fbpx

Geek Forever

ด.ดล Blog

Open Your World with Technology. เปิดโลกใบใหม่ของคุณ ด้วยเรื่องราวของเทคโนโลยี ( Business x Technology x Inspirational Stories )

HOME

  • ABOUT ME
  • BECOME A SUPPORTER
  • CONTACT
  • EDITORS ‘ PICKS
  • PODCAST

Follow us

  • facebook
  • twitter
  • instagram
  • youtube
  • linkedin
  • tiktok
  • blogger
  • line

Categories

  • Ads & PR
  • AI & Robot
  • Automobiles
  • Blog Series
    • A Day In The Life
    • Billion Dollar Loser
    • Cyberwar
    • Digital Music War
    • Failed Startup
    • JT 8704
    • Leadership Styles
    • Life of Pine
    • Paypal Mafia
    • Paypal Wars
    • Search War
    • Smartphone War
    • Tokyo in the Rain
    • ประวัติ Bill Gates
    • ประวัติ Bitcoin
    • ประวัติ Elon Musk
    • ประวัติ Ethereum
    • ประวัติ Google
    • ประวัติ iPod
    • ประวัติ Jack Ma
    • ประวัติ Jeff Bezos
    • ประวัติ Jho Low
    • ประวัติ mark zuckerberg
    • ประวัติ MBS
    • ประวัติ Netscape
    • ประวัติ Steve Jobs
    • ประวัติ TikTok
    • ประวัติ Tim Cook
    • ประวัติ Twitter
    • ประวัติ Vladimir Putin
    • ประวัติ เกาหลีใต้
  • Business
  • Case Study
  • China
  • COVID-19
  • Cryptocurrency
  • Economy
  • Entertainment
  • Entrepreneurship
  • Games
  • Healthcare
  • Insights
  • Inspiration
  • Investment
  • Marketing
  • News
  • Podcast
    • Geek Book
    • Geek China
    • Geek Daily
    • Geek Life
    • Geek Monday
    • Geek Story
    • Geek Talk
  • Podcast Series
    • Chip War
    • Digital Music War
    • Rise of South Korea
    • Search War
    • Smartphone War
    • ประวัติ Bill Gates
    • ประวัติ Elon Musk
    • ประวัติ Google
    • ประวัติ Jack Ma
    • ประวัติ Jeff Bezos
    • ประวัติ Mark Zuckerberg
    • ประวัติ Tim Cook
    • ประวัติ WeWork
    • ประวัติการก่อตั้ง Twitter
    • ประวัติการสร้าง iPod
  • Politics
  • Popular Blog
  • Programming
  • Recommendations
  • Review
    • Books
    • Documentary
    • Movies
    • Products
    • Series
  • Science & Tech
  • Self Help
  • Sport
  • Startup
  • Story
  • The Story
  • Travel
  • World War III

Archives

  • November 2025
  • October 2025
  • September 2025
  • August 2025
  • July 2025
  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • May 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017
  • October 2017
  • September 2017
  • August 2017
  • July 2017
  • June 2017
  • May 2017
  • April 2017
  • March 2017
  • February 2017
  • September 2016
  • June 2016
  • April 2016
  • March 2016
  • February 2016
  • January 2016
  • December 2015
  • October 2015
  • September 2015
  • May 2015
  • April 2015
  • March 2015
  • February 2015
  • December 2014
  • November 2014
  • October 2014
  • September 2014
  • August 2014
  • April 2014
  • March 2014
  • February 2014
  • January 2014

หมอ คืออะไร

TOEFL คืออะไร

ACT คืออะไร

A-Level คืออะไร

TGAT คืออะไร

CU-AAT คืออะไร

CU-ATS คืออะไร

Meta

  • Log in
  • Entries feed
  • Comments feed
  • WordPress.org

5 CEO ใน 6 ปี! บทเรียนจาก Yahoo เก่งหลายอย่าง แต่ไม่สุดสักทาง

By tharadhol in Business, Case Study, Entrepreneurship, Investment, Recommendations, Startup, The Story October 28, 2025

ถ้าผมบอกว่า มีบริษัทหนึ่งเคยมีมูลค่าสูงถึง 128 พันล้านดอลลาร์ และเคยเป็นเว็บไซต์ที่มีคนเข้าชมมากที่สุดในโลก หลายท่านอาจจะนึกถึง Google หรือ Facebook

แต่บริษัทที่ผมจะเขียนถึงในวันนี้คือ Yahoo ครับ

และที่น่าทึ่งกว่านั้นคือ ในช่วงปลายยุค 90 บริษัทนี้เคยมีโอกาสซื้อ Google ด้วยเงินเพียง 1 ล้านดอลลาร์ แต่พวกเขาเลือกที่จะปฏิเสธ

แอร์พกพาขนาดเล็ก สำหรับอากาศร้อนที่น่าเบื่อของคุณ

แอร์พกพาขนาดเล็ก สำหรับอากาศร้อนที่น่าเบื่อสุด ๆ

เราต้องย้อนเวลากลับไปในยุค 90 ครับ ยุคที่อินเทอร์เน็ตยังเป็นเรื่องใหม่มาก

ลองจินตนาการโลกที่ไม่มี Google ดูครับ ถ้าเราอยากหาอะไรบนอินเทอร์เน็ต จะทำยังไง? มันไม่ง่ายเลยในยุคนั้น

ตอนนั้นอินเทอร์เน็ตมันเหมือนห้องสมุดขนาดยักษ์ที่ไม่มีบรรณารักษ์ ไม่มีสันหนังสือ ไม่มีหมวดหมู่ หนังสือทุกเล่มกองอยู่บนพื้น มันยุ่งเหยิงไปหมด

เครื่องหยุดกรนอัตโนมัติ หยุดกรนง่าย หลับสนิททั้งคืน

เครื่องหยุดกรนอัตโนมัติ หยุดกรนง่าย หลับสนิททั้งคืน

จุดเริ่มต้นของ Yahoo มันเรียบง่ายมากครับ เกิดขึ้นที่มหาวิทยาลัย Stanford โดยนักศึกษาปริญญาเอกสองคน ชื่อ Jerry Yang และ David Filo

พวกเขาไม่ได้ตั้งใจจะสร้างธุรกิจพันล้าน พวกเขาแค่เจอปัญหาว่า เว็บไซต์ที่พวกเขาชอบมันกระจัดกระจายไปหมด

พวกเขาเลยทำสิ่งที่ง่ายที่สุด คือการ “list” หรือ “directory” ของเว็บไซต์ที่พวกเขาชอบ แบ่งเป็นหมวดหมู่ต่างๆ

กาว Epoxy ที่ดีที่สุด ติดได้ทุกวัสดุ

กาว Epoxy ที่ดีที่สุด ติดได้ทุกวัสดุ

นี่ไม่ใช่แผนธุรกิจครับ มันคือไฟล์ Bookmark ส่วนตัวที่พวกเขาเอามาแชร์กันเล่นๆ

พวกเขาเรียกมันแบบง่ายๆ ตรงไปตรงมาว่า “Jerry and David’s guide to the world wide web” (คู่มือนำทางสู่เวิลด์ไวด์เว็บของ Jerry และ David)

จากนั้นก็ส่งให้เพื่อนดู เพื่อนก็ส่งต่อให้เพื่อนของเพื่อน… มันคือการบอกปากต่อปากในยุคดิจิทัลแรกเริ่ม

ในเวลาไม่นาน directory นี้ก็มียอดเข้าดูหลายพันครั้ง

แต่จุดเปลี่ยนที่แท้จริงของเรื่องนี้ เกิดขึ้นในปี 1994

เมื่อเว็บเบราว์เซอร์ที่ดังที่สุดในยุคนั้นอย่าง Netscape Navigator ซึ่งเป็นโปรแกรมที่คนส่วนใหญ่ใช้เข้าอินเทอร์เน็ต ได้เอาลิงก์ของ Jerry และ David ไปใส่ไว้ในหน้าแรก

ถ้าเปรียบเทียบกับยุคนี้ มันก็เหมือนกับการได้เป็นแอปแนะนำอันดับ 1 บน App Store นั่นแหละครับ Netscape คือผู้คุมประตูในตอนนั้น

แค่นั้นแหละครับ เหมือนเปิดเขื่อนเลย ภายในไม่กี่เดือน directory ของพวกเขามียอดเข้าชมเป็น “ล้านครั้ง”

ฟังดูเหมือนข่าวดีใช่ไหมครับ แต่มันคือปัญหาใหญ่เลย เพราะยอดเข้าชม (traffic) ที่มหาศาลนี้ หมายความว่าพวกเขาต้องลงทุนซื้อเซิร์ฟเวอเพิ่ม

ยุคนั้นยังไม่มี “Cloud” นะครับ เซิร์ฟเวอร์คือตู้เหล็กขนาดใหญ่ที่ต้องซื้อจริง ตั้งจริง และมันร้อนมาก

พวกเขายังต้องจ้างคนมานั่งคัดแยกเว็บไซต์ใหม่ๆ ที่คนส่งเข้ามาทุกวัน จากโปรเจกต์ทำเล่นๆ เพื่อความสะดวก กลายเป็นว่าพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว

ถ้าจะไปต่อ… ก็ต้องทำเป็น “ธุรกิจ”

สิ่งแรกที่ต้องทำคือตั้งชื่อ บริษัทจะชื่อ “คู่มือของ Jerry และ David” ไม่ได้ พวกเขาเลยไปเปิดพจนานุกรมครับ และไปเจอคำว่า “Yahoo”

ในพจนานุกรม มันมีความหมายว่า “คนหยาบคาย ไร้อารยธรรม หรือคนโง่” (a boorish, crass, or stupid person)

พวกเขาคิดว่ามันตลกดี และมันให้ความรู้สึกสนุก ไม่ซีเรียส ซึ่งตรงกับวัฒนธรรมยุค 90 ที่ต่อต้านความเป็นทางการ ชื่อเลยถูกตั้งแต่นั้นมา

ส่วนชื่อย่อเท่ๆ ที่ว่า Yet Another Hierarchical Officious Oracle นั้น พวกเขามาคิดเติมทีหลัง เพื่อให้มันฟังดูเป็นทางการเฉยๆ

พอเป็นธุรกิจ คำถามต่อมาคือ จะทำเงินยังไง?

อันนี้ไม่ยากเลยครับ เพราะในยุคที่คนยังสับสนกับอินเทอร์เน็ต Yahoo คือ “ประตูบานแรก” ที่ทุกคนต้องผ่าน

เมื่อมีคนเข้าเว็บเป็นล้านๆ คนต่อวัน บริษัทต่างๆ ก็ยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อพื้นที่โฆษณา หรือที่เรียกว่า “Banner Adverts” (โฆษณาแบนเนอร์) บนหน้าเว็บของ Yahoo

ในยุค 90 แค่การได้เห็นโลโก้ ก็ถือว่าคุ้มค่าโฆษณาแล้ว

แต่ทีม Yahoo ฉลาดกว่านั้นครับ พวกเขามีข้อมูลในมือว่าคนคลิกเข้าหมวดหมู่อะไรมากที่สุด เว็บไซต์ไหนฮิตที่สุด พวกเขาเลยเกิดความคิดว่า “ทำไมเราต้องส่งคนไปที่อื่นด้วยล่ะ?”

นี่คือกลยุทธ์ “Portal” หรือประตูสู่โลกอินเทอร์เน็ตครับ

ยกตัวอย่างเช่น พวกเขาเห็นว่าคนชอบเข้าเว็บ “ห้องสนทนา” มาก Yahoo ก็เลยสร้าง Yahoo Chat ขึ้นมาเองซะเลย

คนชอบดูการเงิน Yahoo ก็สร้าง Yahoo Finance คนชอบกีฬา ก็มี Yahoo Sports พวกเขาสร้างบริการของตัวเองแทบทุกอย่าง ทั้งช็อปปิ้ง แชร์ไฟล์ เกม ข่าว

โครงสร้างองค์กรของ Yahoo ตอนนั้นน่าสนใจมากครับ พวกเขาจ้างคนเยอะมาก และแบ่งเป็นทีมผลิตภัณฑ์ย่อยๆ หลายร้อยทีม แต่ละทีมมีหัวหน้าที่ทำตัวเหมือน CEO ของสตาร์ทอัพเล็กๆ

พูดง่ายๆ คือ Yahoo ไม่ใช่บริษัทเดียว แต่เป็น “กลุ่มก้อนของสตาร์ทอัพ” ที่แข่งกันสร้างบริการใหม่ๆ

กลยุทธ์นี้ได้ผลดีมากในตอนแรก มันทำให้พวกเขาโตเร็วสุดๆ ภายในปี 2000 แค่ 6 ปีหลังก่อตั้ง Yahoo มีผลิตภัณฑ์และบริการที่แตกต่างกันถึง 400 อย่าง!

ถ้าเป็นผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในยุคนั้นสามารถใช้อินเทอร์เน็ตได้ทั้งวันโดยที่ไม่ต้องออกจากระบบนิเวศของ Yahoo เลยด้วยซ้ำ

Directory ที่เป็นจุดเริ่มต้น กลายเป็นแค่ส่วนเล็กๆ ที่สร้าง traffic ไม่ถึง 20% ของทั้งหมด

ณ จุดนั้น Yahoo ไม่ใช่แค่ “Directory” อีกต่อไปครับ แต่ Yahoo “คืออินเทอร์เน็ต”

และนี่คือจุดสูงสุดของ Yahoo เลยก็ว่าได้ ในปี 2000 Yahoo มีมูลค่าตลาด (Market Cap) สูงถึง 128 พันล้านดอลลาร์ เป็นบริษัทอินเทอร์เน็ตที่ใหญ่ที่สุดในโลก

แต่ในขณะที่พวกเขากำลังฉลองความสำเร็จ ก็มีนักศึกษา 2 คนจาก Stanford เหมือนกัน เดินเข้ามาพร้อมสตาร์ทอัพเล็กๆ ของตัวเอง

พวกเขาคือ Larry Page และ Sergey Brin

พวกเขาเสนอขายเทคโนโลยีค้นหาที่ชื่อ “PageRank” ให้ Yahoo ในราคาแค่ 1 ล้านดอลลาร์ พวกเขาแค่อยากได้เงินไปเรียนต่อ ไม่ได้อยากสร้างบริษัท

แต่ Yahoo กลับตอบปฏิเสธครับ

พวกเขาคิดว่า 1 ล้านดอลลาร์มันน้อยมาก และพวกเขาก็มีระบบค้นหาของตัวเองอยู่แล้ว (ที่ซื้อมาจากบริษัทอื่น) พวกเขาไม่เห็นความจำเป็น

โชคร้ายเหลือเกิน ที่บริษัทเล็กๆ นั้นชื่อว่า Google

การตัดสินใจครั้งนั้น กำลังจะเปลี่ยนทุกอย่างไปตลอดกาล

ไม่นานหลังจากนั้น วิกฤตฟองสบู่ดอทคอม (Dot-com bubble) ก็แตกในปี 2000 ราคาหุ้นบริษัทเทคโนโลยีร่วงกราวรูด

Yahoo โดนผลกระทบหนักมากครับ นักลงทุนหมดความมั่นใจ บริษัทดอทคอมที่เคยลงโฆษณากับ Yahoo ก็ล้มละลายไปเลย รายได้หลักของพวกเขาหายไปในพริบตา

ที่แย่กว่านั้น โลกอินเทอร์เน็ตมันใหญ่ขึ้นทุกวัน การใช้ “คน” มานั่งอัปเดต Directory แบบเดิม มันไม่มีประสิทธิภาพอีกต่อไป และ Google ก็ได้สร้างระบบที่ดีกว่ามากในการค้นหา

Yahoo รู้ตัวครับว่าผู้ใช้ของพวกเขากำลังหนีไป Google พวกเขาเลยตัดสินใจทำในสิ่งที่ช็อกมาก ๆ ในตอนนั้น

แค่ไม่กี่ปีหลังจากปฏิเสธที่จะซื้อ Google พวกเขากลับไปหา Google เพื่อทำ “ข้อตกลง” ขอนำระบบค้นหาของ Google มาใช้ในเว็บไซต์ของ Yahoo

แนวคิดของ Yahoo คือ พวกเขาอยากให้คนยังเข้าหน้าแรกของ Yahoo เหมือนเดิม แล้วค่อยมาค้นหาผ่าน Google ที่อยู่ในเว็บ Yahoo อีกที

นี่คือความผิดพลาดมหันต์ครับ มันเหมือนกับ McDonald’s ยอมรับว่า Whopper อร่อยกว่า เลยเอามาขายในร้านตัวเอง

ผู้ใช้ Yahoo ได้ลองใช้ Google Search แล้วก็ชอบมาก มันกลายเป็นการ “โฆษณาให้ Google ฟรี” และฝึกให้ผู้ใช้ติดใจในผลิตภัณฑ์ของคู่แข่ง

แถม Google ยังมีโมเดลธุรกิจที่ดีกว่าครับ Yahoo หาเงินจาก Banner Ads ซึ่งเป็นการตลาดแบบ “Push” คือยิงโฆษณาให้ทุกคนเห็นเหมือนกัน

แต่ Google หาเงินจาก “Search Ads” ซึ่งเป็นการตลาดแบบ “Pull”

ถ้าคุณค้นหาคำว่า “รองเท้าวิ่ง” Google ก็จะแสดงโฆษณาร้านรองเท้าวิ่ง มันตรงจุดกว่า มีประสิทธิภาพกว่า และทำกำไรได้มากกว่ามหาศาล

Google เอาเงินกำไรนั้นไปลงทุนต่อ ไปทำดีลให้ตัวเองเป็นหน้าแรกของเบราว์เซอร์อย่าง Firefox

Yahoo เริ่มรู้ตัวว่ากำลังพ่ายแพ้ พวกเขากลับไปหา Google อีกครั้ง ถามว่า “โอเค คราวนี้จะขายเท่าไหร่?”

Google บอกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ Yahoo ตกลง แต่พอจะจ่ายจริง Google ปรับราคาเป็น 3 พันล้าน และ 5 พันล้าน… มันสายเกินไปแล้วครับ ดีลไม่เกิดขึ้น เพราะ Google กำลังเติบโตอย่างบ้าคลั่ง

Yahoo เลยถอด Google ออกจากเว็บ แล้วพยายามสร้าง Search Engine ของตัวเอง แต่สงครามการค้นหามันจบไปแล้วครับ Yahoo แพ้แล้ว

เมื่อการค้นหาก็แพ้ Directory ก็ล้าสมัย Yahoo เลยต้องเดิมพันกับบริการอื่นๆ ที่พวกเขาสร้างไว้

และโอกาสทองครั้งที่สองก็มาถึงในปี 2006 ทีมผู้บริหาร Yahoo นัดเจอกับผู้ก่อตั้ง Facebook ที่ชื่อ Mark Zuckerberg และตกลงดีลกันได้ว่า Yahoo จะซื้อ Facebook ในราคา 1 พันล้านดอลลาร์

จริงๆ แล้ว Mark ไม่อยากขายครับ แต่บอร์ดบริหารและนักลงทุนกดดันว่า ถ้า Yahoo เสนอ 1 พันล้าน ต้องขายสถานเดียว

แต่แล้วในนาทีสุดท้าย… Yahoo กลับพยายาม “กดราคา”

CEO ของ Yahoo ในตอนนั้นคือ Terry Semel เขารู้สึกว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่า และเห็นว่าตัวเลขผู้ใช้ Facebook ช่วงนั้นดูแผ่วๆ เลยขอลดราคาเหลือ 850 ล้านดอลลาร์

กลยุทธ์นี้ส่งผลร้ายแรงครับ Zuckerberg ออกจากห้องประชุมด้วยความดีใจ

เพราะบอร์ดบอกว่า “ถ้า” เสนอ 1 พันล้านถึงจะต้องขาย แต่ในเมื่อ Yahoo เสนอน้อยกว่า เขาก็เลยปฏิเสธดีลนี้ และได้บริหาร Facebook ต่อไป

Yahoo พลาดบริษัทที่ปัจจุบันมีมูลค่าเป็นล้านล้านดอลลาร์ เพียงเพราะพยายามจะประหยัดเงินไม่กี่ร้อยล้าน

เรื่องที่น่าขำก็คือ Yahoo ซื้อกิจการไปเป็นร้อยๆ บริษัทนะครับ

พวกเขาทุ่มเงิน 5.7 พันล้านดอลลาร์ซื้อ broadcast .com ของ Mark Cuban และ 3.5 พันล้านดอลลาร์ซื้อ GeoCities ซึ่งเป็นการลงทุนที่ล้มเหลวทั้งคู่

แต่พวกเขากลับปฏิเสธ Google, Facebook แถมยังพลาดดีลอย่าง eBay และ YouTube อีกด้วย

ถึงจุดนี้ หลายคนอาจคิดว่า Yahoo ล่มสลายเพราะคู่แข่งภายนอก แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุด มันคือ “ความยุ่งเหยิงภายใน”

มีเอกสารฉบับหนึ่งที่ดังมากในบริษัท มันหลุดออกมาข้างนอก ชื่อว่า “The Peanut Butter Manifesto”

เขียนโดยผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่งชื่อ Brad Garlinghouse เขาเปรียบเปรยว่า Yahoo กำลังทำตัวเหมือน “การทาเนยถั่ว” คือพยายามทาเนยถั่วบางๆ ให้ครอบคลุมขนมปังทั้งแผ่น ผลคือไม่มีส่วนไหนที่อร่อยเลย

Yahoo พยายามทำทุกอย่างจนกลายเป็นการไม่โฟกัสอะไรเลย

มีตัวอย่างที่เจ็บปวดมากครับ ในงานสัมมนาของบริษัท พนักงานถูกขอให้เขียนคำที่นึกถึงเป็นคำแรก เมื่อได้ยินชื่อบริษัทคู่แข่ง

พอพูดว่า Google ทุกคนเขียนว่า “Search” (ค้นหา)

PayPal ทุกคนเขียนว่า “Payments” (การชำระเงิน)

eBay ทุกคนเขียนว่า “Auctions” (การประมูล)

แต่พอถึงคิว Yahoo… ทุกคนเขียนคำที่แตกต่างกันหมด

ไม่มีใครในบริษัทรู้ด้วยซ้ำว่าตัวตนของ Yahoo คืออะไร หรือกำลังพยายามจะเป็นอะไรกันแน่

โครงสร้างองค์กรแบบ “สตาร์ทอัพย่อยๆ” ที่เคยทำให้โตเร็ว ตอนนี้กำลังฆ่าบริษัท ทีมต่างๆ ไม่คุยกัน ทำงานซ้ำซ้อนกัน เช่น Yahoo ซื้อเว็บแชร์รูปอย่าง Flickr มา แต่ก็ยังมีอีกทีมที่ทำ Yahoo Photos ซึ่งทำเหมือนกันเป๊ะ

พวกเขากำลังแข่งขันกันเองภายในบริษัท ผลิตภัณฑ์แต่ละตัวใช้โค้ดคนละชุด ดีไซน์คนละสี ไม่มีการเชื่อมโยง (Integrated) กันเลย

แต่ท่ามกลางความโกลาหลนี้ ในปี 2008 Yahoo ก็ได้รับโอกาสครั้งสำคัญอีกครั้ง

Microsoft ยักษ์ใหญ่ด้านซอฟต์แวร์ เสนอขอซื้อ Yahoo ทั้งบริษัทในราคาสูงถึง 44 พันล้านดอลลาร์!

Steve Ballmer CEO ของ Microsoft ในตอนนั้น กลัว Google มาก เขาคิดว่าการรวมพลังของ Microsoft กับ Yahoo คือทางรอดเดียวที่จะสู้ได้

Yahoo ทำยังไงครับ? พวกเขาปฏิเสธข้อเสนอ

Jerry Yang ผู้ร่วมก่อตั้งที่กลับมาเป็น CEO ในตอนนั้น รู้สึกว่าราคานี้ “ประเมินศักยภาพของ Yahoo ต่ำเกินไป” มันเป็นการตัดสินใจด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผล

เพียงไม่กี่เดือนหลังจากนั้น ราคาหุ้นของ Yahoo ก็ดิ่งเหว มูลค่าบริษัทเหลือแค่ 14 พันล้านดอลลาร์ ไม่ถึงหนึ่งในสามของที่ Microsoft เสนอเลยด้วยซ้ำ

และสิ่งที่ตอกย้ำความล้มเหลวคือ Yahoo เปลี่ยน CEO 5 คนใน 6 ปีครับ!

Terry Semel, Jerry Yang, Carol Bartz, Scott Thompson, และสุดท้าย Marissa Mayer ในปี 2012 ไม่มีใครตกลงกันได้ว่าใครควรจะนำทัพ พอคนใหม่เข้ามา ผลงานไม่ดีในเร็ววัน ก็โดนไล่ออก

ว่ากันว่า Carol Bartz ถูกไล่ออกผ่านทางโทรศัพท์ ส่วน Scott Thompson ก็อยู่ได้ไม่กี่เดือนเพราะมีปัญหาเรื่องวุฒิการศึกษา

บริษัทไม่มีวิสัยทัศน์ระยะยาวเลย มีรายงานว่า Yahoo เปลี่ยนพันธกิจ (Mission Statement) ของตัวเองไปอย่างน้อย 24 ครั้ง!

เมื่อโลกเปลี่ยนเข้าสู่ยุค “Mobile” Yahoo ก็ปรับตัวไม่ทัน

การจ้าง Marissa Mayer อดีตผู้บริหารดาวรุ่งจาก Google ในปี 2012 คือความหวังสุดท้าย แต่เธอก็มาในตอนที่เรือรั่วหนักเกินไปแล้ว

เธพยายามจะเปลี่ยน Yahoo ให้เป็นบริษัท Mobile-First แต่แอปพลิเคชันของพวกเขา “แย่จนน่าอาย” เมื่อเทียบกับคู่แข่ง

ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังนำระบบประเมินผลงานภายในที่เรียกว่า “Quarterly Performance Review” (QPR) มาใช้

นี่คือระบบ “Stack Ranking” ที่บังคับให้ผู้จัดการต้องให้เกรด “ไม่ผ่าน” กับพนักงานในทีมตัวเองในสัดส่วนที่กำหนดไว้ แม้ว่าทั้งทีมจะทำผลงานได้ดีก็ตาม

แนวคิดคือการคัดคนไม่เก่งออก แต่ผลลัพธ์คือมันสร้างวัฒนธรรมการเมืองที่ “เชือดเฉือน” ทุกคนกลัวโดนแทงข้างหลัง และไม่มีใครอยากร่วมมือกันทำงาน

ท้ายที่สุด เหตุผลที่ Yahoo ล่มสลาย มันก็เรียบง่ายมากครับ

Yahoo คือตัวอย่างคลาสสิกของสำนวนที่ว่า “Jack of all trades, master of none” (รู้ทุกอย่าง แต่ไม่เชี่ยวชาญสักอย่าง)

ในยุคแรก directory ของพวกเขาแก้ปัญหาได้จริง แต่พอยุคสมัยเปลี่ยนไป พวกเขาพยายามทำ 400 อย่างให้ออกมา “งั้นๆ” แต่ไม่มีอะไรเลยที่ “ดีที่สุด”

Yahoo Shopping แพ้ Amazon

Yahoo Messenger แพ้ WhatsApp

Yahoo Mail แพ้ Gmail

เทปกาวติดพรม ที่ดีที่สุด จาก อเมริกา

เทปกาวติดพรม ที่ดีที่สุด จาก อเมริกา

Yahoo Answers แพ้ Quora

บริษัทอื่นมุ่งเน้นทำสิ่งเดียวให้ดีที่สุด ก่อนที่จะขยายไปทำอย่างอื่น แต่ Yahoo ไม่มีอัตลักษณ์ที่ชัดเจนเหลืออยู่เลย

ในปี 2017 บริษัท Verizon ก็เข้ามาซื้อ Yahoo ในราคาเพียง 4.48 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นราคาที่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของที่ Microsoft เคยเสนอไว้ แต่ Verizon ก็ฟื้นฟูไม่ไหว และขายต่ออีกทีในปี 2021 ให้กับกลุ่มทุนเอกชน

เครื่องไล่หนู แมลงสาบ รุ่นใหม่ ของแท้ Riddex Quad

เครื่องไล่หนู แมลงสาบ การันตี หนูไม่หายยินดีคืนเงิน

แน่นอนครับ Yahoo ทุกวันนี้ก็ยังทำเงินได้ Yahoo Mail ก็ยังมีคนใช้ แต่นั่นส่วนใหญ่เป็นเพราะคนเหล่านั้นสมัครอีเมลไว้นานแล้ว และแค่ยังไม่ได้เปลี่ยนไปใช้อย่างอื่น

จากราชาแห่งอินเทอร์เน็ต มูลค่าแสนล้าน สู่บริษัทที่ถูกลืม

เรื่องราวของ Yahoo ให้บทเรียนหลายอย่างในโลกธุรกิจ การตัดสินใจที่ผิดพลาดเพียงไม่กี่ครั้ง, ความลังเลไม่เด็ดขาด, ความหยิ่งผยอง, และการขาดวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน มันสามารถทำลายจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดลงได้ในเวลาเพียงไม่กี่ปี

References : [investopedia, businessinsider, techcrunch, forbes, wikipedia]

อ่านจบแล้วอย่างเพิ่งไปไหน เรายังมีอะไรเด็ด ๆ ให้อ่านอีกเพียบ ...คลิกเลย

อ่านจบแล้วอย่างเพิ่งไปไหน เรายังมีอะไรเด็ด ๆ ให้อ่านอีกเพียบ …คลิกเลย

  • FacebookFacebook
  • XTwitter
  • LINELine

Related Posts

  • Geek Monday EP298 : บทเรียนจาก Yahoo เก่งหลายอย่าง แต่ไม่สุดสักทาง

    วันนี้เราจะมาคุยกันถึงเรื่องราวของยักษ์ใหญ่ที่ครั้งหนึ่งเคยเกือบจะได้ครองโลกอินเทอร์เน็ต บริษัทที่ชื่อว่า Yahoo ครับ ลองนึกย้อนกลับไปนะครับ ถ้าผมบอกว่ามีบริษัทหนึ่ง เคยมีมูลค่าสูงถึง…

  • Geek Story EP361 : ทำไม Yahoo ถึงพ่ายแพ้? เมื่อราชาแห่งอินเทอร์เน็ตถูกโค่นบัลลังก์

    ครั้งหนึ่ง Yahoo เคยเป็นราชาแห่งอินเทอร์เน็ตอย่างแท้จริง แต่ด้วยการผสมผสานของการตัดสินใจที่แย่ ความลังเล ผลิตภัณฑ์ที่พอใช้ การแข่งขันที่ดุเดือด…

  • Geek Monday EP256 : ทำไม Yahoo ถึงสูญสิ้นทุกสิ่ง บทเรียนแสนล้านของการ 'รู้ทุกอย่าง แต่ไม่เก่งอะไรเลย'

    Yahoo อาจเคยเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก ครั้งหนึ่งเคยเป็นเว็บไซต์ที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดบนอินเทอร์เน็ต มีมูลค่าถึง 128 พันล้านดอลลาร์ ในช่วงปลายยุค…

  • ทำไม Yahoo ถึงสูญสิ้นทุกสิ่ง บทเรียนแสนล้านของการ ‘รู้ทุกอย่าง แต่ไม่เก่งอะไรเลย’

    ลองจินตนาการโลกที่ไม่มี Google แล้วคุณจะหาอะไรในอินเทอร์เน็ตได้อย่างไร? ย้อนกลับไปในยุค 90 ต้องบอกว่าอินเทอร์เน็ตเป็นเหมือนป่ารกที่ไร้การจัดระเบียบอย่างสิ้นเชิง นี่คือเหตุผลที่เพื่อนสองคนในวิทยาลัย…

  • Yahoo กับการละทิ้งวิทยานิพนธ์เพื่อฝันทางธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ของ Jerry Yang และ David Filo

    ในช่วงต้นปี 1994 Jerry Yang และ David Filo…


 


ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA



Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ



Geek Forever’s Podcast


“Open Your World With Technology“


AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning

Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Youtube
ฟังผ่าน Youtube

รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด

รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด


 

Advertisements
กาวเหนียวขั้นเทพ กาวติดผนัง กาวติดไม้ กาวติดอลูมิเนียม | Sponsors

กาวเหนียวขั้นเทพ กาวติดผนัง กาวติดไม้ กาวติดอลูมิเนียม

Advertisements
ชุดฟอกฟันขาว ฟอกสีฟัน ด้วยแสงเลเซอร์ | Sponsors

ชุดฟอกฟันขาว ฟอกสีฟัน ด้วยแสงเลเซอร์

Advertisements
เก้าอี้เพื่อสุขภาพ ergonomic นั่งทำงาน ออฟฟิส แนะนำ ราคาถูกสุด ๆ

เก้าอี้เพื่อสุขภาพ ergonomic นั่งทำงาน ออฟฟิส แนะนำ ราคาถูกสุด ๆ

Advertisements
shirtlocker.co ตัวจริงเรื่องสื้อบอล ของแท้ หายาก ของที่ระลึกสุด exclusive คลิกเลย

shirtlocker.co ตัวจริงเรื่องเสื้อบอล ของแท้ หายาก ของที่ระลึกสุด exclusive คลิกเลย

Tags Marissa MayerPeanut Butter ManifestoYahoo MicrosoftYahoo คือYahoo ปฏิเสธ FacebookYahoo พลาดซื้อ GoogleYahoo ล่มสลายYahoo แพ้ Googleกรณีศึกษา Yahooความผิดพลาดทางธุรกิจทำไม Yahoo เจ๊งบทเรียนธุรกิจ Yahooบริษัทเทคยุค 90sประวัติ YAHOOประวัติศาสตร์อินเทอร์เน็ตสารคดีธุรกิจเรื่องเล่าธุรกิจ
บทเรียนจาก Second Life เมื่อโลกแห่ง Metaverse ไม่ได้สวยหรูเหมือนคำโฆษณา
Geek Talk EP166 : ไขความลับ Rare Earths ทำไมจีนถึงกุมหัวใจเทคโนโลยีโลก

Search

  • POSTS
  • TAGS

POSTS

  • เปิดโปงปฏิบัติการ Shotgiant จุดเริ่มต้นสงครามไซเบอร์ เมื่อยักษ์ใหญ่จีนโดน NSA ล้วงตับ
  • Geek Story EP514 : Huawei ขโมยเทคโนโลยี Nortel จริงหรือ? ไขคดีปริศนาการล่มสลายของยักษ์ใหญ่แคนาดา
  • Geek Story EP513 : ใครฆ่า Netbook? แค่ 3 ปี จาก “อนาคต” กลายเป็น “อดีต”
  • Geek Monday EP300 : จาก Distar สู่ Karmart เจาะลึกการ Pivot ธุรกิจครั้งประวัติศาสตร์
  • วันที่ eBay แตกหักกับ PayPal หายนะ 2,000 ล้านเหรียญ ที่เกือบทำบริษัทล้มละลาย

TAGS

AI alibaba apple BYD chatgpt elon musk facebook google huawei iphone ipod jack ma machine learning mark zuckerberg microsoft openai paypal Robot samsung SpaceX startup steve jobs Tesla tim cook TSMC กรณีศึกษาธุรกิจ กลยุทธ์ธุรกิจ การพัฒนาตนเอง ความสำเร็จ บทเรียนธุรกิจ ประวัติ Apple ปัญญาประดิษฐ์ พัฒนาตนเอง พัฒนาตัวเอง รถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์ไฟฟ้าจีน สงคราม AI สงครามชิป สงครามเทคโนโลยี อีลอน มัสก์ เคล็ดลับความสำเร็จ เทคโนโลยี AI เรื่องเล่าธุรกิจ เศรษฐกิจจีน แรงบันดาลใจ
November 2025
M T W T F S S
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
« Oct    
Proudly powered by WordPress. Theme: DW Minion by DesignWall.

อย่าลืมช่วยกด Like เพจกันด้วยนะคร้าบ!


This will close in 320 seconds