เคยสังเกตไหมครับว่า โลกในศตวรรษที่ 21 เปลี่ยนแปลงไปไกลแค่ไหน เรามี AI ขับรถยนต์อัตโนมัติ เราคุยกันข้ามโลกแบบเห็นหน้า แต่อย่างหนึ่ง ที่มันแทบไม่เคยเปลี่ยนไปเลย คือ “โรงเรียน”
ลองหลับตานึกถึงห้องเรียนเมื่อ 100 ปีก่อน มีครูยืนอยู่หน้าห้อง มีกระดานดำ มีนักเรียนนั่งเป็นแถว ทุกคนเรียนวิชาเดียวกัน ด้วยความเร็วเท่ากัน เมื่อระฆังดัง ก็ลุกขึ้นย้ายไปเรียนวิชาถัดไป
ทีนี้ ลืมตาขึ้นมาดูห้องเรียนในปัจจุบัน มันก็ยังคงเป็นภาพเดิม อาจจะเปลี่ยนจากกระดานดำ เป็น Whiteboard หรือ Smart TV แต่สิ่งที่เปรียบเสมือน “ระบบปฏิบัติการ” หรือ Operating System ของการเรียนมันก็ยังคงเป็นแบบเดิม
นี่คือโมเดลที่เรียกว่า “Factory Model” หรือ โมเดลโรงงานอุตสาหกรรม มันถูกออกแบบมาในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม เป้าหมายของมันชัดเจนมาก นั่นคือการผลิต “ผลผลิต” หรือแรงงาน ที่มีมาตรฐานเดียวกัน เพื่อป้อนเข้าสู่ระบบโรงงาน
โมเดลนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อ “ค่าเฉลี่ย” มันไม่สนใจว่าคุณเก่งหรืออ่อน เด็กที่เก่งมาก ก็ต้องนั่งรอเพื่อนที่เรียนช้ากว่า แล้วก็เริ่มเบื่อ ส่วนเด็กที่เรียนช้าหน่อย ก็ตามไม่ทัน แล้วก็เริ่มท้อ สุดท้าย ก็จะเหลือแค่เด็ก “กลางๆ” ที่ไปต่อได้
นี่คือปัญหาที่เรารู้กันมานาน แต่กลับไม่มีใครแก้ได้อย่างจริงจัง โดยเฉพาะในตลาดโรงเรียนระดับบน อย่าง โรงเรียนนานาชาติ ผู้ปกครองยอมจ่ายเงินปีละหลายแสน หรืออาจจะแตะหลักล้าน เพื่อแลกกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่ดีกว่า ครูต่างชาติ และคอนเนคชัน แต่ถ้าเรามองลึกเข้าไปที่ “แก่น” ของการเรียน มันก็ยังคงเป็นโมเดลโรงงานแบบเดิม
เรื่องราวทั้งหมดนี้ อาจจะยังเหมือนเดิมไปอีก 100 ปี ถ้าหากไม่มีผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ชื่อ MacKenzie Price เธอคือบัณฑิตจากมหาวิทยาลัย Stanford และที่สำคัญที่สุด… เธอเป็น “แม่”
MacKenzie Price พบปัญหาที่เจ็บปวดมาก นั่นคือ “ลูกๆ ของเธอเกลียดโรงเรียน” ลูกๆ บอกว่าโรงเรียนมันน่าเบื่อ เธอพยายามหาโรงเรียนที่ดีที่สุดให้ลูก แต่ไม่ว่าจะไปเยี่ยมชมกี่แห่ง มันก็คือ “โมเดลเดิม” ที่อยู่ในเปลือกที่ต่างกัน
ในฐานะแม่ เธอทนไม่ได้ เธอรู้สึกว่ามันต้องมีวิธีที่ดีกว่านี้ นี่คือโลกยุคที่ AI ทำอะไรได้สารพัด ทำไมการศึกษาของเรายังติดอยู่ในอดีต จุดเริ่มต้นเล็กๆ ของแม่คนหนึ่ง ที่อยากแก้ปัญหาให้ลูก กำลังจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ “การปฏิวัติ” ที่จะเข้ามาท้าทายอุตสาหกรรมการศึกษาทั่วโลก นี่คือเรื่องราวของ Alpha School
ในปี 2014, MacKenzie Price ตัดสินใจว่า “ถ้าหาโรงเรียนที่ใช่ไม่ได้ ก็สร้างมันขึ้นมาเอง” เธอเริ่มต้นด้วยการไปร่วมมือกับเครือข่ายโรงเรียนทางเลือกเล็กๆ ที่ชื่อว่า Acton Academy
แนวคิดของ Acton Academy ก็น่าสนใจอยู่แล้ว เน้นการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำจริง เน้นการเรียนรู้ด้วยตัวเอง หรือ Self-paced learning มันดีกว่าโมเดลโรงงานแบบเดิมๆ… แต่มันก็ยังไม่ “สุด”
มันเหมือนกับคุณพยายามจะสร้างรถยนต์ไฟฟ้า แต่คุณยังไม่มีแบตเตอรี่ Lithium-ion ที่ดีพอ สิ่งที่คุณได้ ก็อาจจะเป็นแค่รถกอล์ฟ ไม่ใช่ Tesla
สิ่งที่ MacKenzie Price ขาดไป กำลังจะมาในรูปแบบของ “มหาเศรษฐี” ด้านเทคโนโลยี ชายคนนี้ชื่อ Joe Liemandt เขาคือผู้ก่อตั้งบริษัทซอฟต์แวร์ Trilogy Software และ ESW Capital เขาเป็นอัจฉริยะด้านวิศวกรรมซอฟต์แวร์ เป็นคนที่มองทุกอย่างเป็น “ระบบ”
เมื่อ Joe Liemandt มองไปที่ “ระบบการศึกษา” สิ่งที่เขาเห็น ไม่ใช่ความสวยงามของการเรียนรู้ แต่เขาเห็น “ความไร้ประสิทธิภาพ” ครั้งมโหฬาร เขาเห็น “คอขวด” ที่ใหญ่ที่สุด
คอขวดนั้น คือ “ครูหนึ่งคน” ที่ต้องพยายามถ่ายทอดความรู้ให้ “นักเรียน 30 คน” มันเป็นไปไม่ได้เลย ที่ครูจะรู้ว่าเด็กแต่ละคน เข้าใจตรงไหน หรือ ไม่เข้าใจตรงไหน ในเวลาเดียวกัน
Joe Liemandt มองว่าปัญหานี้ มันแก้ได้ด้วยเทคโนโลยี ไม่ใช่แค่การเอา iPad มาแจกเด็ก แต่คือการสร้าง “AI” ที่มาทำหน้าที่เป็น “ครูสอนพิเศษส่วนตัว” หรือ Personal Tutor ให้เด็กทุกคน
และเมื่อ MacKenzie Price ที่มี “ปัญหา” มาเจอกับ Joe Liemandt ที่มี “วิธีแก้ปัญหา” Alpha School ในเวอร์ชันที่เรารู้จักกันในวันนี้ จึงได้ถือกำเนิดขึ้น
เป้าหมายของพวกเขา ไม่ใช่การสร้างโรงเรียนนานาชาติที่ดีกว่าเดิม แต่คือการ “ทำลาย” โมเดลโรงเรียนแบบเดิมทิ้งไป
พวกเขาตั้งเป้าหมายที่ฟังดูบ้ามาก “ทำยังไง ให้เด็กเรียนจบหลักสูตรทั้งหมด ที่โรงเรียนทั่วไปใช้เวลา 8 ชั่วโมง ให้เสร็จภายใน 2 ชั่วโมง”
เมื่อตั้งโจทย์แบบนี้… ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหมด โครงสร้างของ Alpha School ไม่เหมือนโรงเรียนใดๆ ที่เราเคยเห็น มันถูกออกแบบใหม่ทั้งหมด โดยยึดหลักการที่เรียกว่า “2 Hour Learning”
ลองนึกภาพการไปโรงเรียน Alpha นักเรียนมาถึงตอนเช้า… แต่ไม่มีการเข้าห้องเรียนไปเจอครูประจำชั้น เด็กๆ จะเดินไปที่โต๊ะของตัวเอง หยิบ Laptop ขึ้นมา แล้วเริ่ม “เรียน”
ในช่วง 2 ชั่วโมงแรกของวัน คือช่วงเวลา “Crush Academics” หรือ “การอัดวิชาการ” เด็กทุกคน จะเรียนวิชาหลัก ไม่ว่าจะเป็น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ การอ่าน การเขียน ทั้งหมดนี้ เรียนผ่านแอปพลิเคชัน
มันไม่ใช่แค่การนั่งดูวิดีโอการสอนทั่วไป แต่มันคือโปรแกรม AI ที่ปรับตัวตามความสามารถของเด็กแต่ละคน ที่เรียกว่า Adaptive Learning Software
หลักการสำคัญของมันเรียกว่า “Mastery-Based Learning” หรือ “การเรียนรู้จนกว่าจะเชี่ยวชาญ” ถ้าจะให้อธิบายง่ายๆ มันเป็นแบบนี้
ในโรงเรียนปกติ ถ้าวันนี้ครูสอนเรื่อง “การบวกเศษส่วน” ครูจะสอน 50 นาที ให้การบ้าน แล้วพรุ่งนี้ก็ไปเรื่อง “การลบเศษส่วน” นี่คือการเรียนที่ “เวลา” เป็นตัวกำหนด เด็กที่ยังบวกไม่เป็น ก็ต้องพยายามตามให้ทัน เด็กที่บวกเป็นตั้งแต่ 5 นาทีแรก ก็นั่งเบื่อไป 45 นาที
แต่ที่ Alpha School AI จะยื่นแบบฝึกหัดเรื่อง “การบวกเศษส่วน” ให้กับเด็ก ถ้าเด็กทำผิด… AI จะไม่อนุญาตให้ไปต่อ มันจะอธิบายใหม่ เปลี่ยนวิธีสอน ให้โจทย์ที่ง่ายลง จนกว่าเด็กจะ “เข้าใจ” มันจริงๆ สมมติว่าต้องทำถูก 90% ขึ้นไป
พอเด็กเก่งแล้ว… AI ถึงจะพาไปเรื่อง “การลบเศษส่วน” นี่คือการเรียนที่ “ความเข้าใจ” เป็นตัวกำหนด เด็กที่เก่ง อาจจะจบเรื่องนี้ใน 20 นาที เด็กที่ต้องใช้เวลาหน่อย อาจจะใช้เวลา 2 วัน แต่นั่นไม่สำคัญ… เพราะทุกคนจะ “เก่ง” เรื่องนี้จริงๆ ก่อนไปต่อ
Alpha School อ้างว่า ด้วยวิธีนี้ เด็กสามารถเรียนรู้ได้เร็วกว่าเด็กในระบบปกติถึง 2.6 เท่า และเด็กของเขา มีผลการสอบวัดมาตรฐานระดับชาติ อยู่ในกลุ่ม Top 1-2% ของประเทศ
ฟังดูเหมือนเป็นดินแดนในฝันของการศึกษา แต่นี่คือโลกแห่งความเป็นจริง เมื่อมีนวัตกรรมใหม่ ก็ย่อมมีแรงต้าน และ “การเผชิญหน้า” ที่แท้จริงของ Alpha School ก็คือ “คำวิจารณ์” จากสังคม
พอเรื่องนี้โด่งดังขึ้นมา… โลกก็แตกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งบอกว่า “นี่แหละอนาคต” อีกฝ่ายบอกว่า “นี่มันบ้าไปแล้ว”
คำถามแรกที่คนโจมตีเลย “แล้วทักษะทางสังคมอยู่ตรงไหน” นี่คุณกำลังสร้างเด็กที่เก่งวิชาการ แต่คุยกับคนไม่เป็นหรือเปล่า เอาเด็กมานั่งจ้องจอคอมพิวเตอร์ 2 ชั่วโมง เด็กๆ จะไม่กลายเป็นซอมบี้ที่ติดหน้าจอเหรอ
คำถามที่สอง ตามมาติดๆ “นี่มันโรงเรียนสำหรับคนรวยชัดๆ” ค่าเทอมของ Alpha School ไม่ได้ถูก มันอยู่ในระดับเดียวกับโรงเรียนนานาชาติชั้นนำ ตัวเลขกลมๆ คือประมาณ 40,000 ถึง 75,000 ดออลาร์สหรัฐฯต่อปี หรือราว 1.5 ถึง 2.8 ล้านบาท
แล้วมันจะมา “ปฏิวัติ” การศึกษาได้ยังไง ถ้าคนส่วนใหญ่เข้าไม่ถึง นี่มันก็แค่ของเล่นใหม่ของมหาเศรษฐีใน Silicon Valley เท่านั้น
คำถามที่สาม ซึ่งอาจจะเจ็บที่สุด “ผลลัพธ์มันจริงแค่ไหน” ไอ้ที่อ้างว่าเด็กเก่ง Top 1% ของประเทศ ข้อมูลนี้… มาจาก Alpha School เอง มันยัง “ไม่เคย” ได้รับการตรวจสอบอย่างเป็นทางการ จากหน่วยงานภายนอกที่เป็นกลาง
นักการศึกษาหลายคนเลยตั้งข้อสังเกตว่า เด็กที่มาเรียนที่นี่ ส่วนใหญ่ก็เป็นลูกของพ่อแม่ในแวดวงเทคโนโลยี ที่มีฐานะดี มีการศึกษาดี และมีทรัพยากรพร้อมอยู่แล้ว เด็กกลุ่มนี้… ต่อให้ไปเรียนที่ไหน เขาก็เก่งอยู่แล้วหรือเปล่า มันเป็นเพราะ “โมเดล” ของ Alpha หรือเป็นเพราะ “วัตถุดิบ” ที่คัดมา
และคำถามสุดท้าย ที่สั่นสะเทือนวงการครู “ถ้า AI สอนได้… แล้ว ‘ครู’ จะมีไว้ทำไม”
ถ้าโมเดลของ Alpha School ถูกต้อง มันหมายความว่า “อาชีพครู” อย่างที่เราเข้าใจมาตลอด กำลังจะหมดความหมาย
ดูเหมือนว่า Alpha School จะเป็นแค่โปรเจกต์ทดลองที่ดูดี แต่ไม่สามารถขยายผลได้จริง และอาจจะสร้างปัญหาใหม่ๆ ทางสังคมตามมาด้วย
แต่ MacKenzie Price และ Joe Liemandt พวกเขามี “คำตอบ” และคำตอบนั้น… มันไม่ได้อยู่ใน 2 ชั่วโมงแรกของวัน แต่มันอยู่ใน “เวลาที่เหลือ” ต่างหาก
นี่คือจุดไคลแมกซ์ของเรื่องเพราะ Alpha School พลิกเกม ด้วยการตอบคำถามว่า “ครูจะมีไว้ทำไม”
ที่ Alpha School… ไม่มีคำว่า “ครู” หรือ Teacher พวกเขาเรียกบุคลากรเหล่านี้ว่า “Guides” หรือ “ผู้นำทาง”
หน้าที่ของ Guide ไม่ใช่การ “สอน” เพราะการสอนวิชาการ การบรรยาย การอธิบายสูตรคณิตศาสตร์ AI ทำหน้าที่นั้นไปแล้ว และ AI ก็ทำได้ดีกว่าด้วยซ้ำ เพราะมันไม่เคยเหนื่อย ไม่เคยอารมณ์เสีย และมันปรับให้เข้ากับเด็กได้ทีละคน
หน้าที่ของ Guide คือการทำในสิ่งที่ AI ทำไม่ได้ นั่นคือ “การสร้างแรงบันดาลใจ” “การตั้งคำถามที่ทรงพลัง” “การให้คำปรึกษาด้านอารมณ์” “การกระตุ้นให้เด็กอยากเอาชนะตัวเอง”
ในช่วง 2 ชั่วโมงที่เด็กเรียนกับ AI Guide จะไม่เข้าไปยุ่งกับเนื้อหา แต่เขาจะเดินดู คอยสังเกตว่า “วันนี้เธอดูไม่ค่อยมีสมาธิเลยนะ มีอะไรรึเปล่า” หรือ “นายติดตรงนี้นานแล้ว… ลองพักก่อนไหม แล้วค่อยกลับมาสู้ใหม่” Guide คือ “โค้ช” ไม่ใช่ “ผู้บรรยาย”
นี่คือการตอบคำถามข้อแรก “ครู” ไม่ได้หายไป แต่ “ครู” ถูกยกระดับ หรือ Upgrade จาก “คนป้อนข้อมูล” ไปเป็น “คนสร้างคน”
และพอ 10 โมงเช้า… ช่วงเวลา “การอัดวิชาการ” จบลง AI จะถูกปิด และนี่คือเวลาที่ “มนุษย์” จะได้เฉิดฉาย เวลาที่เหลืออีกหลายชั่วโมงของวัน Alpha School ไม่ได้ปล่อยเด็กกลับบ้าน แต่มันคือช่วงเวลาของ “Life Skills Workshops”
นี่คือการตอบคำถามเรื่อง “ทักษะทางสังคม” เด็กๆ จะถูกจับกลุ่มทำโปรเจกต์ที่ยากๆ พวกเขาไม่ได้เรียนทฤษฎี… เขา “ทำ” เลย
อยากเรียนรู้เรื่องการเงิน หรือ Financial Literacy ใช่ไหม งั้นก็ลองสร้างธุรกิจจำลองขึ้นมา แล้วบริหารบัญชีจริงๆ อยากเรียนเรื่องการพูดในที่สาธารณะ หรือ Public Speaking ใช่ไหม งั้นก็ไปเตรียมพรีเซนต์โปรเจกต์ของคุณในสัปดาห์หน้า อยากเรียนเรื่องวิศวกรรม ใช่ไหม งั้นก็ไปสร้างรถมินิ Cybertruck ด้วยกัน นี่คือโปรเจกต์ที่พวกเขาได้ลงมือทำจริงๆ
เด็กๆ ที่ Alpha School ได้เรียนรู้การเขียนโค้ด การเป็นผู้ประกอบการ การคิดเชิงวิพากษ์ การทำงานร่วมกับคนอื่น ในขณะที่เด็กในโรงเรียนปกติ กำลังนั่งเรียนวิชาสุขศึกษาจากตำรา
เห็นภาพไหมครับ Alpha School ไม่ได้ตัด “สังคม” ทิ้ง แต่พวกเขาสกัดเอา “วิชาการ” ที่น่าเบื่อ ออกไปให้ AI ทำ เพื่อ “ปลดล็อก” เวลาอันมีค่าของเด็ก ให้มาใช้กับ “ทักษะ” ที่จำเป็นต่อโลกอนาคตจริงๆ ทักษะที่ AI ยังทำแทนไม่ได้
ส่วนคำถามที่ว่า “มันแพง” และ “มันจริงแค่ไหน” ในปัจจุบัน… ใช่ มันแพงมาก แต่นี่คือธรรมชาติของเทคโนโลยีใหม่ทุกชนิด iPhone เครื่องแรกก็แพงมาก… วันนี้ใครๆ ก็มีสมาร์ทโฟน
สิ่งที่ Joe Liemandt และ MacKenzie Price กำลังทำ คือการพิสูจน์ “โมเดล” หรือ Proof of Concept พวกเขาไม่ได้ตั้งใจจะขายโรงเรียนหรู พวกเขาตั้งใจจะขาย “ระบบปฏิบัติการ 2 Hour Learning” ต่างหาก
ถ้าโมเดลนี้พิสูจน์ได้ว่ามัน “เวิร์ค” จริงๆ ในอนาคต… โรงเรียนทั่วโลก อาจจะมา “ซื้อไลเซนส์” ซอฟต์แวร์นี้ไปใช้ และนั่นจะทำให้ต้นทุนถูกลงมหาศาล
มหาเศรษฐีอย่าง Bill Ackman ก็ออกมาประกาศสนับสนุน Alpha School อย่างเปิดเผย เขาเรียกมันว่า “นวัตกรรมที่พลิกโฉมการศึกษาอย่างแท้จริง” นั่นยิ่งทำให้โมเดลนี้ถูกจับตามอง ตอนนี้ Alpha School กำลังขยายสาขาไปทั่วอเมริกา
เรื่องนี้… กำลังบอกอะไรเรา
สิ่งที่ Alpha School กำลังทำ… มันไม่ใช่แค่การสร้างโรงเรียน แต่มันคือการ “Unbundle” หรือ “การแยกส่วน” การศึกษา
ลองคิดถึง โรงเรียนแบบดั้งเดิม มันคือ “แพ็กเกจ” มันมัดรวมทุกอย่างไว้ด้วยกัน
- การสอนวิชาการ
- การดูแลเด็ก
- การเข้าสังคม
- กิจกรรมและกีฬา
- ใบรับรอง
ผู้ปกครองจ่ายเงินก้อนเดียว เพื่อซื้อทั้ง 5 อย่างนี้ แม้ว่าลูกคุณอาจจะไม่อยากได้บางอย่าง… แต่คุณก็ต้องซื้อ
สิ่งที่ Alpha School ทำ คือการ “แยก” มันออกมา พวกเขาบอกว่า “การสอนวิชาการ” AI ทำได้ดีกว่า เร็วกว่า ดังนั้น พวกเขาจึง “ถอด” มันออกมา แล้วใช้เทคโนโลยีแทน
พอถอดข้อแรกออกไป… มันทำให้โรงเรียนมีทรัพยากร นั่นคือ “เวลา” และ “บุคลากรที่เป็น Guide” เหลือเฟือ ที่จะไปทุ่มเทให้กับ “การเข้าสังคม” และ “กิจกรรม” ในรูปแบบของ Life Skills Workshops ที่เข้มข้นกว่าเดิมมาก
นี่คือการ Disruption ที่น่ากลัวที่สุด สำหรับโรงเรียนนานาชาติ ที่เคยขาย “ความหรูหรา” และ “ครูต่างชาติ” Alpha School กำลังตั้งคำถามว่า
“คุณจะจ่ายเงินปีละล้าน… เพื่อให้ลูกไปนั่งฟังครูต่างชาติบรรยาย… ทั้งๆ ที่ AI ของเรา ก็สอนเรื่องเดียวกันได้ โดยใช้เวลาแค่ 1 ใน 4 แถมยังการันตีว่าเข้าใจจริง… แล้วเอาเวลาที่เหลือ ไปเรียนวิธีสร้างธุรกิจ ไม่ดีกว่าเหรอ”
นี่คือคำถามที่ตอบยากมาก
มันกำลังบอกเราว่า “มูลค่า” ของการศึกษาในอนาคต มันไม่ได้อยู่ที่ “การเข้าถึงความรู้” อีกต่อไป เพราะ AI และอินเทอร์เน็ต ทำให้ความรู้มันฟรี และเข้าถึงได้ง่าย
มูลค่าใหม่ มันกำลังย้ายไปอยู่ที่
- การคัดกรองความรู้
- การสร้างแรงจูงใจ
- และการนำความรู้นั้นไปประยุกต์ใช้
AI เก่งเรื่องการป้อนความรู้ แต่ “Guide” หรือ “ครู” ในยุคใหม่ จะเก่งเรื่องการสร้างแรงจูงใจ และการประยุกต์ใช้
นี่ไม่ใช่เรื่องไกลตัว มันไม่ใช่แค่เรื่องของโรงเรียน Alpha ในอเมริกา แต่มันคือสัญญาณเตือน… ว่าในวันที่ AI ฉลาดขึ้นเรื่อยๆ “ระบบ” ที่เราคุ้นเคยมาทั้งชีวิต… กำลังจะถูกท้าทาย และ “มนุษย์” อย่างเรา… ก็ต้องหานิยามใหม่ให้ตัวเองเช่นกัน ว่าเราจะย้ายตัวเอง จาก “ผู้บรรยาย” ไปเป็น “ผู้นำทาง” ได้อย่างไร ก่อนที่ทุกอย่าง… จะสายเกินไป
References : [wikipedia ,alpha school,theguardian,entrepreneur,cbsnews]
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA
Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ
Geek Forever’s Podcast
“Open Your World With Technology“
AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning
Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ










