เชื่อว่าหลายคนเมื่อกลับถึงบ้านร้อนๆ คงอยากจะรีบเปิดเครื่องปรับอากาศให้เย็นฉ่ำ แต่เคยสงสัยไหมว่า แบรนด์ที่เราเห็นอยู่บนรีโมตคอนโทรลนั้น มีที่มาที่ไปอย่างไร
หนึ่งในชื่อที่คนไทยคุ้นเคยกันดีคือ Midea แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าจากจีนที่พบเห็นได้ทั่วไป แต่เบื้องหลังความคุ้นเคยนี้ คือเรื่องราวการเดินทางอันน่าทึ่งของบริษัทที่เริ่มต้นจากจุดที่แทบไม่มีใครมองเห็น
เรื่องราวนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องราวความสำเร็จของบริษัท แต่ยังสะท้อนภาพการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของประเทศจีน จากยุคที่ยากลำบากสู่การเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก
แล้วจากโรงงานเล็กๆ ในวันนั้น กลายมาเป็นยักษ์ใหญ่ระดับโลกในวันนี้ได้อย่างไร
เรื่องราวทั้งหมดต้องย้อนกลับไปในปี 1968 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ประเทศจีนกำลังเผชิญกับความวุ่นวายของการปฏิวัติวัฒนธรรม (Cultural Revolution) เศรษฐกิจในตอนนั้นเป็นแบบวางแผนจากส่วนกลาง ประชาชนส่วนใหญ่ยังมีชีวิตที่ยากลำบาก
ณ เมืองเล็กๆ ในมณฑลกวางตุ้ง มีชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อ เหอ เสี่ยงเจี้ยน ในวัยเพียง 26 ปี เขาดำรงตำแหน่งผู้นำชุมชน และเห็นความเป็นอยู่ที่แร้นแค้นของเพื่อนบ้านทุกวัน
ด้วยความปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนให้ดีขึ้น เขาได้รวบรวมชาวบ้านอีก 23 คน นำเงินเก็บทั้งหมดที่มีมารวมกัน ได้เงินก้อนแรกจำนวน 5,000 หยวน ซึ่งถือเป็นเงินที่มหาศาลมากในยุคนั้น
เงินทุนก้อนนั้นได้ให้กำเนิดกิจการขนาดเล็กที่มีชื่อว่า “กลุ่มการผลิตพลาสติกของสำนักงานถนน North Jiezi” ซึ่งนี่คือจุดเริ่มต้นของอาณาจักร Midea ในปัจจุบัน
โรงงานแห่งแรกของพวกเขาไม่ได้หรูหราอะไรเลย มันเป็นเพียงเพิงชั่วคราวที่สร้างขึ้นจากไม้ไผ่และกระดาษยางมะตอย มีพื้นที่แค่ 20 ตารางเมตรเท่านั้น
สินค้าชิ้นแรกที่พวกเขาผลิตก็เรียบง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ นั่นคือฝาขวดพลาสติก เพราะเป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ยากและตลาดยังมีความต้องการอยู่
เหอ เสี่ยงเจี้ยน ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง เขาเป็นทั้งผู้ก่อตั้ง ผู้จัดการ และพนักงานขาย เขาต้องเดินทางด้วยรถไฟไปทั่วประเทศเพื่อเสนอขายสินค้า
วันเวลาในช่วงแรกเต็มไปด้วยความยากลำบาก กำไรที่ได้มาน้อยนิดแทบไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงดูครอบครัวของสมาชิกทุกคนด้วยซ้ำ
แต่ท่ามกลางความท้าทาย ความเป็นผู้นำและสายตาที่เฉียบคมของ เหอ เสี่ยงเจี้ยน ก็เริ่มฉายแวว เขาตระหนักว่าการยึดติดกับสินค้าเดิมๆ ไม่ใช่ทางรอด
พวกเขาจึงเริ่มปรับตัว ผลิตสินค้าหลากหลายประเภทตามความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนไป ตั้งแต่ขวดยา ลูกบอลยาง ไปจนถึงชิ้นส่วนรถยนต์อย่างวาล์วเบรก
ความสามารถในการปรับตัวอย่างรวดเร็วนี้เอง ที่กลายเป็น DNA ที่สำคัญของ Midea และเป็นกุญแจที่ช่วยให้พวกเขารอดพ้นจากช่วงเวลาที่ผันผวนของเศรษฐกิจจีนมาได้
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญมาถึงในปี 1980 เมื่อจีนเริ่มดำเนินนโยบายเปิดประเทศ เหอ เสี่ยงเจี้ยน สังเกตเห็นปรากฏการณ์ใหม่ คือชาวจีนโพ้นทะเลที่กลับมาเยี่ยมบ้าน มักจะนำพัดลมไฟฟ้ากลับมาเป็นของฝาก
เขามองเห็นโอกาสทางธุรกิจในทันที และตัดสินใจนำพาทุกคนเข้าสู่โลกของเครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นครั้งแรก ด้วยการผลิตพัดลมตั้งโต๊ะโลหะ
การตัดสินใจครั้งนี้ถือเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ แต่มันก็ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าเกินคาด พัดลมของพวกเขาขายดีเป็นเทน้ำเทท่า สร้างรายได้ถึง 3 ล้านหยวนภายในเวลาแค่ปีเดียว
ความสำเร็จนี้เกิดขึ้นเพราะ Midea เข้าใจความต้องการของคนจีนในยุคนั้น ที่โหยหาความสะดวกสบายที่ทันสมัย ในราคาที่สามารถจับต้องได้
และในช่วงเวลานี้เอง ที่ชื่อแบรนด์ “Midea” ได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยเป็นการดัดเสียงมาจากคำว่า “beautiful” ในภาษาอังกฤษ ซึ่งสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ที่มองไกลไปถึงตลาดโลก
หลังจากประสบความสำเร็จกับพัดลม เหอ เสี่ยงเจี้ยน ก็ไม่ได้หยุดนิ่ง เขามองไปยังเป้าหมายที่ใหญ่กว่าและท้าทายกว่าเดิม นั่นคือตลาดเครื่องปรับอากาศ
ในปี 1985 Midea ได้จัดตั้งโรงงานผลิตเครื่องปรับอากาศอย่างเป็นทางการ แต่เส้นทางนี้กลับไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ตลาดนี้เต็มไปด้วยคู่แข่งที่เป็นรัฐวิสาหกิจรายใหญ่ ซึ่งมีทั้งเงินทุนและเทคโนโลยีที่เหนือกว่า
Midea ในฐานะผู้เล่นหน้าใหม่ต้องดิ้นรนอย่างหนักเพื่อหาที่ยืน แต่ เหอ เสี่ยงเจี้ยน ก็ไม่เคยยอมแพ้ เขาแก้ปัญหาการขาดเทคโนโลยีด้วยการไปจับมือเป็นพันธมิตรกับบริษัทญี่ปุ่น
เขาทุ่มเทสร้างเครือข่ายการขายและการตลาดอย่างหนัก เพื่อให้ชื่อของ Midea เป็นที่รู้จัก แต่ปัญหาใหญ่ที่สุดที่ยังคงอยู่คือเรื่องเงินทุน
มีอยู่ช่วงหนึ่งที่บริษัทขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรงจนแทบจะไปต่อไม่ไหว เหอ เสี่ยงเจี้ยน ได้ทำในสิ่งที่น่าทึ่ง คือการขอยืมเงินจากพนักงานของเขาเองเป็นจำนวนถึง 1.2 ล้านหยวน
การกระทำนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นและความไว้วางใจที่พนักงานมีต่อตัวผู้นำของพวกเขา และมันก็ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ
ในปี 1988 Midea ก็ได้รับใบอนุญาตให้ส่งออกสินค้าไปต่างประเทศได้สำเร็จ ซึ่งเปรียบเสมือนการเปิดประตูบานแรกสู่เวทีโลก
เมื่อเข้าสู่ยุค 90 เศรษฐกิจจีนเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากนโยบายปฏิรูปและเปิดประเทศ Midea ซึ่งเตรียมความพร้อมมาอย่างดี ก็สามารถคว้าโอกาสนี้ได้อย่างเต็มที่
ในปี 1993 บริษัทได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ด้วยการเป็นรัฐวิสาหกิจระดับท้องถิ่นแห่งแรกของจีนที่สามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้นได้สำเร็จ
การระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์เปรียบเสมือนการติดเทอร์โบให้กับ Midea ทำให้บริษัทมีเงินทุนมหาศาลสำหรับแผนการขยายธุรกิจที่ทะเยอทะยานยิ่งขึ้น
ยุคหลัง IPO คือช่วงเวลาที่ Midea เริ่มต้นการเดินทางสายชอปปิงอย่างจริงจัง บริษัทไล่เข้าซื้อกิจการต่างๆ อย่างมีกลยุทธ์ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ของตัวเอง
ปี 2004 เข้าซื้อ Rongshida เพื่อบุกตลาดเครื่องซักผ้า ตามด้วยการซื้อ Hualing เพื่อเข้าสู่สมรภูมิตู้เย็น และในปี 2008 ก็เข้าซื้อ Little Swan เพื่อเสริมทัพด้านเทคโนโลยีเครื่องซักผ้าให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและแม่นยำเหล่านี้ ผลักดันให้ Midea กลายเป็นยักษ์ใหญ่แห่งวงการเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านของจีนได้อย่างสมบูรณ์
เมื่อครองตลาดในประเทศได้แล้ว เป้าหมายต่อไปที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมก็คือการเป็นผู้นำในตลาดโลก แต่การจะไปถึงจุดนั้นได้ Midea รู้ดีว่าต้องมีแผนการที่แยบยล
กลยุทธ์สู่สากลของพวกเขาเริ่มต้นอย่างเรียบง่ายจากการเป็นผู้ผลิตแบบ OEM หรือการรับจ้างผลิตสินค้าให้กับแบรนด์ดังระดับโลกมากมาย
วิธีนี้เปรียบเสมือนการเข้าโรงเรียนนานาชาติ Midea ได้เรียนรู้มาตรฐานการผลิตระดับโลก สร้างเครือข่าย และที่สำคัญคือมีรายได้ที่มั่นคงเพื่อนำไปต่อยอด
เมื่อมีประสบการณ์และความพร้อม Midea ก็ก้าวสู่เฟสต่อไปของการครองโลก นั่นคือการเข้าซื้อแบรนด์ต่างชาติที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว เพื่อย่นระยะเวลาในการสร้างแบรนด์
ดีลสำคัญเกิดขึ้นในปี 2016 เมื่อ Midea เข้าซื้อธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าของ Toshiba ซึ่งทำให้พวกเขาได้ที่ยืนที่มั่นคงในตลาดญี่ปุ่นและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในทันที
แต่ดีลที่สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งวงการอุตสาหกรรม เกิดขึ้นในปี 2017 เมื่อ Midea ประกาศเข้าซื้อกิจการ KUKA บริษัทหุ่นยนต์อุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่จากเยอรมนี ด้วยมูลค่ามหาศาลถึง 4.5 พันล้านยูโร
คำถามที่ทุกคนสงสัยในตอนนั้นคือ บริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าจะซื้อบริษัทหุ่นยนต์ไปทำไม?
นี่คือการเดิมพันครั้งสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลของ Midea พวกเขาไม่ได้มองแค่การผลิตเครื่องปรับอากาศหรือตู้เย็นอีกต่อไป แต่มองไปถึงอนาคตของการผลิตทั้งหมด
Midea กำลังเปลี่ยนตัวเองจากบริษัทผู้ผลิตสินค้า ไปสู่บริษัทเทคโนโลยี การเข้าซื้อ KUKA คือจิกซอว์ชิ้นสำคัญของแผนการที่เรียกว่า “Smart Home + Smart Manufacturing”
ด้านหนึ่งคือ Smart Home หรือการสร้างบ้านอัจฉริยะ ที่เครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชิ้นสามารถสื่อสารกันผ่านอินเทอร์เน็ต (IoT) และเรียนรู้พฤติกรรมของผู้ใช้งานได้
อีกด้านหนึ่งคือ Smart Manufacturing หรือโรงงานอัจฉริยะ ที่ใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติของ KUKA เข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และยกระดับคุณภาพการผลิตของตัวเอง
การเคลื่อนไหวนี้คือการนำแนวคิด Industry 4.0 มาปรับใช้อย่างเป็นรูปธรรม Midea ไม่ได้เพียงแค่ใช้หุ่นยนต์ในการผลิตสินค้า แต่กำลังใช้ข้อมูลมหาศาล (Big Data) ที่เก็บรวบรวมจากทั้งโรงงานและบ้านของผู้บริโภค มาวิเคราะห์เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ดียิ่งขึ้น
จากโรงงานทำฝาขวดพลาสติกขนาด 20 ตารางเมตรในวันนั้น Midea ได้เดินทางผ่านร้อนผ่านหนาวมากว่า 5 ทศวรรษ จนกลายมาเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลก ที่มีผลิตภัณฑ์อยู่ในบ้านของผู้คนนับล้าน
เรื่องราวของ Midea คือบทพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า ด้วยวิสัยทัศน์ของผู้นำที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ความสามารถในการปรับตัวที่ไม่เคยยอมแพ้ต่ออุปสรรค และความกล้าที่จะเดิมพันกับอนาคต ก็สามารถเปลี่ยนแปลงกิจการเล็กๆ ให้กลายเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
และดูเหมือนว่าการเดินทางของพวกเขายังไม่สิ้นสุด เพราะในวันนี้ Midea ไม่ได้เป็นเพียงผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าอีกต่อไป แต่กำลังก้าวสู่การเป็นผู้กำหนดอนาคตของวิถีชีวิตและโลกแห่งการผลิตในยุคดิจิทัลไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเองครับผม
References : [midea-group, forbes, bloomberg, kuka, wikipedia]
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA
Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ
Geek Forever’s Podcast
“Open Your World With Technology“
AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning
Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ











