เปลี่ยนชีวิตด้วยพลังงานที่ดี : สุขภาพดีเริ่มที่เซลล์ เคล็ดลับสุขภาพแบบใหม่ ที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณตลอดกาล

เมื่อพูดถึงสุขภาพ เรามักนึกถึงอาการภายนอกที่เห็นได้ชัด เช่น น้ำหนักตัว หรือความดันโลหิต แต่ถ้าเราลองมองลึกลงไปในระดับเซลล์ เราจะพบว่าสุขภาพที่แท้จริงเริ่มต้นจากภายใน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากพลังงานที่เซลล์ของเราผลิตขึ้น

Dr. Casey Means แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเมแทบอลิซึม ผู้แต่งหนังสือ Best Seller ของ Amazon อยู่ในขณะนี้อย่าง “Good Energy: The Surprising Connection Between Metabolism and Limitless Health” ได้นำเสนอมุมมองใหม่ที่น่าสนใจ เธอเชื่อว่าสาเหตุหลักของโรคเรื้อรังต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความดันโลหิตสูง เบาหวาน หรือแม้แต่มะเร็ง ล้วนมีจุดกำเนิดมาจากการทำงานที่ผิดปกติของพลังงานในเซลล์ของเรา

แนวคิดนี้อาจฟังดูแปลกใหม่สำหรับหลายคน แต่ลองนึกภาพว่าร่างกายของเราเป็นเหมือนเมืองใหญ่ที่มีเซลล์นับล้านล้านเป็นประชากร แต่ละเซลล์ต้องการพลังงานเพื่อทำหน้าที่ของตัวเอง เมื่อเซลล์ไม่สามารถผลิตพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็เหมือนกับเมืองที่เผชิญวิกฤตพลังงาน ทุกอย่างเริ่มทำงานผิดปกติ และนำไปสู่ปัญหามากมาย

Dr. Means เสนอว่าแทนที่จะมุ่งเน้นการรักษาอาการของโรคต่างๆ เราควรหันมาให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ นั่นคือการปรับปรุงการทำงานของพลังงานในเซลล์ของเรา วิธีการนี้ไม่ใช่การกินยาหรือการผ่าตัด แต่เป็นการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตแบบองค์รวม ทั้งในด้านอาหาร การออกกำลังกาย และการจัดการกับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมต่างๆ

เรื่องราวของแม่ของ Dr. Means เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของปัญหานี้ ในช่วงวัย 40 ปี แม่ของเธอเริ่มมีปัญหาในการควบคุมน้ำหนัก และได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง แพทย์จึงสั่งยา ACE inhibitor เพื่อช่วยขยายหลอดเลือด

เมื่อเข้าสู่วัย 50 ปี เธอมีระดับคอเลสเตอรอลสูงและได้รับยา statin พออายุ 60 ปี เธอเริ่มมีภาวะก่อนเบาหวานและได้รับยา Metformin แต่เมื่ออายุ 71 ปี เธอกลับได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งตับอ่อนระยะที่ 4 และเสียชีวิตเพียง 13 วันหลังจากนั้น

เรื่องราวนี้แสดงให้เห็นว่าปัญหาสุขภาพต่างๆ ที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกัน แท้จริงแล้วอาจเป็นสัญญาณของปัญหาพื้นฐานเดียวกัน นั่นคือการทำงานที่ผิดปกติของพลังงานในเซลล์ การรักษาแบบแยกส่วนที่มุ่งเน้นเพียงการบรรเทาอาการ อาจไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่รากเหง้าได้

แนวคิดเรื่อง “สุขภาพเมแทบอลิก” หรือ “พลังงานที่ดี (Good Energy)” จึงเป็นกุญแจสำคัญในการเข้าใจและแก้ไขปัญหาสุขภาพอย่างยั่งยืน เมื่อเซลล์ของเรามีพลังงานเพียงพอที่จะทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่ ร่างกายทั้งระบบก็จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เรามีสุขภาพที่ดีในภาพรวม

แต่การจะทำความเข้าใจเรื่องนี้ เราต้องย้อนกลับไปดูว่าเซลล์ของเราต้องการอะไรบ้างในการทำงาน เซลล์แต่ละเซลล์ในร่างกายเราต้องการ Adenosine triphosphate (ATP) ซึ่งเป็นโมเลกุลพลังงานที่สำคัญ เพื่อทำหน้าที่หลัก 7 อย่าง ได้แก่ สร้างโปรตีน ซ่อมแซม DNA ส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ การขนส่งโมเลกุลบางชนิด รักษาสมดุล กำจัดของเสีย และผลิตพลังงาน

เมื่อเซลล์ไม่สามารถผลิต ATP ได้อย่างเพียงพอ การทำงานทั้ง 7 อย่างนี้ก็จะเกิดปัญหา นำไปสู่ความผิดปกติต่างๆ ในร่างกาย เช่น การอักเสบเรื้อรัง ภาวะดื้อต่ออินซูลิน และในที่สุดก็นำไปสู่โรคเรื้อรังต่างๆ

แล้วอะไรทำให้เซลล์ของเราผลิตพลังงานได้ไม่ดี? คำตอบคือวิถีชีวิตสมัยใหม่ของเรานั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นการกินอาหารมากเกินไป การขาดสารอาหาร ปัญหาเกี่ยวกับจุลินทรีย์ในลำไส้ การใช้ชีวิตที่ไม่ค่อยเคลื่อนไหว ความเครียดเรื้อรัง การใช้ยาบางชนิด การอดนอน การสัมผัสสารพิษในสิ่งแวดล้อม หรือแม้แต่แสงไฟเทียมที่เราเห็นในยามค่ำคืน ล้วนแต่ส่งผลเสียต่อการทำงานของไมโตคอนเดรีย ซึ่งเปรียบเสมือนโรงงานผลิตพลังงานของเซลล์

เมื่อไมโตคอนเดรียถูกทำลาย มันจะไม่สามารถเปลี่ยนอาหารเป็นพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการสะสมของไขมันในเซลล์และขัดขวางการทำงานปกติ สิ่งนี้นำไปสู่ภาวะดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งเซลล์ไม่สามารถนำกลูโคสเข้าไปใช้ได้ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ร่างกายพยายามแก้ปัญหานี้ด้วยการผลิตอินซูลินมากขึ้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป ระบบนี้ก็จะล้มเหลว นำไปสู่ปัญหาสุขภาพเรื้อรังต่างๆ

ปัญหานี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับคนส่วนน้อย แต่กำลังกลายเป็นวิกฤตสุขภาพระดับชาติ ในสหรัฐอเมริกา ผู้ใหญ่มากกว่า 50% และเด็กเกือบ 30% มีภาวะก่อนเบาหวานหรือเบาหวานชนิดที่ 2 นี่เป็นตัวเลขที่น่าตกใจและแสดงให้เห็นว่าปัญหาสุขภาพเมแทบอลิกกำลังแพร่ระบาดอย่างกว้างขวาง

แต่ข่าวดีก็คือ เราสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ โดยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและอาหารการกิน Dr. Means เสนอแนวทางแบบองค์รวมที่มุ่งเน้นการปรับปรุงสุขภาพเมแทบอลิก ซึ่งรวมถึงการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อเซลล์ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การจัดการความเครียด และการหลีกเลี่ยงสารพิษในสิ่งแวดล้อม

การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจดูเหมือนเป็นเรื่องยาก แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นคุ้มค่ามาก การปรับปรุงสุขภาพเมแทบอลิกไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันโรคเรื้อรัง ยังช่วยเพิ่มพลังงาน ปรับปรุงอารมณ์ และทำให้คุณภาพชีวิตโดยรวมดีขึ้น

แนวคิดเรื่อง “พลังงานที่ดี” นี้ไม่ใช่เพียงทฤษฎีล้าสมัย แต่เป็นวิธีการมองสุขภาพแบบใหม่ที่อยู่บนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ มันท้าทายความเชื่อเดิมๆ ที่ว่าโรคเรื้อรังเป็นส่วนหนึ่งของการแก่ตัวที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และเสนอว่าเราสามารถควบคุมสุขภาพของเราได้มากกว่าที่เราคิด

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงระบบสุขภาพทั้งหมดให้มุ่งเน้นการป้องกันมากกว่าการรักษาไม่ใช่เรื่องง่าย ระบบการแพทย์ปัจจุบันมักจะได้กำไรจากการจัดการโรค ไม่ใช่การรักษาโรค ผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรังหลายโรคมักต้องพบแพทย์เฉพาะทางหลายคน และได้รับยาหลายชนิด

แม้จะได้รับการรักษาแล้ว อาการของพวกเขาก็ยังคงอยู่ การแทรกแซงด้านโภชนาการมักถูกมองข้าม และการอักเสบที่มักได้รับการรักษาด้วยยาหรือการผ่าตัดก็ยังคงกลับมาเป็นซ้ำ

นี่เป็นเพราะระบบการแพทย์ส่วนใหญ่ยังไม่ได้ตระหนักถึงสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา นั่นคือการทำงานผิดปกติของเซลล์และปัญหาเมแทบอลิก แทนที่จะมองว่าโรคต่างๆ เป็นปัญหาแยกส่วน เราควรเริ่มมองว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาใหญ่เดียวกัน นั่นคือ “พลังงานที่ไม่ดี” ในระดับเซลล์

การมองปัญหาในมุมมองใหม่นี้ไม่ได้หมายความว่าเราต้องทิ้งการแพทย์แผนปัจจุบันทั้งหมด แต่เราควรบูรณาการแนวคิดเรื่องสุขภาพเมแทบอลิกเข้าไปในระบบการดูแลสุขภาพ เพื่อให้การรักษาครอบคลุมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

หนึ่งในวิธีที่น่าสนใจในการติดตามสุขภาพเมแทบอลิกคือ “Bio-observability” ซึ่งหมายถึงการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น wearable devices และการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อติดตามตัวบ่งชี้ทางชีวภาพต่างๆ ในร่างกาย

ตัวอย่างเช่น Emily หญิงตั้งครรภ์ 24 สัปดาห์ ทำการทดสอบความทนต่อกลูโคสแบบมาตรฐานและได้รับแจ้งว่าเธอไม่มีเบาหวานขณะตั้งครรภ์ แต่เมื่อเธอใช้เครื่องตรวจวัดน้ำตาลในเลือดแบบต่อเนื่อง (CGM) เธอกลับพบว่าระดับน้ำตาลของเธอสูงกว่าปกติ หากไม่มี CGM เธอจะไม่รู้เลยว่ามีภาวะนี้ ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสี่ยงด้านสุขภาพที่ร้ายแรงทั้งสำหรับแม่และลูก

การมีข้อมูลนี้ทำให้ Emily สามารถจัดการกับภาวะของเธอได้ทันที โดยการปรับเปลี่ยนอาหารและวิถีชีวิต นี่เป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้เทคโนโลยีเพื่อเข้าใจและควบคุมสุขภาพของตัวเองได้ดีขึ้น

นอกจาก CGM แล้ว ยังมีการตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่นๆ ที่สามารถให้ภาพรวมของสุขภาพเมแทบอลิกได้ เช่น การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดช่วงอดอาหาร (Fasting glucose) ระดับอินซูลินขณะอดอาหาร ความดันโลหิต เส้นรอบเอว อัตราส่วนไตรกลีเซอไรด์ต่อ HDL และอื่นๆ

การเข้าใจตัวบ่งชี้เหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยในการวินิจฉัยโรค แต่ยังช่วยให้เราสามารถป้องกันปัญหาสุขภาพก่อนที่มันจะเกิดขึ้นด้วย เช่น ระดับไตรกลีเซอไรด์สูงมักเป็นผลมาจากการบริโภคน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตที่ผ่านการกลั่นกรองมากเกินไป การรู้เช่นนี้ทำให้เราสามารถปรับเปลี่ยนอาหารได้ก่อนที่ปัญหาจะลุกลามเป็นโรคร้ายแรง

แต่การมีข้อมูลอย่างเดียวไม่เพียงพอ เราต้องรู้วิธีใช้ข้อมูลนั้นเพื่อปรับปรุงสุขภาพด้วย Dr. Means เสนอแนวทางหลายอย่างที่เราสามารถทำได้เพื่อปรับปรุงสุขภาพเมแทบอลิก

ประการแรก เรื่องอาหารการกิน อาหารที่เรารับประทานมีผลโดยตรงต่อสุขภาพของเซลล์ การลดการบริโภคอาหารแปรรูป โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่มีน้ำตาล ธัญพืชขัดขาว และน้ำมันพืช เป็นก้าวแรกที่สำคัญ แทนที่จะบริโภคสิ่งเหล่านี้ เราควรหันมารับประทานอาหารที่ไม่ผ่านการแปรรูป เช่น ผักและผลไม้สด เนื้อสัตว์คุณภาพดี และไขมันที่มีประโยชน์

Dr. Means แนะนำให้รับประทานพืชอินทรีย์ 30 ชนิดที่แตกต่างกันต่อสัปดาห์ รวมถึงผักตระกูลกะหล่ำสองมื้อต่อวัน เธอยังเน้นย้ำความสำคัญของการรับประทานโปรตีนอย่างเพียงพอ โดยแนะนำให้รับประทานโปรตีนอย่างน้อย 30 กรัมต่อมื้อ

นอกจากนี้ การดื่มน้ำสะอาดอย่างเพียงพอก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน Dr. Means แนะนำให้ดื่มน้ำอย่างน้อยครึ่งออนซ์ต่อน้ำหนักตัวหนึ่งปอนด์ต่อวัน และควรใช้เครื่องกรองน้ำที่มีคุณภาพเพื่อกำจัดสารปนเปื้อนที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

ประการที่สอง การออกกำลังกายและการเคลื่อนไหวร่างกาย การนั่งนิ่งๆ เป็นเวลานานเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพเมแทบอลิกที่สำคัญ Dr. Means แนะนำให้เดินอย่างน้อย 7,000 ถึง 10,000 ก้าวต่อวัน ออกกำลังกายระดับปานกลาง 150 นาทีต่อสัปดาห์

การเคลื่อนไหวร่างกายไม่เพียงแต่ช่วยเผาผลาญแคลอรี่ แต่ยังช่วยกระตุ้นการทำงานของไมโตคอนเดรียและปรับปรุงความไวต่ออินซูลินด้วย นอกจากนี้ การสัมผัสกับอุณหภูมิที่แตกต่าง เช่น การอาบน้ำเย็นหรือการใช้ซาวน่า ก็สามารถกระตุ้นการทำงานของเซลล์และปรับปรุงสุขภาพเมแทบอลิกได้

ประการที่สาม การจัดการความเครียดและการนอนหลับ ความเครียดเรื้อรังและการนอนหลับที่ไม่เพียงพอสามารถทำลายสุขภาพเมแทบอลิกได้อย่างรุนแรง Dr. Means แนะนำให้ฝึกสติและทำสมาธิทุกวัน และพยายามนอนหลับให้ได้ 7-8 ชั่วโมงต่อคืน

การลดการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก่อนนอน และการสัมผัสกับธรรมชาติเป็นประจำ สามารถช่วยลดความเครียดและปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับได้ นอกจากนี้ การจำกัดช่วงเวลาในการรับประทานอาหารให้อยู่ในช่วง 8-12 ชั่วโมงต่อวัน ก็สามารถช่วยปรับปรุงการทำงานของระบบเมแทบอลิกได้

ประการสุดท้าย การหลีกเลี่ยงสารพิษในสิ่งแวดล้อม สารเคมีสังเคราะห์มากมายในชีวิตประจำวันของเรา ตั้งแต่สารเคมีในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ไปจนถึงสารกำจัดศัตรูพืชในอาหาร สามารถรบกวนการทำงานของระบบเมแทบอลิกได้ การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติและการรับประทานอาหารอินทรีย์สามารถช่วยลดการสัมผัสกับสารพิษเหล่านี้ได้

การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเหล่านี้อาจดูเหมือนเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ แต่ Dr. Means เน้นย้ำว่าไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่างพร้อมกันทีเดียว การเริ่มต้นทีละเล็กละน้อยและค่อยๆ สร้างนิสัยใหม่ทีละอย่างสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนได้

แนวคิดเรื่อง “พลังงานที่ดี” นี้ไม่ใช่เพียงทฤษฎีทางการแพทย์อีกอย่างหนึ่ง แต่เป็นวิธีการมองสุขภาพแบบใหม่ที่ให้อำนาจแก่เราในการควบคุมสุขภาพของตัวเอง แทนที่จะรอให้เกิดปัญหาแล้วค่อยรักษา เราสามารถป้องกันและรักษาโรคเรื้อรังได้ด้วยการดูแลสุขภาพเมแทบอลิกของเราอย่างจริงจัง

การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน และไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเปลี่ยนนิสัยที่เราสั่งสมมาตลอดชีวิต แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นคุ้มค่ากับความพยายาม ไม่เพียงแต่เราจะมีสุขภาพที่ดีขึ้น แต่เรายังจะมีพลังงานมากขึ้น อารมณ์ดีขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นโดยรวม

ในท้ายที่สุด การมี “พลังงานที่ดี” ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของสุขภาพ แต่เป็นเรื่องของการมีชีวิตที่มีคุณภาพ มีพลัง และมีความหมาย เป็นการเปิดประตูสู่โอกาสและประสบการณ์ใหม่ๆ ที่เราอาจไม่เคยคิดว่าจะเป็นไปได้ เมื่อเรามีพลังงานที่ดี เราจะพบว่าเรามีศักยภาพมากกว่าที่เราเคยคิด และสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้มากกว่าที่เราเคยจินตนาการ

References :
หนังสือ : Good Energy: The Surprising Connection Between Metabolism and Limitless Health โดย Casey Means MD


 


ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA



Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ



Geek Forever’s Podcast


“Open Your World With Technology


AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning

Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Youtube
ฟังผ่าน Youtube