เมื่อเรานึกถึงเว็บเบราว์เซอร์ในปัจจุบัน เราคงคิดถึง Google Chrome, Safari หรือ Microsoft Edge
เบราว์เซอร์เหล่านี้คือผู้ครองตลาดส่วนใหญ่ โดยเฉพาะ Chrome ที่แทบจะผูกขาดบนคอมพิวเตอร์
แต่หากเราย้อนเวลากลับไปในยุคบุกเบิกของ World Wide Web ช่วงกลางทศวรรษที่ 90 มีชื่อหนึ่งที่ยิ่งใหญ่เหนือใครในตอนนั้น เรียกได้ว่ากินขาดแทบจะเบ็ดเสร็จ
ชื่อนั้นคือ “Netscape Navigator”
Netscape ไม่ใช่แค่เบราว์เซอร์ แต่สำหรับหลายคน มันคือ “อินเทอร์เน็ต”
ถ้าท่านผู้อ่านเคยเข้าอินเทอร์เน็ตในยุคนั้น เป็นไปได้สูงมากว่าโปรแกรมนี้คือประตูบานแรกที่คุณใช้เปิดสู่โลกอินเทอร์เน็ต
ในยุครุ่งเรือง Netscape เป็นบริษัทขนาดใหญ่ มีสำนักงานใน 14 ประเทศทั่วโลก พวกเขามีรายได้รายไตรมาสสูงถึง 120 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ดูเหมือนว่าในตลาดเว็บเบราว์เซอร์ ไม่มีอะไรจะมาหยุดยั้งพลังขับเคลื่อนของ Netscape ได้เลย
แต่เวลาผ่านไปไม่นาน หลังเริ่มต้นสหัสวรรษใหม่ ส่วนแบ่งการตลาดของ Netscape ก็ดิ่งลงเหว
การผงาดขึ้นมาของ Internet Explorer จาก Microsoft ทำให้ Netscape สูญเสียอิทธิพลที่เคยมีไปจนหมด
ภายในปี 2003 บริษัทแม่ต้องเลิกจ้างพนักงานส่วนใหญ่ และยุบเลิกบริษัทอย่างที่เราเคยรู้จัก
คำถามที่น่าสนใจก็คือมันเกิดอะไรขึ้นกับราชาแห่งโลกอินเทอร์เน็ต? ทำไมบริษัทที่ดูเหมือนจะไร้เทียมทาน ถึงล่มสลายลงอย่างรวดเร็ว?
วันนี้ เราจะย้อนเวลากลับไปในยุค 90 เพื่อค้นหาคำตอบของเรื่องราวการรุ่งโรจน์และล่มสลายของ Netscape
เรื่องราวของเราเริ่มต้นในปี 1993 กับการเปิดตัวเบราว์เซอร์ที่ชื่อว่า Mosaic ที่ถูกพัฒนาโดย National Center for Supercomputing Applications ที่ University of Illinois
ต้องบอกก่อนว่า Mosaic ไม่ใช่เบราว์เซอร์ตัวแรกสุดของโลก แต่เป็นเบราว์เซอร์ชื่อ WorldWideWeb ที่พัฒนาโดย Tim Berners-Lee
เขาคือคนเดียวกันกับที่สร้าง World Wide Web ขึ้นมา
Mosaic เปิดตัวหลังจากนั้นไม่กี่ปี และมันมาพร้อมกับคุณสมบัติใหม่มากมายที่เราคุ้นเคยกันในปัจจุบัน
เบราว์เซอร์ WorldWideWeb ทำได้แค่ท่องเว็บจริงๆ และหน้าตาก็ซับซ้อน ไม่ได้ออกแบบมาให้คนทั่วไปใช้
แต่ Mosaic แตกต่างออกไป มันมาพร้อมกับ Graphical User Interface หรือ GUI ที่เป็นมิตรกับผู้ใช้ มีไอคอน มีกราฟิก และนำเสนอแนวคิดอย่าง “บุ๊กมาร์ก”
มันถูกปล่อยให้ใช้งานฟรีสำหรับผู้ใช้ที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์ และด้วยความที่มีเวอร์ชันสำหรับ Windows และ Mac OS ทำให้มันดังเป็นพลุแตก ยอดดาวน์โหลดทะลุ 5,000 ครั้งต่อเดือน ซึ่งถือว่ามหาศาลมากในยุคนั้น
และแน่นอน เมื่อมีของดี ก็มีคนมองเห็นโอกาสทางธุรกิจ
หนึ่งในนั้นคือ Marc Andreessen ผู้ร่วมสร้าง Mosaic หลังจากเรียนจบ เขาย้ายไปแคลิฟอร์เนีย และได้พบกับ Jim Clark ผู้ร่วมก่อตั้ง Silicon Graphics
Jim Clark ประทับใจ Mosaic อย่างมาก และกำลังมองหา “สิ่งใหญ่” ชิ้นต่อไปที่จะลงทุน
ในตอนแรก พวกเขาไม่ได้คิดจะทำเบราว์เซอร์ ไอเดียแรกคือการสร้างบริษัทเกมออนไลน์ คล้ายๆ Xbox Live หรือ PlayStation Network ในปัจจุบัน โดยพวกเขาวางแผนจะทำร่วมกับ Nintendo สำหรับเครื่อง N64
แต่ปัญหาก็คือ นี่มันปี 1994 แต่ N64 มีกำหนดวางจำหน่ายปี 1996 ไอเดียนั้นเลยต้องพับไป
ในที่สุด Marc Andreessen ก็เสนอไอเดียว่า “ทำไมเราไม่สร้างเบราว์เซอร์ที่ดีกว่า Mosaic”
ทั้งสองตัดสินใจลุยทันที
พวกเขาจ้างทีมงานที่เคยทำ Mosaic และอดีตพนักงานบางส่วนจาก Silicon Graphics มาร่วมทีม Jim Clark ลงทุนเงินก้อนแรก 4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
บริษัทสตาร์ทอัพใหม่นี้ ในตอนแรกใช้ชื่อว่า Mosaic Communications Corporation ชื่อนี้เองที่นำไปสู่ปัญหาทางกฎหมายกับ University of Illinois โดยทางมหาวิทยาลัยอ้างว่าพวกเขาขโมยชื่อและทรัพย์สินทางปัญญา
แม้ว่าทีมของ Andreessen จะไม่ได้นำโค้ดเก่ามาใช้เลยแม้แต่บรรทัดเดียว ปัญหาจึงเป็นแค่เรื่องของชื่อเท่านั้น
ณ จุดนั้น โครงการเบราว์เซอร์ลับๆ นี้มีชื่อรหัสว่า Mozilla ซึ่งเป็นคำผสมระหว่าง “Mosaic” และ “Godzilla” หรืออาจจะย่อมาจาก “Mosaic Killer”
ชื่อนี้ฟังดูคุ้นๆ ใช่ไหมครับ? มันคือรากเหง้าของเบราว์เซอร์ที่เราใช้กันในปัจจุบัน
ในที่สุด พวกเขาก็ตัดสินใจใช้ชื่อ “Netscape” สำหรับเบราว์เซอร์ และใช้เป็นชื่อบริษัทในเวลาต่อมา
เพียง 6 เดือนหลังก่อตั้งบริษัท ในเดือนตุลาคม 1994 Netscape Navigator ก็เปิดตัวสู่สาธารณะ มันนำเสนอฟีเจอร์ที่ล้ำหน้าในยุคนั้น เช่น การสตรีมเอกสารอย่างต่อเนื่อง และการรองรับไฟล์ภาพ JPEG
ที่สำคัญที่สุดคือ มันถูกประกาศให้ใช้งาน “ฟรี” สำหรับผู้ใช้ทั่วไป สถาบันการศึกษา และนักวิจัย แม้ว่าบริษัทจะยังไม่ทำกำไรเลย และมีเงินสดเหลือน้อยก็ตามที
แต่โมเดลธุรกิจของพวกเขาคือการเก็บเงินจากภาคธุรกิจที่ต้องการใช้งาน โดยคิดค่าลิขสิทธิ์ 99 ดอลลาร์ต่อผู้ใช้
นี่คือแหล่งรายได้หลักที่ทำให้ Netscape เติบโตอย่างก้าวกระโดด รายได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทุกไตรมาส
เพียง 16 เดือนหลังจากการก่อตั้ง ในเดือนสิงหาคม 1995 Netscape ก็เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์
การเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนั้นประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย เงินลงทุนเริ่มต้น 4 ล้านดอลลาร์ของ Jim Clark กลายเป็นมีมูลค่ากว่า 600 ล้านดอลลาร์ในพริบตา
Netscape Navigator กลายเป็นเบราว์เซอร์ที่นิยมสูงสุดอย่างไม่มีข้อกังขา
เวอร์ชัน 2.0 ที่ออกมาในปี 1995 ได้นำเสนอ Frames และที่สำคัญที่สุดคือเป็นเบราว์เซอร์แรกที่รองรับ JavaScript
ณ จุดนี้ Netscape ไม่ใช่แค่ราชา แต่กำลังกำหนดทิศทางของอนาคตอินเทอร์เน็ต
แต่ในปี 1995 เดียวกันนั้นเอง ก็มีเหตุการณ์สำคัญอีกอย่างหนึ่งเกิดขึ้น เมื่อ Microsoft ได้เปิดตัว Windows 95 และที่มาพร้อมกันนั้น คือโปรแกรมเล็กๆ ที่ชื่อว่า Internet Explorer
Microsoft กระโดดเข้าสู่สนามรบนี้แล้ว และพวกเขาตั้งเป้าหมายไว้ที่ Netscape Navigator
แผนการของ Microsoft คือการทำลายล้างส่วนแบ่งการตลาดของ Netscape ให้สิ้นซาก
Internet Explorer 1.0 นั้นพัฒนามาจากโค้ดที่ได้รับอนุญาตจากบริษัท Spyglass ซึ่งเป็นอีกบริษัทที่ได้สิทธิ์ Mosaic มา มันยังไม่มีฟีเจอร์หวือหวาเท่า Netscape
แต่จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อ Internet Explorer 2.0 ถูก “มัดรวม” หรือติดตั้งมาล่วงหน้าพร้อมกับ Windows
นี่คือกลยุทธ์ที่เปลี่ยนเกมไปตลอดกาล
ลองคิดดูว่าในยุคนั้น Netscape เริ่มไม่ได้แจกฟรีสำหรับทุกคนแล้ว
ในขณะที่คนส่วนใหญ่ที่ซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ ก็ได้ Windows ที่มี Internet Explorer ติดตั้งมาให้เลยฟรีๆ ทำไมพวกเขาจะต้องไปดิ้นรนหาดาวน์โหลด หรือจ่ายเงินเพื่อเบราว์เซอร์อื่น?
นี่คือสิ่งที่ Netscape ไม่สามารถแข่งขันด้วยได้เลย
แนวทางปฏิบัติทางธุรกิจของ Microsoft ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นการเอาเปรียบอย่างไม่เป็นธรรม Microsoft ใช้ประโยชน์จากการมัดรวมนี้อย่างเต็มที่
ในทางเทคนิค พวกเขาขายระบบปฏิบัติการ ไม่ได้ขายเบราว์เซอร์ ทำให้พวกเขาไม่ต้องจ่ายค่าสิทธิให้กับ Spyglass สำหรับเบราว์เซอร์ที่แถมไป
เรื่องนี้จบลงด้วยการที่ Microsoft จ่ายเงิน 8 ล้านดอลลาร์ให้ Spyglass และได้สิทธิ์ในการมัดรวม Internet Explorer ต่อไปโดยไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่มอีก
สงครามเบราว์เซอร์ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ
ในปี 1998 เมื่อ Windows 98 เปิดตัวพร้อม Internet Explorer 4.0 ที่ฝังลึกในระบบ ปีเดียวกันนั้นเอง รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ก็ฟ้องร้อง Microsoft ในคดีการต่อต้านการผูกขาด
นี่คือหนึ่งในคดีประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่สุดของ Microsoft พวกเขาเกือบจะถูกศาลสั่งให้แยกบริษัทออกเป็นสองส่วน
มีการตัดสินในปี 2000 ว่า Microsoft เป็นผู้ผูกขาด และละเมิดกฎหมาย Sherman Antitrust Act แต่หลังจากการยื่นอุทธรณ์ ในปี 2001 รัฐบาลก็ประกาศลดบทลงโทษลง
แม้ว่าคดีนี้จะตีแผ่พฤติกรรมของ Microsoft ให้โลกเห็น
มีคำให้การจากพนักงาน Intel ที่อ้างว่าผู้บริหาร Microsoft มีแผนที่จะ “ฆ่า” Netscape และ “ตัดท่อหายใจ” ของพวกเขา
Bill Gates เองก็ระบุในบันทึกภายในว่า Netscape คือคู่แข่งสำคัญ แต่สุดท้าย Microsoft ก็ไม่เคยถูกบังคับให้หยุดการมัดรวม Internet Explorer
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของจุดจบสำหรับ Netscape Navigator เพราะส่วนแบ่งการตลาดของ Netscape เริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง
แต่ก็ต้องบอกว่าในตอนนั้นบริษัทยังคงมีมูลค่ามหาศาล ในปี 1998 ท่ามกลางสงครามที่กำลังดุเดือด America Online หรือ AOL ก็ได้เข้าซื้อ Netscape Communications
มูลค่าการซื้อขายในตอนนั้นสูงถึง 4.2 พันล้านดอลลาร์ และเมื่อข้อตกลงเสร็จสิ้น มูลค่าก็พุ่งไปแตะ 1 หมื่นล้านดอลลาร์
ในเวลานั้น Netscape ยังคงมีส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า Internet Explorer แต่การเติบโตของ IE นั้นรวดเร็วมาก จนกระทั่งปี 1999 ที่ส่วนแบ่งของทั้งสองเท่ากันที่ประมาณ 40%
หลังจากนั้น Internet Explorer ก็แซงหน้าไปอย่างไม่เห็นฝุ่น
ภายในปี 2002 เบราว์เซอร์ที่เคยครองโลกอย่าง Netscape ต้องดิ้นรนเพื่อรักษาส่วนแบ่งให้ได้แม้เพียง 10%
ดูเหมือนว่านี่คือจุดจบของ Netscape … แต่เรื่องราวมันไม่ได้จบแค่นั้น
หนึ่งปีก่อนที่จะถูก AOL ซื้อกิจการ Netscape ได้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่และกล้าหาญมาก ๆ พวกเขานำ Netscape Communicator ซึ่งเป็นชุดโปรแกรมทั้งหมด มาเปิดเป็นซอฟต์แวร์ “โอเพนซอร์ส” และแจกฟรี
การตัดสินใจครั้งนี้ นำไปสู่การก่อตั้งองค์กรใหม่ที่ชื่อว่า Mozilla Organization โดยใช้ชื่อรหัสเดิมของ Netscape Navigator นั่นเอง
หลังจากการซื้อกิจการของ AOL องค์กร Mozilla ก็ได้แยกตัวออกมาเป็นมูลนิธิอิสระ Mozilla Foundation และ AOL ถึงกับบริจาคเงิน 2 ล้านดอลลาร์เพื่อช่วยให้มูลนิธิใหม่นี้เริ่มต้นได้
ใช่แล้วครับ มูลนิธิ Mozilla ในปัจจุบัน มีรากเหง้ามาจาก Netscape
องค์กรใหม่นี้ได้นำโค้ดโอเพนซอร์สของ Netscape ไปพัฒนาต่อยอด และในที่สุด พวกเขาก็ตัดสินใจโฟกัสไปที่การสร้างแอปพลิเคชันใหม่สองตัว
แอปพลิเคชันที่หลายคนน่าจะรู้จักกันดีในชื่อ Firefox และ Thunderbird
ดังนั้น แม้ว่า Netscape จะพ่ายแพ้ในสงครามเบราว์เซอร์ แต่วิญญาณและ DNA ของมันได้ถูกส่งต่อ และถือกำเนิดใหม่ในชื่อ Firefox
เบราว์เซอร์ที่ในเวลาต่อมา ได้ลุกขึ้นมาต่อสู้กับ Internet Explorer และทวงคืนส่วนแบ่งการตลาดกลับมาได้
มันเหมือนกับพล็อตหนังแก้แค้นที่สมบูรณ์แบบ
คำถามคือ แล้วชะตากรรมของแบรนด์ Netscape ล่ะ?
AOL ยังคงพัฒนา Netscape ต่อไปจนถึงประมาณปี 2008 เวอร์ชันสุดท้าย Netscape 9 นั้นน่าสนใจมาก เพราะมันถูกพัฒนาบนพื้นฐานของ Firefox นั่นเอง เหมือนกับว่าลูกได้กลับมาช่วยพ่อ
แต่เรื่องราวยังไม่จบ
ในปี 2012 AOL ได้ขายบริษัทย่อย Netscape และสิทธิบัตรกว่า 800 รายการ
ลองทายสิครับว่าขายให้ใคร?
คำตอบคือ Microsoft … ใช่แล้วครับ Microsoft ศัตรูตัวฉกาจของพวกเขานั่นเอง โดยจ่ายเงินไปประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์
และเรื่องก็ยิ่งแปลกขึ้นไปอีก เมื่อไม่กี่ปีต่อมา Microsoft ขายบริษัทและสิทธิบัตรเหล่านั้นต่อไปให้ Facebook
ปัจจุบันแบรนด์ Netscape ยังคงเป็นของ AOL (ซึ่งตอนนี้เป็นส่วนหนึ่งของ Verizon) และพวกเขาก็ยังใช้งานมันอยู่
ถ้าลองเข้าไปที่ netscape .com จะพบกับหน้าเว็บพอร์ทัลที่มีข่าวสารและสภาพอากาศที่เป็นปัจจุบัน ไม่ใช่ภาพเก่าเก็บแต่อย่างใด
แต่ถ้าคุณอยากย้อนอดีตจริงๆ ลองไปที่ mcom .com นั่นคือ URL ดั้งเดิมของบริษัทสมัยที่ยังชื่อ Mosaic Communications
คุณจะเห็นหน้าตาเว็บไซต์ในปี 1994 ที่ถูกเก็บรักษาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ โดยมันเกิดจากอดีตพนักงานคนหนึ่งไปโน้มน้าวให้ AOL ช่วยโฮสต์มันไว้เป็นอนุสรณ์
เรื่องราวของ Netscape จึงเป็นมากกว่าแค่ความล้มเหลวทางธุรกิจ แม้ว่าตัวผลิตภัณฑ์จะหายไปจากความทรงจำของผู้คน
แต่ผลกระทบของมันยังคงอยู่กับเราทุกวันนี้
เทคโนโลยีอย่าง JavaScript ที่เป็นหัวใจของเว็บสมัยใหม่ หรือ SSL ที่เป็นรากฐานของความปลอดภัยบนอินเทอร์เน็ต (ตัว S ใน HTTPS)
ทั้งหมดนี้ล้วนถือกำเนิดขึ้นที่ Netscape
และที่สำคัญที่สุด มันได้ให้กำเนิด Firefox
Netscape อาจจะแพ้สงคราม แต่ตำนานของมันได้เปลี่ยนแปลงโลกเราไปตลอดกาล…
References : [wikipedia, computerhistory, wired, arstechnica, webfoundation]
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA
Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ
Geek Forever’s Podcast
“Open Your World With Technology“
AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning
Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ










