ศึกช่วงชิง Data? เมื่อบริการด้าน AI กำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการแย่งชิงเค้กข้อมูลครั้งใหญ่ทั่วโลก

ผมว่าหลายคนคงรู้สึกเอ๊ะกันไม่มากก็น้อย จากการเปิดตัว Sora ของ OpenAI ที่ทำให้พวกเราได้สร้างวีดีโอระดับ professional ได้เพียงแค่ปลายนิ้ว ว่า Video Footages ที่ออกมานั้นมันมีความคุ้นมาก ๆ เหมือนมาจากหนังดัง หรือ animation เรื่องดัง ๆ แต่ถูกดัดแปลงผ่านเทคโนโลยี AI ให้กลายเป็นสิ่งใหม่

เป็นเรื่องที่น่าสนใจนะครับว่าเทคโนโลยีอย่างปัญญาประดิษฐ์หรือ AI จะนำไปสู่จุดจบของบางธุรกิจหรือไม่ ตัวอย่างเช่น Adobe เองที่เป็นผู้ผลิตซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องกับความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ ที่กำลังโดนถาโถมอย่างหนักทั้งการสร้างภาพและวีดีโอผ่าน AI

เครื่องมือใหม่ ๆ อย่าง DALL-E , Midjourney หรือแม้กระทั่งตัวใหม่ล่าสุดอย่าง Sora ซึ่งสามารถที่จะเสกรูปหรือวีดีโออะไรก็ได้จากข้อความ มันทำให้ดูเหมือนคนจะเลิกใช้แอปพลิเคชั่นอย่าง Adobe หรือไม่?

แต่กลับกันด้วยการที่ Adobe ได้สั่งสมภาพถ่ายสต็อกหลายร้อยล้านภาพมานาน พวกเขาสามารถนำมันมาใช้เพื่อสร้างเครื่องมือ AI ของตัวเองที่มีชื่อว่า Firefly โดยนับตั้งแต่เปิดตัวในเดือนมีนาคม เครื่องมือดังกล่าวได้ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างภาพมากกว่า 1 พันล้านภาพแล้ว

ชัยชนะของ Adobe เหนือเทคโนโลยีที่คิดว่าจะมา disrupted ในหลายธุรกิจอย่าง AI นั้น แสดงให้เห็นวิธีการที่บริษัทยักษ์ใหญ่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งและเกาะกระแสไปกับเทคโนโลยีดังกล่าวนี้

คลื่นลูกล่าสุดของเทคโนโลยี AI อย่าง “Generative AI” ได้อาศัยข้อมูลจำนวนมหาศาล ซึ่งล้วนแล้วมาจากอินเทอร์เน็ต และบางส่วนก็เป็นข้อมูลที่ไม่ได้รับอนุญาต ตอนนี้เหล่าบริษัทเทคโนโลยีกำลังมองหาแหล่งข้อมูลใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของมัน

ส่วนประกอบที่สำคัญสองประการสำหรับโมเดล AI คือ ชุดข้อมูลที่ได้รับการฝึกอบรม และพลังการประมวลผล ซึ่งโมเดลจะมีการตรวจจับความสัมพันธ์ระหว่างชุดข้อมูลเหล่านี้ โดยโมเดลสามารถปรับปรุงได้โดยการนำเข้าข้อมูลมากขึ้นหรือเพิ่มพลังการประมวลผลให้มากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ดี ท่ามกลางปัญหาขาดแคลนชิปที่เกิดขึ้น ทำให้ประเด็นในเรื่องการเพิ่มพลังการประมวลผลเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เพราะฉะนั้นตอนนี้ทุกฝ่ายมุ่งไปที่การเพิ่มคลังข้อมูลเป็นหลัก

AI สูบข้อมูลเร็วกว่าที่มันจะถูกสร้าง

หลายคนอาจจะคิดว่า โห โลกเรามีข้อมูลล้นเหลือและมีการสร้างขึ้นทุกวันในโลกออนไลน์ทั้งผ่านเครือข่ายโซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ หรือ แพลตฟอร์มวีดีโอสตรีมมิ่งต่าง ๆ

แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ AI มันสูบข้อมูลจนจะหมดโลกแล้วและทำด้วยอัตราเร่งที่มีความเร็วสูงมาก ๆ เช่นเดียวกัน

ตัวอย่างเช่น ความต้องการข้อมูลที่เติบโตเร็วมาก ๆ จนสต็อกข้อความคุณภาพสูงสำหรับการฝึกอบรมอาจหมดลงภายในปี 2026

ซึ่งเชื่อกันว่าโมเดล AI ล่าสุดจาก Google และ Meta สองยักษ์ใหญ่ทางด้านเทคโนโลยีได้รับการฝึกฝนโดยใช้ศัพท์มากกว่า 1 ล้านล้านคำ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ผลรวมของคำภาษาอังกฤษใน wikipedia สารานุกรมออนไลน์ อยู่ที่ประมาณ 4 พันล้านคำเพียงเท่านั้น

ไม่ใช่เพียงแค่ขนาดของข้อมูลเท่านั้นที่มีความสำคัญ ยิ่งข้อมูลดี โมเดลก็ยิ่งดีขึ้น โมเดลที่ใช้ข้อความที่ได้รับการฝึกอบรมอย่างดีในเรื่องรูปแบบข้อความยาว ๆ มักจะตอบได้ดี และจะตอบได้ถูกต้องตามความเป็นจริง

ในทำนองเดียวกันกับที่เกิดขึ้นกับ Chatbot AI จะให้คำตอบที่ดีกว่าเมื่อถูกขอให้อธิบายการทำงานทีละขั้นตอน ส่งผลให้มีความต้องการข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ โดยเฉพาะข้อมูลที่เป็นเฉพาะทาง เนื่องจากช่วยให้โมเดลปรับแต่งให้ใช้งานสำหรับงานเฉพาะกลุ่มมากยิ่งขึ้น

ตัวอย่างเช่น การซื้อ GitHub ของ Microsoft ซึ่งเป็นพื้นที่เก็บข้อมูลสำหรับการเขียนโค้ดทางด้านซอฟต์แวร์ด้วยมูลค่า 7.5 พันล้านดอลลาร์ในปี 2018 ช่วยให้บริษัทพัฒนาเครื่องมือ AI ในการเขียนโค้ดได้

Microsoft ได้พัฒนาเครื่องมือ AI ในการเขียนโค้ดได้ (CR:Open AI Master)
Microsoft ได้พัฒนาเครื่องมือ AI ในการเขียนโค้ดได้ (CR:Open AI Master)

การขโมยผลงานแบบหน้าด้าน ๆ ของ AI

เมื่อความต้องการข้อมูลเพิ่มมากขึ้น การเข้าถึงข้อมูลก็ยิ่งยุ่งยากมากขึ้น โดยเหล่าครีเอเตอร์ในปัจจุบันได้มีการเรียกร้องค่าชดเชยสำหรับเนื้อหาที่ติดเข้าไปในโมเดล AI เพิ่มมากขึ้น ก่อให้เกิดคดีละเมิดลิขสิทธิ์หลายคดีเกิดขึ้นกับผู้สร้างโมเดล AI ในอเมริกา

ตัวอย่างเช่น กลุ่มนักเขียน รวมถึง Sarah Silverman นักแสดงตลกกำลังฟ้องร้อง Open AI ผู้สร้าง Chat GPT และ Meta หรือศิลปินกลุ่มหนึ่งกำลังฟ้องร้อง Stability AI ซึ่งสร้างเครื่องมือแปลงข้อความเป็นรูปภาพและ Midjourney ก็โดนฟ้องในกรณีเดียวกัน

หรือเคสของตำนานนักแสดงตลกอย่าง George Carlin ที่ครอบครัวได้ยื่นฟ้องผู้ที่สร้างวีดีโอโดยใช้ตัวตนของเขาผ่านเทคโนโลยี AI ซึ่งตัวของ Carlin ได้เสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวในปี 2008

วีดีโอดังกล่าวปรากฎในช่อง Youtube ที่มีชื่อว่า Dudesy โดยใช้ชื่อวีดีโอว่า “George Carlin: I’m glad I’m dead,” ซึ่งทางครอบครัวของ Carlin ได้ยื่นฟ้องต่อศาลรัฐบาลกลางแคลิฟอร์เนีย โดยกล่าวหาว่ามีการละเมิดลิขสิทธิ์ในการเผยแพร่สู่สาธารณะสำหรับภาพลักษณ์ของนักแสดงตลกผู้ล่วงลับ

George Carlin นักแสดงตลกผู้ล่วงลับ (CR:nbcnews)
George Carlin นักแสดงตลกผู้ล่วงลับ (CR:nbcnews)

แม้ว่าจะไม่มีการแสดงภาพของ Carlin แบบชัดเจน ซึ่งในวีดีโอดังกล่าวจะแสดงรูปภาพที่สร้างโดย AI แทน แต่เสียงพูดนั้นเป็นเสียงของ Carlin ที่ทุกคนคุ้นเคย ในเรื่องต่าง ๆ เช่น ศาสนาและการเมือง ขณะเดียวกันก็มีการพูดถึงการเสียชีวิตของนักแสดงตลกด้วย

การดำเนินการทางกฎหมายนี้แสดงให้เห็นว่า AI ที่เรากำลังตกตะลึงกับความสามารถของมันเช่น Sora ของ OpenAI ได้กลายเป็นหนึ่งในปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในวงการบันเทิง และมีการประท้วงของนักเขียนในฮอลลีวูดเป็นเวลาหลายเดือนในปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากการใช้ AI ของสตูดิโอในการสร้างสคริปต์

ศึกช่วงชิง Data

เนื่องจากบริษัท AI ต่างแข่งขันกันเพื่อรักษาความปลอดภัยของแหล่งข้อมูล ในเดือนกรกฎาคม Open AI ลงนามข้อตกลงกับ Associated Press ซึ่งเป็นสำนักข่าว เพื่อเข้าถึงคลังเนื้อหา และเมื่อเร็ว ๆ นี้ Meta ได้ขยายข้อตกลงกับ Shutterstoock ซึ่งเป็นผู้ให้บริการภาพสต็อกชั้นนำของโลก

หรือ Google เองกำลังหารือกับ Universal Music ซึ่งเป็นค่ายเพลงดัง เพื่ออนุญาตให้ใช้เสียงของศิลปินเพื่อป้อนเครื่องมือ AI ในการแต่งเพลง Fidelity ซึ่งเป็นบริษัทด้านจัดการสินทรัพย์กล่าวว่าได้รับการทาบทามจากบริษัทเทคโนโลยีเพื่อขอให้เข้าถึงข้อมูลทางการเงินของตน

มีข่าวลือแพร่สะพัดเกี่ยวกับห้องปฏิบัติการ AI ที่อยู่ใกล้กับ BBC ซึ่งเป็นสถานีโทรทัศน์สาธารณะของสหราชอาณาจักรสำหรับการเข้าถึงคลังภาพและภาพยนตร์ เป้าหมายอีกแห่งหนึ่งคือ JSTOR ซึ่งเป็นห้องสมุดดิจิทัลสำหรับวารสารทางวิชาการ

ผู้ที่ถือครองข้อมูลที่เปรียบเสมือนทองคำในขณะนี้กำลังใช้ประโยชน์จากอำนาจต่อรองมากขึ้น Reddit ฟอรัมสนทนาชื่อดังและ Stack Overflow ซึ่งเป็นเว็บไซต์ถามตอบที่ได้รับความนิยมของกลุ่มผู้เขียนโค้ด ได้คิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับบริการใด ๆ ที่ต้องการมาดูดข้อมูลจากเขา

Reddit ที่มีคลังข้อมูลที่มีคุณค่ามหาศาลสำหรับ AI (CR:Reddit)
Reddit ที่มีคลังข้อมูลที่มีคุณค่ามหาศาลสำหรับ AI (CR:Reddit)

ตรงนี้ค่อนข้างน่าสนใจเพราะประเทศไทยเราเองก็มีแหล่งข้อมูลทั้งในฟอรัมต่าง ๆ เช่น pantip เองที่กลายเป็นเครื่องมือสำคัญ ๆ ในการค้นหาลำดับต้น ๆ ของคนไทยเรา หรือแพลตฟอร์มใหม่ ๆ อย่าง blockdit เอง ที่สุดท้ายแล้วข้อมูลจำนวนมหาศาลที่เก็บไว้จะกลับมาสร้างรายได้มากมายให้กับพวกเขาในอนาคต

ขยายขอบเขตสู่คลังข้อมูลทางธุรกิจ

ความน่าสนใจก็คือ มีแหล่งข้อมูลอีกแห่งที่ใหญ่มาก ๆ ที่ส่วนใหญ่ยังไม่ได้ถูกนำมาใช้งาน นั่นก็คือข้อมูลที่อยู่ภายใต้กำแพงขององค์กรธุรกิจต่างๆ ที่มีอยู่ทั่วทุกมุมโลก

ธรุกิจจำนวนมากมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์จำนวนมหาศาลโดยไม่รู้ตัว ตั้งแต่บันทึกในการโทรศัพท์ของศูนย์บริการไปจนถึงบันทึกค่าใช้จ่ายของลูกค้า ข้อมูลดังกล่าวมีคุณค่าอย่างยิ่งเนื่องจากสามารถใช้เพื่อปรับแต่งโมเดลเพื่อวัตถุประสงค์ทางธุรกิจที่เฉพาะเจาะจงได้ เช่น ช่วยให้พนักงานคอลเซ็นเตอร์ตอบคำถามของลูกค้า หรือนักวิเคราะห์ธุรกิจที่มองเห็นวิธีในการเพิ่มยอดขายได้

แต่ก็ต้องบอกว่ามีธุรกิจไม่มากนักที่สนใจกับโครงสร้างข้อมูลเหล่านี้ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีการจัดเก็บแบบไร้โครงสร้างซึ่งอาจจะไม่มีประโยชน์กับ AI และบ่อยครั้งที่มีการกระจายอยู่หลายระบบ โดยฝังอยู่ในเซิร์ฟเวอร์ของบริษัทมากกว่าในระบบคลาวด์

ซึ่งท้ายที่สุดการปลดล็อกข้อมูลดังกล่าวจะช่วยให้บริษัทต่าง ๆ ปรับแต่งเครื่องมือ AI เพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะของตนได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจที่ดำเนินการแบบเฉพาะของตนเองไม่ได้ต้องดำเนินการตามมาตรฐานสากล ซึ่งมันจะกลายเป็นขุมทรัพย์ที่สำคัญในอนาคต

เพราะฉะนั้นในตอนนี้ก็ยังไม่สายไปที่จะเริ่มมาจัดข้อมูลเหล่านี้ให้มีโครงสร้างที่พร้อมที่จะรับมือการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น เพราะหากเริ่มก่อนก็จะเป็นการชิงความได้เปรียบก่อน และอาจจะส่งผลให้เอาชนะเกมธุรกิจได้ในยุคของเทคโนโลยี AI First ในวันข้างหน้าได้นั่นเองครับผม

References :
https://www.economist.com/business/2023/08/13/ai-is-setting-off-a-great-scramble-for-data
https://seekingalpha.com/article/4597241-is-ai-the-adobe-killer
https://myshingle.com/2023/03/articles/start-a-law-firm-101/faqs-on-chat-gpt-for-solo-and-small-law-firms/
https://www.nbcnews.com/news/us-news/george-carlins-estate-sues-ai-generated-stand-special-titled-glad-dead-rcna135808

Jensen Huang กับเส้นทางสู่การเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก

ถามว่านักธุรกิจคนใดที่น่าจับตามองที่สุดในยุคนี้ ที่จะก้าวขึ้นมาท้าทายตำแหน่งมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลกที่วนเวียนสลับกันไปกันมาเพียงไม่กี่คนในช่วง 2-3 ปีหลัง เช่น Bernard Arnault เจ้าพ่อ LVMH , Elon Musk สุดยอดซีอีโออินดี้แห่ง Tesla และ SpaceX หรือ Jeff Bezon พ่อค้าจอมผูกขาดแห่ง Amazon

ส่วนตัวผมเองมองว่า Jensen Huang น่าจะเป็นคนหนึ่งที่มีโอกาสขึ้นมาท้าทายตำแหน่งนี้

ต้องบอกว่าด้วยกระแสเทคโนโลยี AI ที่สูบพลังการประมวลผลอย่างบ้าคลั่งในตอนนี้ แน่นอนว่าในมุมหนึ่งมันทำให้งานบางงานตกอยู่ในความเสี่ยง

แต่อีกมุมหนึ่งมันก็ช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมอื่น ๆ อย่างมหาศาลเช่นเดียวกันโดยเฉพาะอุตสาหกรรมการผลิตชิป AI ของ Nvidia

มันเป็นการพุ่งพรวดขึ้นมาอย่างก้าวกระโดดของ Forbes (The richest list in the world) จากอันดับที่ 76 ในปี 2023 พุ่งขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 24 ในปี 2024 และแปรเปลี่ยนสภาพความมั่งคั่งที่พุ่งขึ้นจาก 21.1 พันล้านดอลลาร์ สู่ 55.6 พันล้านดอลลาร์ภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งปี Huang ซึ่งเป็นเจ้าของหุ้น Nvidia 86.9 ล้านหุ้น หรือประมาณ 3.5% กำลังก้าวขึ้นมาท้าทายอันดับมหาเศรษฐีโลกได้อย่างรวดเร็วเหมือนเสือติดปีก

Jensen Huang เดิมชื่อ Jen-hsun Huang เกิดในเมืองไทเปเมืองหลวงของไต้หวันเมื่อปี 1963 ซึ่งเขาได้ใช้เวลาส่วนหนึ่งในวัยเด็กในไต้หวันและประเทศไทยซึ่งพ่อแม่ของเขาได้ไปทำงานอยู่ที่นั่น

ในปี 1973 พ่อแม่ของ Huang ได้ส่งลูกๆ ไปให้ญาติ ๆ ในสหรัฐอเมริกาคอยดูแลเนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบจากสงครามในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ป้าและลุงของ Huang ซึ่งอพยพไปอยู่สหรัฐอเมริกาก่อนหน้านั้น ได้รับเลี้ยงดู Huang และส่งเขาและพี่ชายเข้าเรียนโรงเรียนประจำที่ Oneida Baptist Institute ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในภูเขาทางตะวันออกของในรัฐเคนตักกี้

Oneida Baptist Institute ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในภูเขาทางตะวันออกของในรัฐเคนตักกี้ (CR:oneidasschool.org)
Oneida Baptist Institute ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในภูเขาทางตะวันออกของในรัฐเคนตักกี้ (CR:oneidasschool.org)

ที่นั่นเหมือนฝันร้ายของเด็กชาย Huang และพี่ชายของเขา ในวัย 9 และ 10 ขวบ เพราะเด็ก ๆ ที่นั่นต่างพกมีดกัน และเมื่อมีการทะเลาะกัน ก็มักจะมีเด็กบางคนที่ได้รับบาดเจ็บ

โรงเรียน Oneida ก่อตั้งขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1890 เพื่อหยุดยั้งกลุ่ม clan ทางตะวันออกของรัฐเคนตักกี้ไม่ให้ฆ่าฟันกันเอง

สำหรับเด็กในท้องถิ่นมักจะได้เรียนฟรี แต่เด็กทุคนต้องทำงาน เช่นเดียวกับ Huang ที่ได้รับมอบหมายให้ทำความสะอาดห้องน้ำ แม้มันจะดูเหมือนแย่แต่ Huang ก็กล่าวว่าเขาชอบตอนได้เรียนอยู่ที่นั่น เพราะมันบ่มเพาะนิสัยหลายอย่างให้กับเขา เพราะที่ Oneida ทุกคนต้องทำงานหนัก เรียนหนัก และเด็ก ๆ ที่นั่นล้วนแล้วแต่มีความแข็งแกร่งมาก ๆ

ท้ายที่สุด Huang และน้องชายของเขาก็ได้ย้ายไปอยู่ที่ Oregon ซึ่งพวกเขาได้กลับมาอยู่พร้อมหน้ากันทั้งครอบครัวอีกครั้ง

ในช่วงเวลาที่เขายังเป็นนักเรียนมัธยมปลายในบีเวอร์ตัน เขาเป็นแชมป์เทเบิลเทนนิสในระดับประเทศ หลังจากนั้น Huang เริ่มเข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่ Oregon State University (OSU)

ที่ OSU นี่เองที่ทำให้ Huang ได้เปิดหูเปิดตาและได้เห็นถึงความมหัศจรรย์ที่อยู่เบื้องหลังคอมพิวเตอร์ เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่ทำให้เขาหลงรักเทคโนโลยีตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

Huang ได้พบกับ Lori Mills ซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์ในห้องแล็ปของเขา ในช่วงปีแรกของการเรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งกลายเป็นภรรยาของเขาในอีกห้าปีต่อมา

โดย Huang จบการศึกษาในปี 1984 ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นปีทองของวงการคอมพิวเตอร์ เพราะมันเป็นปีเดียวกับที่เครื่อง Mac ของ Apple ได้ทำการเปิดตัว ซึ่งเป็นการปฏิวัติเข้าสู่ยุคใหม่ของวงการคอมพิวเตอร์อย่างแท้จริง

หลังจบการศึกษาจาก OSU Huang ได้ทำงานในบริษัทชิป LSI Logic และ Advance Micro Devices (AMD) และในช่วงระหว่างทำงานอยู่ Haung ได้เรียนต่อปริญญาโทสาขาวิศวกรรมไฟฟ้าที่ Stanford จนจบการศึกษาในปี 1992 ก่อนที่จะลาออกมาก่อตั้ง Nvidia ในปี 1993 พร้อมไฟที่เต็มเปี่ยม

Huang สมัยที่เริ่มทำงานใหม่ ๆ (CR:Venturebeat)
Huang สมัยที่เริ่มทำงานใหม่ ๆ (CR:Venturebeat)

เป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่งที่ Nvidia ถือกำเนิดขึ้นในร้านอาหาร Denny’s ซึ่งเขาได้พบกับเพื่อนอีกสองคนก็คือ Chris Malachowsky และ Curtis Priem โดยเริ่มต้นสร้างบริษัทในวันเกิดครบ 30 ปีของเขาพอดิบพอดี

ในยุคนั้น Huang ได้เห็นโอกาสใหญ่จากอุตสาหกรรมเกมที่เพิ่งเกิดใหม่ และเขาก็มองว่ามันจะกลายเป็นอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา

การประมวลผลและการจำลองวีดีโอที่ต้องใช้ข้อมูลจำนวนมากซึ่งจำเป็นในการสร้างโลกแห่งเกมในจินตนาการ ซึ่งแน่นอนว่ามันต้องใช้ทรัพยากรในการประมวลผลอย่างหนักเช่นเดียวกัน

แต่การเริ่มต้นก็ไม่ได้สวยหรูนักเพราะ Nvidia เกือบล้มละลายหลังเปิดบริษัทมาได้ไม่นาน แต่ด้วยความแข็งแกร่งของ Huang ก็ช่วยให้บริษัทฟันฝ่าวิกฤติมาได้สำเร็จ และ Huang เองก็เคยนำพา Nvidia เข้าต่อสู้ทางกฎหมายกับ Intel โดยท้ายที่สุดแล้ว Intel ถูกบังคับให้จ่ายค่าธรรมเนียมใบอนุญาตกว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์

สามทหารเสือผู้ร่วมก่อตั้ง Nvidia (CR:Startup-book)
สามทหารเสือผู้ร่วมก่อตั้ง Nvidia (CR:Startup-book)

และต้องบอกว่าพลังการประมวลผลของชิป GPU ที่ถูกสรรค์สร้างโดย Nvidia นั้นยังได้เปลี่ยนแปลงวงการบันเทิงไปอย่างสิ้นเชิง มันทำให้ภาพยนตร์แอนิเมชั่นไล่ตั้งแต่ Avatar ไปจนถึง Tin-Tin สร้างภาพที่คนในยุคก่อนหน้าไม่มีทางฝันถึงมัน

Nvidia ได้พัฒนาจากผู้ผลิตกราฟฟิกการ์ดสำหรับพีซี ซึ่งเป็นตลาดที่มีคู่แข่งโหดหินเยอะมาก มาเป็นผู้สร้างโปรเซสเซอร์กราฟฟิกอย่าง GPU โดยก้าวสำคัญของบริษัทเกิดขึ้นในปี 2007 เมื่อ Nivida ได้พัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อตั้งโปรแกรมให้ GPU ใช้สำหรับการประมวลผลงานทั่วไปได้

จุดเปลี่ยนนี้ได้พลิกสถานการณ์ของบริษัทไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งการเกิดขึ้นของ bitcoin เหล่านักขุดต้องการชิป GPU เหล่านี้ไปใช้ในการประมวลผล ทำให้สถานการณ์ชิปทั่วโลกถึงกับขาดแคลน รวมถึงการถือกำเนิดขึ้นของ Generative AI ที่ทำให้ความต้องการชิปสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์

ความต้องการอย่างบ้าคลั่งในวงการชิปแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน จากรายงานล่าสุดที่ Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI พยายามที่จะระดมทุนให้ได้สูงถึง 7 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อส่งเสริมการผลิตชิปที่บริษัทเทคโนโลยีต่าง ๆ ทั่วโลกกำลังใช้งานต้องการมันอย่างหนักในช่วงถัดจากนี้

ซึ่งมันแสดงให้เห็นถึงช่องว่างทางโอกาสของ Nvidia ที่ยังมีโอกาสที่จะเติบโตอีกมากมายมหาศาล และแน่นอนว่าความมั่งคั่งของ Jensen Huang มันคงจะไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้อย่างแน่นอนนั่นเองครับผม

References :
https://en.wikipedia.org/wiki/Jensen_Huang
https://www.businessinsider.com/nvidia-jensen-huang-chipmaker-cofounder-ceo-wealth-net-worth-ai-2023-5#huang-founded-nvidia-on-over-a-meal-at-dennys-4
https://today.oregonstate.edu/story/osu-alum-named-fortune-businessperson-year
https://www.ft.com/content/f7e928dc-d633-4be9-b20f-dcdfc56d3415
https://www.npr.org/sections/alltechconsidered/2012/02/20/147162496/tech-pioneer-channels-hard-lessons-into-silicon-valley-success

ผลข้างเคียงที่น่ากลัว กับการทดลองทางสมองครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์ผ่าน Apple Vision Pro

ได้กลายเป็นอุปกรณ์ที่มีกระแสร้อนแรงไปทั่วโลกสำหรับ Vision Pro ผลิตภัณฑ์ที่หวังจะเป็นอาวุธพิฆาตและผลิตภัณฑ์เรือธงใหม่ของยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Apple

แต่อุปกรณ์รูปแบบดังกล่าวก็ต้องบอกว่ามันยังไม่เคยมีการทดลองใช้งานจริง ๆ จัง ในระยะยาวกับมนุษย์ หากสวมใส่กันยาว ๆ และกลับไปใช้ชีวิตเหมือนปรกติทั่วไป

มันน่าสนใจมากว่าอุปกรณ์เหล่านี้จะส่งต่อสมองของมนุษย์อย่างไร เราจะวิวัฒนาการไปสู่จุดใด หากโลกในอนาคตอุปกรณ์เหล่านี้สามารถเข้าถึงได้ในราคาถูกกว่านี้และเข้าถึงคนหมู่มากได้สำเร็จ

Jeremy Bailenson ผู้อำนวยการ Virtual Human Interaction Lab ที่ Stanford ได้กล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า “สมองของมนุษย์เราจะได้รับการทดลองครั้งใหญ่ ซึ่งสามารถกำหนดทิศทางความรู้สึกของโลกรอบตัวเราใหม่ได้ และทำให้ยากขึ้นในการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งที่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง”

วัตถุต่าง ๆ ในสภาพแวดล้อมเสมือนจริงแม้จะสามารถทำให้เรา enjoy ไปกับมันได้ แต่มันคือสิ่งที่บิดเบี้ยวจากความเป็นจริง ทั้งขนาด รูปร่าง หรือสี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเราขยับศรีษะการเรนเดอร์วีดีโอไม่สามารถแข่งกับความเร็วในการประมวลผลและความเที่ยงตรงของดวงตาและสมองของเราได้

Bailenson และทีมงานได้ทดลองสวม Vision Pro และ Meta Quests รอบ ๆ วิทยาเขตของมหาวิทยาลัยเป็นเวลาสองสัปดาห์โดยพยายามทำทุกสิ่งที่จะทำได้ผ่านโลกเสมือนจริง

Jeremy Bailenson ผู้อำนวยการ Virtual Human Interaction Lab ที่ Stanford (CR:IEEE Spectrum)
Jeremy Bailenson ผู้อำนวยการ Virtual Human Interaction Lab ที่ Stanford (CR:IEEE Spectrum)

สิ่งที่พวกเขาค้นพบน่าสนใจมาก เพราะพวกเขาพบกับอาการป่วย ทั้งคลื่นไส้ ปวดหัว เวียนศรีษะ มันทำให้พวกเขา (กลุ่มที่ทำการทดลอง) รู้สึกถึงระยะห่างระหว่างวัตถุต่าง ๆ เพี้ยนไปหมด เช่น การคิดว่าปุ่มลิฟต์อยู่ห่างจากนิ้วของพวกเขามากขึ้น หรือประสบปัญหาในการนำอาหารเข้าปาก

แต่เมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาก็สามารถปรับตัวได้ สมองและกล้ามเนื้อของพวกเขาเรียนรู้ที่จะชดเชยสิ่งต่าง ๆ กับมุมมองใหม่ต่อโลกที่แท้จริง

ซึ่งดูเหมือนเวลาในการปรับตัวมันจะช่วยแก้ปัญหา แต่เปล่าเลยเพราะเมื่อผู้คนปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นเวลานานพอ โลกแห่งความเป็นจริงก็เริ่มที่จะผิดเพี้ยนไปในทิศทางตรงกันข้าม

หากมีการสวมอุปกรณ์เหล่านี้นานเท่าไหร่ ผลที่ตามมาของการรับรู้ที่แปลกประหลาดไปจะยิ่งนานขึ้นเท่านั้น ดังนั้นผู้คนที่ใช้เวลาทั้งวันกับ Vision Pro อาจกลับบ้านตอนกลางคืนพร้อมกับความรู้สึกเหมือนกำลังเมาค้าง

ซึ่งก็ต้องบอกว่าอุปกรณ์อย่าง Vision Pro นั้นไม่ได้ให้ประสบการณ์ VR เต็มรูปแบบ เพราะใช้เทคโนโลยี AR ที่ผสานโลกเสมือนจริงและโลกแห่งความเป็นจริงเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวมนั้นน่ากลัวกว่ามาก

เนื่องจากการที่สามารถมองทะลุผ่านไปยังโลกแห่งความเป็นจริงผ่านการเรนเดอร์นั้น จะส่งผลที่น่าตกใจเมื่อเวลาผ่านพ้นไป

เมื่อทีมงานของ Bailenson พยายามออกจากโลกของ Vision Pro เพื่อเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริง และพยายามที่จะพูดคุยกับผู้คนในโลกจริง ๆ

บางครั้งสภาพแวดล้อมได้ถูกบิดเบี้ยวโดยเฉพาะเรื่องขนาดและทำให้ดูน่าสับสน เกิดความล่าช้าในการตอบโต้กับมนุษย์จริง ๆ และคนที่คุยด้วยเริ่มดูเหมือนไม่จริง เมื่องมองใกล้ๆ คนเหล่านี้ดูคล้ายอวตาร ซึ่งเมื่อระยะในการมองห่างออกไปก็กลายเป็นเพียงส่วนหนึ่งของพื้นหลัง

Bailenson ได้กล่าวเตือน การใช้อุปกรณ์แบบ Vision Pro ในระยะยาวอาจทำให้เราหลอนและคิดว่าตัวละคร อวตารในโลก VR/AR นั้นกลายเป็นมนุษย์จริงได้ง่ายขึ้น

ทุกคนมีเกณฑ์ในการรับรู้ทางประสาทสัมผัสที่แตกต่างกันเล็กน้อย เราเห็นสีต่างกันเล็กน้อย มีความไวต่อกลิ่นต่างกันไม่มากก็น้อย และเราประมวลผลทั้งหมดด้วยสมองที่ได้รับการปรับแต่งเป็นพิเศษอย่างแรกคือโดยยีนของเราและจากนั้นด้วยการเปลี่ยนแปลงของระบบประสาทรวมถึงประสบการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดชีวิต

แต่โดยทั่วไปแล้วมนุษย์เราเห็นพ้องต้องกันในเรื่องพื้นฐานหลาย ๆ อย่าง เช่น แม้เราอาจจะมองสีน้ำเงินแตกต่างกันเล็กน้อย แต่ก็สามารถเข้าใจร่วมกันได้ว่าท้องฟ้าเป็นสีอะไร หรือความอดทนต่อรสเผ็ดของพริกอาจจะแตกต่างกัน แต่ทุกคนต่างรู้ดีว่าเราจะกินพริกเมื่อใด

แต่อุปกรณ์เหล่านี้ทำให้ประสาทสัมผัสที่เรามีต่อสิ่งเหล่านี้เปลี่ยนแปลงไป จะนำสิ่งต่าง ๆ เข้าสู่โลกแห่งการมองเห็นของเราที่มีความแตกต่างจากคนอื่น ๆ และสุดท้ายเราอาจจะไม่สามารถมองความเป็นจริงทางกายภาพได้อีกต่อไป

“อุปกรณ์เหล่านี้ไม่เพียงแต่สามารถเพิ่มสิ่งต่าง ๆ ให้กับโลกแห่งความเป็นจริงเพียงเท่านั้น แต่ยังสามารถลบมันออกไปได้อีกด้วย” Bailenson กล่าว

“สิ่งที่เรากำลังจะได้สัมผัสคือการใช้อุปกรณ์เหล่านี้ในที่สาธารณะ ผู้คนจะอยู่ในสถานที่เดียวกัน สัมผัสโลกที่แตกต่างและมองเห็นมันได้พร้อมกัน และสุดท้ายเราจะสูญเสียจุดยืนกับสิ่งที่เราเคยยึดถือร่วมกันมาในท้ายที่สุด” Bailenson กล่าวปิดท้าย

แต่ก็ต้องบอกว่าโลกเราผ่านวิวัฒนาการด้วยเทคโนโลยีใหม่ ๆ มานับต่อนับ ทั้งอินเทอร์เน็ต โซเชียลมีเดีย มือถือสมาร์ทโฟน มนุษย์เราก็สามารถที่จะปรับตัวให้เข้ากับมันได้ในทุก ๆ ครั้ง

ซึ่งสุดท้ายเมื่อเวลาผ่านพ้นไป เทคโนโลยีต่าง ๆ ก็จะปรับปรุงขึ้น หน้าจอที่มีความละเอียดดีขึ้นและแสดงผลเร็วขึ้น อัลกอริธึมใหม่จะลดการบิดเบือนของโลกเสมือนจริงให้เหลือน้อยที่สุด ไม่ใช่เทคโนโลยีที่เราควรกังวลแต่อยู่ที่ว่าเราจะใช้เวลาอยู่กับมากแค่ไหน และจะทำให้มันสร้างประโยชน์ให้กับเราได้มากเท่าใดนั่นเองครับผม

References :
https://www.businessinsider.com/apple-vision-pro-experiment-brain-virtual-reality-side-effec
https://www.washingtonpost.com/technology/2024/02/06/apple-vision-pro-dos-donts/
https://timesofindia.indiatimes.com/gadgets-news/the-impact-of-apple-vision-pro-and-meta-quest-like-devices-on-the-brain/articleshow/107627523.cms

20 ปี Facebook ความหวัง ความฝัน ความทรงจำทั้งดีร้ายบนแพลตฟอร์มโซเชียลอันดับหนึ่ง

เผลอแป๊บเดียวก็ผ่านมา 20 ปีแล้วนะครับ สำหรับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอันดับหนึ่งของโลกอย่าง Facebook

ผมคิดว่าหลาย ๆ คนคงมีทั้งความทรงจำที่ดีและร้ายที่ถูกถ่ายทอดผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียแห่งนี้

ผมยังจำได้ดีในช่วงแรกของการเปิดตัว ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถสมัคร facebook ได้แบบทันที แต่ต้องมี invite จากผู้ที่เป็นสมาชิกอยู่แล้วให้ไปสมัคร ซึ่งมันคงความเป็น exclusive network ได้อยู่ในช่วงระยะเวลานึง

Feeling มันก็คล้าย ๆ กับตอน Clubhouse เปิดตัว ทุกคนอยากเข้าไปเล่นแต่ต้องได้รับการ invite ซึ่ง concept ของ Clubhouse นั้นก็เลียนแบบมาจากโซเชียลมีเดียรุ่นพี่อย่าง facebook นั่นแหละ

ผมคิดว่าหลาย ๆ ท่านคงมีความผูกพันกับแพลตฟอร์มแห่งนี้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่มคน Gen Y ขึ้นไป เรียกได้ว่าเติบโตมาพร้อมกับมันเห็นความเปลี่ยนแปลงของมันมานับต่อนับ

ย้อนวันวานจุดเริ่มต้นของ Facebook

มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอนกับการเกิดขึ้นของ facemash จากการที่ Mark Zuckerberg ถูกผู้หญิงทิ้งแล้วต้องการที่จะทำบางอย่างเพื่อลบความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นบวกกับฤทธิ์แอลกอฮอล์

ด้วยความอัจฉริยะทางด้านคอมพิวเตอร์ก็เลยคิดไอเดียแปลก  ๆ ขึ้นมา โดย Zuckerberg ได้ทำการสร้างเว็บไซต์ เปรียบเทียบใบหน้าของผู้หญิง แล้วให้โหวตว่าใคร hot สุด โดยจะ random หน้าของสาว ๆ ไปเรื่อย ๆ แล้วทำการคำนวนผ่าน algorithm ที่เขาคิดค้นขึ้น

ปัญหาคือจะเอารูปของนักศึกษาในมหาลัยมาจากไหนแต่ด้วยความเป็น hacker เป็นทุนเดิมอยู่แล้วของ Zuckerberg จึงไม่ใช่เรื่องยากเลย ในการที่จะไปดูดเอารูปมาจากเว็บไซต์ประจำหอพักต่าง ๆ ของมหาลัยซึ่งมีการเก็บข้อมูลแยกกันอยู่และไม่ได้มีการวางระบบ Security ไว้อย่างแน่นหนาพอ

Zuckerberg ใช้เวลาเพียงไม่นานโดยระหว่างเขียน code ก็ดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปด้วยแล้วก็ทำทุกอย่างเสร็จ ซึ่งไอเดีย ตอนแรกที่เขาเขียนไว้ใน blog ส่วนตัวนั้น เขาโมโห ถึงขนาดว่าจะเอารูปหน้าคนไปเปรียบเทียบกับสัตว์เลยด้วยซ้ำ แต่ไม่ได้ทำมันในเว็บจริง ๆ ของ facemash

แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้อยากให้มันเผยแพร่กระจายไปทั่วมหาลัยเลย เขาเพียงแค่ส่ง link ไปให้เพื่อนไม่กี่คนของเขา เพื่อให้ดูว่ามันเจ๋งแค่ไหนเท่านั้นและเขาก็ปล่อย server วางไว้อย่างงั้นจนข้ามวัน

พลังของ Network

ผ่านพ้นคืนนั้นไป Zuckerberg ก็ได้ไปเข้าเรียนปรกติ แต่สิ่งที่ผิดปรกติคือเริ่มมีคนมองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ จนเมื่อกลับมาถึงห้องพักพบว่าคอมพิวเตอร์ที่วางตัวเป็น server นั้นเริ่มค้างทำให้เขาถึงกับเข่าทรุดไปเลยทีเดียว

การส่ง link ไปให้เพื่อนเพียงไม่กี่คนผ่าน email ในตอนแรกนั้น ถูก forward ต่อกระจายไปยังหลาย mailing list ของมหาลัย Harvard ในคืนนั้น โดยมีผู้คนเข้ามาใช้งาน facemash ถึงกว่า 22,000 ครั้ง และกลายเป็นว่าทำให้มีคนไม่พอใจเป็นอย่างมากกับการกระทำของ Zuckerberg ในครั้งนี้

แม้ผู้ชายจะเล่น facemash กันอย่างสนุกสนานทั้งมหาลัย แต่มันไม่ใช่เรื่องสนุกเลยสำหรับสาว ๆ Harvard กลายเป็นว่า มันมีผลต่อการเหยียดเชื้อชาติ สีผิว กับการเปรียบเทียบรูปร่างหน้าตาแบบนี้ทำให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่ในที่สุด

สุดท้าย Zuckerberg ก็โดนทัณฑ์บนโดยมหาวิทยาลัยสั่งห้ามทำเรื่องเสียหายแบบนี้อีกไม่งั้นจะถูกไล่ออก แต่ หนังสือพิมพ์ชื่อดังของ Harvard อย่าง The Harvard Crimson ก็ลงข่าวเรื่องนี้ทำให้ชื่อเสียง Zuckerberg แพร่กระจายไปทั่วมหาลัย แต่ไม่ใช่เรื่องดีอย่างที่ Zuckerberg ต้องการกลับกลายเป็นคนที่ผู้หญิงทั้งมหาลัยยี้ภายในคืนเดียวด้วยความไม่ตั้งใจ

ถามว่าทำไม facemash ถึงเป็นจุดเริ่มต้นก็เพราะมันทำให้ Zuckerberg ได้เห็นถึงพลังของเครือข่าย แม้จะเป็นแค่เครือข่ายที่ทำการส่ง forward mail ยังทำให้คนเข้ามาใช้จน server พังได้

facemash ที่ทำให้ Zuckerberg เห็นถึงศักยภาพของ Network (CR:Social Student)
facemash ที่ทำให้ Zuckerberg เห็นถึงศักยภาพของ Network (CR:Social Student)

ถ้าย้อนกลับไปในช่วงปี 2004 นั้นก็ต้องบอกว่าเว็บไซต์ social network ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วและมีเจ้าตลาดอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็น friendster หรือ myspace  หรือในไทยเราก็เริ่มใช้ Hi5 กันแล้วถ้าหลาย ๆ คนยังคงจำได้

แล้ว facebook มันจะแจ้งเกิดได้อย่างไรในวันที่ระบบ social network เต็มไปหมดแล้ว ซึ่งถ้าใครหลายคนยังจำได้ การเข้าใช้งาน facebook ในช่วงแรก ๆ ที่เปิดให้คนทั่วไปใช้งานนั้น ต้องมีการ invite เข้าไปเล่นไม่สามารถสมัครได้โดยตรง

ซึ่งความเป็น Exclusive Network นี่แหละคือไอเดียเริ่มต้นของการสร้าง facebook เลยก็ว่าได้เพราะไม่งั้น Zuckerberg ก็คงเพียงสร้าง social network ธรรมดา ๆ ขึ้นมาที่ไม่ต่างจาก frienster หรือ myspace ทำเท่านั้นและคงไม่ดังกระฉูดมาจนถึงทุกวันนี้

Harvard Connection (Exclusive Social Network)

Harvard นั้นมีชมรมลับอยู่มากมายที่เหล่านักศึกษาทั่วมหาลัยหมายปองที่จะเข้าไปอยู่เพราะไม่ใช่แค่เรื่องเรียนเท่านั้น ที่ Harvard มีจุดเด่น

แต่เรื่อง connection ต่าง ๆ เป็นเรื่องสำคัญศิษย์เก่าหลาย ๆ คนเป็นใหญ่เป็นโตเป็นนักธุรกิจร่ำรวยมีหน้ามีตาในสังคมทั้งนั้นไล่ตั้งแต่ประธานาธิดีไปจนถึงนักกีฬาเหรียญทองโอลิมปิคซึ่งล้วนแล้วแต่ผ่านการเข้าชมรมที่ exclusive เหล่านี้แทบจะทั้งสิ้น

สองพี่น้อง Winklevoss ก็เป็นหนึ่งในนั้น โดยสองคนนี้เป็นฝีพายอันดับต้น ๆ ของประเทศแถมยังเรียนเก่งและมาจากตระกูลเศรษฐีอีกต่างหากต้องบอกว่าเป็นหนุ่ม ๆ ที่สาว ๆ ใน Harvard ถวิลหาเลยก็ว่าได้

ซึ่งทั้งสองนั้นเป็นสมาชิกชมรม Poselion Club ซึ่งนับได้ว่าเป็นชมรมระดับต้น ๆ ของมหาวิทยาลัย Harvard ซึ่งการจะเข้าชมรมดังกล่าวได้ต้องมีดีพร้อมทุกอย่างเท่านั้นโดยชมรมนี้จะเน้นไปในเรื่องของการหา connection ทางด้านธุรกิจ เป็นหลักไม่ได้เน้นเรื่องปาร์ตี้เหมือนชมรมอื่น ๆ ใน Harvard

ซึ่งทั้งฝาแฝดทั้งสองและเพื่อนสนิทอีกคนหนึ่งคือ divya narendra กำลังสร้างธุรกิจบางอย่างอยู่ที่พวกเขาทั้งสามทำมากว่า 2 ปีแล้วแต่มันไม่เสร็จซักที เนื่องจากโปรแกรมเมอร์หลักของทีมที่ชื่อ Victor นั้นกำลังวุ่นอยู่กับการเรียนในปีท้าย ๆ ซึ่งถือว่าหนักอยู่พอสมควรจึงเป็นที่มาของการหาโปรแกรมเมอร์คนใหม่เพื่อมาสานต่อไอเดียธุรกิจที่พวกเขาคิดไว้ให้สำเร็จนั่นเอง

สองพี่น้อง Winklevoss และพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ Divya Narendra (CR:Switchere official blog)
สองพี่น้อง Winklevoss และพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ Divya Narendra (CR:Switchere official blog)

ชื่อเสียงด้านความอัจฉริยะของ Zuckerberg โดยเฉพาะจากเรื่องของ facemash ได้ไปเข้าหูของสองพี่น้อง Winklevoss และพาร์ทเนอร์ธุรกิจอีกคนอย่าง divya narendra ที่กำลังหาโปรแกรมเมอร์คนใหม่มาสานฝันต่อไอเดียธุรกิจของพวกเขา

และในที่สุดทั้งสี่คนก็ได้พบเจอกันมันเหมือนพรหมลิขิตที่ถูกขีดชะตาไว้เรียบร้อยแล้ว Zuckerberg ที่กำลังชื่อเสียงแย่จาก facemash ต้องการที่จะกู้ชื่อเสียงตัวเองกลับมา รวมถึงไอเดียธุรกิจแสนบรรเจิดของสองพี่น้อง winklevoss และ divya narendra นั้นก็คือ email ตระกูล @harvard.edu ซึ่งเป็น email ที่ exclusive สุด ๆ ที่ใช้กันเฉพาะนักศึกษาหรือ ศิษย์เก่าของ harvard เพียงเท่านั้น

ไอเดียของพวกเขาที่แตกต่างจาก social network อย่าง friendster หรือ myspace คือความเป็น exclusive network เฉพาะภายในมหาวิทยาลัยเท่านั้นซึ่งมันใกล้ชิดกว่านักศึกษาก็นำข้อมูลส่วนตัวมาลงได้อย่างไม่เคอะเขินเพราะรู้ว่า เป็นการใช้แค่เพียงในมหาวิทยาลัยเท่านั้น

และสิ่งสำคัญที่ขับเคลื่อนชีวิตในมหาวิทยาลัยคือการได้ลุ้นกับการเดทกับสาว ๆ มากหน้าหลายตาโดยทำความรู้จักกันผ่านเครือข่ายสังคมสุด exclusive นี้

ซึ่ง Zuckerberg ก็ได้ตกลงที่จะรับเป็นโปรแกรมเมอร์ให้โปรเจคดังกล่าวทันที เพราะไอเดียนี้มันเข้าท่าอย่างชัดเจนไม่ต้องมีการ hack ระบบใด ๆ ทุกคนสามารถนำข้อมูล รูปภาพ ต่าง ๆ เข้าสู่เว็บไซต์ได้ด้วยตัวเอง และ Zuckerberg ก็หวังว่าโปรเจคนี้แหละจะช่วยกู้ชื่อเสียงที่ย่ำแย่ที่ทำไว้กับ facemash กลับมาได้อีกครั้ง

แต่สิ่งที่สองพี่น้องไม่รู้ถึงความแสบของ Zuckerberg ก็คือ Zuckerberg ได้แอบสร้างโปรเจค social network ขึ้นมาอีกตัวโดยใช้ชื่อว่า thefacebook ซึ่งเป็นชื่อแรกก่อนที่จะมาเปลี่ยนเป็น facebook จนถึงทุกวันนี้

thefacebook ที่ Zuckerberg แอบซุ่มทำโดยทื่สองพี่น้อง Winklevoss ไม่รู้ (CR:Feedough)
thefacebook ที่ Zuckerberg แอบซุ่มทำโดยทื่สองพี่น้อง Winklevoss ไม่รู้ (CR:Feedough)

แม้ไอเดียหลาย ๆ อย่างจะไม่เหมือนกันเลยซะทีเดียวเพราะทาง harvard connection นั้นจะมีส่วนของเว็บที่เป็นการหาคู่เดทแต่ key หลัก ๆ ที่เหมือนกันคือความเป็น exclusive network ซึ่งเป็นฟีเจอร์หลักของทั้ง thefacebook และ harvard connection

แต่หลาย ๆ ฟีเจอร์นั้น Zuckerberg ก็ได้ใส่เพิ่มเข้าไปเองใน thefacebook โดยเน้นให้เป็น social network แบบ exclusive จริง ๆ มีการสร้าง profile มีการ invite friend การ share รูปภาพ และความสนใจต่าง  ๆ  , คลาสเรียนซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันของเหล่านักศึกษาภายในมหาวิทยาลัยทั้งสิ้น

โดยยัดทั้งหมดมาไว้ในระบบ online ซึ่งความเป็น social นั้น thefacebook ของ Zuckerberg มีมากกว่า harvard connection ของสองพี่น้อง winklevoss อย่างเห็นได้ชัดที่ Zuckerberg มองเป็นแค่เว็บหาคู่เดทออนไลน์เพียงเท่านั้น

Welcome to the facebook

ในระหว่างการตอบโต้ email กับทางฝั่งพี่น้อง winklevoss ทาง Zuckerberg ก็ใช้เวลาแทบจะทั้งหมดสร้าง thefacebook ขึ้นมาโดยไม่สนใจงานของ harvard connection อีกเลย

โดยเขาทำทั้งหมดอยู่คนเดียวต้องเขียนโค้ดกว่าหลายหมื่นบรรทัดซึ่งไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับตัว Zuckerberg เลย เพราะเป็นงานที่เขาถนัดอยู่แล้วในเรื่องการเขียนโปรแกรม

Zuckerberg ที่ปั่นเว็บไซต์ thefacebook ด้วยตัวคนเดียว (CR:Harvard Crimson)
Zuckerberg ที่ปั่นเว็บไซต์ thefacebook ด้วยตัวคนเดียว (CR:Harvard Crimson)

สุดท้ายในช่วงต้น ปี 2004 Zuckerberg ใช้เวลาประมาณ 2 อาทิตย์ ในการเขียนโค้ดทั้งวันทั้งคืนโดดเรียนแทบจะทุกวิชาเพื่อมุ่งพัฒนา thefacebook เพียงอย่างเดียวจนมันเสร็จสมบูรณ์พร้อมออนไลน์

และฟีเจอร์ที่สำคัญสุดท้าย ที่ Zuckerbergได้ใส่ไปใน thefacebook นั่นคือ Relationship Status ฟังก์ชั่นนี้แหละได้กลายเป็นฟีเจอร์สำคัญที่จะทำให้คนแห่กันเข้ามาใช้ เพราะทำให้รู้ว่าใครโสดหรือไม่โสดหรือต้องการหาแฟนเหมือนป้ายห้อยติดคอบอกสถานะว่าเรามีแฟนแล้วหรือยังนั่นเอง

ในที่สุดวันที่รอคอย ก็มาถึง 4 กุมภาพันธ์ 2004 ถูกบันทึกไว้ว่าเป็นวันแรกของการก่อกำเนิดเว็บไซต์โซเชียลมีเดียที่ยิ่งใหญ่อย่าง thefacebook (ก่อนเปลี่ยนมาเป็น facebook ในภายหลัง) และเรื่องราวถัดจากนั้นก็คือตำนานอย่างที่พวกเราได้รับรู้กัน

BYD , TikTok , Huawei , Xiaomi , Shein และ Temu กับเส้นทาง 100 ปีมาราธอนของพรรคคอมมิวนิสต์จีน

ถ้าย้อนไป 20 ที่แล้ว และกล่าวว่าจะมีบริษัทจีนเหล่านี้ขึ้นมาครองโลกธุรกิจในอุตสาหกรรมของตนเอง ผมว่าทุกคนคงขำก๊าก

ต้องบอกว่าเป็นเวลากว่า 40 ปีแล้วที่สหรัฐฯ มีบทบาทอย่างมากในการช่วยเหลือจีนในการสร้างเศรษฐกิจ พัฒนาขีดความสามารถทางวิทยาศาสตร์และการทหาร และก้าวขึ้นมาบนเวทีโลก

ถ้าย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงแรกเริ่มในการเปิดความสัมพันธ์กับจีน สหรัฐฯ เชื่อว่าการผงาดขึ้นมาของจีน ก็จะไม่ต่างจากประเทศอื่น ๆ ที่อเมริกาเคยชักใยได้ สุดท้ายก็จะมาร่วมมือกับพวกเขาในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับอเมริกา

แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าความฝันที่แท้จริงของจีนแล้ว พวกเขามีเป้าหมายเพื่อมาแทนที่อเมริกา และทำเฉกเช่นเดียวกับที่อเมริกาเคยเข้ามาเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกแทนที่จักรวรรดิอังกฤษ

มีข้อมูลจากหนังสือหลายๆ เล่มที่ตีแผ่เรื่องราวแผนอันลึกลับซับซ้อนของจีน ที่ต้องการเข้ามาแทนที่สหรัฐฯ ในฐานะมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก

และพวกเขาจะต้องดำเนินการให้สำเร็จภายในปี 2049 ซึ่งเป็นวันครบรอบหนึ่งร้อยปีของการก่อตั้ง และสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน

กลยุทธ์ของจีนคือรูปแบบของ Unrestricted Warfare จีนยินดีต้อนรับการลงทุนจากทั่วทุกมุมโลก แต่จะไม่ยอมปล่อยให้นักลงทุนนำผลกำไรออกนอกประเทศ บริษัทของจีนสยายปีกไปทั่วทุกมุมโลก แต่ในประเทศพวกเขาจำกัดบริษัทต่างชาติที่เติบโตในจีนทุกรูปแบบ

แน่นอนว่าประเทศหนึ่งไม่ต้องการกองทัพขนาดใหญ่โตอีกต่อไปเพื่อพิชิตเป้าหมายในการเป็นมหาอำนาจ

เมื่อก่อนเราอาจจะเห็นประเทศมหาอำนาจต่างไล่ล่าเพื่อควบคุมประชากร ทรัพยากร หรือแม้กระทั่งเข้าควมคุมรัฐบาลของประเทศอื่น ๆ

แน่นอนว่าการใช้กำลังทหารนั้นเป็นเพียงวิธีการหนึ่งในการแสดงความก้าวร้าว แต่อีกวิธีหนึ่งในการบรรลุอำนาจในมุมมองของจีนนั่นก็คืออำนาจทางเศรษฐกิจ

มันคือการสร้างความเป็นต่อในขอบเขตการสู้รบอื่น ๆ ทั้งหมดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งสามารถใช้เพื่อสร้างอิทธิพลและโน้มน้าวผู้นำทางการเมืองในต่างประเทศ ปิดปาก ซื้อหรือขโมยเทคโนโลยี

มันยังสามารถใช้ในการผลิตสินค้าราคาถูกและขับไล่คู่แข่งออกจากธุรกิจหรือทำให้เศรษฐกิจของคู่แข่งอ่อนแอลง

สามารถใช้เพื่อสร้างกองทัพนักวิชาการที่รวบรวมข่าวกรองทั้งเรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และนำไปใช้เพื่อบรรลุเป้าหมายอื่นๆ ได้

การพุ่งทะยานของธุรกิจจีน

ย้อนกลับไปเมื่อ 20 ที่แล้ว หากเราพูดถึงแบรนด์อย่าง BYD , TikTok , Huawei , Xiaomi , Shein และ Temu คิดว่าหลายๆ คนคงส่ายหัวไม่รู้จัก อาจจะมีเพียงแค่ Huawei ที่พอจะมีชื่อเสียงในกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมอยู่บ้าง

แต่หากพูดถึงที่เหลือพวกเขาเป็นแบรนด์ที่เพิ่งเกิดมาแทบจะทั้งสิ้น BYD ก่อตั้งขึ้นในปี 2003 เริ่มผลิตรถยนต์คันแรกในปี 2005 , TikTok ที่เริ่มจาก Douyin ก่อนจะแพร่กระจายไปตัวทั่วโลกผ่านแบรนด์ TikTok ที่เปิดตัวในปี 2016

Shein ก่อตั้งขึ้นในเมืองหนานจิงเมื่อเดือนตุลาคมปี 2008 โดยผู้ประกอบการที่เก่งด้านการทำตลาดผ่าน SEO อย่าง Chris Xu , ส่วน Temu แม้จะมีบริษัทแม่อย่าง PDD Holdings ยักษ์ใหญ่ด้านอีคอมเมิร์ซของจีน แต่แบรนด์ใหม่อย่าง Temu เพิ่งก่อตั้งเมื่อปี 2022 นี่เอง

หรือแบรนด์ Xiaomi ที่ตอนนี้ก้าวขึ้นมาท้าชนยักษ์ใหญ่จากทั้งเกาหลีใต้ หรือ ญี่ปุ่นในสินค้ากลุ่ม consumer electronics ก็ก่อตั้งขึ้นมาเมื่อปี 2010

จะเห็นได้ว่าแบรนด์เหล่านี้กำลังก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมตนเองโดยใช้ระยะเวลาไม่นานนัก ด้วยอัตราเร่งในการเติบโตแบบโครตไฮสปีด

นี่ยังไม่นับแบรนด์อื่นๆ อีกมากมายที่กำลังเจริญรอยตามรุ่นพี่ๆ และงอกขึ้นมาในแทบจะทุกอุตสาหกรรม รถไฟความเร็วสูง ชิป เครื่องบินพี่จีนก็พัฒนาของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยซึ่งนั่นก็คือ Comac และพร้อมขึ้นมาท้าชนผู้นำอย่าง Boeing หรือ Airbus ในเร็ววันนี้ หรือแม้กระทั่งการท่องอวกาศที่พวกเขาได้ปักหมุดไปไกลแล้ว

ส่วน Huawei เองความจริงพวกเขาประกาศกร้าวอย่างชัดเจนมาก ๆ และดูเหมือนเส้นทางจะสดใสซะด้วยว่าจะก้าวขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในตลาดสมาร์ทโฟนโลกภายในปี 2020

แต่ด้วยปัญหาเรื่องสงครามการค้า การแบนเทคโนโลยีจากสหรัฐอเมริกา ก็ทำให้พวกเขาต้องถอยทัพกลับไปเริ่มต้นสร้างตัวใหม่โดยเฉพาะเทคโนโลยีด้านชิปที่พวกเขาหรือแม้กระทั่งรัฐบาลจีนเองมองว่าคงยืมจมูกคนอื่นหายใจไม่ได้อีกต่อไป

และเมื่อต้นเดือนกันยายนปีที่แล้ว Huawei ได้ประกาศวางขายสมาร์ทโฟน Huawei Mate 60 ซึ่งใช้ขุมพลังชิปประมวลผล 7 นาโนเมตรได้สำเร็จ ซึ่งทำให้คู่แข่งทั่วโลกต่างสะพรึงกลัวและเต็มไปด้วยคำถามที่ว่า จีนทำมันได้อย่างไรในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้

จะเห็นได้ว่ารูปแบบของธุรกิจต่าง ๆ ของจีนนั้นคล้ายคลึงกันอย่างมาก เริ่มต้นก็หลอกล่อบริษัทจากต่างประเทศให้มาลงทุนผลิตในประเทศ และดึงดูดเอา knowhow ก่อนที่จะเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองอย่างรวดเร็ว

และฐานผู้บริโภคในประเทศของพวกเขาที่ใหญ่โตมหาศาลทำให้พวกเขาสามารถที่จะทดลองสร้างนวัตกรรมต่าง ๆ และปรับปรุงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ได้ตลอดเวลา และที่สำคัญประชาชนในชาติก็พร้อมใจกันอุดหนุนผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศตัวเองเสียด้วย

ทุกแบรนด์เหล่านี้ ล้วนสร้างนวัตกรรมแบบไม่หยุดยั้ง และพัฒนาด้วยความเร็วแบบไฮสปีด กอรปกับความสัมพันธ์ที่มีความลึกลับซับซ้อนกับทางรัฐบาลจีน ที่เหมือนจะอยู่เบื้องหลังบริษัทเหล่านี้แทบจะทุกแห่ง สามารถชี้เป็นชี้ตายอนาคตของบริษัทเหล่านี้ได้ ดูได้จากเคสตัวอย่างของการกวาดล้างบริษัทเทคโนโลยีในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา

มันเป็นยุทธศาสตร์ที่ถูกวางหมากไว้แทบจะทั้งหมดสอดประสานกันระหว่างองค์กรธุรกิจและภาครัฐของจีนที่คอยกำหนดแผนการที่สอดรับไว้ ตัวอย่างเช่น การวางโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ เช่น รถไฟความเร็วสูง ท่าเรือขนส่งสินค้าที่มีอยู่ทั่วโลกในขณะนี้

ซึ่งสุดท้ายมันก็จะเป็นไปตามแผนการ The Hundred-Year Marathon ของประเทศจีน ซึ่งดูจากสถานการณ์ในตอนนี้มันมีความเป็นไปได้ค่อนข้างมากที่พวกเขาก็จะก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกโดยแทบจะไม่ต้องใช้กระสุนซักนัดเหมือนที่อเมริกาเคยล้มจักรวรรดิอังกฤษได้สำเร็จมาแล้วนั่นเองครับผม

References :
หนังสือ The Hundred-Year Marathon: China’s Secret Strategy to Replace America as the Global Superpower โดย Michael Pillsbury
หนังสือ Stealth War: How China Took Over While America’s Elite Slept โดย Robert Spalding
https://en.wikipedia.org/wiki/BYD_Auto
https://en.wikipedia.org/wiki/TikTok
https://en.wikipedia.org/wiki/Shein
https://en.wikipedia.org/wiki/Temu_(marketplace)
https://en.wikipedia.org/wiki/Xiaomi