บริษัทชิปจีนที่อเมริกาฆ่าไม่ตาย! Huawei ทิ้ง… อเมริกา “แบน” แต่กลับมาผงาดท้าชน Nvidia

ลองจินตนาการดูว่า ถ้าวันหนึ่ง ธุรกิจที่เราสร้างมากับมือ ถูกมหาอำนาจของโลกอย่างสหรัฐอเมริกา สั่ง “แบน” ห้ามทุกคนบนโลกค้าขายด้วย

มันไม่ใช่แค่การตั้งกำแพงภาษี แต่มันคือการ “ตัดท่อน้ำเลี้ยง” ตัดเครื่องมือทำมาหากินแทบจะทุกอย่างเลยก็ว่าได้

ผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกต่างฟันธงเป็นเสียงเดียวกันว่า “จบแล้ว บริษัทนี้เจ๊งแน่นอน ภายในไม่กี่เดือน”

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริงในเดือน ธันวาคม ปี 2022 กับบริษัทชิป AI สัญชาติจีนแห่งหนึ่ง

แต่แทนที่บริษัทนี้จะล้มหายตายจากไป…

เวลาผ่านไปไม่ถึงสามปี ในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 บริษัทนี้กลับประกาศตัวเลขที่ทำให้ทุกคนต้องขยี้ตา รายได้ 2.88 พันล้านหยวน พร้อมกำไรสุทธิ 1.38 พันล้านหยวน

นี่คือเรื่องราวของ Cambricon

เรื่องราวของสองพี่น้องอัจฉริยะ ที่เปลี่ยนการคว่ำบาตรที่รุนแรงที่สุด ให้กลายเป็นความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขา

เรื่องราวนี้เริ่มต้นที่ชายชื่อ Chen Tianshi

เขาไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นอัจฉริยะตัวจริง เขาทำงานเป็นนักวิจัยร่วมกับพี่ชาย Chen Yunji ที่ Chinese Academy of Sciences หรือสถาบันวิจัยชั้นนำของจีน

ในยุคที่ AI กำลังเริ่มบูม สองพี่น้องนี้มองเห็น “ปัญหาใหญ่” ที่จีนกำลังเผชิญ

ปัญหานั้นคือ “การพึ่งพาต่างชาติมากจนเกินไป”

จีนอาจจะมีบริษัทซอฟต์แวร์ที่เก่งกาจ แต่ “สมอง” ที่ใช้ประมวลผล AI ทั้งหมด หรือที่เราเรียกว่า “ชิป” กลับต้องนำเข้าจากต่างประเทศเกือบทั้งหมด

โดยเฉพาะจากบริษัทอย่าง Nvidia และ Intel ของอเมริกา

Chen Tianshi รู้ดีว่าถ้าจีนอยากเป็นผู้นำด้าน AI อย่างแท้จริง การที่ต้องยืมสมองคนอื่นมาใช้แบบนี้ มันคือความเสี่ยงระดับชาติ พวกเขาจึงไม่เพียงแค่นั่งวิจัยบนกระดาษ แต่ได้สร้างโปรเจกต์ที่ชื่อว่า DianNao

DianNao ไม่ใช่แค่เปเปอร์ส่งอาจารย์ แต่มันคือ “ชิป” ต้นแบบของจริง ที่พิสูจน์ให้เห็นว่า ชิปที่ออกแบบมาเพื่อประมวลผล AI หรือ Neural Networks โดยเฉพาะ มันทำงานได้เร็วกว่า และประหยัดพลังงานกว่า CPU ทั่วไปมหาศาล

นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญ

Chen Tianshi รู้แล้วว่า งานวิจัยในห้องแล็บมันเปลี่ยนประเทศไม่ได้ จีนต้องการ “ผลิตภัณฑ์” ที่จับต้องได้และแข่งขันได้จริง

เขาจึงตัดสินใจครั้งใหญ่ ลาออกจากสถาบันวิจัย และก่อตั้งบริษัทของตัวเองขึ้นมา

พวกเขาตั้งชื่อมันว่า Cambricon โดยได้แรงบันดาลใจมาจากยุค Cambrian ในประวัติศาสตร์โลก ซึ่งเป็นยุคที่สิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมาอย่างหลากหลายและรวดเร็ว

เป้าหมายของพวกเขาก็คือการจุดระเบิดให้เกิดยุคใหม่ของชิป AI

แน่นอนว่า การมีเทคโนโลยีที่ดี ไม่ได้การันตีความสำเร็จทางธุรกิจ Cambricon ในตอนนั้นก็เหมือนสตาร์ทอัปทั่วไป ที่ต้องการ “ลูกค้ารายใหญ่” มาช่วยยืนยันว่าของของพวกเขาดีจริง

และพวกเขาก็ได้เจอกับ “โอกาสทอง” ที่ชื่อว่า Huawei

ในตอนนั้น Huawei กำลังขยายอาณาจักรจากธุรกิจโทรคมนาคม มาสู่ตลาดสมาร์ตโฟน และกำลังพัฒนาชิปเรือธงของตัวเองที่ชื่อว่า Kirin

Huawei รู้ดีว่าอนาคตของมือถือคือ AI ไม่ว่าจะเป็นการประมวลผลภาพถ่าย การแปลภาษา หรือการสั่งงานด้วยเสียง มือถือยุคใหม่ต้องการหน่วยประมวลผล AI โดยเฉพาะ หรือที่เราเรียกกันว่า NPU

และชิป Cambricon 1A ของสองพี่น้อง ก็ตอบโจทย์นี้ได้อย่างพอดิบพอดี มันคือฮาร์ดแวร์ AI ของจริง ที่ถูกออกแบบมาให้ประหยัดพลังงานและทรงพลังพอที่จะรันบนมือถือได้

แม้ Cambricon จะเป็นบริษัทใหม่มาก แต่ Huawei ที่ขึ้นชื่อเรื่องมาตรฐานวิศวกรรมที่เข้มงวด ได้ทดสอบชิปนี้ และผลลัพธ์คือ “ผ่าน”

ในปี 2017 ประวัติศาสตร์ก็ถูกจารึก

Huawei ประกาศเปิดตัวชิป Kirin 970 พร้อมประกาศว่าชิปตัวนี้ มี NPU ที่พัฒนาร่วมกับ Cambricon อยู่ข้างใน

นี่ไม่ใช่การทดลองตลาดเล็กๆ แต่มันคือการใส่ชิปของ Cambricon ลงใน “มือถือเรือธง” ที่ขายไปทั่วโลกหลายล้านเครื่อง

ทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์มหาศาล

Huawei ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแรกๆ ที่มีมือถือ AI อัจฉริยะ

ส่วน Cambricon ก็ได้พิสูจน์ตัวเองในเวทีระดับโลกทันที จากบริษัท Spin-off ในมหาวิทยาลัย Cambricon กลายเป็นผู้เล่นที่น่าจับตามองในวงการชิป

นักลงทุนต่อคิวกันเข้ามา เงินระดมทุนไหลมาเทมา มูลค่าบริษัททะลุ 1 พันล้านดอลลาร์ กลายเป็น Unicorn ในทันที

รัฐบาลจีนก็ไม่รอช้า ดึง Cambricon เข้าสู่แผนยุทธศาสตร์ชาติ Made in China 2025 ให้เป็นหัวหอกในการสร้างความมั่นคงด้านชิปของประเทศ

แรงส่งนี้พุ่งไปถึงขีดสุดในวันที่ 20 กรกฎาคม ปี 2020 Cambricon ทำ IPO หรือการเข้าตลาดหุ้นได้สำเร็จ บนตลาด Star Market ของ Shanghai

พวกเขาระดมทุนไปได้ถึง 369 ล้านดอลลาร์ ที่น่าสนใจคือ ตอนนั้นบริษัทยัง “ขาดทุน” อยู่เลย

แต่นักลงทุนไม่ได้มองที่กำไรระยะสั้น พวกเขากำลัง “เดิมพัน” กับอนาคต และบทบาทของ Cambricon ในฐานะโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ของจีน

Cambricon กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังของชาติ ณ จุดนั้น ดูเหมือนว่าอนาคตของ Cambricon จะมีแต่คำว่า “รุ่งโรจน์”

แต่ในโลกธุรกิจ… ไม่มีอะไรที่แน่นอน

ความท้าทายแรก ไม่ได้มาจากคู่แข่งที่ไหนไกล แต่มาจาก “พันธมิตร” ที่สำคัญที่สุดของพวกเขานั่นเอง นั่นคือ Huawei

ในช่วงปี 2018 ถึง 2019 Huawei ที่กำลังโดนแรงกดดันจากสหรัฐฯ อย่างหนัก เริ่มตระหนักว่าการพึ่งพาซัพพลายเออร์ แม้จะเป็นบริษัทจีนด้วยกัน ก็ยังมีความเสี่ยง

Huawei ตัดสินใจเดิมพันครั้งใหญ่ ด้วยการพัฒนาชิป NPU ของตัวเองแบบ In-house ผ่านบริษัทลูกที่ชื่อว่า HiSilicon

นี่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป

คำสั่งซื้อจาก Huawei ที่เคยเป็นเส้นเลือดหลักของ Cambricon ลดลงอย่างฮวบฮาบทันที รายได้ที่เคยพึ่งพา Huawei เป็นหลัก พังทลายลงมา โมเดลธุรกิจที่เคยสวยหรู แตกสลายในพริบตา

Cambricon สูญเสียลูกค้ารายใหญ่ที่สุด และสูญเสีย “จุดพิสูจน์” ที่เคยใช้ไปโชว์ลูกค้ารายอื่น บริษัทกำลังเมาหมัด และพยายามอย่างหนักที่จะหาลูกค้ารายใหม่เข้ามาทดแทน

แต่ในขณะที่พวกเขากำลังพยายามลุกขึ้นยืน “หมัดน็อก” ที่หนักที่สุดก็ถูกปล่อยออกมา

เดือนธันวาคม ปี 2022 รัฐบาลสหรัฐอเมริกา ประกาศเพิ่มชื่อ Cambricon เข้าไปใน “Entity List”

คำว่า Entity List อาจฟังดูเหมือนศัพท์เทคนิคทั่วไป แต่ในวงการนี้ มันคือ ‘โทษประหาร’ สถานเดียว

การติดอยู่ในบัญชีนี้ หมายความว่า บริษัทสัญชาติอเมริกัน หรือบริษัทใดก็ตามที่ใช้เทคโนโลยีของอเมริกา ห้ามทำธุรกิจ ห้ามซื้อ ห้ามขาย หรือส่งมอบเทคโนโลยีใดๆ ให้กับ Cambricon โดยเด็ดขาด

นี่ไม่ใช่แค่การแบนไม่ให้ขายของในอเมริกา แต่มันคือการ “ตัดขาด” จากห่วงโซ่อุปทานทั้งโลก

แล้วผลกระทบของมันรุนแรงแค่ไหน?

ข้อแรก พวกเขาถูกตัดขาดจากเครื่องมือออกแบบชิป

การออกแบบชิปสมัยใหม่ที่ซับซ้อน มันต้องใช้ซอฟต์แวร์เฉพาะทางที่เรียกว่า EDA และเจ้าตลาดของซอฟต์แวร์นี้คือบริษัทอเมริกันอย่าง Synopsys และ Cadence

การไม่มีเครื่องมือ EDA ก็เหมือนสถาปนิกที่พยายามออกแบบตึกระฟ้า โดยไม่มีโปรแกรมเขียนแบบ มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

ข้อสอง พวกเขาถูกตัดขาดจากโรงงานผลิตชิปที่ดีที่สุดในโลก นั่นคือ TSMC ของไต้หวัน

แม้ TSMC จะไม่ใช่บริษัทอเมริกัน แต่โรงงานของ TSMC ใช้เครื่องจักรและเทคโนโลยีของอเมริกาเต็มไปหมด ดังนั้น TSMC จึงต้องปฏิบัติตามกฎนี้ด้วย

Cambricon ถูกบีบให้ต้องหันไปพึ่งพาโรงงานในประเทศอย่าง SMIC

ปัญหาคือ เทคโนโลยีการผลิตของ SMIC นั้น “ล้าหลัง” กว่า TSMC อยู่หลายเจเนอเรชัน นั่นหมายความว่า ชิปที่ออกมา จะมีขนาดใหญ่กว่า กินไฟมากกว่า และช้ากว่าคู่แข่งอย่างเห็นได้ชัด

นี่คือ “วิกฤตการอยู่รอด” ของจริง

Cambricon เพิ่งเสียลูกค้ารายใหญ่ที่สุดอย่าง Huawei ไปหมาดๆ ตอนนี้พวกเขาเสียเครื่องมือออกแบบที่ดีที่สุด และเสียโรงงานผลิตที่ดีที่สุด

พนักงานในบริษัทเริ่มตั้งคำถามถึงอนาคต นักลงทุนเริ่มสั่นคลอนกับทฤษฎี “การพึ่งพาตนเอง”

นักวิเคราะห์ทั่วโลกฟันธง… Cambricon จบแล้ว

เป้าหมายของสหรัฐฯ คือการชะลอการเติบโตด้าน AI ของจีน และ Cambricon คือเป้าหมายหลัก

ณ จุดนี้ บริษัท 99% มักจะล้มละลาย หรือไม่ก็กลายเป็นบริษัทที่ไร้ความสามารถในการแข่งขันไปเลย นี่คือจุดที่ต่ำที่สุดของ Cambricon พวกเขาเหลือทางเลือกไม่มาก… จะยอมตาย หรือจะหาทางใหม่เพื่อเอาชีวิตรอด

และสิ่งที่ Cambricon เลือกทำต่อจากนั้น คือบทเรียนการเอาตัวรอดทางธุรกิจที่น่าทึ่งที่สุดบทหนึ่ง

พวกเขาตระหนักถึงความจริงอันเจ็บปวดว่า… พวกเขาไม่สามารถแข่งขันในเกมเดิมได้อีกต่อไป

การพยายามสร้างชิปที่ “แรงกว่า” หรือ “เร็วกว่า” Nvidia ในเชิงสเปกฮาร์ดแวร์ เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แล้ว เมื่อพวกเขาไม่มีเครื่องมือและโรงงานที่ดีที่สุด

พวกเขาต้องเปลี่ยน “สนามรบ”

Cambricon มองไปที่คู่แข่งอย่าง Nvidia และวิเคราะห์ว่า อะไรคือจุดแข็งที่แท้จริงของ Nvidia มันไม่ใช่แค่ตัวการ์ดจอ หรือ GPU ที่แรง

แต่มันคือ “CUDA”

CUDA คืออะไร?

CUDA คือ “แพลตฟอร์มซอฟต์แวร์” หรือพูดง่ายๆ คือ “ภาษา” ที่นักพัฒนาใช้สั่งงานชิปของ Nvidia ซึ่ง Nvidia ใช้เวลาพัฒนาระบบนิเวศ หรือ Ecosystem ของ CUDA มานานกว่า 15 ปี

มันมีเครื่องมือที่ครบครัน มีเอกสารประกอบที่ยอดเยี่ยม มีชุมชนนักพัฒนาขนาดใหญ่ นักวิจัย AI หรือวิศวกรทุกคนบนโลก ถูกฝึกให้ใช้ CUDA

การที่บริษัทไหนจะเลิกใช้ Nvidia แล้วย้ายไปใช้ชิปเจ้าอื่น มันหมายถึงการต้อง “เขียนโค้ดใหม่ทั้งหมด” ต้อง “ฝึกคนใหม่ทั้งหมด”

นี่คือ “ต้นทุนการเปลี่ยนย้าย” หรือ Switching Costs ที่มหาศาล และนี่คือ “คูเมือง” ที่แท้จริงของ Nvidia

Cambricon เข้าใจบทเรียนนี้อย่างลึกซึ้ง

พวกเขาจึงตัดสินใจว่า… “ในเมื่อเราเอาชนะ CUDA ในระดับโลกไม่ได้ เราก็จะสร้าง CUDA ของเราเอง… สำหรับประเทศจีน”

พวกเขาต้องการสร้าง “Android แห่งวงการชิป AI”

Cambricon เปลี่ยนยุทธศาสตร์ทันที จากบริษัทที่ “ขายฮาร์ดแวร์” กลายเป็นบริษัทที่ “สร้างแพลตฟอร์ม”

พวกเขาเททรัพยากรมหาศาลไปกับการพัฒนา Software Stack หรือชุดซอฟต์แวร์ของตัวเอง สร้างเครื่องมือ สร้างเอกสารคู่มือ สร้างโปรแกรมสนับสนุน และให้ความรู้นักพัฒนาในจีน

แต่นี่คือจุดที่ “การคว่ำบาตร” กลับกลายเป็น “ตัวเร่งปฏิกิริยา” ชั้นดี เพราะไม่ใช่แค่ Cambricon ที่กลัว…

บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีนทุกเจ้า ก็กลัวเหมือนกัน… กลัวว่าวันหนึ่ง สหรัฐฯ จะแบนไม่ให้พวกเขาเข้าถึงชิป Nvidia ได้

พวกเขาเองก็กำลังมองหา “ทางเลือก” ที่มั่นคงและอยู่ในประเทศ

Cambricon จึงเดินเกมที่พลิกวงการ

พวกเขาไม่ได้แค่ขายชิปให้บริษัทเหล่านี้ แต่พวกเขาไป “จับมือ” เป็นพันธมิตรเชิงลึก พวกเขาไปคุยกับ Inspur ผู้ผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI รายใหญ่ ให้ฝังชุดซอฟต์แวร์ของ Cambricon ลงไปในเครื่องเลย

พวกเขาไปคุยกับ Alibaba Cloud และ Tencent Cloud สองผู้ให้บริการคลาวด์ที่ใหญ่ที่สุดในจีน ให้เปิดบริการเซิร์ฟเวอร์เสมือน ที่รันบนชิปของ Cambricon

และจุดที่สำคัญที่สุด…

พวกเขาทำงานอย่างหนักกับผู้พัฒนา AI Models ขนาดใหญ่ในจีน ไม่ว่าจะเป็น Deepseek, โมเดล Qwen ของ Alibaba, หรือโมเดล Hunyuan ของ Tencent

พวกเขาทำให้โมเดลยักษ์ใหญ่เหล่านี้ หันมา “Optimize” หรือปรับแต่งตัวเองให้ทำงานได้ดีที่สุดบนสถาปัตยกรรมของ Cambricon

นี่คือการสร้าง “Software Lock-in” หรือ การผูกมัดด้วยซอฟต์แวร์

เมื่อนักพัฒนาในจีนเริ่มเรียนรู้เครื่องมือของ Cambricon เริ่มสร้างโมเดลบนแพลตฟอร์มของ Cambricon และเริ่มให้บริการลูกค้าผ่านคลาวด์ของ Cambricon

การจะย้ายกลับไปหาเจ้าอื่น แม้ว่าฮาร์ดแวร์จะแรงกว่า ก็กลายเป็นเรื่องที่ “ยุ่งยากและมีต้นทุนสูง” ไปเสียแล้ว

Cambricon ได้สร้าง “คูเมือง” ของตัวเองขึ้นมาสำเร็จ

และผลลัพธ์ของกลยุทธ์นี้… ก็คือตัวเลขที่เราพูดถึงในตอนแรก ครึ่งแรกของปี 2025 รายได้ 2.88 พันล้านหยวน เติบโตขึ้น 4,300% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

บริษัทพลิกจากขาดทุนมหาศาล กลับมาทำกำไรได้อย่างแข็งแกร่ง การเติบโตนี้ไม่ได้มาจากปาฏิหาริย์ แต่มาจากการวางแผนนานหลายปี

ลูกค้าไม่ได้ซื้อแค่ “ชิป” อีกต่อไป พวกเขากำลังเลือก “แพลตฟอร์ม” ที่มั่นคงและไว้ใจได้ มีรายงานว่าลูกค้ารายสำคัญที่ผลักดันการเติบโตนี้ คือ ByteDance บริษัทแม่ของ Tik Tok

ลองนึกดูว่า อัลกอริทึมของ Tik Tok ต้องใช้พลังการประมวลผล AI หนักหน่วงมหาศาลขนาดไหนในแต่ละวัน

การที่ ByteDance เลือกใช้ Cambricon เป็นโครงสร้างพื้นฐานหลัก นั่นคือการ “การันตี” คุณภาพ ว่าชิปของจีนที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกนี้… “ดีพอ”

เรื่องราวของ Cambricon คือกรณีศึกษาที่น่าสนใจมาก ๆ

พวกเขาพิสูจน์ให้เห็นว่า “การคว่ำบาตร” ที่สหรัฐฯ ตั้งใจใช้เพื่อ “ฆ่า” พวกเขา กลับกลายเป็น “เกราะกำบัง” ที่ดีที่สุด

มันบังคับให้ Cambricon ต้องเปลี่ยนจุดอ่อน (สู้ฮาร์ดแวร์ไม่ได้) ให้กลายเป็นจุดแข็ง (สร้างระบบนิเวศซอฟต์แวร์)

และในขณะเดียวกัน การคว่ำบาตรนี้ก็ทำหน้าที่เหมือน “กำแพงภาษี” ขนาดยักษ์ ที่ช่วยปกป้อง Cambricon จากคู่แข่งระดับโลกอย่าง Nvidia ไม่ให้เข้ามาตีตลาดในจีนได้สะดวกเหมือนเดิม

มันบีบให้ทั้งระบบนิเวศเทคโนโลยีของจีน ต้องหันมาร่วมมือกันเพื่อ “อยู่รอด”

จากวันที่เกือบจะล้มละลาย วันนี้ Cambricon ไม่ได้แค่รอดชีวิต แต่พวกเขากำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด ในฐานะผู้นำของตลาด AI ในประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลก

คำถามในวันนี้ จึงไม่ใช่ว่า Cambricon จะ “รอด” หรือไม่

แต่คำถามคือ โมเดล “ระบบนิเวศแบบปิด” ที่ถูกสร้างขึ้นจากแรงกดดันทางการเมืองนี้ จะสามารถขยายสเกลออกไปแข่งขันในระดับโลกได้หรือไม่

นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด ที่แสดงให้เห็นว่า ภูมิรัฐศาสตร์ กำลังเข้ามาวาด “แผนที่เทคโนโลยี” ของโลกใบนี้… ใหม่ทั้งหมด

References : [Reuters, Nikkei Asia, The Information, South China Morning Post, Wccftech]


 


ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA



Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ



Geek Forever’s Podcast


“Open Your World With Technology


AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning

Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Youtube
ฟังผ่าน Youtube