เลียนแบบอย่างไรให้เป็นตำนาน : ลัดคิว! สู่ความสำเร็จด้วยวิธีคิดที่อัจฉริยะใช้

ในโลกแห่งการพัฒนาตนเอง หนังสือ “Decoding Greatness” โดย Ron Friedman ได้เปิดมุมมองใหม่ที่น่าสนใจเกี่ยวกับการก้าวสู่ความยิ่งใหญ่ ซึ่งแตกต่างไปจากความเชื่อดั้งเดิมที่มีมาอย่างยาวนาน

โดยทั่วไปผู้คนมักเชื่อว่ามีเพียงสองเส้นทางหลักที่จะนำไปสู่ความยิ่งใหญ่ในชีวิต เส้นทางแรกคือการมีพรสวรรค์ติดตัวมาแต่กำเนิด เหมือนดังเช่น Michael Phelps นักว่ายน้ำระดับตำนานที่มีสรีระร่างกายที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการว่ายน้ำ ทั้งแขนที่ยาวกว่าปกติ เท้าที่มีขนาดใหญ่ และข้อเท้าที่ยืดหยุ่นพิเศษ จนสามารถก้าวขึ้นเป็นนักกีฬาโอลิมปิกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล ด้วยการคว้าเหรียญทองมากที่สุดในประวัติศาสตร์กีฬาโอลิมปิก

ส่วนเส้นทางที่สองคือการฝึกฝนอย่างหนักหน่วงและต่อเนื่อง ใช้เวลานับพันชั่วโมงในการฝึกซ้อม พร้อมทั้งรับฟีดแบ็คและปรับปรุงการฝึกฝนอย่างมีเป้าหมายในสาขาที่ต้องการความเป็นเลิศ

แนวคิดนี้สอดคล้องกับทฤษฎี 10,000 ชั่วโมงของ Malcolm Gladwell ที่กล่าวว่าการจะเชี่ยวชาญในด้านใดด้านหนึ่งต้องใช้เวลาฝึกฝนอย่างน้อย 10,000 ชั่วโมง

อย่างไรก็ตาม Friedman ได้นำเสนอเส้นทางที่สาม นั่นคือ “การวิศวกรรมย้อนกลับสู่ความยิ่งใหญ่ (Reverse Engineering to Greatness)” ซึ่งเป็นวิธีการที่ช่วยให้เราสามารถค้นพบพิมพ์เขียวลับที่ซ่อนอยู่ในทุกผลงานอันยอดเยี่ยม

ไม่ว่าจะเป็นในด้านกีฬา ศิลปะ ดนตรี วรรณกรรม การแสดง ธุรกิจ หรือศาสตร์แขนงใดก็ตาม การค้นพบพิมพ์เขียวเหล่านี้จะช่วยประหยัดเวลาในการฝึกฝนและเปิดโอกาสให้เราก้าวข้ามผู้ที่มีพรสวรรค์มากกว่าได้

ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่าผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายสาขามักเริ่มต้นจากการเป็นนักสะสมผลงานชิ้นเยี่ยม David Bowie ศิลปินระดับตำนานสะสมแผ่นเสียงจำนวนมากและใช้เวลาศึกษาดนตรีหลากหลายแนว จนสามารถสร้างสรรค์ผลงานที่ผสมผสานอิทธิพลจากดนตรีหลายยุคสมัยได้อย่างลงตัว

Julia Child เชฟชื่อดังผู้บุกเบิกรายการทำอาหารทางโทรทัศน์สะสมตำราอาหารและใช้เวลาหลายปีในการศึกษาศิลปะการทำอาหารฝรั่งเศส จนสามารถเผยแพร่วัฒนธรรมอาหารฝรั่งเศสสู่ชาวอเมริกันได้อย่างกว้างขวาง

Quentin Tarantino ผู้กำกับภาพยนตร์ระดับชั้นครูก็เริ่มต้นจากการดูภาพยนตร์มากมายในขณะที่ทำงานเป็นพนักงานร้านวิดีโอ จนได้รับการว่าจ้างให้เป็นผู้เชี่ยวชาญประจำร้านที่คอยให้คำแนะนำลูกค้า ประสบการณ์เหล่านี้ช่วยหล่อหลอมให้เขากลายเป็นผู้กำกับที่มีสไตล์เป็นเอกลักษณ์และได้รับการยอมรับระดับโลก

แม้แต่ Vincent van Gogh จิตรกรผู้ยิ่งใหญ่ที่ใช้ชีวิตอย่างยากจน ก็ยังสะสมภาพพิมพ์ญี่ปุ่นได้มากกว่าพันชิ้น ซึ่งอิทธิพลของศิลปะญี่ปุ่นสามารถเห็นได้ชัดในผลงานช่วงหลังของเขา

นอกจากนี้ Michelle Bernstein เชฟระดับรางวัล James Beard ยังแนะนำให้เชฟรุ่นใหม่ที่มุ่งสู่ความเป็นเลิศ ควรลงทุนไปรับประทานอาหารที่ร้านชั้นนำ เพื่อสัมผัสประสบการณ์แห่งความยิ่งใหญ่และเรียนรู้มาตรฐานระดับสูงสุดของวงการอาหาร

การได้สัมผัสรสชาติ การจัดจาน และบรรยากาศของร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์จะช่วยยกระดับวิสัยทัศน์และความเข้าใจในศิลปะการทำอาหารได้อย่างลึกซึ้ง

ผลการศึกษาทางจิตวิทยาที่น่าสนใจพบว่า แม้เพียงแค่การบริโภคตัวอย่างที่มีโครงสร้างหรือส่วนประกอบแฝงอยู่ ก็สามารถทำให้สมองของเราตรวจจับรูปแบบได้โดยอัตโนมัติ แม้จะไม่ได้ตั้งใจเรียนรู้ก็ตาม

นักจิตวิทยาเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “Implicit Learning” หรือการเรียนรู้โดยนัย ยิ่งรวบรวมตัวอย่างมากเท่าไร โอกาสที่จะเห็น pattern ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น เช่น หากรวบรวมเพลงจาก Billboard Top 100 อย่างต่อเนื่อง เราอาจสังเกตเห็นว่าเพลงที่มีจังหวะสนุกสนาน เนื้อหาสดใส และอยู่ในจังหวะ 4/4 มักติดชาร์ตบ่อยครั้ง

หรือหากเป็นผู้กำกับที่ศึกษาภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ อาจพบว่าบทภาพยนตร์ที่มีตัวละครหลากหลาย ไม่มีความหยาบคาย และมีตัวร้ายที่น่าสนใจ มักประสบความสำเร็จในการทำรายได้

หัวใจสำคัญของการถอดรหัสความยิ่งใหญ่คือการมองให้ลึกกว่าสิ่งที่เห็นบนพื้นผิว เพื่อค้นหาโครงสร้างที่ซ่อนเร้นอยู่ ซึ่งจะเผยให้เห็นทั้งวิธีการออกแบบและที่สำคัญกว่านั้นคือวิธีการสร้างซ้ำ

Friedman ได้นำเสนอเทคนิคการถอดรหัสสามวิธีหลักที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับทุกสาขาอาชีพ

วิธีแรกคือการลอกเลียนงาน (Copyworking) เป็นการฝึกฝนด้วยการลอกเลียนผลงานชิ้นเยี่ยมอย่างละเอียด ดังเช่นกรณีของ Joe Hill นักเขียนชื่อดังที่เมื่อประสบภาวะติดขัดในการเขียน

เขาได้วางต้นฉบับไว้และเริ่มคัดลอกหนังสือเล่มโปรด “The Big Bounce” ของ Elmore Leonard โดยใช้เวลาสองสัปดาห์ในการคัดลอกสองหน้าแรกของหนังสือทุกวัน ประโยคต่อประโยค เพื่อซึมซับจังหวะและวิธีการเขียนบทสนทนา

จนในที่สุดเขาก็พบจังหวะการเขียนของตัวเองและสามารถกลับมาเขียนนิยายระทึกขวัญต่อได้ เทคนิคนี้ Hill ได้เรียนรู้มาจากพ่อของเขา Stephen King ราชาแห่งนิยายสยองขวัญที่ใช้วิธีการเดียวกันนี้ในการพัฒนาฝีมือการเขียนของตน

วิธีที่สองคือการสร้างโครงร่างย้อนกลับ (Reverse Outlining) เป็นการทำงานย้อนกลับจากผลงานสำเร็จไปสู่โครงร่าง เพื่อสร้างพิมพ์เขียวที่สามารถนำไปใช้สร้างผลงานยอดเยี่ยมได้

ตัวอย่างที่น่าสนใจคือการวิเคราะห์ TED Talk ยอดนิยมที่สุดตลอดกาล “Do Schools Kill Creativity?” โดย Sir Ken Robinson ซึ่งมีโครงสร้างการพูดที่แบ่งเป็นสัดส่วนชัดเจน

เริ่มจากบทนำ (13%) ประเด็นหลัก (2%) เรื่องเล่าสนับสนุน (21%) สถานการณ์ปัจจุบัน (25%) ความท้าทาย (5%) ทางออก (10%) และจบด้วยเรื่องเล่าทิ้งท้ายที่สร้างแรงบันดาลใจ (25%)

นอกจากนี้ยังพบว่าในการพูด 18 นาที Robinson ตั้งคำถามถึง 25 คำถาม สอดแทรกมุขตลก 40 มุข และย้ำประเด็นหลักถึง 3 ครั้ง ทำให้การพูดมีความน่าสนใจและน่าติดตามตลอดทั้งการนำเสนอ

วิธีที่สามคือการเปรียบเทียบ (Contrasting) เป็นการนำผลงานจากคลังความยิ่งใหญ่ระดับตำนานมาวางเทียบกับผลงานที่ดีแต่ไม่ถึงขั้นยอดเยี่ยม เพื่อค้นหาความแตกต่างที่ทำให้ผลงานยอดเยี่ยมพิเศษกว่าผลงานทั่วไป

การจดบันทึกความแตกต่างอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอจะช่วยให้เห็นรูปแบบที่สามารถนำมาสร้างเป็นเช็คลิสต์ความยอดเยี่ยมสำหรับใช้ในโครงการต่อไปได้ เช่น การเปรียบเทียบภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จกับภาพยนตร์ที่ล้มเหลว หรือการเปรียบเทียบบทความที่ได้รับการแชร์อย่างกว้างขวางกับบทความที่ไม่ได้รับความสนใจ

อย่างไรก็ตาม การใช้เทคนิคเหล่านี้เพียงอย่างเดียวไม่อาจรับประกันความยิ่งใหญ่ได้ เนื่องจากเกณฑ์ความยิ่งใหญ่และรสนิยมของผู้คนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้นจึงต้องมีการพัฒนาพิมพ์เขียวความยิ่งใหญ่อยู่เสมอ

ดังเช่นกรณีของ Marvel Studios ที่มีพิมพ์เขียวชัดเจนในการสร้างภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ แต่ในภาพยนต์แต่ละเรื่องก็ยังคงความแปลกใหม่และสนุกในแบบที่แตกต่าง ด้วยการนำผู้กำกับใหม่ๆ จากนอกวงการหนังซูเปอร์ฮีโร่มาสร้างสรรค์ผลงาน

เห็นได้ชัดจากความแตกต่างระหว่าง Thor: Ragnarok และ Thor: The Dark World โดย Dark World กำกับโดยทีมงานจาก Game of Thrones จึงมีโทนมืดและจริงจัง ในขณะที่ Ragnarok กำกับโดย Taika Waititi นักแสดงตลกด้านการด้นสด จึงมีความตลกขบขันและสนุกสนานมากกว่า

การพัฒนาพิมพ์เขียวความยิ่งใหญ่อย่างต่อเนื่องนั้นสามารถทำได้หลายวิธี เริ่มตั้งแต่การร่วมงานกับทีมที่มีความหลากหลายทั้งด้านประสบการณ์ ความคิด และภูมิหลัง การเรียนรู้จากผู้ที่ประสบความสำเร็จในสาขาอื่นเพื่อนำแนวคิดและมุมมองใหม่ๆ มาประยุกต์ใช้

การแสวงหาประสบการณ์นอกกรอบความคิดเดิม และการกล้าที่จะทดลองสิ่งใหม่ๆ แม้จะเสี่ยงต่อความล้มเหลว สิ่งเหล่านี้จะช่วยเพิ่มพูนมุมมองและความคิดสร้างสรรค์ให้กับผลงานของเราได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

นอกจากนี้ การฝึกฝนการสังเกตและวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งก็เป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยให้เราสามารถถอดรหัสความยิ่งใหญ่ได้ดียิ่งขึ้น การตั้งคำถามอย่างต่อเนื่องว่า “ทำไมสิ่งนี้ถึงได้รับความนิยม?” “อะไรทำให้ผลงานนี้แตกต่าง?” “ทำไมผู้คนถึงชื่นชอบสิ่งนี้?” จะช่วยให้เราเข้าใจกลไกของความสำเร็จได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

ท้ายที่สุด การถอดรหัสความยิ่งใหญ่ไม่ใช่เพียงการลอกเลียนแบบ แต่เป็นการเรียนรู้และทำความเข้าใจหลักการพื้นฐานที่ทำให้ผลงานนั้นประสบความสำเร็จ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการสร้างสรรค์ผลงานที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง

การผสมผสานระหว่างการเรียนรู้จากความสำเร็จของผู้อื่นและการพัฒนาสไตล์ของตัวเองจะนำไปสู่การสร้างสรรค์ผลงานที่ทั้งยอดเยี่ยมและมีความเป็นต้นฉบับในเวลาเดียวกันได้ในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

References :
หนังสือ Decoding Greatness: How the Best in the World Reverse Engineer Success โดย Ron Friedman 


 


ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA



Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ



Geek Forever’s Podcast


“Open Your World With Technology


AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning

Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Youtube
ฟังผ่าน Youtube