากจีน? พวกเขาจะสร้างห่วงโซ่อุปทานที่ขาดหายไปขึ้นมาใหม่ได้อย่างไร?

นี่คือคำถามที่ยังไม่มีใครให้คำตอบที่ชัดเจนได้

สิ่งที่จีนทำในวันนี้ จึงเปรียบเสมือนการสาดน้ำเย็นจัดใส่หน้าชาติตะวันตก เพื่อปลุกให้ตื่นจากฝันที่ว่าพวกเขาสามารถพึ่งพาจีนในฐานะโรงงานของโลกได้ตลอดไป

มันบังคับให้สหรัฐอเมริกาและพันธมิตรต้องกลับมาทบทวนยุทธศาสตร์ของตัวเองอย่างจริงจัง

ตอนนี้เราจึงเริ่มเห็นการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้อนุมัติงบประมาณมหาศาลเพื่อสนับสนุนการสร้างโรงงานแปรรูปแรร์เอิร์ธขึ้นมาในประเทศ

มีการจับมือกับพันธมิตรอย่างออสเตรเลียและแคนาดา เพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานแห่งใหม่ที่ไม่ต้องพึ่งพาจีนอีกต่อไป

บริษัทอย่าง Lynas Rare Earths ของออสเตรเลีย กำลังก่อสร้างโรงงานแปรรูปในรัฐเท็กซัส โดยได้รับการสนับสนุนทางการเงินโดยตรงจากรัฐบาลสหรัฐฯ

แต่ทั้งหมดนี้ต้องใช้เวลา มันไม่ใช่เรื่องที่จะทำสำเร็จได้ในหนึ่งหรือสองปี การสร้างโรงงาน การฝึกฝนบุคลากร และการฟื้นฟูองค์ความรู้ที่หายไป อาจต้องใช้เวลานานนับทศวรรษ

นี่คือบทสรุปของสงครามเย็นยุคใหม่ มันไม่ใช่การแข่งขันสะสมหัวรบนิวเคลียร์ แต่เป็นการแข่งขันเพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานทางเทคโนโลยีที่เป็นของตัวเอง

จีนได้แสดงให้โลกเห็นแล้วว่า พวกเขาไม่ได้เป็นเพียงผู้รับจ้างผลิตอีกต่อไป แต่ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้กำหนดเกม และเป็นผู้กุมชะตาของอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกทั้งใบ

และนี่คือเรื่องราวที่ซ่อนอยู่ในอุปกรณ์ทุกชิ้นรอบตัวเรา เป็นการต่อสู้ที่ลึกซึ้งและซับซ้อน ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดว่า ขั้วอำนาจของโลกในทศวรรษข้างหน้า จะอยู่ในมือของใคร

References : [reuters, bloomberg, defense .gov, usgs .gov, afr]


 


ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA



Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ



Geek Forever’s Podcast


“Open Your World With Technology


AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning

Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Youtube
ฟังผ่าน Youtube