ก็ต้องบอกว่าการทำธุรกิจกับเพื่อนสนิท ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในบททดสอบความสัมพันธ์ที่โหดที่สุด
หลายคู่เริ่มต้นด้วยความฝันและความไว้ใจ แต่กลับจบลงด้วยการมองหน้ากันไม่ติด เพราะมีน้อยคู่มากที่จะประคองธุรกิจและความเป็นเพื่อนให้ไปรอดได้ในระยะยาว
เรื่องราวการสร้าง Facebook แพลตฟอร์มที่เชื่อมคนทั้งโลกเข้าด้วยกัน ก็มีจุดเริ่มต้นจากมิตรภาพในรั้วมหาวิทยาลัยเช่นกัน
แต่เบื้องหลังความสำเร็จอันยิ่งใหญ่นี้ กลับซ่อนเรื่องราวของเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด ที่ดราม่ายิ่งกว่าในภาพยนตร์เอาไว้
ย้อนกลับไปในปี 2004 โลกของ Social Network ไม่ได้ว่างเปล่าอย่างที่คิด ในตอนนั้นมีเจ้าตลาดอย่าง Friendster และ MySpace ครองพื้นที่อยู่แล้ว ส่วนในบ้านเราหลายคนก็คงกำลังติด Hi5 กันอย่างงอมแงม
คำถามคือ แล้วแพลตฟอร์มหน้าใหม่อย่าง Facebook จะแทรกตัวขึ้นมาได้อย่างไร ในเมื่อตลาดเต็มไปด้วยผู้เล่นรายใหญ่
หลายคนอาจจำได้ว่า การเข้าใช้งาน Facebook ในยุคแรกนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เราไม่สามารถสมัครได้โดยตรง แต่ต้องได้รับการ Invite หรือคำเชิญจากเพื่อนเท่านั้น
กลยุทธ์นี้สร้างความรู้สึก Exclusive และทำให้ Facebook กลายเป็นของที่ทุกคนอยากมีส่วนร่วม ซึ่งแนวคิดนี้ก็มีที่มาที่ไปที่น่าสนใจ
เราอาจเคยได้ยินเรื่องที่ Mark Zuckerberg ลอกไอเดียฟีเจอร์ Stories มาจาก Snapchat แต่รู้หรือไม่ว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำแบบนี้
ดูเหมือนว่าการหยิบยืมไอเดียคนอื่น มาต่อยอดให้ดีกว่าเดิม จะเป็นหนึ่งในพรสวรรค์ของ Mark Zuckerberg
ก่อนจะมาเป็น Facebook ตัว Mark เองก็ไม่ได้มีแนวคิดจะสร้าง Social Network มาก่อน โปรเจกต์ที่เขาเคยทำเล่นๆ ในหอพักอย่าง Facemash ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า จนโดนสาวๆ ทั่วมหาวิทยาลัยยี้
จุดเริ่มต้นของ Facebook ที่แท้จริง จึงต้องย้อนไปที่สองพี่น้องฝาแฝด Winklevoss
พวกเขาเป็นคนริเริ่มโปรเจกต์ที่ชื่อว่า Harvard Connection ซึ่งเป็น Social Network สำหรับนักศึกษา Harvard และได้จ้าง Mark ให้มาช่วยเขียนโปรแกรมให้
มีหลักฐานเป็นอีเมลมากมายที่ Mark ส่งอัปเดตงานให้กับพี่น้อง Winklevoss แต่สิ่งที่พวกเขาไม่เคยรู้เลยก็คือ Mark แอบซุ่มสร้างอีกโปรเจกต์หนึ่งขึ้นมาเงียบๆ
โปรเจกต์นั้นมีชื่อว่า “thefacebook”
แม้ไอเดียหลักของ Harvard Connection จะเน้นไปที่การหาคู่เดท แต่ฟีเจอร์แกนกลางที่เหมือนกันอย่างปฏิเสธไม่ได้ คือการเป็น Exclusive Network สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัย
แต่ Mark ได้พัฒนา thefacebook ให้ไปไกลกว่านั้น เขายัดทุกอย่างที่เป็นชีวิตนักศึกษาเข้ามาไว้ในโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง Profile, การแชร์รูปภาพ, การบอกความสนใจ หรือแม้แต่ Class เรียนที่ลงทะเบียน
มันทำให้ thefacebook ของ Mark มีความเป็น “Social” มากกว่า Harvard Connection ของพี่น้อง Winklevoss ที่ในสายตาของ Mark มันเป็นแค่เว็บหาคู่ออนไลน์เท่านั้น
แต่การจะสร้างโปรเจกต์ให้สำเร็จได้ Mark ไม่สามารถทำคนเดียวลำพัง เขาต้องการเพื่อนคู่คิด และคนๆ นั้นก็คือ Eduardo Saverin
ในมหาวิทยาลัย Mark แทบไม่มีเพื่อนสนิทเลย แต่ Eduardo คือคนที่เขาสนิทใจและไว้ใจมากที่สุด
หลายคนอาจสงสัยว่าทำไม Mark ถึงไม่ทำ Harvard Connection ให้เสร็จๆ ไป ทั้งที่ทีมของ Winklevoss ก็มีทั้งเงินทุนและ Connection มากมายในฐานะลูกมหาเศรษฐี
เรื่องนี้ไม่มีใครรู้คำตอบที่แท้จริง อาจเพราะเขาไม่ถูกชะตา หรืออาจเพราะเขารู้สึกว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นยิ่งใหญ่กว่าสิ่งที่พี่น้องคู่นี้กำลังทำอยู่
Eduardo Saverin ในตอนนั้น เป็นสมาชิกของชมรม Phoenix ซึ่งเป็นชมรมที่มีชื่อเสียงมากใน Harvard และในวันที่ Mark เข้าไปคุยเรื่อง thefacebook ก็คือวันสุดท้ายของการคัดเลือกเข้าชมรมนั่นเอง
Eduardo เองก็ยังงงว่าทำไม Mark ถึงเลือกเขา เพราะเพื่อนร่วมห้องของ Mark อย่าง Dustin Moskovitz ก็เป็นโปรแกรมเมอร์ฝีมือดีไม่แพ้กัน น่าจะช่วยงานด้านเทคนิคได้ดีกว่าตัวเขาที่เขียนโปรแกรมไม่เป็นเลย
แต่ทุกอย่างก็มีคำตอบซ่อนอยู่ และคำตอบนั้นก็คือ “เงิน”
Eduardo เป็นคนที่เก่งเรื่องการลงทุน เขาสามารถทำกำไรจากการเทรดน้ำมันในช่วงปิดเทอมได้มากถึง 300,000 เหรียญ ซึ่งเป็นเงินจำนวนมหาศาลสำหรับนักศึกษาในยุคนั้น
นอกจากเรื่องเงินแล้ว Mark ที่เป็นคนไม่ถนัดเรื่องการเข้าสังคม ยังต้องการคนที่เข้าใจความสัมพันธ์ของคนในมหาวิทยาลัยมาช่วยออกแบบฟีเจอร์ต่างๆ
Eduardo จึงเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่เข้ามาเติมเต็มในส่วนที่ Mark ขาด ทั้งเรื่องเงินทุนและเรื่องความเข้าใจในสังคม
ข้อตกลงในวันนั้นชัดเจนมาก Mark เสนอส่วนแบ่งให้ Eduardo ที่ 30% แลกกับเงินทุนตั้งต้น 1,000 เหรียญ สำหรับเป็นค่า Server และค่าใช้จ่ายต่างๆ เพื่อให้ thefacebook สามารถออนไลน์ได้
พร้อมกันนั้น Mark ยังมอบตำแหน่ง CFO หรือผู้บริหารสูงสุดด้านการเงินให้กับ Eduardo เพื่อดูแลด้านธุรกิจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ Eduardo ถนัดอยู่แล้ว ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเริ่มต้นอย่างสวยงาม
หลังจาก thefacebook เปิดตัว มันก็กลายเป็นปรากฏการณ์ในทันที ความนิยมแพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปยังมหาวิทยาลัยชั้นนำอื่นๆ ทั่วสหรัฐอเมริกา
ความสำเร็จนี้ทำให้ thefacebook เนื้อหอมขึ้นมาทันที บรรดานักลงทุนต่างเริ่มได้กลิ่นของโอกาสทางธุรกิจครั้งใหม่ ที่อาจจะยิ่งใหญ่ได้ไม่แพ้บริษัทรุ่นพี่อย่าง Yahoo หรือ Google
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก จนกระทั่ง Sean Parker อดีตผู้ก่อตั้ง Napster แพลตฟอร์มแชร์ไฟล์เพลงที่เคยเขย่าวงการดนตรีมาแล้ว ได้ก้าวเข้ามาในชีวิตของ Mark
Sean Parker มองเห็นศักยภาพที่ซ่อนอยู่ใน thefacebook ว่ามันสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ และเขาก็ได้เข้ามาเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญของ Mark
แต่การเข้ามาของ Sean ก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของรอยร้าวระหว่างเพื่อนรัก
Eduardo เริ่มไม่พอใจที่ Mark ให้ Sean ไปคุยกับนักลงทุนต่างๆ โดยที่ไม่มีเขาอยู่ด้วย ในเมื่อเขาคือ CFO และเป็นคนดูแลเรื่องธุรกิจมาตั้งแต่วันแรก
ความขัดแย้งเริ่มรุนแรงขึ้น จนในที่สุด Eduardo ตัดสินใจใช้ไม้แข็ง ด้วยการอายัดบัญชีธนาคารของบริษัท ซึ่งเป็นการตัดท่อน้ำเลี้ยงของ Mark และทีมงานที่กำลังบุกเบิกตลาดอยู่ที่ Silicon Valley
การกระทำของ Eduardo กลายเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้ Mark ต้องรีบตัดสินใจรับเงินลงทุน เพื่อให้บริษัทเดินหน้าต่อไปได้
และนักลงทุนคนนั้นก็คือ Peter Thiel หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง PayPal ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ปฏิวัติระบบการชำระเงินออนไลน์
Peter Thiel มองเห็นอนาคตที่ยิ่งใหญ่ของ thefacebook เขาตัดสินใจลงทุน 500,000 เหรียญ แลกกับหุ้น 7% และหนึ่งที่นั่งในบอร์ดบริหาร
เงินทุนก้อนนี้อาจดูไม่เยอะ แต่มันก็มากพอที่จะทำให้บริษัทอยู่รอดไปได้อีกหลายเดือน และที่สำคัญที่สุด มันคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ thefacebook ต้องปรับโครงสร้างบริษัทครั้งใหญ่
บริษัทใหม่ถูกจดทะเบียนขึ้นในชื่อ “Facebook, Inc.” เป็นการบอกลาชื่อ thefacebook และก้าวสู่การเป็นบริษัทมืออาชีพอย่างเต็มตัว
ปัญหาใหญ่ที่สุดคือ Eduardo ไม่มีส่วนรับรู้ในข้อตกลงนี้เลยสักนิด
แต่ Mark ก็ยังแสดงออกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขายังบอกว่า Eduardo จะยังคงสัดส่วนหุ้น 30% ไว้เหมือนเดิม แถม Sean Parker ก็จะได้หุ้นจากการปรับโครงสร้างครั้งนี้ด้วย
เพียงแต่มีข้อแม้ว่า บริษัทจะสามารถออกหุ้นเพิ่มทุนได้ในอนาคตตามความจำเป็น เพื่อให้ Facebook เติบโตต่อไปได้
Mark ยังแนะนำให้ Eduardo กลับไปเรียนที่ Harvard ให้จบ แล้วปล่อยให้เขาที่ตัดสินใจดรอปเรียน มาดูแล Facebook อย่างเต็มตัว ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นการพูดคุยที่ราบรื่น
วันหนึ่ง Eduardo ถูกเรียกให้มาพบกับทีมทนายของบริษัท เขาเดินเข้ามาด้วยความเข้าใจว่าเป็นทนายของเขาเอง และได้รับเอกสารทางกฎหมายที่ซับซ้อนจำนวนหนึ่งมาให้อ่าน
เนื้อหาส่วนใหญ่เกี่ยวกับการแปลงหุ้นจากบริษัทเก่า thefacebook มายังบริษัทใหม่ Facebook ซึ่งตัวเขาเองก็เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นที่จะต้องทำการแปลงหุ้นนี้ด้วย
แม้จะไม่เข้าใจเนื้อหาทั้งหมด แต่ด้วยความไว้ใจเพื่อน และคิดว่าทนายก็เป็นฝ่ายเดียวกับเขา ในที่สุด Eduardo ก็จรดปากกาเซ็นชื่อลงในเอกสารทั้งหมด
โดยที่เขาไม่รู้เลยว่า การเซ็นชื่อครั้งนี้ ไม่ต่างอะไรกับการเซ็นชื่อตัวเองลงในสมุด Death Note
ภายใต้โครงสร้างใหม่ Eduardo ได้รับการจัดสรรหุ้นถึง 34.4% ซึ่งมากกว่า 30% ที่เขาเคยมีเสียอีก แต่ในเอกสารก็มีเงื่อนไขเล็กๆ ซ่อนอยู่ เกี่ยวกับการปรับลดสัดส่วนหุ้นในอนาคต
เวลาผ่านไปไม่นาน Eduardo ก็เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ เมื่อ Mark แจ้งว่าตัวเขา, Sean และ Dustin กำลังจะขายหุ้นบางส่วนออกไปคนละประมาณ 2 ล้านเหรียญ
จุดนี้ทำให้ Eduardo เอะใจขึ้นมาทันที เพราะในเอกสารที่เขาเซ็นไปนั้น มีเงื่อนไขที่ห้ามไม่ให้เขาขายหุ้นของตัวเองได้ในระยะเวลาหนึ่ง
ทำไมเงื่อนไขของเขาถึงไม่เหมือนกับคนอื่นๆ และที่สำคัญ ทำไม Sean Parker ที่เพิ่งเข้ามาร่วมทีมได้ไม่กี่เดือน ถึงสามารถทำเงินจาก Facebook ได้แล้ว มันต้องมีอะไรผิดพลาดอย่างแน่นอน
และวันที่เขาจะไม่มีวันลืมก็มาถึง Eduardo เดินทางมาที่ออฟฟิศแห่งใหม่ของ Facebook ใน Palo Alto มันเป็นสำนักงานที่หรูหรา ไม่เหมือนกับห้องพักแคบๆ ที่พวกเขาเคยใช้เป็นที่ทำงานอีกต่อไป
ทนายคนใหม่ยื่นเอกสารให้เขาอ่าน เนื้อหาในนั้นไม่เกี่ยวกับการประชุมธุรกิจอย่างที่ Mark บอกไว้เลยแม้แต่น้อย
มันคือเอกสารที่เปิดโปงการหักหลังทั้งหมด
มีการออกหุ้นเพิ่มทุนจำนวนมหาศาล และมีการจัดสรรหุ้นเพิ่มเติมให้กับ Mark, Sean และ Dustin ทำให้สัดส่วนหุ้นของ Eduardo ที่เคยมีอยู่ 34.4% ถูกลดทอนลงจนเหลือไม่ถึง 10%
และหากมีการเพิ่มทุนแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ในอนาคตหุ้นของเขาอาจจะมีค่าใกล้เคียงกับ 0%
ความรู้สึกในตอนนั้นคงเหมือนถูกยิงเข้าที่กลางอก เขาไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องแบบนี้จะมาจาก Mark เพื่อนที่เขาสนิทที่สุด คนที่เขาร่วมต่อสู้และสร้างทุกอย่างมาด้วยกันตั้งแต่วันแรก
มันคือการทรยศต่อความไว้ใจอย่างเลือดเย็น
ครั้งหนึ่ง ฟีเจอร์ที่ทำให้ thefacebook แจ้งเกิดได้ก็คือ “Relationship Status” ที่เอาไว้บอกสถานะความสัมพันธ์ของผู้คนในมหาวิทยาลัย
แต่ดูเหมือนว่า Relationship Status ระหว่างผู้ก่อตั้งทั้งสอง จะจบลงที่คำว่า “It’s complicated” และสุดท้ายก็คงเหลือไว้เพียงตำนาน
ซึ่งสุดท้ายไม่ว่า Mark จะได้ไอเดียนี้มาจากใคร แต่คนที่ตัดสินใจทำลายมิตรภาพทั้งหมดกับเพื่อนแท้คนเดียวของเขาอย่าง Eduardo ผู้ที่เคยออกเงินทุนก้อนแรกให้ ก็คือชายที่ชื่อ Mark Zuckerberg นั่นเองครับผม
References: [businessinsider, cnbc, nytimes,หนังสือ The Accidental Billionaires by Ben Mezrich]
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA
Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ
Geek Forever’s Podcast
“Open Your World With Technology“
AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning
Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ










