เปลี่ยนเกมธุรกิจด้วยวิดีโอ 90 วินาที Dollar Shave Club เอาชนะ Gillette ด้วยงบน้อยแต่ไอเดียแรง

6 มีนาคม 2012 วันที่โลกการตลาดกำลังถึงจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ ชายคนหนึ่งในเสื้อเชิ้ตสีฟ้าธรรมดาเดินอย่างมั่นใจในโกดังสินค้า ไม่มีใครคาดคิดว่าวิดีโอสั้นๆ เพียง 90 วินาทีที่ใช้งบแค่ 4,500 ดอลลาร์จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญมาก ๆ ในวงการการตลาด

ภายในเวลา 48 ชั่วโมงหลังปล่อยวิดีโอ เซิร์ฟเวอร์ของบริษัทล่ม ออร์เดอร์พุ่งทะยานถึง 12,000 รายการ เปรียบเสมือนการต่อสู้แบบเดวิดปะทะโกไลแอทที่สุดท้ายจบลงด้วยดีลซื้อกิจการมูลค่าหนึ่งพันล้านดอลลาร์

แล้วอะไรที่ทำให้สตาร์ทอัพเล็กๆ อย่าง Dollar Shave Club สามารถเอาชนะ Gillette ยักษ์ใหญ่ที่มีอายุเก่าแก่ร้อยปีและมีงบการตลาดกว่า 800 ล้านดอลลาร์? และเราจะสามารถเรียนรู้อะไรได้บ้างจากความสำเร็จครั้งนี้?

เราต้องย้อนกลับไปดูภาพวงการมีดโกนก่อนที่ Michael Dubin จะเข้ามาทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป

ปี 2011 Facebook เพิ่งมีผู้ใช้ครบ 750 ล้านคน Game of Thrones เพิ่งเริ่มออกอากาศทาง HBO และวงการมีดโกนมี Gillette เป็นพี่ใหญ่ครองตลาดมากกว่า 70% ทั่วโลก

นวัตกรรมล่าสุดของพวกเขาตอนนั้น Fusion ProGlide with Flexball Technology ขายปลีกในราคาสูงลิ่วถึง 19.99 ดอลลาร์สำหรับด้ามจับเปล่าๆ และ 36 ดอลลาร์สำหรับตลับใบมีดแพ็คละ 8 ชิ้น

Gillette ใช้กลยุทธ์โน้มน้าวผู้ชายให้เชื่อว่าพวกเขาต้องการใบมีดที่มีเทคโนโลยีซับซ้อนและราคาแพงลิบลิ่วเพื่อให้ได้การโกนที่สมบูรณ์แบบ

ในอพาร์ตเม้นท์เล็กๆ แถว Venice รัฐ California มีนักแสดงตลกและผู้เชี่ยวชาญการตลาดดิจิทัลชื่อ Michael Dubin ที่มีมุมมองต่างออกไปโดยสิ้นเชิง

เรื่องเริ่มต้นในงานปาร์ตี้คริสต์มาสปี 2010 เมื่อเขาพบกับ Mark Levine ชายที่มีใบมีดโกนแต่ไม่รู้จะขายยังไง ปฏิกิริยาแรกของ Dubin คือ “อุตสาหกรรมโกนหนวดนี่มั่วซั่วสุดๆ เต็มไปด้วยค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เราขายมีดโกนดีๆ ออนไลน์ในราคาถูกกว่ามากได้แน่”

Dubin สังเกตเห็นปัญหาสำคัญ 3 อย่างในวงการมีดโกนที่พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

หนึ่ง มีดโกนราคาแพงไร้สาระ สอง ประสบการณ์ในการซื้อที่น่าปวดหัวเพราะมีดโกนถูกล็อคในกล่องพลาสติกที่เปิดยาก และสาม ผู้ชายมักลืมซื้อใบมีดใหม่

วิธีแก้ปัญหาของเขาคือ บริการสมาชิกที่ส่งมีดโกนคุณภาพถึงบ้านในราคาเพียงหนึ่งดอลลาร์ต่อเดือน

จุดนี้แหละที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มักจบเห่ และนี่คือบทเรียนแรก: เมื่อแข่งด้วยทรัพยากรไม่ได้ ให้แข่งด้วยบุคลิกภาพแทน

Dubin รู้ดีว่าเขาไม่มีทางสู้งบประมาณโครตโหดของ Gillette ที่ทุ่มเงินปีละ 800 ล้านดอลลาร์ไปกับการจ้างคนดัง โฆษณา Super Bowl และการเปิดตัวผลิตภัณฑ์แบบอลังการ

แทนที่จะพยายามแข่งในด้านงบประมาณ Dubin ต้องคิดให้เหนือกว่า และเขามีข้อได้เปรียบสำคัญคือ: ประสบการณ์แสดงตลกอิมโพรไวซ์ที่ Upright Citizens Brigade

“ผมไม่ใช่คนตลกที่สุดในห้อง แต่ผมรู้วิธีเล่าเรื่องที่จะแทรกผ่านเสียงรบกวนได้” Michael Dubin กล่าวในปี 2015 ความเข้าใจนี้นำไปสู่การตัดสินใจทางการตลาดที่เจ๋งที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ร่วมสมัย

ด้วยเงินทุนเริ่มต้นเพียง 35,000 ดอลลาร์ Dubin ไม่สามารถซื้อโฆษณาแบบดั้งเดิมได้ เขาจึงหันไปใช้สิ่งที่เขาถนัดที่สุด: การรังสรรค์เนื้อหาที่ผู้คนอยากแชร์ต่อ

Dubin ชวนเพื่อนชื่อ Lucia ผู้กำกับที่รู้จักจากวงการตลกมาช่วยสร้างวิดีโอเปิดตัว Dollar Shave Club ด้วยงบแค่ 4,500 ดอลลาร์ ซึ่งน้อยกว่า 0.006% ของงบการตลาดประจำปีของ Gillette

วิดีโอ 90 วินาทีที่พวกเขาสร้างขึ้นได้ทำลายทุกกฎในตำราการตลาดเดิมๆ ไม่มีคนดัง ไม่มีศัพท์เทคนิค ไม่มีดนตรีปลุกเร้าอารมณ์ และไม่มีการทดสอบตลาด

แต่สิ่งที่มีคือ Dubin เองที่เดินผ่านโกดังและพูดแบบตรงๆ เกี่ยวกับความไร้สาระของวงการมีดโกน

บทเรียนที่สอง: ความจริงใจและอารมณ์ขันมีค่ามากกว่าการผลิตที่หรูหรา

ศาสตราจารย์ด้านการตลาด Scott Galloway อธิบายว่า: “Dollar Shave Club ไม่ได้ขายแค่มีดโกน พวกเขาขายแนวคิดที่ปฏิเสธทุกอย่างที่ Gillette ยืนหยัด – ผลิตภัณฑ์ที่แพงเกินไป พัฒนามากเกินไป และทำการตลาดมากเกินไป”

ในวงการที่เต็มไปด้วยข้อความตลาดที่เน้นเทคโนโลยีอย่างจริงจัง โทนที่แสบสันของ Dollar Shave Club ถือเป็นการปฏิวัติอย่างแท้จริง

วันที่ 6 มีนาคม 2012 Dollar Shave Club อัปโหลดวิดีโอลง YouTube และแชร์ผ่านโซเชียลมีเดีย สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาทำให้ทุกคนอ้าปากค้าง

ภายใน 24 ชั่วโมง วิดีโอมียอดวิวพุ่งกระฉูดกว่า 200,000 ครั้ง ภายใน 48 ชั่วโมง มีออร์เดอร์ 12,000 รายการจนเซิร์ฟเวอร์ล่ม และภายในสัปดาห์เดียว ยอดวิวทะลุ 4 ล้าน

การรายงานข่าวเกิดขึ้นทั่วประเทศ จากบล็อกเทคโนโลยีถึงสื่อธุรกิจหลัก ทุกคนพูดถึงสตาร์ทอัพที่กล้าท้าทาย Gillette

บทเรียนที่สาม: จังหวะเวลาคือทุกสิ่ง วิดีโอของ Dollar Shave Club ไม่ได้เป็นไวรัลแค่เพราะมันตลก แต่เพราะมันมาในจังหวะที่สมบูรณ์แบบ

วิดีโอเปิดตัวในปี 2012 เมื่อกระแสสำคัญสามอย่างมาบรรจบกัน หนึ่ง ความอ่อนไหวเรื่องราคาหลังเศรษฐกิจถดถอยอยู่ในระดับสูงสุด สอง โมเดลธุรกิจแบบสมาชิกกำลังบูม และสาม โซเชียลมีเดียเติบโตมากพอที่จะกระจายเนื้อหาที่จริงใจได้อย่างรวดเร็ว

อดีตผู้บริหาร Procter & Gamble อย่าง Jim Stengel บอกว่า “Dollar Shave Club จับความรู้สึกของคนอเมริกันหลังเศรษฐกิจถดถอยได้ดีมาก ๆ ผู้บริโภคกำลังสงสัยว่าทำไมต้องจ่ายแพงลิบสำหรับของใช้ประจำวัน และนี่คือแบรนด์ที่ให้อิสระในการปฏิเสธระบบเก่า”

แต่วิดีโอไวรัลเป็นแค่จุดเริ่มต้น สตาร์ทอัพหลายแห่งเคยประสบความสำเร็จแบบไวรัลชั่วครู่ แล้วก็มลายหายไปหมดสิ้น

ความเทพของ Dollar Shave Club อยู่ที่สิ่งที่พวกเขาทำหลังวิดีโอแรก แทนที่จะพยายามทำซ้ำความสำเร็จ พวกเขาสร้างอัตลักษณ์แบรนด์ที่ชัดเจนรอบแนวคิดเรื่องความซื่อสัตย์ ความเรียบง่าย และการไม่สนใจกฎเกณฑ์เดิมๆ

สิ่งนี้พลิกโมเดลการตลาดมีดโกนแบบดั้งเดิมอย่างสิ้นเชิง แทนที่จะเน้นคุณสมบัติผลิตภัณฑ์ Dollar Shave Club เน้นประสบการณ์ของลูกค้า

ลองคิดถึงความแตกต่าง: Gillette ใช้จ่ายหลายล้านโน้มน้าวผู้ชายว่าต้องการด้ามจับสั่นได้และแถบหล่อลื่นพิเศษ ในขณะที่ Dollar Shave Club แค่บอกว่า “ใบมีดของเราให้คุณแบบจัดเต็ม และคุณไม่ต้องจ่ายแพงเกินจริง”

บทเรียนที่สี่: ในเศรษฐกิจที่ความสนใจมีจำกัด ความสม่ำเสมอของแบรนด์สำคัญกว่าความถี่ในการโฆษณา

นักกลยุทธ์การตลาด Anna Andjelic อธิบายว่า: “Dollar Shave Club ไม่ได้ขายแค่มีดโกน พวกเขากำลังขายการเป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวต่อต้านผลิตภัณฑ์ที่แพงและซับซ้อนเกินจำเป็น” ทุกจุดสัมผัสของแบรนด์เสริมแนวคิดนี้อย่างชัดเจน

ผลกระทบของการปฏิวัติของ Dollar Shave Club ขยายไกลเกินกว่าความสำเร็จของบริษัทเอง มันสั่นคลอนอุตสาหกรรมมีดโกนทั้งระบบ

ภายในปี 2014 ส่วนแบ่งตลาดของ Gillette ลดฮวบจาก 70% เหลือ 59% ยักษ์ใหญ่ถูกบังคับให้ต้องเปิดบริการสมาชิกของตัวเองและลดราคาทั่วทั้งไลน์ผลิตภัณฑ์

ในขณะเดียวกัน Dollar Shave Club ยังคงเติบโตต่อเนื่อง ขยายไปสู่ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่น แชมพู เจลอาบน้ำ และผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ทั้งหมดทำการตลาดด้วยโทนเดิมที่แสบสัน

ปี 2016 เพียง 4 ปีหลังวิดีโอไวรัลนั้น Unilever ซื้อกิจการ Dollar Shave Club ในราคา 1 พันล้านดอลลาร์เป็นเงินสด ซึ่งเป็นหนึ่งในดีลอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

เพื่อให้เข้าใจบริบท โฆษณาใน Super Bowl ปีนั้นมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 5 ล้านดอลลาร์สำหรับเวลาแค่ 30 วินาที และเข้าถึงผู้ชมประมาณ 112 ล้านคน

ในขณะที่วิดีโอของ Dollar Shave Club ใช้งบน้อยกว่า 0.1% ของจำนวนนั้น และปัจจุบันมียอดวิวมากกว่า 28 ล้านครั้ง

แต่สิ่งที่น่าทึ่งที่สุดคือ: Dollar Shave Club ไม่เคยใช้จ่ายมากกว่าคู่แข่ง พวกเขาฉลาดกว่าด้วยการสร้างเนื้อหาที่ผู้คนอยากดูและแชร์จริงๆ

บทเรียนที่ห้า: การตลาดที่ดีที่สุดให้ความรู้สึกเหมือนความบันเทิง ไม่ใช่แค่โฆษณา และนี่อาจเป็นบทเรียนสำคัญที่สุด

เราสามารถเรียนรู้อะไรได้บ้างจากแนวทางการตลาดสุดล้ำของ Dollar Shave Club? มีห้าบทเรียนสำคัญที่สามารถนำไปใช้ได้จริง

  1. บุคลิกภาพและความจริงใจเจ๋งกว่าการผลิตหรูหรา Dollar Shave Club ไม่เคยพยายามแข่งด้านโฆษณาหรูหรา พวกเขาแข่งด้วยความตรงไปตรงมา
  2. ระบุจุดเจ็บปวดของอุตสาหกรรมและแก้ไขตรงจุด Dollar Shave Club ชี้ให้เห็นปัญหาของการซื้อมีดโกนอย่างชัดเจนและนำเสนอทางแก้
  3. สร้างเนื้อหาที่มีค่าพอให้คนอยากแชร์ ไม่ใช่แค่โฆษณา การดูวิดีโอของ Dollar Shave Club ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังชมความบันเทิงมากกว่าโฆษณา
  4. รักษาความสม่ำเสมอในทุกจุดสัมผัสกับลูกค้า ทุกการมีปฏิสัมพันธ์กับ Dollar Shave Club ล้วนเสริมบุคลิกของแบรนด์
  5. กล้าท้าทายกฎเกณฑ์เดิมๆ ของอุตสาหกรรม Dollar Shave Club ตั้งคำถามกับทุกแง่มุมของธุรกิจมีดโกนแบบดั้งเดิม

บทเรียนจาก Dollar Shave Club ไม่ใช่แค่เรื่องการสร้างวิดีโอไวรัลหรือการใช้อารมณ์ขัน แต่เกี่ยวกับการมองการตลาดในมุมใหม่ พวกเขาพิสูจน์ว่าแบรนด์ไม่จำเป็นต้องมีงบประมาณมากมายเพื่อสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่

Michael Dubin เคยกล่าวว่า “เราไม่ได้สร้างบริษัทมีดโกน เราสร้างแบรนด์ไลฟ์สไตล์ที่บังเอิญขายมีดโกน” คำพูดนี้สะท้อนวิสัยทัศน์ที่ว่าการสร้างแบรนด์ในยุคดิจิทัลไม่ได้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เพียงอย่างเดียว แต่เกี่ยวกับการสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์กับผู้บริโภค

หลายคนมองว่าความสำเร็จของ Dollar Shave Club เป็นเรื่องของโชค แต่เมื่อวิเคราะห์ลึกๆ จะเห็นว่าทุกการตัดสินใจทางการตลาดของพวกเขาล้วนมาจากความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้บริโภคและการเล่าเรื่อง

พวกเขารู้ว่าในโลกที่เต็มไปด้วยข้อมูลและโฆษณามากมาย ความจริงใจสามารถแทรกผ่านเสียงรบกวนได้เข้าท่ากว่า

Dollar Shave Club ยังสร้างชุมชนรอบแบรนด์ได้อย่างน่าทึ่ง สมาชิกไม่ได้รู้สึกว่ากำลังซื้อแค่มีดโกน แต่กำลังเข้าร่วมการเคลื่อนไหวที่ท้าทายอุตสาหกรรมที่ผูกขาด

การสื่อสารกับสมาชิกในจดหมายข่าวและบรรจุภัณฑ์ก็ใช้โทนเดียวกับวิดีโอ – ตรงไปตรงมา ไม่เคารพกฎเกณฑ์เดิมๆ และเข้าถึงง่าย ทุกการสื่อสารเหมือนเพื่อนคุยกับเพื่อน

หลังความสำเร็จของ Dollar Shave Club เราเห็นแบรนด์ใหม่ๆ มากมายใช้กลยุทธ์คล้ายกัน โดยเฉพาะในโมเดลธุรกิจแบบสมาชิก แบรนด์เหล่านี้พยายามท้าทายผู้เล่นหลักด้วยทางเลือกที่เรียบง่าย ถูกกว่า และจริงใจมากกว่า

ดังนั้น ครั้งต่อไปที่คุณเห็นโฆษณาหรูหราพร้อมคนดังและเอฟเฟกต์เว่อร์วังอลังการ โปรดจำไว้ว่า Dollar Shave Club สร้างธุรกิจพันล้านดอลลาร์ด้วยชายธรรมดาในเสื้อเชิ้ตสีฟ้าที่เดินผ่านโกดังและพูดความจริง

แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จอาจไม่ได้เกิดจากงบประมาณมหาศาล แต่เกิดจากความเข้าใจลึกซึ้งในความต้องการของผู้บริโภคและความกล้าที่จะนำเสนอแนวคิดใหม่ Dollar Shave Club ไม่เพียงเปลี่ยนวิธีที่ผู้ชายซื้อมีดโกน แต่ยังเปลี่ยนวิธีที่แบรนด์สื่อสารกับผู้บริโภคในยุคดิจิทัล ซึ่งนี่คือการปฏิวัติการตลาดที่แท้จริง

ปล. คลิปโฆษณาที่เป็นตำนานของ Dollar Shave Club


 


ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA



Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ



Geek Forever’s Podcast


“Open Your World With Technology


AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning

Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ

ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน podbean
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Apple Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Google Podcasts
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Spotify
ฟังผ่าน Youtube
ฟังผ่าน Youtube