Microsoft คือผู้ชนะตัวจริง? ถอดรหัสการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ สู่การถือหุ้น 27% ใน OpenAI

ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่สั่นสะเทือนวงการเทคโนโลยี และอาจจะเป็นจุดเปลี่ยนที่กำหนดอนาคตของ AI ไปอีกหลายสิบปีเลยทีเดียว

เมื่อบริษัทที่ร้อนแรงที่สุดในโลกตอนนี้อย่าง OpenAI ผู้สร้าง ChatGPT ที่พวกเราหลายคนใช้กันอยู่ทุกวัน

ล่าสุด OpenAI ได้ประกาศ “จัดบ้านใหม่” ครั้งใหญ่ หรือที่เรียกว่าการปรับโครงสร้างองค์กร และดีลที่ทำให้ทุกคนต้องหันมามองก็คือ การที่พวกเขาตกลงมอบหุ้นสัดส่วนถึง 27% ให้กับ Microsoft คิดเป็นมูลค่าราว 135 พันล้านดอลลาร์

เรื่องนี้มันเป็นยังไงมายังไง ทำไมบริษัทที่เริ่มต้นจากอุดมการณ์เพื่อมนุษยชาติ ถึงเดินมาถึงจุดนี้ได้

ถ้าเราจะเข้าใจเรื่องนี้ เราต้องย้อนเวลากลับไปที่จุดกำเนิดของ OpenAI ก่อน

OpenAI ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นบริษัทหาเงินนะครับ ในปี 2015 พวกเขาก่อตั้งขึ้นมาในฐานะ “องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร” หรือ nonprofit

ภารกิจของพวกเขาในวันนั้น ยิ่งใหญ่มากครับ นำทีมโดยคนอย่าง Sam Altman และ Elon Musk เป้าหมายของพวกเขาคือการสร้าง AGI หรือ Artificial General Intelligence

AGI พูดง่ายๆ ก็คือ AI ที่ฉลาดเทียบเท่า หรือ “เหนือกว่า” มนุษย์ในทุกด้าน พวกเขาตั้งใจจะสร้าง AGI ที่ปลอดภัย และมอบประโยชน์ให้กับมวลมนุษยชาติ โดยไม่ถูกครอบงำด้วยผลประโยชน์ทางธุรกิจ

นี่คืออุดมการณ์ตั้งต้นที่สวยงามมาก แต่พวกเขาก็เจอกับความจริงที่โหดร้าย ความจริงที่ว่า… การสร้าง AI มัน “แพง” มหาศาล

การจะฝึกฝนโมเดล AI เก่งๆ มันต้องใช้พลังการประมวลผลที่เรียกว่า Compute มหาศาล ต้องใช้เงินทุนวิจัยที่สูงลิบลิ่ว ซึ่งเงินบริจาคในแบบ nonprofit มันไม่พอ

นั่นทำให้ OpenAI ต้องปรับตัวครั้งแรกในปี 2019

พวกเขาจึงสร้างบริษัทลูกที่เป็น “บริษัทแสวงหาผลกำไร” หรือ for-profit ขึ้นมา แต่เป็นการแสวงหาผลกำไรแบบมีเพดาน หรือที่เรียกว่า Capped-Profit

ไอเดียคือ ให้นักลงทุนเข้ามาใส่เงินได้ แต่ผลตอบแทนที่จะได้กลับไปจะถูกจำกัดไว้ เมื่อครบเพดานแล้ว กำไรที่เหลือจะไหลกลับไปที่องค์กรแม่ที่เป็น nonprofit

และนักลงทุนรายใหญ่ที่สุด ที่มองเห็นอนาคตนี้ และกระโดดเข้ามาร่วมวงด้วยเม็ดเงินมหาศาล ก็คือ Microsoft นั่นเอง

Microsoft ทุ่มเงินสนับสนุน OpenAI ไปแล้วรวมๆ ราว 13.75 พันล้านดอลลาร์ แลกกับการได้สิทธิ์ในการเข้าถึงเทคโนโลยี AI ของ OpenAI ก่อนใคร เอาไปต่อยอดในบริการคลาวด์อย่าง Azure และสร้างผลิตภัณฑ์อย่าง Copilot ที่เราเห็นกัน

โครงสร้างในตอนนั้น มันเลยค่อนข้างประหลาด คือมีองค์กรแม่ที่เป็น nonprofit คุมอุดมการณ์ และมีบริษัทลูกที่หาเงิน แบบจำกัดกำไร โดยมี Microsoft เป็นพี่เลี้ยงกระเป๋าหนัก

ทุกอย่างดูเหมือนจะไปได้ดี… จนกระทั่ง ChatGPT เปิดตัว และมันก็ “บูม” ครับ

OpenAI กลายเป็นบริษัทที่เนื้อหอมที่สุดในโลก และโครงสร้างที่ประหลาดนี้เอง ก็ได้สร้าง “ความไม่แน่นอน” ที่สำคัญขึ้นมา

ความไม่แน่นอนที่ว่านี้ ปะทุขึ้นจนกลายเป็นวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่เมื่อปลายปี 2023

หลายคนคงจำเหตุการณ์ “ดราม่า” ช็อกโลกครั้งนั้นได้

จู่ๆ คณะกรรมการ หรือ Board ของ OpenAI ซึ่งเป็นฝั่ง nonprofit ก็ประกาศ “ไล่” Sam Altman CEO ของตัวเอง ออกจากตำแหน่ง

โลกงงเป็นไก่ตาแตกครับ ไล่คนที่กำลังพอบริษัทไปสู่จุดสูงสุดเนี่ยนะ

เหตุผลลึกๆ ที่วิเคราะห์กัน คือความขัดแย้งระหว่าง “ฝ่ายอุดมการณ์” ในบอร์ด ที่กลัวว่า AI จะอันตราย กับ “ฝ่ายธุรกิจ” ที่นำโดย Sam Altman ซึ่งกำลังเร่งพัฒนาและขยายธุรกิจอย่างรวดเร็ว

เรื่องมันพีคตรงที่ Microsoft ไม่รอช้าครับ

Satya Nadella CEO ของ Microsoft ประกาศทันทีว่า ยินดีต้อนรับ Sam Altman และทีมงาน มาเริ่มงานใหม่ที่ Microsoft

นี่คือการเดินเกมที่เหนือชั้นมากครับ

สถานการณ์ใน OpenAI ตอนนั้นเละเทะ พนักงานเกือบทั้งบริษัทขู่ว่าจะลาออกตาม Sam Altman

สุดท้าย บอร์ด nonprofit ต้องยอมแพ้ และ Sam Altman ก็กลับมาเป็น CEO ภายใน 5 วัน

เหตุการณ์ครั้งนั้น มันคือ “จุดแตกหัก” มันพิสูจน์ให้เห็นว่า โครงสร้างแบบเดิมที่ให้บอร์ด nonprofit มาคุมอำนาจเบ็ดเสร็จ มันใช้การไม่ได้จริง มันไร้เสถียรภาพอย่างรุนแรง

และคนที่ “หนาว” ที่สุด ก็คือ Microsoft ครับ

ในฐานะผู้ที่เดิมพันอนาคต AI ของตัวเองไว้กับ OpenAI พวกเขาคงตระหนักได้ว่า พวกเขาไม่สามารถฝากอนาคตไว้กับองค์กรที่ “เปราะบาง” และเต็มไปด้วยความขัดแย้งภายในแบบนี้ได้อีกต่อไป

มันจึงนำมาสู่การเจรจาที่ตึงเครียด และใช้เวลาเกือบ 1 ปีเต็ม เพื่อ “รื้อ” และ “สร้าง” โครงสร้างใหม่ทั้งหมด

การเจรจาครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การคุยกันระหว่าง OpenAI กับ Microsoft แต่มันเป็นการต่อสู้ที่ซับซ้อนกว่านั้นมาก

ลองนึกภาพว่า OpenAI ต้องเจอกับอะไรบ้าง

อย่างแรก คือการเจรจากับ Microsoft เอง ซึ่ง Bloomberg รายงานว่า เป็นผู้คัดค้านรายใหญ่ที่สุด

นั่นเพราะพวกเขามีส่วนได้ส่วนเสียมากที่สุด ด้วยเงินลงทุนมหาศาล พวกเขาต้องมั่นใจว่าโครงสร้างใหม่นี้ “คุ้มค่า” และ “มีเสถียรภาพ”

อย่างที่สอง คือการต่อสู้ทางกฎหมาย

การจะเปลี่ยนสถานะจากกึ่ง nonprofit ไปเป็น for-profit เต็มตัว มันทำกันง่ายๆ ไม่ได้ เพราะสินทรัพย์ของ nonprofit โดยหลักการแล้วถือเป็น “ของสาธารณะ”

เรื่องนี้ร้อนถึงอัยการสูงสุด หรือ State Attorneys General ของรัฐ Delaware และ California ต้องเข้ามาตรวจสอบอย่างเข้มข้น

Kathy Jennings อัยการสูงสุดของ Delaware บอกว่านี่เป็นการเจรจาที่ยาวนานและเข้มข้น พวกเขา ทั้ง Delaware และ California ได้กดดันให้ OpenAI ต้องให้คำมั่นสัญญาว่าโครงสร้างใหม่นี้ จะต้องให้ความสำคัญสูงสุดกับความปลอดภัย

และ Rob Bonta อัยการสูงสุดของ California ก็ย้ำว่า พวกเขาได้ “ข้อผ่อนปรน” ที่รับประกันว่าสินทรัพย์เพื่อการกุศล จะถูกใช้ตามวัตถสงค์เดิม

พูดง่ายๆ คือ รัฐบาลจับตามองอยู่ครับ ว่าอุดมการณ์เดิมจะต้องไม่ถูกลบล้างไปจนหมด

อย่างที่สาม คือแรงกดดันจากภายนอก

ยังมีคดีความที่ค้างคาอยู่ จาก Elon Musk หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง ที่ฟ้องร้องว่า OpenAI “ทรยศ” ต่อภารกิจดั้งเดิม

ทั้งหมดนี้คือแรงบีบมหาศาล ที่ทำให้ OpenAI ต้องหาทางออกที่ลงตัวที่สุดสำหรับทุกฝ่าย

และในที่สุด… บทสรุปก็ออกมาครับ

การปรับโครงสร้างครั้งประวัติศาสตร์นี้ ได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว

Bret Taylor ประธานกรรมการ ของ OpenAI กล่าวว่า การปรับโครงสร้างทางการเงิน หรือ recapitalization นี้ ทำให้โครงสร้างองค์กรเรียบง่ายขึ้น

แล้วโครงสร้างใหม่หน้าตาเป็นยังไง?

OpenAI จะถูกแบ่งเป็น 2 ส่วนหลักครับ

ส่วนแรก คือ “OpenAI Foundation” นี่คือองค์กร “ไม่แสวงหาผลกำไร” ตัวแม่ ที่จะยังคง “ควบคุม” องค์กรลูก

ส่วนที่สอง คือ “OpenAI Group PBC” นี่คือหน่วยงาน “แสวงหาผลกำไร” ตัวใหม่ ที่จะดำเนินธุรกิจทั้งหมด

สังเกตคำว่า PBC นะครับ มันย่อมาจาก Public Benefit Corporation

นี่คือรูปแบบบริษัทที่น่าสนใจมากในอเมริกา

มันคือบริษัทที่หากำไรได้เหมือนบริษัททั่วไป แต่ในทางกฎหมาย พวกเขามีพันธะที่ต้องคำนึงถึงประโยชน์ต่อสาธารณะด้วย ไม่ใช่แค่แสวงหากำไรสูงสุดให้ผู้ถือหุ้น

นี่คือ “การประนีประนอม” ครั้งใหญ่ครับ

คือการบอกว่า ฉันจะเป็น for-profit แล้ว แต่ฉันยังมีคำว่า “ประโยชน์สาธารณะ” ค้ำคออยู่

ทีนี้… มาถึงคำถามสำคัญครับ แล้ว Microsoft ได้อะไรจากดีลนี้? นี่คือส่วนที่ต้องจับตาครับ

หนึ่ง Microsoft ได้รับหุ้น 27% ใน OpenAI Group PBC ถ้าอิงจากมูลค่าประเมินล่าสุดของ OpenAI ที่ราว 500 พันล้านดอลลาร์ หุ้น 27% นี้ จะมีมูลค่าสูงถึง 135 พันล้านดอลลาร์

นี่คือการเปลี่ยนสถานะจาก “ผู้สนับสนุน” มาเป็น “ผู้ถือหุ้นรายใหญ่” อย่างเป็นทางการ

สอง Microsoft ได้สิทธิ์ในการเข้าถึงเทคโนโลยีของ OpenAI ไปจนถึงปี 2032 นี่อาจจะเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดเลยก็ว่าได้

Anurag Rana นักวิเคราะห์จาก Bloomberg Intelligence ชี้ว่า นี่คือหัวใจของดีลเพราะมันหมายความว่า Microsoft จะได้สิทธิ์ใช้โมเดลและทรัพย์สินทางปัญญาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น GPT รุ่นใหม่ๆ หรือแม้กระทั่ง… AGI ถ้ามันเกิดขึ้นจริงภายในปี 2032

นี่คือการล็อกความได้เปรียบในการแข่งขันกับคู่แข่งอย่าง Google หรือ Amazon ไปอีกเกือบทศวรรษ

สาม Microsoft ยังคงได้ส่วนแบ่งรายได้ 20% จาก OpenAI แต่มันมี “ดอกจันตัวโตๆ” ที่น่าสนใจมาก

ข้อตกลงนี้ระบุว่า Microsoft จะได้ส่วนแบ่งรายได้ 20% นี้… จนกว่าจะมี “คณะผู้เชี่ยวชาญอิสระ” หรือ independent expert panel มาตรวจสอบและรับรองว่า OpenAI ได้บรรลุการสร้าง AGI แล้ว

เมื่อถึงจุดที่ AGI เกิดขึ้นจริง… สิทธิ์ในการรับส่วนแบ่งรายได้ 20% ของ Microsoft จะสิ้นสุดลง

นี่คือเงื่อนไขที่ซับซ้อนและน่าทึ่งมากครับ

มันเหมือนเป็นการบอกว่า Microsoft สามารถทำเงินได้มหาศาลในช่วงระหว่างทางของการพัฒนา

แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เป้าหมายสูงสุด คือ AGI ถือกำเนิดขึ้น เทคโนโลยีที่ทรงพลังที่สุดนั้น จะไม่ถูกผูกขาดด้วยผลประโยชน์เชิงพาณิชย์ของ Microsoft อีกต่อไป

นี่อาจจะเป็นการพยายามรักษาสมดุลระหว่าง “ทุนนิยม” กับ “อุดมการณ์” ดั้งเดิมของ OpenAI

แล้วฝั่งองค์กรแม่ คือ OpenAI Foundation ได้อะไร?

Foundation ที่เป็น nonprofit จะได้รับหุ้น 26% ในบริษัทลูก ซึ่งมีมูลค่ามหาศาลราว 130 พันล้านดอลลาร์

คำถามคือ จะเอาเงินนี้ไปทำอะไร?

Sam Altman CEO ของ OpenAI ประกาศชัดเจนครับ เขาหวังว่านี่จะเป็น “องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา”

เงินก้อนนี้จะถูกนำไปใช้ใน 2 ภารกิจแรก คือ

หนึ่ง สนับสนุนงานวิจัยเพื่อ “เร่งการค้นพบครั้งสำคัญด้านสุขภาพ” สอง ทำงานร่วมกับองค์กรอื่นเพื่อจัดการ “ความเสี่ยงรุนแรงจาก AI” เช่น การสร้างอาวุธชีวภาพ หรือปัญหาการว่างงานจากการถูกแทนที่ด้วย AI

ส่วน Sam Altman เองล่ะ?

OpenAI ยืนยันครับว่า Sam Altman “ไม่ได้รับหุ้นใดๆ” ในบริษัทที่ปรับโครงสร้างใหม่นี้เลย นี่อาจจะเป็นการแสดงจุดยืนที่สำคัญ เพื่อตอกย้ำว่าเป้าหมายของเขาไม่ใช่ความร่ำรวยส่วนตัว แต่คือภารกิจที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น

ข่าวนี้ส่งผลยังไงต่อตลาด?

ทันทีที่ข่าวออก หุ้น Microsoft พุ่งขึ้นถึง 4.2% นักลงทุนใน Wall Street ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะความสัมพันธ์ที่คลุมเครือกับ OpenAI ถือเป็นความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่สำคัญที่สุดของ Microsoft มาตลอด

การปรับโครงสร้างครั้งนี้ มันคือการขจัดความไม่แน่นอนนั้นออกไปจนหมด

สำหรับ OpenAI นี่คือการปูทางไปสู่การ IPO หรือการเข้าตลาดหลักทรัพย์ในอนาคต แม้ Sam Altman จะบอกว่ายังไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็ตาม

เรื่องราวทั้งหมดนี้ คือบทสรุปของการเดินทางครั้งสำคัญ มันคือการสิ้นสุดยุคของ OpenAI ในฐานะ “ห้องแล็บวิจัยในอุดมคติ” และเป็นการเริ่มต้นยุคใหม่ ในฐานะ “ยักษ์ใหญ่ทางธุรกิจ” ที่ชื่อ OpenAI Group PBC

บริษัทที่ต้องทำกำไร แต่ก็ยังมี “จิตสำนึก” ของ nonprofit คอยกำกับอยู่ห่างๆ โดยมี Microsoft เป็นทั้ง “ผู้ถือหุ้นรายใหญ่” และ “พันธมิตรที่แข็งแกร่งที่สุด”

นี่คือการสิ้นสุดของบทที่หนึ่ง และการเริ่มต้นของบทที่สอง ของมหากาพย์ AI ที่ชื่อ OpenAI… บทที่โลกแห่งทุนนิยม และอุดมการณ์ ต้องหาทางอยู่ร่วมกันให้ได้นั่นเองครับผม

References : [bloomberg,openai,microsoft,techcrunch,reuters]


 


ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA



Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ



Geek Forever’s Podcast


“Open Your World With Technology


AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning

Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Youtube
ฟังผ่าน Youtube