หากเราลองหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมา แล้วไล่ดูแอปพลิเคชันที่ใช้งานกันอยู่ทุกวัน เราอาจจะพบเรื่องน่าประหลาดใจอย่างหนึ่ง
ไม่ว่าจะเป็นแอปวิดีโอสั้นสุดฮิตอย่าง TikTok, แพลตฟอร์ม e-commerce ที่เราคุ้นเคยอย่าง Lazada หรือถ้ามองออกไปนอกจอมือถือ แบรนด์รถยนต์ยุโรปสุดหรูอย่าง Volvo หรือแบรนด์รถยนต์ระดับ mass อย่าง BYD ก็ตาม
รู้หรือไม่ว่า… สิ่งเหล่านี้ล้วนมีจุดร่วมเดียวกัน คือมีเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นบริษัทจากประเทศจีน
ทุกวันนี้ จีนได้ก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลกอย่างเต็มตัว การเติบโตนี้ได้ผลักดันให้บริษัทเทคโนโลยีของพวกเขากลายเป็นผู้เล่นคนสำคัญในเวทีโลก
คนนับพันล้านชีวิตใช้ผลิตภัณฑ์และบริการจากบริษัทอย่าง Tencent และ Huawei ในทุกๆ วัน แต่การแผ่ขยายอิทธิพลนี้ กลับเกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบ จนหลายคนอาจไม่เคยสังเกต
ผู้คนรับรู้ว่าสินค้าจำนวนมากถูกประทับตราว่า “Made in China” แต่กลับไม่รู้ว่าโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่แทรกซึมอยู่ในชีวิตประจำวัน ก็กำลังจะกลายเป็น “Owned by China” เช่นกัน
เรื่องราวทั้งหมดต้องย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษ 1980 เมื่อผู้นำจีนอย่าง เติ้ง เสี่ยวผิง ตัดสินใจปฏิรูปเศรษฐกิจครั้งประวัติศาสตร์
มันคือการแง้มประตูประเทศที่เคยปิดตาย เพื่อเปิดรับการค้าและการลงทุนจากโลกภายนอก เปรียบเสมือนการจุดประกายไฟ ที่จะลุกลามจนกลายเป็นเปลวเพลิงแห่งนวัตกรรมในเวลาต่อมา
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 1984 เมื่อจีนประกาศจัดตั้ง “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” หรือ Special Economic Zones (SEZs) ขึ้นมา
เมืองชายฝั่งอย่าง เซินเจิ้น ที่ตอนนั้นยังเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงอันเงียบสงบ ได้ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นห้องทดลองทางเศรษฐกิจขนาดมหึมา
ลองจินตนาการถึงพื้นที่ที่มอบสิทธิประโยชน์ทางภาษี กฎระเบียบที่ผ่อนปรน และเปิดกว้างรับเงินทุนจากต่างชาติ มันได้ดึงดูดทั้งผู้ประกอบการและบริษัทข้ามชาติให้หลั่งไหลเข้ามา
เซินเจิ้น ได้กลายร่างเป็นศูนย์กลางการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และได้รับสมญานามในเวลาต่อมาว่าเป็น “Silicon Valley ของจีน”
ท่ามกลางความคึกคักนี้เอง ในปี 1987 อดีตวิศวกรในกองทัพอย่าง เหริน เจิ้งเฟย ได้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ ที่ชื่อว่า Huawei ขึ้นมา
ในยุคแรก Huawei เป็นเพียงผู้จัดจำหน่ายอุปกรณ์โทรคมนาคม แต่ด้วยวิสัยทัศน์ที่มุ่งเน้นการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) อย่างหนัก ทำให้พวกเขาสามารถสร้างเทคโนโลยีของตัวเองได้
กลยุทธ์ที่น่าสนใจของ Huawei คือการเจาะตลาดในพื้นที่ชนบทของจีน ซึ่งเป็นตลาดที่คู่แข่งจากชาติตะวันตกมองข้าม และนี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ Huawei เติบโตอย่างแข็งแกร่งจากฐานราก
เวลาเดินทางมาถึงทศวรรษ 1990 ซึ่งถือเป็นยุคทองของการก่อตั้งบริษัทอินเทอร์เน็ตจีน หรือที่เรารู้จักกันในนามกลุ่ม “BAT”
ในปี 1998 Ma Huateng หรือ Pony Ma ได้ก่อตั้ง Tencent ขึ้นที่ เซินเจิ้น ผลิตภัณฑ์แรกของเขาคือโปรแกรมแชทชื่อ OICQ ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก ICQ ที่โด่งดังในยุคนั้น
Tencent ค่อยๆ พัฒนาจนกลายเป็นเจ้าแห่งโซเชียลมีเดียของจีน และได้ให้กำเนิด “Super App” อย่าง WeChat ที่รวมทุกบริการในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่การสื่อสาร การเงิน ไปจนถึงความบันเทิง
หนึ่งปีถัดมา ในปี 1999 ที่เมืองหางโจว ครูสอนภาษาอังกฤษนามว่า Jack Ma ได้รวบรวมเพื่อน 17 คน มาที่อพาร์ตเมนต์ของเขา เพื่อก่อตั้งบริษัทที่มีชื่อว่า Alibaba
เป้าหมายแรกของ Alibaba คือการสร้างแพลตฟอร์มเพื่อเชื่อมผู้ผลิตจีนกับผู้ซื้อทั่วโลก แต่จุดเปลี่ยนสำคัญคือการเปิดตัว Taobao เพื่อท้าชนกับ eBay และพวกเขาก็ชนะสงครามนั้นอย่างเด็ดขาด
การเติบโตของ Alibaba ได้รับแรงหนุนจากชนชั้นกลางชาวจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีกำลังซื้อในโลกออนไลน์มหาศาล
ส่วนตัวอักษรสุดท้ายในกลุ่ม BAT ก็คือ Baidu ซึ่งก่อตั้งโดย Robin Li ในปี 2000 เขากลับมาจากการทำงานที่ Silicon Valley เพื่อสร้าง Search Engine ของคนจีน
Baidu เติบโตอย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งเพราะได้รับประโยชน์จากการที่รัฐบาลจีนมีข้อจำกัดกับคู่แข่งอย่าง Google ทำให้พวกเขากลายเป็นผู้ครองตลาดการค้นหาในประเทศอย่างเบ็ดเสร็จ
Huawei และกลุ่ม BAT คือคลื่นลูกแรกที่พิสูจน์ให้โลกเห็นว่า จีนไม่ใช่แค่โรงงานของโลกอีกต่อไป แต่สามารถสร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เป็นของตัวเองได้แล้ว
แต่เรื่องราวยังไม่จบแค่นั้น เมื่อเข้าสู่ทศวรรษ 2010 คลื่นลูกที่สองของบริษัทเทคโนโลยีจีน ก็เริ่มซัดเข้าสู่เวทีโลกอย่างเต็มกำลัง
ในปี 2010 Lei Jun ได้ก่อตั้ง Xiaomi ขึ้นมา เพื่อท้าทายตลาดสมาร์ทโฟน ด้วยกลยุทธ์ “ของดีราคาถูก” โดยนำเสนอโทรศัพท์สเปกสูงในราคาที่เข้าถึงได้ และขายผ่านช่องทางออนไลน์เป็นหลัก
กลยุทธ์นี้ได้ผลอย่างมหาศาล และทำให้ Xiaomi กลายเป็นหนึ่งในผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรายใหญ่ที่สุดของโลกได้ในเวลาอันรวดเร็ว
จากนั้นในปี 2012 บริษัทที่สร้างปรากฏการณ์ไปทั่วโลกก็ได้ถือกำเนิดขึ้น นั่นคือ ByteDance ของ จาง อี้หมิง
หลายคนอาจไม่คุ้นชื่อบริษัท แต่ถ้าบอกว่าพวกเขาคือผู้สร้าง TikTok ก็คงไม่มีใครไม่รู้จัก อาวุธลับของ TikTok คืออัลกอริทึมที่ชาญฉลาด ซึ่งสามารถป้อนวิดีโอให้ผู้ใช้ได้อย่างไม่รู้จบ
ความสำเร็จของ TikTok ทำให้ ByteDance กลายเป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก และมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมป๊อปทั่วโลกอย่างที่ไม่เคยมีบริษัทจีนไหนทำได้มาก่อน
ล่าสุด สมรภูมิรบได้ขยายไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจีนได้กลายเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของโลกไปแล้ว และมีบริษัทอย่าง BYD และ Nio เป็นหัวหอก ท้าทายเจ้าตลาดเดิมอย่าง Tesla
มาถึงตรงนี้ เราจะเห็นภาพการเติบโตที่น่าทึ่งของบริษัทเทคโนโลยีจีน แต่คำถามสำคัญก็คือ แล้วทำไมเรื่องนี้ถึงกลายเป็นประเด็นที่น่ากังวลในระดับโลก?
คำตอบไม่ได้อยู่ที่ตัวบริษัทเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่โครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างภาคเอกชนและภาครัฐของจีน ที่มีความเชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก
ประเด็นแรกที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคือเรื่อง “โครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสาร” โดยมี Huawei เป็นศูนย์กลาง
การที่ Huawei เป็นผู้นำในเทคโนโลยี 5G ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของโลกดิจิทัลในอนาคต ทำให้ชาติตะวันตกกังวลว่า รัฐบาลจีนอาจใช้เครือข่ายนี้ในการสอดแนมหรือแทรกแซงการสื่อสารได้
ประเด็นที่สองคือเรื่อง “ข้อมูล” ซึ่งเปรียบเสมือนทองคำในยุคนี้ บริษัทอย่าง Alibaba และ Tencent ต่างก็มีธุรกิจ Cloud Computing ที่ให้บริการเก็บข้อมูลกับบริษัทหลายพันแห่งทั่วโลก
ความน่ากังวลอยู่ที่กฎหมายความมั่นคงทางไซเบอร์ของจีน ปี 2017 ซึ่งกำหนดให้บริษัทจีนต้องส่งมอบข้อมูลให้กับรัฐบาลหากมีการร้องขอ
นั่นหมายความว่าข้อมูลสำคัญของธุรกิจหรือของพลเมืองในประเทศต่างๆ ที่ถูกเก็บไว้บนคลาวด์ของจีน อาจตกไปอยู่ในมือของรัฐบาลจีนได้
นอกจากการสร้างผลิตภัณฑ์ของตัวเองแล้ว บริษัทจีนยังขยายอิทธิพลผ่านการลงทุนอย่างเงียบๆ ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ Tencent
Tencent ได้เข้าถือหุ้นในบริษัทเกมยักษ์ใหญ่ของโลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Epic Games ผู้สร้าง Fortnite หรือ Riot Games ผู้สร้าง League of Legends
เกมเมอร์จำนวนมากอาจไม่เคยรู้เลยว่า เกมโปรดที่พวกเขาเล่นอยู่ทุกวันนั้น มีบริษัทจีนเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ซึ่งทำให้ Tencent มีอิทธิพลต่ออุตสาหกรรมเกมและความบันเทิงของโลกอย่างมหาศาล
การครอบงำอย่างเงียบๆ นี้ กำลังคุกคามสิ่งที่เรียกว่า “อธิปไตยทางเทคโนโลยี” (Technological Sovereignty) ของหลายประเทศ
เมื่อโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากจีนมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ทำให้ประเทศเหล่านั้นสูญเสียความสามารถในการควบคุมและพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองอย่างอิสระ
อย่างไรก็ตาม หากมองอย่างเป็นธรรม ก็ต้องยอมรับว่าบริษัทเทคโนโลยีจากฝั่งสหรัฐอเมริกาก็มีพฤติกรรมรวบรวมข้อมูลมหาศาลไม่ต่างกัน
กรณีของ Edward Snowden ที่ออกมาเปิดโปงโครงการ PRISM ก็แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ก็สามารถเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้งานผ่านบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของตนเองได้เช่นกัน
ดังนั้น ปัญหาที่แท้จริงอาจไม่ใช่เรื่องของสัญชาติ แต่เป็นเรื่องของการที่อำนาจทางดิจิทัลกระจุกตัวอยู่ในมือของบริษัทไม่กี่แห่ง และรัฐบาลไม่กี่ประเทศ
ท้ายที่สุดแล้ว เส้นทางที่มั่นคงที่สุดสำหรับทุกประเทศ อาจไม่ใช่การเลือกว่าจะพึ่งพาเทคโนโลยีจากจีนหรืออเมริกา
แต่คือการพยายามสร้างและพัฒนาเทคโนโลยีให้เป็นของตนเอง แม้จะเป็นเส้นทางที่ยาวไกลและต้องใช้ต้นทุนมหาศาล
เพราะในโลกที่อำนาจถูกขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและเทคโนโลยี การพึ่งพาตนเอง คือหลักประกันที่ดีที่สุดของความมั่นคงและอธิปไตยในระยะยาว.
References : [reuters, bloomberg, scmp, cfr, wsj]
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA
Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ
Geek Forever’s Podcast
“Open Your World With Technology“
AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning
Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ











