เรียนรู้ ฝึกฝน รับฟีดแบค : อัพสกิลตัวเองใน 3 ขั้นตอน สูตรลับการพัฒนาตนเองที่ใคร ๆ ก็ทำได้

การพัฒนาตนเองเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา และแท้จริงแล้วชีวิตของเราก็ขึ้นอยู่กับสิ่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ทักษะใหม่เพื่อให้ได้งานในฝัน หรือการเล่นดนตรีที่เราใฝ่ฝันมานาน การเรียนรู้คือหัวใจสำคัญของทุกสิ่ง แต่บางครั้งเราอาจสงสัยว่าทำไมเราถึงไม่ได้เก่งขึ้นเลย แม้จะฝึกฝนมาหลายปี

ลองนึกถึงการเขียนหนังสือ คุณอาจจะลองเขียนมาตั้งแต่อายุ 6-7 ขวบ แต่ทักษะการเขียนของคุณอาจไม่ได้พัฒนาขึ้นมากนัก ทั้งๆ ที่ฝึกฝนมาหลายปี แต่กลับไม่เห็นพัฒนาการที่ชัดเจน นี่แสดงให้เห็นว่าการเรียนรู้นั้นต้องการมากกว่าแค่การฝึกฝนซ้ำๆ เพียงอย่างเดียว

เป็นอีกหนึ่งข้อมูลที่น่าสนใจจากหนังสือ Get Better at Anything: 12 Maxims for Mastery โดย Scott H. Young ที่ Scott ได้อธิบายถึงปัจจัยสำคัญ 3 ประการที่จำเป็นต่อการพัฒนาตนเองในด้านต่างๆ ให้ประสบความสำเร็จ ได้แก่ การเรียนรู้จากผู้อื่น การฝึกฝนด้วยตนเอง และการรับข้อเสนอแนะ (feedback) ที่มีคุณภาพ

1. การเรียนรู้จากผู้อื่น

เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะความรู้ส่วนใหญ่ของเรามาจากการสังเกตและเลียนแบบผู้อื่น การที่จะเรียนรู้บางสิ่งด้วยตัวเองนั้นยากกว่ามาก เราจำเป็นต้องเห็นวิธีการทำของคนอื่นอย่างชัดเจน ไม่ใช่แค่ฟังคำบอกเล่า ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการเรียนรู้ของทารก พวกเขาเรียนรู้การเดินและพูดโดยการสังเกตและเลียนแบบผู้ใหญ่รอบตัว

แต่ความสามารถในการเลียนแบบนี้ก็มีข้อเสียเช่นกัน หากเราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีต้นแบบที่ดีให้เลียนแบบ การพัฒนาก็จะเป็นเรื่องยาก

ยกตัวอย่างเช่น กรณีของผู้เล่นเกม Tetris ที่ต้องใช้เวลาเกือบ 20 ปีกว่าจะพัฒนาทักษะได้อย่างก้าวกระโดด เพราะในช่วงแรกพวกเขาไม่มีโอกาสได้เห็นเทคนิคการเล่นของผู้เล่นที่เก่งกว่า

จนกระทั่งอินเทอร์เน็ตเข้ามา ทำให้พวกเขาสามารถเข้าถึงเครือข่ายผู้เล่นที่กว้างขึ้น และได้เรียนรู้จากกันและกัน ส่งผลให้ทักษะพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว

การเรียนรู้จากผู้อื่นนั้นมีหลักการที่สำคัญอยู่หลายประการ หนึ่งในนั้นคือทฤษฎี Cognitive Load Theory ซึ่งอธิบายว่าเรามีขีดจำกัดในการประมวลผลข้อมูลในหน่วยความจำขณะทำงาน (working memory) เหมือนคอมพิวเตอร์ที่มี RAM จำกัด

เมื่อเราต้องจัดการกับข้อมูลมากเกินไปในคราวเดียว สมองจะทำงานเต็มขีดความสามารถและการเรียนรู้จะหยุดชะงัก ดังนั้นการเริ่มต้นเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จึงควรเริ่มจากพื้นฐานและค่อยๆ เพิ่มความซับซ้อนขึ้นทีละน้อย

นอกจากนี้ ความสำเร็จก็มีบทบาทสำคัญในการเรียนรู้เช่นกัน แม้ว่าเราจะเรียนรู้จากความผิดพลาด แต่ความสำเร็จช่วยสร้างแรงจูงใจและเสริมสร้างความเชื่อมั่นในความสามารถของตนเอง (self-efficacy) ซึ่งหมายถึงความเชื่อว่าเราเก่งแค่ไหนในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

ความเชื่อนี้ส่วนใหญ่มาจากประสบการณ์ในอดีตมากกว่าความสามารถตามธรรมชาติ ดังนั้นการได้รับชัยชนะเล็กๆ น้อยๆ ในช่วงแรกของการเรียนรู้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาแรงจูงใจ

อย่างไรก็ตาม มีข้อควรระวังในการเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากบ่อยครั้งที่ผู้เชี่ยวชาญอาจข้ามขั้นตอนบางอย่างโดยไม่รู้ตัวเมื่ออธิบายให้ผู้อื่นฟัง เพราะกระบวนการเหล่านั้นกลายเป็นเรื่องอัตโนมัติสำหรับพวกเขาไปแล้ว

วิธีแก้ปัญหานี้คือการให้ผู้เชี่ยวชาญลงมือทำและอธิบายไปพร้อมๆ กัน ซึ่งจะช่วยลดโอกาสที่พวกเขาจะข้ามขั้นตอนสำคัญ และทำให้เราได้เห็นกระบวนการคิดของพวกเขาด้วย

2. การฝึกฝนด้วยตนเอง

เป็นขั้นตอนที่สำคัญไม่แพ้กัน การฝึกฝนช่วยลดความพยายามทางจิตใจที่จำเป็นในการทำงาน ซึ่งเหมือนกับการขับรถ ในตอนแรกอาจต้องใช้สมาธิอย่างมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป มันจะค่อยๆ กลายเป็นเรื่องอัตโนมัติ

นอกจากนี้การฝึกฝนยังช่วยให้เราจดจำข้อมูลเกี่ยวกับทักษะนั้นๆ ได้ดีขึ้น การดึงข้อมูลออกมาใช้อย่างสม่ำเสมอเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเสริมสร้างความจำระยะยาว

และที่สำคัญทักษะบางอย่างไม่สามารถเรียนรู้ได้จากการดูเพียงอย่างเดียว เช่น การเล่นกอล์ฟ คุณอาจดูการแข่งขันกอล์ฟทั้งชีวิต แต่จะไม่มีทางเก่งขึ้นเลยจนกว่าจะลงมือจับไม้กอล์ฟและฝึกฝนด้วยตัวเอง

การฝึกฝนอย่างมีประสิทธิภาพนั้นมีหลักการสำคัญหลายประการ ประการแรกคือการฝึกฝนในระดับความยากที่เหมาะสม ไม่ง่ายเกินไปจนไม่ท้าทาย และไม่ยากเกินไปจนท้อแท้

ประการที่สองคือการมุ่งเน้นที่ปริมาณผลงานมากกว่าความสมบูรณ์แบบ การศึกษาพบว่านักวิทยาศาสตร์และศิลปินที่ประสบความสำเร็จสูงมักผลิตผลงานจำนวนมาก แม้ว่าอัตราความสำเร็จจะเท่ากับคนอื่น แต่เพราะพวกเขาผลิตงานมากกว่าจึงมีโอกาสสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมได้มากกว่า

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ “จิตใจไม่ใช่กล้ามเนื้อ” ซึ่งหมายความว่าการฝึกฝนทักษะหนึ่งไม่ได้ส่งผลต่อความสามารถโดยรวมเหมือนการสร้างกล้ามเนื้อของเหล่านักกีฬา

ตัวอย่างเช่น การเล่นเกมฝึกสมองไม่ได้ช่วยพัฒนาความสามารถทางสมองโดยรวม แต่เป็นเพียงการฝึกทักษะเฉพาะในเกมนั้นๆ เท่านั้น

ดังนั้นเมื่อเราฝึกฝนเราควรทำให้มันเฉพาะเจาะจงและใกล้เคียงกับสิ่งที่เราต้องการให้สำเร็จมากที่สุด เช่น ถ้าต้องการเรียนรู้วิธีถามทางในภาษาสเปน ก็ควรฝึกพูดประโยคจริงๆ ไม่ใช่แค่ท่องคำศัพท์ภาษาสเปนแบบสุ่มในแอปพลิเคชัน

3. การรับข้อเสนอแนะ (feedback) ที่มีคุณภาพ

เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาและบรรลุระดับประสิทธิภาพสูงสุด แต่การรับข้อเสนอแนะที่มีประสิทธิภาพนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากมนุษย์เรามักจะไม่เก่งในการประเมินความสามารถของตัวเองอย่างแม่นยำ เราอาจจะคิดผิดพลาดเกี่ยวกับประสิทธิภาพของการฝึกฝนหรือระดับความสามารถของเราในบางเรื่อง

วิธีหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหานี้คือการติดตามและวิเคราะห์ประสิทธิภาพและความก้าวหน้าของตัวเองอย่างเป็นระบบ เช่น การใช้ excel โดยให้บันทึกวิธีการตัดสินใจ ผลลัพธ์ และระดับความมั่นใจในแต่ละครั้ง

วิธีนี้จะช่วยให้เราเห็นภาพรวมของพัฒนาการและความสัมพันธ์ระหว่างการตัดสินใจกับผลลัพธ์ได้ชัดเจนขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันไม่ให้เราตื่นเต้นกับไอเดียใหม่ๆ มากเกินไปจนตัดสินใจผิดพลาด ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้บ่อยในช่วงเริ่มต้นของการเรียนรู้สิ่งใหม่

เมื่อเราได้รับข้อเสนอแนะมากขึ้น เราอาจพบว่าเทคนิคบางอย่างที่เคยใช้มาไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร การเลิกใช้เทคนิคเหล่านี้อาจเป็นเรื่องยาก

แต่มีวิธีที่จะช่วยได้ เช่น การรับข้อเสนอแนะตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยแก้ไขเทคนิคที่ไม่เหมาะสมก่อนที่มันจะกลายเป็นนิสัย หรือถ้าเราพัฒนาเทคนิคที่ไม่ดีไปแล้ว เราอาจใช้วิธีเพิ่มข้อจำกัดในการฝึกฝนเพื่อบังคับให้ตัวเองใช้เทคนิคที่ถูกต้อง

ตัวอย่างที่น่าสนใจคือ ถ้าต้องการฝึกตีลูกเทนนิสให้ตรงกลางไม้ เราอาจใช้ไม้เทนนิสที่มีขนาดเล็กลง วิธีนี้จะทำให้เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตีลูกให้ตรงกลางไม้ ทำให้เราไม่สามารถพึ่งพาเทคนิคเก่าที่ไม่ถูกต้องได้

อุปสรรคสำคัญอีกประการหนึ่งในการรับข้อเสนอแนะคือความกลัว เพราะโดยธรรมชาติแล้วมนุษย์เรามักหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้รู้สึกกลัวหรืออึดอัด แม้ว่าความกลัวจะช่วยให้เรามีชีวิตรอดในบางสถานการณ์

แต่เมื่อมันเกี่ยวข้องกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ความกลัวความอับอายหรือความล้มเหลวกลับเป็นอุปสรรคสำคัญ ยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งเราหลีกเลี่ยงความกลัวมากเท่าไร สมองของเราก็ยิ่งเสริมแรงพฤติกรรมนี้ว่าเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ดี ทำให้เมื่อเวลาผ่านไป ความกลัวกลับยิ่งทวีความรุนแรงและยากที่จะเอาชนะมากขึ้น

วิธีแก้ปัญหานี้คือการบังคับตัวเองให้เผชิญหน้ากับสิ่งที่กลัว เมื่อเราลองทำสิ่งที่กลัวและได้รับประสบการณ์ที่ดี สมองของเราจะเรียนรู้อย่างรวดเร็วว่าไม่มีอะไรน่ากลัวอย่างที่คิด

เช่น ถ้าเรากลัวการพูดในที่สาธารณะ แต่เมื่อได้ลองขึ้นเวทีในคืน Open Mic และถ้าหากผ่านไปได้ด้วยดี เราก็จะเอาชนะความกลัวนั้นได้เร็วขึ้น

แต่แม้แต่ประสบการณ์ที่ไม่ดี เช่น การถูกโห่ไล่ลงจากเวที ก็สามารถช่วยลดความวิตกกังวลได้ในระยะยาว หากเรายังคงพยายามต่อไป เพราะเราจะตระหนักว่าแม้จะเป็นประสบการณ์ที่ไม่ดี แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลร้ายแรงต่อชีวิตของเราอย่างที่คิด

บทสรุป

เมื่อเราเข้าใจหลักการทั้งสามประการนี้แล้ว เราสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราต้องการเรียนรู้ทักษะใหม่หรือพัฒนาความสามารถที่มีอยู่ให้ดียิ่งขึ้น

สิ่งสำคัญที่ควรคำนึงถึงคือการปรับวิธีการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับระดับประสบการณ์ของเรา ในช่วงเริ่มต้นเราควรเน้นการเรียนรู้และฝึกฝนที่มีโครงสร้างชัดเจน เช่น การใช้คอร์สออนไลน์ที่มีการวางแผนการเรียนอย่างเป็นระบบ หรือการเลียนแบบงานของผู้อื่นอย่างใกล้ชิด

วิธีนี้จะช่วยให้เราหลีกเลี่ยงข้อมูลที่มันท่วมท้นมากจนเกินไป และช่วยให้เราเห็นความก้าวหน้าได้ชัดเจน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการสร้างแรงจูงใจ

เมื่อเรามีประสบการณ์มากขึ้น เราควรค่อยๆ ลดโครงสร้างลงและเพิ่มความท้าทายให้มากขึ้น เช่น การเลียนแบบงานของคนอื่นแต่เพิ่มการปรับเปลี่ยนบางส่วนตามความคิดของเราเอง จากนั้นค่อยๆ เพิ่มความเป็นอิสระในการสร้างสรรค์มากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดเราสามารถสร้างงานใหม่ที่เป็นของเราเองได้อย่างสมบูรณ์

งานวิจัยชี้ให้เห็นว่าการทำงานในลักษณะนี้ไม่เพียงแต่สนุกที่สุด แต่ยังมีประสิทธิภาพมากที่สุดสำหรับการเรียนรู้ในระดับสูงด้วย

นอกจากนี้ ยังมีสองสิ่งที่ทุกคนสามารถทำได้เพื่อปรับปรุงการเรียนรู้ของตนเองได้ทันที นั่นคือ การเข้าร่วม Community ของคนที่มีความสนใจหรือเป้าหมายคล้ายกัน และการหาโค้ชหรือผู้เชี่ยวชาญที่สามารถให้คำแนะนำได้

Community ที่ดีมีประโยชน์มากมาย เช่น ช่วยให้เราหลีกเลี่ยงอคติของตัวเองในการวิเคราะห์ความก้าวหน้า ช่วยลดความกลัวในการลองสิ่งใหม่ๆ เป็นแหล่งช่วยเหลือเราเมื่อเราติดขัดในการฝึกฝน และเป็นแหล่งที่ให้ข้อเสนอแนะที่มีคุณค่า

ส่วนการมีโค้ชหรือผู้เชี่ยวชาญนั้น จะช่วยให้เราได้รับข้อเสนอแนะเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดได้อย่างรวดเร็ว ช่วยควบคุมระดับความยากของการฝึกฝนให้เหมาะสมกับเรา และที่สำคัญคือเราสามารถเรียนรู้โดยตรงจากประสบการณ์ของพวกเขาได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเราสามารถดูพวกเขาทำงานจริงและฟังคำอธิบายไปพร้อมๆ กัน ซึ่งจะช่วยให้เราเห็นกระบวนการคิดและการทำงานอย่างละเอียด

ท้ายที่สุด การพัฒนาตนเองเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความพยายาม แต่ด้วยความเข้าใจในหลักการสำคัญทั้งสามประการ คือ การเรียนรู้จากผู้อื่น การฝึกฝนด้วยตนเอง และการรับข้อเสนอแนะที่มีคุณภาพ เราสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ทักษะใหม่ การพัฒนาความสามารถที่มีอยู่ หรือแม้แต่การเริ่มต้นธุรกิจใหม่ ซึ่งหลักการเหล่านี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในทุกด้านของชีวิต

References :
หนังสือ Get Better at Anything: 12 Maxims for Mastery โดย Scott H. Young


 


ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA



Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ



Geek Forever’s Podcast


“Open Your World With Technology


AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning

Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Youtube
ฟังผ่าน Youtube