จ่ายดอกเบี้ยวันละ 100 ล้าน! ถอดรหัสกลยุทธ์ “อุ้ม” VinFast ของ Vingroup ที่อาจฉุดทั้งบริษัทให้จมลง

ถ้าพูดถึงบริษัทที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจ และความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของประเทศเวียดนาม หลายคนคงนึกถึงชื่อ Vingroup

อาณาจักรอันกว้างใหญ่นี้ อยู่ภายใต้การนำของมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในเวียดนามอย่างคุณ Pham Nhat Vuong ชายผู้ได้รับการขนานนามว่าเป็นดั่งสัญลักษณ์ของความสำเร็จทางธุรกิจในยุคใหม่ของเวียดนาม

หากเรามอง Vingroup จากภายนอก จะเห็นภาพของบริษัทที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ธุรกิจของพวกเขาฝังรากลึกอยู่ในชีวิตประจำวันของคนเวียดนาม ตั้งแต่โครงการอสังหาริมทรัพย์หรูภายใต้ชื่อ Vinhomes

ห้างสรรพสินค้าทันสมัยอย่าง Vincom ไปจนถึงโรงแรมและรีสอร์ตชั้นนำในเครือ Vinpearl เรียกได้ว่าไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหนในเวียดนาม ก็แทบจะหนีไม่พ้นสินค้าและบริการของ Vingroup

ภาพลักษณ์ที่สื่อในประเทศเวียดนาม ต่างขัดเกลาให้ Vingroup ดูดีและเปล่งประกายอยู่เสมอ แต่เบื้องหลังความสำเร็จและภาพลักษณ์ที่สวยหรูนั้น กลับมีความจริงที่น่ากังวลซ่อนอยู่

รายงานล่าสุดเปิดเผยว่า อาณาจักรแห่งนี้อาจกำลังสั่นคลอน เพราะกำลังแบกรับภาระหนี้สินในระดับที่น่าเป็นห่วง

เรื่องราวที่น่าสนใจมีอยู่ว่า Vingroup กำลังเผชิญกับหนี้สินรวมสูงถึง 31,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตัวเลขนี้มหาศาลจนทำให้บริษัทต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้จากต่างประเทศเป็นเงินสูงถึง 3.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 110 ล้านบาท ในทุกๆ วัน

ความตึงเครียดทางการเงินนี้ ชี้ให้เห็นว่าภาพลักษณ์ที่สดใส อาจกำลังบดบังอนาคตที่มืดมนและไม่แน่นอน เพราะแม้แต่รายงานผลประกอบการของ Vingroup เอง ก็ยังสะท้อนภาพของกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ที่รากฐานดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความเสี่ยง

วันนี้จะมาชวนเจาะลึกกันว่า เกิดอะไรขึ้นกับ Vingroup กันแน่

เรื่องราวนี้ต้องย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นของผู้ก่อตั้งอาณาจักรแห่งนี้ คุณ Pham Nhat Vuong ไม่ได้เริ่มต้นจากครอบครัวที่ร่ำรวย แต่เขาได้ทุนไปเรียนที่รัสเซีย และเริ่มต้นธุรกิจแรกด้วยการเปิดร้านอาหารเวียดนามเล็กๆ

ก่อนจะหันมาทำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปขายในประเทศยูเครน และประสบความสำเร็จจนสามารถขายกิจการให้กับ Nestlé ไปได้ในราคา 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากนั้นเขาก็นำเงินก้อนนั้นกลับมาลงทุนในบ้านเกิดที่เวียดนาม

และนั่นคือจุดกำเนิดของอาณาจักร Vingroup ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นกลุ่มบริษัทที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประเทศ แต่เรื่องราวที่จะคุยกันในวันนี้ คือรอยร้าวที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความสำเร็จนั้น

ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคือ ภาระหนี้สินมหาศาล

ลองนึกภาพตามนะครับ ในช่วงหกเดือนแรกของปี 2025 หนี้สินของ Vingroup พุ่งสูงขึ้นประมาณ 4,700 ล้านดอลลาร์ ทำให้ยอดหนี้สินรวม ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 สูงถึง 31,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ตัวเลขนี้คิดเป็น 86% ของสินทรัพย์ทั้งหมดของบริษัท พูดง่ายๆ คือ ในสินทรัพย์ทุกๆ 100 บาทของ Vingroup มีถึง 86 บาทที่เป็นหนี้ ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่สูงจนน่ากังวล

แรงกดดันที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด มาจากหนี้สินระยะสั้น ซึ่งมีมูลค่ากว่า 19,500 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 63% ของหนี้สินทั้งหมด และกำลังจะถึงกำหนดชำระในไม่ช้า

ต้นทุนในการจัดการหนี้สินก้อนนี้ก็ไม่ใช่เล็กๆ เลยครับ เฉพาะในไตรมาสที่ 2 ไตรมาสเดียว Vingroup ต้องจ่ายดอกเบี้ยไปมากกว่า 295 ล้านดอลลาร์ หรือเฉลี่ยวันละ 3.2 ล้านดอลลาร์

และในปีหน้า บริษัทก็จะต้องเผชิญกับเส้นตายสำคัญอีกหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็นเงินกู้สินเชื่อ 860 ล้านดอลลาร์ และดอกเบี้ยหุ้นกู้ที่ถึงกำหนดชำระอีก 1,140 ล้านดอลลาร์

เพื่อที่จะจัดการกับภาระผูกพันเหล่านี้ Vingroup ซึ่งมีเงินสดในมืออยู่เพียง 3,000 ล้านดอลลาร์เศษๆ จึงต้องเร่งระดมทุนอย่างหนัก เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทก็ได้เงินมา 1,600 ล้านดอลลาร์ จากการขายหุ้น 41.5% ในบริษัท Vincom Retail

นอกจากนี้ คุณ Vuong ซึ่งเป็นประธานของ Vingroup ยังได้ขอสินเชื่อใหม่จากผู้ให้กู้ระหว่างประเทศอย่าง Deutsche Bank AG และธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (Asian Development Bank) เป็นมูลค่ากว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ โดยในจำนวนนี้มี 510 ล้านดอลลาร์ที่ถูกจัดสรรไว้สำหรับบริษัทลูกอย่าง VinFast

คำถามสำคัญก็คือ ในเมื่อมีหนี้สินมหาศาลและต้องจ่ายดอกเบี้ยรายวันขนาดนี้ ทำไม Vingroup ถึงยังสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ แถมยังสามารถขอสินเชื่อใหม่ๆ ได้อีก

คำตอบของคำถามนี้อยู่ในส่วนที่เรียกว่า ตัวเลขที่ไม่ปกติ ในงบการเงินของบริษัท

รายงานไตรมาสที่ 2 ของปี 2025 เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมากครับ ในรายงานระบุว่าบริษัทมีกำไรหลังหักภาษี 2.265 ล้านล้านดอง หรือประมาณ 85.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ตัวเลขที่เป็นบวกนี้กลับถูกสร้างขึ้นมาจากรายการเพียงบรรทัดเดียว

นั่นคือรายการ “รายได้อื่น” จำนวน 18.516 ล้านล้านดอง ซึ่ง Vingroup ให้คำอธิบายกว้างๆ ว่ามาจาก “เงินทุนสนับสนุน”

หากไม่มีเงินก้อนนี้ที่ถูกใส่เข้ามาโดยไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจน การดำเนินงานหลักของกลุ่มบริษัทจะขาดทุนมหาศาลถึงกว่า 13.9 ล้านล้านดองเลยทีเดียว

การพึ่งพิงเงินสดที่ไม่ใช่รายได้จากธุรกิจหลักนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า กระแสเงินสดเข้าที่สำคัญเพียงรายการเดียวที่มีการชี้แจงอย่างชัดเจนก็มาจากตัวประธาน Vuong เอง

ซึ่งได้อัดฉีดเงิน 23 ล้านล้านดองเข้ามาในไตรมาสที่ผ่านมา หลังจากที่เพิ่งโอนเงินในลักษณะเดียวกันเข้ามา 5 ล้านล้านดองเมื่อสามเดือนก่อนหน้านั้น เช่นเดียวกันกับในปี 2024 ที่การอัดฉีดเงินสดส่วนตัวราว 10 ล้านล้านดองจากคุณ Vuong เป็นสิ่งที่ทำให้ Vingroup สามารถรายงานผลกำไรได้

รูปแบบความผิดปกติทางการเงินนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การดำเนินงานในประเทศเท่านั้น ในเดือนกรกฎาคม 2024 บริษัทลูกอย่าง VinFast ก็ถูกคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา หรือ SEC ตำหนิเรื่องการตกแต่งรายได้ในเอกสารที่ยื่นไป

SEC ได้ปฏิเสธรายงานดังกล่าว ทำให้ VinFast ต้องยอมรับว่า “ข้อผิดพลาดทางบัญชี” เป็นสาเหตุที่ทำให้บริษัทรายงานยอดขายสูงเกินจริงไปถึง 33.9 ล้านดอลลาร์

เมื่อสถานการณ์ภายในเป็นแบบนี้ โลกภายนอกก็เริ่มส่ง สัญญาณอันตราย ออกมาเช่นกัน

คำเตือนต่างๆ เริ่มมีมาตั้งแต่ปี 2019 แล้ว เมื่อบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถืออย่าง Fitch Ratings ได้ปรับลดแนวโน้มของกลุ่มบริษัทจาก “Stable” เป็น “Negative” โดยอ้างถึงการลงทุนที่ “เผาเงิน” ในบริษัทลูกอย่าง VinFast

แต่แทนที่จะปรับกลยุทธ์ของตัวเอง ประธาน Vuong กลับถอน Vingroup ออกจากโปรแกรมการจัดอันดับของ Fitch ซึ่งเท่ากับเป็นการตัดกลไกสำคัญในการตรวจสอบหนี้สินที่พุ่งสูงขึ้นของบริษัทออกไป

เมื่อหนี้สินของกลุ่มบริษัทเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เสียงเตือนก็เริ่มดังขึ้น แพลตฟอร์มวิเคราะห์การเงินอย่าง Alpha Spread ได้จัดให้ Vingroup เป็นบริษัทที่มีความเสี่ยงสูง

ในขณะที่บริษัทประเมินของเยอรมนีอย่าง Simply Wall ประเมินว่ากำไรจากธุรกิจของ Vingroup สามารถครอบคลุมค่าใช้จ่ายด้านดอกเบี้ยได้เพียง 40% เท่านั้น ผลที่ตามมาก็คือนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ๆ เริ่มถอนตัวและเทขายหุ้น Vingroup ทิ้ง

แล้วอะไรคือต้นตอของปัญหาทั้งหมดนี้? คำตอบอยู่ในธุรกิจที่คุณ Vuong ทุ่มสุดตัว นั่นคือ VinFast

นับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นในปี 2017 VinFast ไม่เคยทำกำไรได้เลย แต่กลับทำหน้าที่เป็นท่อดูดเงินขนาดมหึมาจากบริษัทแม่ การเผาเงินสดนี้เป็นตัวขับเคลื่อนหลักที่ทำให้สถานะทางการเงินของ Vingroup เสื่อมทรามลง

ซึ่งเริ่มเห็นได้ชัดในปี 2021 เมื่อกลุ่มบริษัทขาดทุนครั้งใหญ่เป็นครั้งแรก หลังจากที่ทำกำไรมาอย่างต่อเนื่องหลายปี

เฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 ธุรกิจยานยนต์ของ VinFast ขาดทุนไปกว่า 37 ล้านล้านดอง ซึ่งเป็นการขาดทุนที่แม้แต่กำไรจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของ Vingroup ก็ไม่สามารถชดเชยได้

สถานการณ์นี้เป็นผลโดยตรงจากความทะเยอทะยานของคุณ Vuong ที่ต้องการขยายการขายรถยนต์ไฟฟ้าไปยังตลาดสหรัฐอเมริกาและยุโรป

“เราถือว่าสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดสำคัญ เป็นบททดสอบเพื่อวัดประสิทธิภาพ […] ถ้าเราประสบความสำเร็จในอเมริกา การพิชิตตลาดอื่นๆ ก็จะง่ายขึ้นมาก” คุณ Vuong กล่าวในที่ประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม 2020

การบุกตลาดอเมริกาเริ่มต้นขึ้นในช่วงปลายปี 2022 ด้วยการส่งรถยนต์รุ่น VF8 จำนวน 999 คัน และการวางศิลาฤกษ์โรงงานในนอร์ทแคโรไลนา

อย่างไรก็ตาม แทนที่จะ “จารึกชื่อเวียดนามบนแผนที่ยานยนต์โลก” ความฝันแบบอเมริกันของ VinFast กลับกลายเป็นฝันร้ายอย่างรวดเร็ว ภายในเดือนพฤษภาคม 2023 รถยนต์ล็อตแรกทั้งหมดถูกตีกลับเนื่องจากไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย

แม้จะเป็นเช่นนั้น VinFast ก็ยังสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ Nasdaq ได้ในเดือนสิงหาคม 2023 ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) กว่า 23,000 ล้านดอลลาร์

ในช่วงแรก หุ้นของ VinFast พุ่งทะยานอย่างร้อนแรงจนมีมูลค่าบริษัทแซงหน้าผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่อย่าง Ford และ GM ไปชั่วขณะ แต่แล้วหุ้นก็กลับดิ่งลงกว่า 90% ภายในเวลาเพียงสองเดือน

การล่มสลายครั้งนี้นำไปสู่การฟ้องร้องแบบกลุ่ม (Class-action lawsuit) โดยกลุ่มผู้ถือหุ้นในเดือนพฤษภาคม 2024 โดยกล่าวหาว่าบริษัทได้โฆษณาถึงอนาคตของตนเกินจริง ซึ่งต่อมาได้นำไปสู่การสอบสวนโดย SEC

ณ วันที่ 15 สิงหาคม 2025 มูลค่าตลาดของ VinFast ได้ลดลงเหลือเพียง 8,350 ล้านดอลลาร์

ในด้านการดำเนินงาน VinFast ได้ปิดโชว์รูมในสหรัฐฯ และเลื่อนการก่อสร้างโรงงานออกไป ในด้านการเงิน การขาดทุนสุทธิก็มหาศาล อยู่ที่ 2,400 ล้านดอลลาร์ในปี 2023 และเกือบ 3,200 ล้านดอลลาร์ในปี 2024

เมื่อสถานการณ์ดูเหมือนจะเลวร้ายลงทุกขณะ ทุกสายตาก็จับจ้องไปที่คุณ Pham Nhat Vuong ว่าเขาจะทำอย่างไรต่อไป

ถึงกระนั้น คุณ Vuong ก็ยังคงท้าทาย โดยได้ประกาศคำมั่นในเดือนเมษายน 2024 ว่าจะ “ไม่มีวันยอมแพ้กับ VinFast” พร้อมกับวางแผนที่จะทำให้บริษัทถึงจุดคุ้มทุนภายในสิ้นปี 2026

แต่นี่คือเดิมพันครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา การจะทำเช่นนั้นได้หมายความว่าบริษัทจะต้องหาเงินมาชดเชยเงินลงทุนสะสมที่มากกว่า 20,000 ล้านดอลลาร์ และต้องชำระหนี้อีกกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ให้ได้

เพื่อค้ำประกันเงินกู้ก้อนมหาศาลที่จำเป็นต่อการพยุง VinFast คุณ Vuong ได้นำสินทรัพย์จำนวนมหาศาลของ Vingroup ไปค้ำประกัน ซึ่งรวมถึงสายการผลิตในเมือง Haiphong, โรงงานแบตเตอรี่ VinES ในจังหวัด Ha Tinh และแม้กระทั่งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้างในรัฐนอร์ทแคโรไลนาของสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวทั้งหมดนี้จึงนำมาสู่คำถามที่สำคัญว่า เมื่อพิจารณาจากความเป็นจริงทางการเงินที่มีรายละเอียดอยู่ในรายงานของ Vingroup เองแล้ว แผนของคุณ Vuong ที่จะทำให้ VinFast ถึงจุดคุ้มทุนนั้น เป็นเรื่องที่ทำได้จริงมากน้อยแค่ไหน

นี่คือความท้าทายครั้งใหญ่ที่สุดที่อาณาจักร Vingroup และชายที่ชื่อ Pham Nhat Vuong กำลังเผชิญอยู่ มันคือการเดิมพันครั้งสำคัญที่ไม่เพียงแต่จะตัดสินอนาคตของบริษัท แต่ยังอาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของประเทศเวียดนามทั้งหมด และเป็นเรื่องที่น่าติดตามอย่างยิ่งว่าพวกเขาจะหาทางออกจากวงจรหนี้สินนี้ได้อย่างไร

References : [reuters,bloomberg,asia .nikkei,forbes,marketwatch]


 


ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA



Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ



Geek Forever’s Podcast


“Open Your World With Technology


AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning

Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Youtube
ฟังผ่าน Youtube