การเดิมพันครั้งสุดท้ายของ Intel เมื่อแผนกู้วิกฤติของ Pat Gelsinger กลายเป็นหายนะ

23 มีนาคม 2021 Pat Gelsinger ซีอีโอคนใหม่ของ Intel เตรียมประกาศกลยุทธ์กอบกู้บริษัทที่เคยยิ่งใหญ่แต่สถานการณ์ในตอนนั้น ขวัญกำลังใจพนักงานกำลังตกต่ำ นักลงทุนเริ่มหมดความอดทนกับราคาหุ้นที่ไม่ขยับมากว่า 20 ปี

กล้องเริ่มถ่าย ทุกคนจับจ้องด้วยความตื่นเต้น Gelsinger เผยวิสัยทัศน์ “บริษัทที่ยิ่งใหญ่สามารถกลับมาจากวิกฤติได้แข็งแกร่งกว่าเดิม” เขากล่าวอย่างมั่นใจ “IDM 2.0 เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญที่สุด ซึ่งมีเพียง Intel เท่านั้นที่ทำได้ – นี่คือสูตรแห่งชัยชนะ!”

ช่วงเวลานั้นเต็มไปด้วยความหวัง ทุกคนเชื่อมั่นว่า Gelsinger จะนำพา Intel กลับสู่จุดพีคอีกครั้ง แต่ความจริงกลับไม่เป็นอย่างที่ฝัน

ไม่ถึงสี่ปีหลังจากนั้น Intel อยู่ในสภาพเละเทะ กลยุทธ์ IDM 2.0 ย้อนมาทำร้ายบริษัท มีการตัดลดต้นทุนแหลก ราคาหุ้นลดฮวบ และ Gelsinger ถูกบีบให้ออกจากตำแหน่ง นี่คือเรื่องราวการทำลายตัวเองของยักษ์ใหญ่แห่งวงการชิป

เพื่อเข้าใจว่าทำไม Intel ถึงต้องการการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เราต้องย้อนดูประวัติของบริษัท แม้ Intel จะเป็นผู้บุกเบิกไมโครโพรเซสเซอร์ชิปเชิงพาณิชย์ตัวแรกของโลกอย่าง Intel 4004 แต่บริษัทกลับพลาดการเติบโตของตลาดสมาร์ทโฟนอย่างน่าเสียดาย

แม้แต่เมื่อ Steve Jobs เสนอโอกาสให้ผลิตชิปสำหรับ iPhone พวกเขากลับปฏิเสธด้วยเหตุผลว่ากำไรขั้นต้นน้อยเกินไป ความผิดพลาดไม่ได้หยุดแค่นั้น Intel ยังประเมิน GPU (หน่วยประมวลผลกราฟิก) ต่ำเกินไป

พวกเขามองว่า GPU เป็นเพียงผลิตภัณฑ์สำหรับเกมเมอร์ และยังคงเทิดทูน CPU แทน ซึ่งเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่เมื่อพิจารณาถึงการเติบโตของการขุดคริปโตและโดยเฉพาะยุค AI ที่ GPU กลายเป็นหัวใจสำคัญ

ความมั่นใจมากเกินไปทำให้ Intel ประเมินการกลับมาของ AMD ด้วยสถาปัตยกรรม Ryzen ต่ำไป ทำไมถึงขาดวิสัยทัศน์? คำตอบอยู่ที่ความสำเร็จในอดีตที่ทำให้ Intel ค่อยๆ กลายเป็นบริษัทที่หยุดนิ่ง

พวกเขาเป็นส่วนสำคัญของอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ผ่านข้อตกลงกับ Microsoft Windows หรือที่รู้จักกันในชื่อ “Wintel” ซึ่งสร้างรายได้อย่างมหาศาล

แต่ Intel กลับไม่ทันสังเกตเห็นการชะลอตัวของตลาดคอมพิวเตอร์ในช่วงทศวรรษ 2010 การเรียก Intel ว่า “เชื่องช้า” คงเป็นการประเมินที่ต่ำเกินไป บริษัทต้องการการเปลี่ยนแปลงก่อนจะสูญสิ้นทุกสิ่ง

ในต้นปี 2021 คณะกรรมการแต่งตั้ง Gelsinger เป็นซีอีโอ และมีเหตุผลที่จะมั่นใจ ในขณะที่บริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งล้มเหลวจากการแต่งตั้งผู้บริหารบัญชีหรือธุรกิจทั่วไป Gelsinger กลับแตกต่าง

เขาเคยเป็นวิศวกรที่ Intel มากว่า 30 ปีและเคยเป็นซีอีโอของ VMware เขายังเป็นสถาปนิกหลักของโพรเซสเซอร์ 486 ซึ่งเป็นชิป x86 ตัวแรกของ Intel ที่ยังคงเป็นส่วนสำคัญของคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน

พนักงาน Intel เองก็ตื่นเต้นมาก แม้แต่คนที่เคยถูก Gelsinger ปลดออกก็ยังเชื่อว่าเขาเป็นคนที่ใช่ แล้วแผนของเขาคืออะไร?

ในการประกาศวิสัยทัศน์ Gelsinger ได้เผยกลยุทธ์ที่เขาเชื่อว่าจะพาบริษัทกลับมาเจ๋งอีกครั้ง “เรากำลังกำหนดเส้นทางสู่ยุคใหม่แห่งนวัตกรรมและความเป็นผู้นำที่ Intel” เขากล่าว

แต่ IDM 2.0 คืออะไรกันแน่? ในแก่นแท้แล้ว Gelsinger กำลังทุ่มเททรัพยากรมหาศาลเข้าไปกับธุรกิจ Foundries หรือโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์ขนาดใหญ่

ต่างจาก NVIDIA หรือ AMD ที่ออกแบบไมโครชิปแล้วจ้างบริษัทอื่นผลิต Intel มีประวัติในการออกแบบและผลิตชิปเอง แต่ภายใต้แผน IDM 2.0 Gelsinger วางแผนขยายธุรกิจนี้อย่างไม่เคยมีมาก่อน

เหตุผลมีความชัดเจน ในขณะที่ Intel กำลังล้าหลัง พวกเขาต้องเล่นใหญ่ ในการไล่ตามให้ทัน โดยเฉพาะกับ TSMC ยักษ์ใหญ่จากไต้หวันที่ครองส่วนแบ่งตลาด foundry ทั่วโลกมากกว่า 50%

TSMC แตกต่างจาก Intel ตรงที่พวกเขาไม่ได้ออกแบบชิปของตัวเอง แต่มุ่งผลิตให้กับบริษัทอื่นเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น Nvidia, Apple หรือบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอื่นๆ ทั่วโลก

ในอุตสาหกรรมนี้มีตัวเลือกผู้ผลิตน้อยมาก ทุกบริษัทต้องพึ่งพา TSMC ในระดับหนึ่ง TSMC ผลิตชิปที่เจ๋งมากๆ ในขณะที่ Intel ซึ่งเน้นผลิตเฉพาะชิปตัวเองกำลังตามหลังอย่างหนัก

Intel จึงต้องพัฒนาเพื่อตามให้ทัน พวกเขามี Foundries อยู่แล้ว แต่ด้วยกลยุทธ์ใหม่ พวกเขาจะขยายให้สามารถผลิตชิปสำหรับคนอื่นด้วย ซึ่งหมายถึงโอกาสสร้างรายได้มหาศาล

Intel อยู่ในตำแหน่งเป็นเอกลักษณ์เป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่เพียงรายเดียวในสหรัฐฯ ซึ่งรัฐบาลมองว่าเป็นประเด็นสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ในการรักษาตำแหน่งผู้นำด้านเทคโนโลยีชิปของอเมริกา

เมื่อมีการเสนอกฎหมาย CHIPS Act Intel มีโอกาสเข้าถึงเงินทุนและเงินอุดหนุนจากรัฐบาลหลายพันล้าน และทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนจะสนับสนุนวิสัยทัศน์ของ Gelsinger

แต่การเดิมพันครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก Intel ต้องลงทุนมากกว่า 20 พันล้านดอลลาร์เพื่อเริ่ม IDM 2.0 และยังมีค่าใช้จ่ายอีกมหาศาลตามมา รวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้นประมาณ 100 พันล้านดอลลาร์

Intel พึ่งพารายได้จาก CPU สำหรับคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปมากเกินไป ทำให้ผลประกอบการผูกติดกับความผันผวนของตลาด แม้แต่การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยก็ส่งผลกระทบรุนแรง

นักลงทุนมีความเชื่อมั่น หลังจาก Gelsinger เข้ารับตำแหน่ง ราคาหุ้นของ Intel พุ่งสูงถึง 64 ดอลลาร์ สูงที่สุดในรอบสองทศวรรษ ทุกอย่างดูแจ่ม แต่รอยร้าวแรกกำลังปรากฏ

แม้กลยุทธ์ IDM 2.0 จะดูน่าประทับใจ แต่ Intel ยังมีปัญหาพื้นฐานที่ยังไม่ได้แก้ไข หนึ่งในปัจจัยสำคัญในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์คือขนาดของทรานซิสเตอร์บนชิป

ยิ่งเล็กเท่าไหร่ ก็ยิ่งบรรจุทรานซิสเตอร์ได้มากขึ้น ซึ่งหมายถึงประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นและใช้พลังงานน้อยลง

ในช่วงทศวรรษ 2010 Intel ประกาศจะผลิตชิป 10 นาโนเมตร (nm) ให้พร้อมใช้งานในปี 2016 สร้างความตื่นเต้นให้วงการ แต่เวลาผ่านไปหลายปี กลับไม่มีชิปให้เห็น มีการเลื่อนกำหนดซ้ำแล้วซ้ำเล่า

แม้จะมีกลยุทธ์ทะเยอทะยานภายใต้ Gelsinger แต่ Intel กลับไม่ได้แก้ปัญหารากฐาน พวกเขายังคงพยายามพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์ขนาดเล็กลงด้วยเทคโนโลยีล้าสมัย

ชิป 10nm ถูกเลื่อนไปถึงปี 2019 ซึ่งหากเกิดขึ้นในปี 2016 อาจจะเจ๋ง แต่ในปี 2019 นวัตกรรมดังกล่าวกลายเป็นของเก่าไปแล้ว เมื่อคู่แข่งอย่าง TSMC ก้าวไปไกลกว่ามาก

สถานการณ์ยิ่งแย่เมื่อชิป 10nm จำนวนมากที่ผลิตได้มีข้อบกพร่อง ปัญหานี้ทำให้การพัฒนาชิป 7nm รุ่นถัดไปต้องเลื่อนจากปี 2021 เป็นปี 2023

ในขณะที่ Intel ยังใช้เทคโนโลยีแบบเดิม บริษัทอื่นอย่าง TSMC และ Samsung ได้นำเทคโนโลยีใหม่มาใช้แล้ว นั่นคือ Extreme Ultraviolet Lithography หรือ EUV

EUV เป็นเทคโนโลยีที่ปฏิวัติการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ แต่ Intel กลับพยายามสร้างนวัตกรรมโดยไม่ใช้มัน พวกเขาทะเยอทะยานและมองโลกในแง่ดีเกินไป โดยไม่วางรากฐานที่แข็งแกร่งพอ

ในปี 2021 ขณะที่ Intel เริ่ม IDM 2.0 พวกเขายังคงแก้ปัญหาการผลิตไปพร้อมกัน ยังดิ้นรนส่งมอบเซมิคอนดักเตอร์ 10nm และ 7nm ตามสัญญา

สถานการณ์ยิ่งแย่เมื่อเทียบกับ TSMC เพราะพวกเขาผลิตชิปให้ลูกค้าหลากหลาย จึงมีประสบการณ์มากกว่า Intel ที่เคยผลิตเฉพาะชิปตัวเอง ทั้งยังนำ EUV มาใช้ตั้งแต่เนิ่นๆ

ในขณะที่ Intel ยังดิ้นรนกับชิป 10nm TSMC กำลังผลิตชิปด้วยเทคโนโลยี 7nm, 5nm และกำลังพัฒนาไปสู่ 3nm แล้ว ความแตกต่างทางเทคโนโลยีนี้เป็นอุปสรรคใหญ่

ขณะที่ Intel ทุ่มเงินมหาศาลสร้าง Foundries ใหม่ พวกเขากระตือรือร้นที่จะแย่งส่วนแบ่งตลาดจาก TSMC แต่พบความจริงที่น่าผิดหวัง: ความต้องการบริการของพวกเขาไม่สูงอย่างที่คาด

เหตุผลไม่ซับซ้อน Intel กำลังตามหลังมากขึ้น และทุกคนเห็นชัด บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ไม่ไว้วางใจความสามารถของ Intel โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับ TSMC

แม้ Intel จะทะเยอทะยานสูง แต่พวกเขาวางแผนเกินความสามารถของตัวเอง ตอนนี้พวกเขากำลังไล่ตาม และความล่าช้านี้กำลังส่งผลกระทบต่อกลยุทธ์ IDM 2.0 อย่างหนัก

Intel มีความแตกต่างจาก TSMC ในประเด็นที่เป็นหัวใจธุรกิจ ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีการผลิต แต่เป็นปรัชญาพื้นฐานในการดำเนินธุรกิจ

TSMC ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์กับลูกค้า พวกเขามีชื่อเสียงในเรื่องนี้ ตลอดหลายทศวรรษ ธุรกิจของ TSMC มุ่งเน้นบริการลูกค้าภายนอก “ความไว้วางใจของลูกค้า” จึงเป็นหัวใจหลัก

สำหรับ Intel สถานการณ์ซับซ้อนกว่ามาก พวกเขาประสบปัญหาหนักในการสร้างความไว้วางใจกับบริษัทอย่าง Apple หรือ NVIDIA

ปัญหาหลักมาจากความขัดแย้งทางผลประโยชน์ Intel ไม่เพียงผลิตชิป แต่ยังออกแบบเอง ซึ่งทำให้พวกเขาย่อมให้ความสำคัญกับชิปตัวเองมากกว่าลูกค้าที่เป็นคู่แข่ง

Nvidia จึงไม่ไว้วางใจ Intel ทำให้การดึงดูดธุรกิจจากพวกเขายาก Apple ก็ละทิ้ง Intel ไปแล้วอย่างชัดเจน ทั้งที่เคยเป็นพันธมิตรแข็งแกร่ง

ในปี 2020 Apple ประกาศจะใช้ซิลิคอนที่ออกแบบเองสำหรับ Mac “Apple Silicon จะทำให้ Mac แข็งแกร่งและมีความสามารถมากกว่าที่เคย” Tim Cook ประกาศ

และเหตุผลเบื้องหลังมันก็ถูกเฉลยจากวิศวกรของ Intel เองที่ได้เปิดเผยว่า “การประกันคุณภาพของ Skylake มีปัญหามากกว่าที่คนรู้”

“มันแย่ผิดปกติ เรากำลังได้รับแจ้งข้อผิดพลาดเล็กๆ ภายใน Skylake มากเกินไป เพื่อนที่ Apple กลายเป็นผู้รายงานปัญหาอันดับหนึ่ง และมันแย่มากจริงๆ”

“เมื่อลูกค้าพบข้อบกพร่องเกือบมากเท่าที่คุณพบเอง หมายถึงคุณกำลังเดินผิดทาง” Apple เริ่มหงุดหงิดกับการพลาดกำหนดและปัญหาคุณภาพ จนสุดท้ายก็พูดว่า “พอกันที”

ลองคิดดู ทำไมคุณจะใช้บริการจากบริษัทที่มีผลิตภัณฑ์ด้อยกว่า เทคโนโลยีล้าหลัง มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ และบริการลูกค้าแย่กว่า? แม้ Intel จะเสนอราคาถูกกว่า แต่ก็ไม่มีความหมาย

“คำตอบในอุตสาหกรรมนี้ไม่ใช่ราคา แต่เป็นการบริการลูกค้า” ผู้เชี่ยวชาญกล่าว

สถานการณ์ยิ่งแย่เมื่อแนวโน้มที่ Intel วางเดิมพันกำลังผันผวน การเติบโตของเซมิคอนดักเตอร์ในปี 2020 เริ่มชะลอและเข้าสู่ภาวะถดถอย สิ่งที่ตลาดต้องการคือ GPUs สำหรับ AI มากกว่า CPUs

Intel จึงไม่เพียงต่อสู้เพื่อดึงดูดลูกค้า แต่ยังต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมที่ไม่ได้เตรียมพร้อม

ในขณะนี้ Intel ลงทุนหลายพันล้านไปแล้ว พวกเขาวางแผนสร้างโรงงานสองแห่งในอริโซนา และยังต้องลงทุนปรับปรุงโรงงานเดิม รวมเป็นเงินกว่า 100 พันล้านดอลลาร์

เพื่อแก้ปัญหา ในปี 2024 Intel ตัดสินใจจัดตั้งบริษัทย่อยอิสระสำหรับธุรกิจ foundry เพื่อกำจัดความขัดแย้งทางผลประโยชน์

จากนั้นยังประกาศการตัดลดต้นทุน 10 พันล้านดอลลาร์ พนักงาน 15% จะถูกปลด รวม 15,000 ตำแหน่งหายไป นี่คือสัญญาณความเลวร้ายของสถานการณ์

แม้จะมีความพยายามกู้วิกฤติและข่าวดีจากสัญญากับ Amazon’s AWS แต่มันน้อยและช้าเกินไป ภายในสิ้นปี 2024 ราคาหุ้น Intel เหลือเพียงกว่า 20 ดอลลาร์ บริษัทเริ่มขาดทุน

ธันวาคม 2024 Intel ประกาศการเกษียณของ Gelsinger อย่างกะทันหัน แต่หลายคนเชื่อว่านี่คือการบีบให้ออก การประกาศเกิดเร็วมากจนคณะกรรมการยังไม่มีผู้สืบทอด

แต่ปัญหาไม่จบเพียงแค่นั้น Intel ยังฟ้อง Gelsinger พยายามเรียกคืน 207 ล้านดอลลาร์ที่จ่ายให้ โดยกล่าวหาว่าเขาปกปิดความล้มเหลวและปัญหาของกลยุทธ์ Foundry จากนักลงทุน

กลยุทธ์ Foundry อาจมีจุดอ่อนตั้งแต่เริ่มต้น พวกเขาทำผิดพลาดมาก่อน และพยายามใช้เงินแก้ปัญหาแทนที่จะแก้ที่รากเหง้าของปัญหา

ตั้งแต่เริ่มแผน “นักวิจารณ์เชื่อว่าการใช้จ่ายอย่างเร่งด่วนในเวลาที่มันสายไปแล้วจะไม่สามารถแก้ไขความผิดพลาดในการผลิตที่สั่งสมมานานหลายปีได้” และพวกเขาคิดถูกต้อง

เรื่องราวของ Intel เป็นกรณีศึกษาเกี่ยวกับความเสี่ยงของการทุ่มเงินมหาศาลแก้ปัญหาโดยไม่แก้รากฐาน ความล้มเหลวในการปรับตัวตามตลาด และการขาดความไว้วางใจจากลูกค้า

ในโลกที่เทคโนโลยีก้าวไปข้างหน้าเร็ว แม้แต่ยักษ์ใหญ่อย่าง Intel ก็ไม่สามารถนิ่งเฉยได้ การยึดติดความสำเร็จในอดีตและขาดวิสัยทัศน์ในการมองเห็นการเปลี่ยนแปลง สามารถทำให้แม้แต่บริษัทที่มีทรัพยากรมหาศาลต้องดิ่งลงเหว

Intel จะฟื้นตัวได้หรือไม่ยังเป็นคำถามที่ไร้คำตอบ ฟ้าอาจไม่ได้ลิขิตให้พวกเขาล้มหายตายจากไปเลยทีเดียว แต่บทเรียนนี้บอกเราว่าแม้แต่พี่ใหญ่ในวงการ ถ้าไม่ปรับตัวก็อาจล่มสลายได้เช่นกัน

ตอนนี้ Intel อยู่ในจุดที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงแบบถึงรากถึงโคน พวกเขาไม่ใช่แค่ต้องตามคู่แข่งให้ทัน แต่ต้องรังสรรค์นวัตกรรมที่จะทำให้กลับมาเป็นที่เชิดหน้าชูตาในวงการอีกครั้ง

คงยากที่ Intel จะกลับไปเป็นลูกพี่ในตลาดเหมือนเก่า แต่ความเจ็บปวดจากความล้มเหลวครั้งนี้ อาจเป็นบทเรียนล้ำค่าที่ทำให้พวกเขาเลิกยืมจมูกคนอื่นหายใจ และหันมาปรับกลยุทธ์ที่เข้าท่าขึ้น

เรื่องราวการล่มสลายของ IDM 2.0 เตือนใจเราว่า ความสำเร็จในอดีตไม่ได้การันตีอนาคต และการเพ้อฝันว่าเงินทุนมหาศาลจะแก้ปัญหาทุกอย่างได้ อาจเป็นแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ ที่นำไปสู่ความหายนะ

ในวงการที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดด ผู้นำที่แท้จริงไม่ใช่คนที่ทุ่มเงินมากที่สุด แต่เป็นคนที่ปรับตัวเร็วที่สุด นี่คือบทเรียนที่ Intel ได้เรียนรู้แบบเจ็บแสบ และเป็นเรื่องที่ทุกธุรกิจควรเรียนรู้ก่อนจะสายเกินไป

กรณีของ Intel เป็นเหมือนสิ่งเตือนใจว่า แม้แต่บริษัทที่มีชื่อเสียงโชกโชนกว่าครึ่งศตวรรษก็อาจตกอยู่ในสภาพสิ้นไร้ไม้ตอกได้ หากขาดวิสัยทัศน์และการเตรียมพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่จะมาถึง

ท้ายที่สุด บทเรียนที่ชัดเจนที่สุดจากการล้มเหลวของ Intel คือ การพยายามสร้างอนาคตด้วยเครื่องมือจากอดีต และการแก้ปัญหาโดยไม่เข้าใจรากเหง้าอย่างแท้จริง อาจทำให้แม้แต่ยักษ์ใหญ่ก็ต้องหยุดชะงักและล่มสลายได้ในท้ายที่สุด


 


ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA



Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ



Geek Forever’s Podcast


“Open Your World With Technology


AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning

Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Youtube
ฟังผ่าน Youtube