ในโลกของเทคโนโลยี คงไม่มีคำว่า “แน่นอน”
บริษัทยักษ์ใหญ่ที่ดูเหมือนจะไม่มีวันพ่ายแพ้ ก็อาจสะดุดล้มลงได้ในสมรภูมิที่พวกเขาไม่คุ้นเคย
และถ้าจะพูดถึงความล้มเหลวครั้งประวัติศาสตร์ที่กลายเป็นบทเรียนราคาแพง เรื่องราวของ Google Plus ก็คงเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจที่สุดเรื่องหนึ่ง
เคยสงสัยไหมครับว่า ทำไมบริษัทที่เปรียบเสมือนเจ้าแห่งโลกอินเทอร์เน็ตอย่าง Google ถึงพ่ายแพ้อย่างย่อยยับในสนามรบโซเชียลมีเดีย?
หลายคนอาจเข้าใจว่า Google กระโดดเข้าสู่โลกโซเชียลมีเดียช้าเกินไป แต่ความจริงแล้ว พวกเขามองเห็นโอกาสนี้มาตั้งแต่ยุคแรก ๆ
ย้อนกลับไปก่อนที่โลกจะรู้จัก Facebook หรือแม้แต่ MySpace ด้วยซ้ำ Google เคยพยายามจะเข้าซื้อกิจการของ Friendster ซึ่งเป็นโซเชียลเน็ตเวิร์กยอดนิยมในยุคนั้น
ข้อเสนอมูลค่า 30 ล้านดอลลาร์ในรูปแบบของหุ้น Google ถูกยื่นให้กับ Friendster แต่น่าเสียดายที่ข้อเสนอนั้นถูกปฏิเสธไป
ซึ่งนี่อาจเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์เทคโนโลยี เพราะหากวันนั้น Friendster ตอบตกลง หุ้นที่พวกเขาได้รับในวันนั้น จะมีมูลค่าพุ่งสูงกว่าหนึ่งพันล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน
เมื่อการซื้อกิจการไม่สำเร็จ Google ก็ไม่ได้ยอมแพ้ พวกเขาตัดสินใจที่จะสร้างแพลตฟอร์มของตัวเองขึ้นมา
จุดเริ่มต้นของความพยายามครั้งนี้คือ “Orkut” ที่เปิดตัวในปี 2004
Orkut ตั้งชื่อตามผู้สร้าง ซึ่งเป็นวิศวกรชาวตุรกีของ Google ที่พัฒนาโครงการนี้ขึ้นมาเป็นการส่วนตัว โดยใช้นโยบายของบริษัทที่อนุญาตให้พนักงานแบ่งเวลาการทำงานมาสร้างสรรค์โปรเจกต์ของตัวเองได้
สิ่งที่น่าทึ่งก็คือ Orkut เปิดตัวก่อน The Facebook ของ Mark Zuckerberg เพียงไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น
Orkut มีฟีเจอร์ที่ล้ำสมัยในยุคนั้น ไม่ว่าจะเป็นการโพสต์ข้อความ แชร์รูปภาพ หรือการกดไลค์ เรียกได้ว่ามีทุกอย่างที่โซเชียลมีเดียควรจะมี
แม้จะเริ่มต้นได้ดี แต่ความนิยมของ Orkut กลับจำกัดอยู่แค่ในประเทศบราซิลและอินเดียเท่านั้น ในขณะที่ตลาดอื่น ๆ กลับไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
สาเหตุสำคัญประการหนึ่งคือทีมงานที่ดูแล Orkut นั้นมีขนาดเล็กเกินไป ทำให้การพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ ล่าช้า และไม่สามารถรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นบนแพลตฟอร์มได้อย่างทันท่วงที
เมื่อปัญหาเรื่องสแปมและการละเมิดกฎเริ่มทวีความรุนแรง ประกอบกับการมาถึงของคู่แข่งหน้าใหม่อย่าง MySpace และ Facebook ที่ดูจะถูกใจผู้ใช้งานมากกว่า Orkut ก็ค่อย ๆ เลือนหายไปจากความทรงจำ
แต่ความพ่ายแพ้ครั้งแรกไม่ได้ทำให้ Google ถอดใจ
ในปี 2008 พวกเขาเปิดตัว Google Friend Connect ซึ่งเป็นเครื่องมือให้เจ้าของเว็บไซต์สามารถเพิ่มฟังก์ชันโซเชียลเข้าไปในเว็บของตัวเองได้ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้รับความนิยม
จากนั้นในปี 2009 ก็มาถึงคิวของ Google Wave ที่เคยถูกคาดการณ์ว่าจะเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดของทั้ง Facebook และ Twitter
Google Wave เป็นแพลตฟอร์มที่พยายามจะรวมทุกอย่างเข้าไว้ด้วยกัน ทั้งอีเมล, ข้อความ, บล็อก และการแชร์ไฟล์ แต่สุดท้ายผู้ใช้งานกลับรู้สึกว่ามันซับซ้อนเกินไป และก็ล้มเหลวไปอีกครั้ง
พอเรื่องเป็นแบบนี้ Google ก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะมีโซเชียลเน็ตเวิร์กเป็นของตัวเองให้ได้
ในปี 2010 พวกเขาจึงเปิดตัว Google Buzz โดยครั้งนี้มาพร้อมกับกลยุทธ์ใหม่ คือการผนวกมันเข้ากับบริการอีเมลยอดนิยมอย่าง Gmail
ในทางทฤษฎีแล้ว นี่คือแนวคิดที่ชาญฉลาด เพราะ Google สามารถใช้ฐานผู้ใช้งาน Gmail ที่มีอยู่มหาศาลเป็นจุดเริ่มต้นได้ทันที
แต่การนำไปปฏิบัติกลับกลายเป็นหายนะ
อยู่มาวันหนึ่ง ผู้ใช้งาน Gmail ทั่วโลกต่างก็ต้องประหลาดใจ เมื่อพบว่าตัวเองถูกบังคับให้เป็นสมาชิกของ Google Buzz โดยไม่รู้ตัว
รายชื่อผู้ติดต่อที่พวกเขาส่งอีเมลหาบ่อยที่สุด ถูกเพิ่มเป็นเพื่อนโดยอัตโนมัติ ซึ่งหมายความว่าข้อมูลส่วนตัวบางอย่างถูกเปิดเผยสู่สาธารณะโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม
เหตุการณ์นี้สร้างความไม่พอใจอย่างรุนแรง จนนำไปสู่การฟ้องร้องแบบกลุ่ม และสุดท้าย Google ก็ต้องยอมจ่ายเงินหลายล้านดอลลาร์เพื่อยุติคดี
Google Buzz จึงมีอายุขัยที่สั้นมาก และกลายเป็นอีกหนึ่งความล้มเหลวที่ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของบริษัท
หลังจากล้มเหลวมาแล้วถึง 4 ครั้ง ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ Google จะต้องทุ่มสุดตัวกับโครงการที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ในช่วงปี 2010 บรรดาผู้บริหารของ Google เริ่มรู้สึกร้อนใจกับการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ Facebook ที่กำลังจะกลายเป็นภัยคุกคามที่น่ากลัวที่สุด
Vic Gundotra รองประธานของ Google ในขณะนั้น คือคนที่ผลักดันให้ Larry Page ซีอีโอของบริษัท เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องมีโซเชียลมีเดียที่แข็งแกร่งเป็นของตัวเอง
และนั่นคือจุดกำเนิดของ “Google Plus”
ครั้งนี้ Google ไม่ได้มาเล่น ๆ พวกเขาทุ่มงบประมาณและทรัพยากรอย่างมหาศาล มีการระดมพนักงานกว่าหนึ่งพันคนมาเพื่อพัฒนาโครงการนี้โดยเฉพาะ
ที่สำคัญกว่านั้น Larry Page ได้ประกาศนโยบายที่สั่นสะเทือนไปทั้งบริษัทว่า 25% ของโบนัสประจำปีของพนักงานทุกคน จะผูกอยู่กับความสำเร็จของ Google Plus
นี่คือการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า โครงการนี้คือเดิมพันครั้งสำคัญที่สุดของ Google
Google Plus เปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 2011 ด้วยฟีเจอร์ที่น่าสนใจมากมาย
ฟีเจอร์เด่นอย่าง “Circles” ที่ให้ผู้ใช้สามารถจัดกลุ่มเพื่อนและเลือกว่าจะแชร์เนื้อหาให้ใครเห็นได้บ้าง ซึ่งถือเป็นแนวคิดที่ล้ำหน้ากว่า Facebook ในตอนนั้น
นอกจากนี้ยังมี “Hangouts” สำหรับการวิดีโอคอลแบบกลุ่ม ที่ได้รับคำชมอย่างล้นหลาม
ในช่วงแรก Google Plus ใช้ระบบเชิญเท่านั้น ทำให้เกิดกระแสความอยากรู้อยากเห็นไปทั่ววงการเทคโนโลยี ทุกคนต่างก็อยากจะเข้ามาสัมผัสกับโซเชียลมีเดียตัวใหม่จาก Google
แม้แต่ Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้ง Facebook ก็ยังเป็นหนึ่งในผู้ใช้งานกลุ่มแรก ๆ
มีรายงานว่า Facebook ตื่นตระหนกกับการมาถึงของ Google Plus เป็นอย่างมาก ถึงขั้นที่ Zuckerberg ต้องสั่งให้พนักงานทุกคนหยุดงานที่ทำอยู่ เพื่อระดมสมองหาทางรับมือกับคู่แข่งรายใหม่นี้
เมื่อยักษ์ใหญ่อย่าง Google ประกาศทุ่มสุดตัว นักวิเคราะห์หลายคนต่างก็ฟันธงว่านี่อาจจะเป็นจุดจบของ Facebook
ตัวเลขในช่วงแรกก็ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น ภายในสิ้นปีแรก Google Plus มีผู้ใช้งานถึง 90 ล้านคน และทะยานสู่ 500 ล้านคนในอีกไม่กี่ปีต่อมา
ดูเหมือนว่าในที่สุด Google ก็ค้นพบสูตรสำเร็จในการสร้างโซเชียลมีเดียแล้ว แต่เบื้องหลังตัวเลขที่สวยหรูนั้น กลับมีความจริงที่เจ็บปวดซ่อนอยู่
ปัญหาแรกที่ร้ายแรงที่สุดคือ “การบังคับ”
Google เริ่มใช้นโยบายบังคับให้ผู้ที่ต้องการใช้งานบริการอื่น ๆ อย่าง YouTube หรือ Gmail ต้องสมัครบัญชี Google Plus ควบคู่ไปด้วย สิ่งนี้สร้างความไม่พอใจให้กับผู้ใช้งานเป็นวงกว้าง
ผู้คนไม่ได้อยากจะเข้าร่วม แต่พวกเขาถูกบีบให้ต้องทำ
เปรียบไปก็เหมือนกับการซื้อคอมพิวเตอร์ Windows เครื่องใหม่ ที่เราต้องจำใจเปิดเบราว์เซอร์ของ Microsoft เพื่อเข้าไปดาวน์โหลด Chrome หรือ Firefox เท่านั้นเอง
ปัญหาที่สองคือความซับซ้อน แม้ว่าฟีเจอร์ Circles จะเป็นแนวคิดที่ดี แต่มันก็ยุ่งยากเกินไปสำหรับผู้ใช้งานทั่วไปที่คุ้นเคยกับความเรียบง่ายของ Facebook
ปัญหาที่สามคือการขาดเอกลักษณ์ที่ชัดเจน Google Plus ไม่ได้นำเสนอประสบการณ์ที่แตกต่างจากสิ่งที่มีอยู่เดิมในตลาดอย่างมีนัยสำคัญ
คำถามคือ ทำไมคนเราจะต้องย้ายไปใช้แพลตฟอร์มใหม่ ในเมื่อเพื่อนของเราทุกคนยังอยู่ที่เดิม? นี่คือคำถามที่ Google ไม่เคยตอบได้อย่างน่าพอใจ
และปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็คือ ตัวเลขผู้ใช้งานที่ดูสวยหรูนั้นเป็นเพียงภาพลวงตา
ผลสำรวจพบว่า 90% ของผู้ใช้งาน Google Plus ใช้เวลาบนแพลตฟอร์มเฉลี่ยไม่ถึง 5 วินาทีต่อการเข้าใช้งานหนึ่งครั้ง
หนังสือพิมพ์ New York Times ถึงกับขนานนาม Google Plus ว่าเป็น “เมืองร้าง” ที่มีประชากรถึง 500 ล้านคน แต่กลับไม่มีใครออกมาใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกเลย
Google พยายามที่จะเอาชนะ Facebook ด้วยการสร้างสิ่งที่คล้ายคลึงกัน แทนที่จะสร้างนวัตกรรมที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
ในยุคแรก Facebook เอาชนะคู่แข่งอย่าง MySpace ได้ เพราะพวกเขานำเสนอสิ่งที่แตกต่าง ไม่ใช่แค่การลอกเลียนแบบ
เช่นเดียวกันกับในปัจจุบันที่ความนิยมของ Facebook เริ่มลดลง ไม่ใช่เพราะมีใครมาสร้าง Facebook เวอร์ชันใหม่ที่ดีกว่า แต่เป็นเพราะการมาถึงของแพลตฟอร์มที่สดใหม่และสร้างสรรค์กว่าอย่าง TikTok
Google Plus ไม่มีจุดขายที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ไม่มีใครตอบได้ชัดเจนว่าแพลตฟอร์มนี้มีไว้เพื่ออะไรกันแน่
Facebook คือที่สำหรับติดตามเรื่องราวของเพื่อน, Twitter คือที่สำหรับข่าวสารแบบเรียลไทม์ แล้ว Google Plus คือที่สำหรับอะไร?
และแล้วฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ทุกอย่างพังทลายก็มาถึง
ในปี 2018 เกิดเหตุการณ์ข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งานกว่า 50 ล้านบัญชีรั่วไหล ซึ่งเป็นปัญหาด้านความปลอดภัยที่ร้ายแรงเกินกว่าจะให้อภัยได้
เหตุการณ์นี้ไม่เพียงแต่นำไปสู่การฟ้องร้อง แต่ยังเป็นจุดที่ทำให้ Google ตัดสินใจยุติการให้บริการ Google Plus สำหรับผู้ใช้งานทั่วไปลงอย่างเป็นทางการในปี 2019
มหากาพย์การไล่ตาม Facebook ที่ใช้เงินลงทุนมหาศาลและเวลายาวนานนับทศวรรษ ได้จบลงอย่างสมบูรณ์
เรื่องราวของ Google Plus ได้ทิ้งบทเรียนสำคัญไว้มากมาย
บทเรียนแรกคือ การลอกเลียนแบบไม่ใช่คำตอบของนวัตกรรม การสร้างสิ่งที่แตกต่างและมีคุณค่าอย่างแท้จริงเท่านั้นที่จะทำให้เราโดดเด่น
บทเรียนที่สองคือ ต้องฟังเสียงของผู้ใช้งาน การบังคับฝืนใจผู้บริโภคจะนำไปสู่การต่อต้านเสมอ
บทเรียนที่สามคือ ความเรียบง่ายคือหัวใจสำคัญ ฟีเจอร์ที่ซับซ้อนเกินไปอาจกลายเป็นอุปสรรคที่ทำให้ผู้คนไม่อยากใช้งาน
และบทเรียนสุดท้ายคือ ความไว้วางใจคือสิ่งที่เปราะบางที่สุด โดยเฉพาะในเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูล
ความล้มเหลวของ Google Plus คือเครื่องพิสูจน์ว่า ต่อให้เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีทรัพยากรล้นฟ้า ก็ไม่ได้การันตีความสำเร็จเสมอไป
Google Plus พยายามที่จะเป็นทุกอย่างสำหรับทุกคน แต่สุดท้ายกลับไม่เป็นอะไรเลยสำหรับใครสักคน
นี่คือบทเรียนราคาแพงที่แม้แต่บริษัทที่ดูเหมือนจะสมบูรณ์แบบอย่าง Google ก็ยังต้องเรียนรู้ และมันยังคงเป็นบทเรียนที่สำคัญมาจนถึงทุกวันนี้.
References : [Mashable, TheVerge, Wired, ArsTechnica, TheNewYorkTimes]
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA
Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ
Geek Forever’s Podcast
“Open Your World With Technology“
AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning
Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ













