Apple Disrupt วงการแล็ปท็อปอย่างไร? กับเสียงพัดลมที่หายไป วิธีที่ชิป M1 พลิกโฉมวงการใน 5 ปี

ถ้าย้อนกลับไปประมาณ 5-6 ปีก่อน หากมีคนถามว่าแนะนำให้ซื้อ Mac หรือ Windows PC ผมว่าหลายคนคงตอบว่า Windows โดยไม่ลังเลอย่างแน่นอน ช่วงนั้น Mac แย่มาก ทั้งช้า มีบั๊กเยอะ และทำงานหนักแทบจะไม่ได้

แต่ทุกอย่างพลิกโฉม เมื่อ Apple ประกาศชิปตัวแรกที่ออกแบบเฉพาะสำหรับ Mac ซึ่งพวกเขาเรียกว่า M1

การเปลี่ยนไปใช้ M1 เปรียบเสมือนก้าวจากจักรยานไปขับ Lamborghini ทันใดนั้นทุกอย่างก็ทำงานได้อย่างสุดล้ำ ไม่มีเสียงดัง ไม่มีความร้อน มีแต่พลังอันโหดเหี้ยม

เพื่อเข้าใจว่าทำไมชิปนี้ถึงเจ๋งมากๆ เราต้องดูว่า PC แบบเดิมทำงานอย่างไร

PC ทั่วไปมีการ์ดจอ ระบบระบายความร้อน เมนบอร์ด และ CPU แยกส่วนกันทำงานร่วมกัน แต่ M1 ต่างสิ้นเชิง แค่ชิปเดียวเท่านั้น ไม่มีส่วนประกอบแยกกัน ไม่มีระบบระบายความร้อนใหญ่โต เป็นเพียงซิลิคอนชิ้นเดียวที่รวม CPU, GPU และอื่นๆ ไว้ด้วยกัน

วิธีการทำงานแบบนี้ไม่เพียงมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ยังสร้างพลังเท่ากันหรือมากกว่าในขณะที่ใช้พลังงานน้อยลงมาก

แล้ว Apple เปลี่ยนจากการดิ้นรนมาเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมแล็ปท็อปในชั่วข้ามคืนได้อย่างไร?

นี่คือเรื่องราวของวิธีที่ชิปตัวเดียวปฏิวัติอุตสาหกรรมทั้งหมด วิธีที่ Apple ทุ่มเททุกอย่างเพื่อความคิดที่ดูเหมือนเป็นความฝันลมๆ แล้งๆ

และวิธีที่ M1 ไม่เพียงแต่เปลี่ยนคอมพิวเตอร์ แต่ยังเปลี่ยนวิธีที่เราคิดเกี่ยวกับเทคโนโลยีตลอดไป

เมื่อ M1 สร้างความตกตะลึงให้วงการในปี 2020 หลายคนคิดว่ามันเป็นแค่ความสำเร็จครั้งเดียว เป็นก้าวกระโดดที่คู่แข่งจะตามทันอย่างรวดเร็ว

แต่ 4 ปีต่อมากับซีรีส์ M4 บางสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนได้เกิดขึ้น: ช่องว่างไม่ได้ปิดลง มันยิ่งห่างไกลจากคู่แข่งไปเรื่อย ๆ

MacBook Pro ที่ใช้ M4 Max ไม่ได้แค่แข่งกับแล็ปท็อปอื่นๆ อีกต่อไป มันกำลังต่อสู้กับเวิร์กสเตชั่นตั้งโต๊ะที่ใช้พลังงานมากกว่าห้าเท่า มีการทดสอบที่พบว่า Mac ที่รัน Windows แบบ VM เอาชนะแล็ปท็อป Windows ได้แบบทิ้งไม่เห็นฝุ่น

MacBook ที่รันเวอร์ชันเสมือนของซอฟต์แวร์ Windows ซึ่งโดยปกติจะลดประสิทธิภาพลงครึ่งหนึ่ง กลับเอาชนะแล็ปท็อป Razer ราคา 4,000 ดอลลาร์ที่มี GPU รุ่นล่าสุด

ย้อนกลับไปในปี 2005 Apple กำลังมีปัญหาหนักหน่วง ชิป PowerPC กำลังล้าหลัง ไม่สามารถเทียบกับประสิทธิภาพของ Intel ไม่สามารถรองรับอายุแบตเตอรี่ได้นานเท่าที่ควร และกำลังเสียส่วนแบ่งการตลาดให้กับ Windows PC

Apple ต้องการผู้ช่วยให้รอด และพวกเขาพบหนึ่งในคู่แข่งเก่าแก่ที่สุด: Intel

Steve Jobs ขึ้นเวทีที่ WWDC 2005 และสิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาได้ส่งคลื่นช็อกไปทั่วโลกเทคโนโลยี เขาประกาศการเปลี่ยนผ่านจาก PowerPC ไปสู่โปรเซสเซอร์ Intel

Intel เดียวกับที่ Jobs เคยเย้ยหยันมาหลายปีกำลังจะกลายเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุดของ Apple

หลังจากการบูรณาการ Intel แล้ว Mac ทำงานได้อย่างสวยงาม Mac สามารถรัน Windows ได้ด้วย พวกมันเร็วกว่าที่เคย

MacBook Air ปฏิวัติการออกแบบแล็ปท็อป Apple ขาย Mac ได้มากกว่าที่เคยเป็นมา

แต่ภายใต้ความสำเร็จนี้ ปัญหากำลังก่อตัว ในขณะที่ชิป iPhone ของ Apple พุ่งทะยานในแต่ละปี Mac ดูเหมือนติดอยู่กับที่ ชิป Intel ร้อนมาก พวกมันต้องการระบบระบายความร้อนที่ซับซ้อนเพียงเพื่อรักษาประสิทธิภาพพื้นฐาน

ภายในปี 2019 สถานการณ์พลิกผันอย่างสิ้นเชิง Intel ที่เคยเป็นผู้ช่วยให้รอดของ Apple กลายเป็นข้อจำกัดที่ใหญ่ที่สุดของพวกเขา

บริษัทเดียวกันที่ทำให้โทรศัพท์เร็วกว่าแล็ปท็อปส่วนใหญ่ไม่สามารถสร้าง MacBook ที่สามารถแก้ไขวิดีโอโดยไม่ร้อนเกินไปได้

Intel ได้ช่วย Mac ในปี 2005 แต่อีก 15 ปีต่อมา Apple ต้องการการปฏิวัติอีกครั้ง และครั้งนี้พวกเขาตัดสินใจที่จะช่วยเหลือตัวเอง

การปฏิวัติ M1 ไม่ได้เริ่มต้นในปี 2020 มันไม่ได้เริ่มต้นด้วยคอมพิวเตอร์ด้วยซ้ำ มันเริ่มต้นด้วยการคาดการณ์ที่จะตามหลอกหลอน Intel เป็นทศวรรษ

ในปี 2007 Steve Jobs เสนอให้ Intel มีโอกาสทองที่จะทำชิปสำหรับอุปกรณ์ใหม่ที่เรียกว่า iPhone

Intel ปฏิเสธ พวกเขาคิดว่าโทรศัพท์มือถือเป็นทางตัน และมันได้กลายเป็นหนึ่งในการตัดสินใจทางธุรกิจที่ผิดพลาดและมีราคาแพงที่สุดในประวัติศาสตร์เทคโนโลยี

เมื่อไม่มีพันธมิตรสำหรับ iPhone Apple ทำบางสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน พวกเขาตัดสินใจที่จะออกแบบชิปของตัวเอง

พวกเขาซื้อบริษัทชิปขนาดเล็กชื่อ PA Semi ในราคา 278 ล้านดอลลาร์ สำหรับคนส่วนใหญ่ ดูเหมือนเป็นข่าวเล็กๆ

แต่ในความเป็นจริงมันเป็นจุดเริ่มต้นของจักรวรรดิชิปของ Apple ที่จะมาสั่นคลอนวงการในอนาคต

สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาเป็นเรื่องสุดยอด ตลอดหลายปีชิป A-series ของ Apple ไม่เพียงแค่เทียบเท่ากับคู่แข่ง พวกมันถีบคู่แข่งกระเด็น

ภายในปี 2013 โปรเซสเซอร์ของ iPhone มีประสิทธิภาพเหนือกว่าชิปมือถือของ Intel ภายในปี 2018 มันเทียบเท่ากับโปรเซสเซอร์แล็ปท็อป

ในขณะที่ Intel ยังคงพยายามที่จะเข้าสู่ตลาดมือถือที่พวกเขาปฏิเสธไปเมื่อหลายปีก่อน แต่มันก็สายเกินไปแล้ว

ลองเทียบง่าย ๆ ในการทำงานกับไฟล์ Photoshop ที่ซับซ้อน ด้านหนึ่งคือ Intel Mac ราคา 5,000 ดอลลาร์ รุ่นท็อป สเปคสูงสุด พัดลมส่งเสียงคำรามเหมือนเครื่องบินเจ็ท

อีกด้านหนึ่งคือ iPad Pro ที่ทำงานแก้ไขได้อย่างราบรื่นในขณะที่ Mac ราคาแพงดิ้นรนที่จะตามทัน มันเป็นแท็บเล็ตราคา 800 ดอลลาร์ ที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่าคอมพิวเตอร์ระดับมืออาชีพที่มีราคาสูงกว่าหกเท่า

ภายใน Apple Park ผู้บริหารเผชิญกับการตัดสินใจที่จะขีดชะตาชีวิตบริษัท พวกเขาประกาศว่า Mac กำลังก้าวกระโดดครั้งใหญ่อีกครั้งด้วยการเปลี่ยนไปใช้ Apple Silicon

พวกเขาเชี่ยวชาญในชิปมือถือ แต่พวกเขาจะสามารถแทนที่ Intel ได้หรือไม่? เพราะมันหมายถึงการสร้างแอป Mac ทุกตัวใหม่ การเขียนระบบปฏิบัติการทั้งหมดใหม่ การเสี่ยงกับสายผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์ที่ทำกำไรมากที่สุดของพวกเขา

ครั้งล่าสุดที่บริษัทพยายามทำสิ่งที่เสี่ยงบ้าคลั่งเช่นนี้คือ Apple เอง เมื่อ 15 ปีก่อน ที่ได้ตัดสินใจเปลี่ยนจาก PowerPC มาเป็น Intel นั่นเอง

Intel ที่เคยช่วย Mac ได้กลายเป็นข้อจำกัดที่ใหญ่ที่สุด และในปี 2020 เมื่อ Apple เปิดตัว M1 มันไม่ใช่แค่ชิปใหม่ มันเป็นการแก้แค้นจากฝั่ง Apple ที่รอคอยเวลามา 15 ปี

PC แบบดั้งเดิม เช่น Mac ที่ใช้ Intel ใช้สิ่งที่เรียกว่าสถาปัตยกรรม x86 ที่ใช้ภาษาที่ซับซ้อน กินพลังงานมาก ให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพดิบมากกว่าประสิทธิภาพการใช้พลังงาน แต่ประสิทธิภาพนั้นมาพร้อมกับต้นทุน: ความร้อน การใช้พลังงาน และความซับซ้อน

ชิป ARM เช่นที่อยู่ใน iPhone พูดในภาษาที่แตกต่างกัน มันง่ายกว่า มีประสิทธิภาพมากกว่า ออกแบบมาสำหรับอุปกรณ์มือถือที่อายุแบตเตอรี่มีความสำคัญ

ในขณะที่ชิป x86 ของ Intel ต้องการคำสั่งที่ซับซ้อนเพื่อให้งานสำเร็จ ชิป ARM ใช้แนวทางที่เรียบง่าย: คำสั่งง่าย ๆ พลังงานน้อยลง ความร้อนน้อยลง

Intel กำลังเผชิญกับวิกฤต เป็นเวลาหลายทศวรรษที่พวกเขาเพิ่มประสิทธิภาพชิปเป็นสองเท่าทุก 2 ปี แต่ภายในปี 2019 ความก้าวหน้านั้นได้ชะลอตัวลง

พวกเขากำลังเจอกับข้อจำกัดทางกายภาพของซิลิคอน การทำให้ชิปเร็วขึ้นหมายถึงการทำให้พวกมันร้อนขึ้น

การทำให้พวกมันร้อนขึ้นหมายถึงพลังงานมากขึ้น การระบายความร้อนมากขึ้น ปัญหามากขึ้น พวกเขาติดอยู่ในวงจรอุบาทว์

ลึกลงไปใน Apple Park โปรเจค Kalamata ได้ถือกำเนิดขึ้น เป้าหมายคือการสร้างชิปคอมพิวเตอร์ที่รวมประสิทธิภาพของ ARM กับพลังของโปรเซสเซอร์เดสก์ท็อป

แต่พวกเขาไม่ได้แค่สร้างชิป พวกเขากำลังรังสรรค์วิธีคิดใหม่เกี่ยวกับสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์

และในเดือนพฤศจิกายน 2020 ท่ามกลางการระบาดทั่วโลก Tim Cook ขึ้นเวทีและแนะนำชิป M1 ที่จะทำให้วงการต้องสั่นสะเทือน

สิ่งที่ตามมาไม่ใช่แค่ชิปใหม่ มันเป็นช่วงเวลาที่การประมวลผลเปลี่ยนไปสำหรับ Apple และวงการคอมพิวเตอร์ทั้งหมด

Apple สร้างสิ่งที่เรียกว่าสถาปัตยกรรมหน่วยความจำแบบรวม ที่สามารถปรับขนาดได้ในผลิตภัณฑ์ เริ่มจาก iPhone ไปสู่ iPad, Apple Watch และในที่สุดไปสู่ Mac

แนวทางของ Apple นั้นล้ำสมัย แทนที่จะแยกส่วนประกอบที่พูดคุยกัน ทุกอย่างจะอยู่บนชิปเดียว CPU, GPU, Neural Engine, หน่วยความจำ ทั้งหมดรวมกัน

ไม่มีคอขวดอีกต่อไป ไม่ต้องรอให้ข้อมูลเคลื่อนที่ในส่วนประกอบ เป็นเพียงการสื่อสารโดยตรงทันที มันเหมือนกับการแทนที่การแข่งขันวิ่งผลัดด้วยนักวิ่งเพียงคนเดียว

เมื่อผลการทดสอบครั้งแรกออกมา แม้แต่วิศวกรของ Apple ก็ยังตกใจ CPU เร็วขึ้น 3.5 เท่า GPU เร็วขึ้น 6 เท่า แบตเตอรี่อยู่ได้ 18 ชั่วโมง ในขณะที่ใช้พลังงานเพียงแค่เศษเสี้ยว

ในอุตสาหกรรมที่รู้จักกันดีในการใช้ตัวเลขที่เว่อร์เกินจริง สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ แต่ Apple ไม่ได้ทำสิ่งที่มันเป็นเพียงแค่ความฝันให้กลายเป็นความจริงขึ้นมาได้

ชิปไม่ได้แค่เทียบเท่ากับประสิทธิภาพของ Intel มันกำลังถีบส่ง Intel ดิ่งลงเหว ทำงานเย็นมากจนไม่จำเป็นต้องมีพัดลม

พวกเขาไม่ได้แค่สร้างชิปที่ดีกว่า พวกเขาได้ปฏิวัติสิ่งที่ชิปคอมพิวเตอร์สามารถเป็นได้ คะแนนทดสอบทั้งซิงเกิลคอร์และมัลติคอร์สูงกว่าคู่แข่งอย่างไม่น่าเชื่อ

เมื่อ Mac M1 เครื่องแรกมาถึง บางสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนได้เกิดขึ้น นักตัดต่อวิดีโอสามารถทำงานเป็นชั่วโมงโดยไม่ได้ยินเสียงพัดลม

นักพัฒนาซอฟต์แวร์ได้เห็นเวลาคอมไพล์ลดลงครึ่งหนึ่ง ช่างภาพสามารถแก้ไขไฟล์ขนาดใหญ่โดยไม่มีการหน่วง

MacBook Air M1 รุ่นเริ่มต้นที่ถูกที่สุดมีประสิทธิภาพเจ๋งกว่า MacBook Pro Intel มูลค่า 6,000 ดอลลาร์ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ตอนนี้ 5 ปีผ่านไปและสี่รุ่นผ่านไป บางสิ่งที่น่าทึ่งได้เกิดขึ้น ชิป M4 มาถึงแล้ว ผลักดันขอบเขตให้ไกลออกไปอีก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ:

ผู้ใช้ M1 หลายคนรวมแทบไม่ต้องอัพเกรด ชิปรุ่นแรกที่ปฏิวัติการประมวลผลในปี 2020 ยังคงมีประสิทธิภาพโหดเหี้ยมมากจนแทบไม่จำเป็นต้องอัพเกรด

ทุกครั้งที่มีการประกาศชิป M-series ใหม่ หลายคนมักถามว่าควรจะอัพเกรด M1 Max ไหม ความจริงคือ Apple ลดกำลังการผลิตชิป M2 เพราะมันขายไม่ดีเท่าที่ควร เหตุผลชัดเจนมาก เพราะ M1 นั้นเจ๋งมากๆ อยู่แล้ว

ปัญหาใหญ่ที่สุดที่ Apple มีกับ MacBook คือพวกมันดีมากเกินไปจนคนไม่อยากอัพเกรด นี่คือปัญหาที่บริษัทอื่นต่างถวิลหา

ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมนั้นรุนแรงและกระจายวงกว้าง มูลค่าตลาดของ Intel ดิ่งลงเหวอย่างน่าใจหาย Qualcomm ดิ้นรนที่จะตามให้ทัน

ตอนนี้แม้แต่ Microsoft ก็กำลังเห็นว่า Windows laptop กำลังเสื่อมความนิยมลงทุกที และเริ่มการเปลี่ยนผ่านของตัวเองไปสู่ชิป ARM

ราคาหุ้นของบริษัทชิปหลายแห่งลดฮวบลงอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนเริ่มตระหนักว่าปัญหาของผู้ผลิตชิปนั้นลึกลับซับซ้อนกว่าที่คิด

Apple ไม่เพียงแค่เปลี่ยนตัวเอง แต่พวกเขากำลังบังคับให้อุตสาหกรรมทั้งหมดต้องปรับตัวตาม ผู้ผลิตชิปทุกรายกำลังพยายามที่จะสร้างชิปแบบบูรณาการของตัวเอง

แต่พวกเขาเข้าสู่วงการช้าเกินไป Apple มีประสบการณ์ในการพัฒนาชิปมากกว่าทศวรรษ และพวกเขาคิดถูกที่ลงทุนในด้านนี้ตั้งแต่เนิ่นๆ

ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ M1 อาจไม่ใช่ประสิทธิภาพ แต่เป็นการเปลี่ยนความคาดหวังของเราว่าคอมพิวเตอร์สามารถและควรเป็นอะไรได้บ้าง

เราเคยยอมรับว่าคอมพิวเตอร์ที่ทรงพลังต้องมีเสียงดัง ร้อน และกินไฟเยอะ แต่ Apple แสดงให้เห็นว่านั่นเป็นเพียงข้อจำกัดของเทคโนโลยีเก่าเท่านั้น

M1 ไม่ได้แค่เปลี่ยนวิธีที่เราใช้คอมพิวเตอร์ มันเปลี่ยนสิ่งที่เราคิดว่าเป็นไปไม่ได้ให้มันเป็นไปได้ และขีดชะตาชีวิตของวงการใหม่ทั้งหมด

Apple Silicon ไม่เพียงแสดงให้เห็นว่าการบูรณาการอย่างสมบูรณ์สามารถชนะการแยกส่วนได้ มันแสดงให้เห็นว่าบางครั้งการคิดใหม่ทั้งหมดเป็นทางเดียวที่จะก้าวไปข้างหน้า

มันเป็นเรื่องราวของการที่บริษัทหนึ่งตัดสินใจเพื่อพัฒนาสิ่งที่โลกบอกว่าเป็นไปไม่ได้ และในที่สุดก็ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม

เราไม่เพียงแค่ใช้ชิปใหม่ เรากำลังมีประสบการณ์กับการปฏิวัติ และมีเพียงไม่กี่ครั้งในประวัติศาสตร์เทคโนโลยีที่เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบมากขนาดนี้

เรากำลังมองดูช่วงเวลาที่เทคโนโลยีชิปจะแยกเป็นสองยุคชัดเจน: ยุคก่อน Apple Silicon และยุคหลัง ในอนาคตเราอาจจะมองย้อนกลับไปที่ช่วงเวลานี้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล

การกล้าที่จะฝ่าฝันถึงแม้จะต้องเสี่ยงกับธุรกิจหลักของบริษัท กลายเป็นพรหมลิขิตที่ทำให้ Apple ก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก การเดิมพันกับชิปตัวเองไม่เพียงช่วยให้พวกเขาควบคุมชะตากรรมของตัวเอง แต่ยังเปลี่ยนทิศทางของอุตสาหกรรมทั้งหมด

จากการถูก Intel ปฏิเสธในปี 2007 สู่การเป็นผู้นำด้านการออกแบบชิปในปัจจุบัน Apple ได้พิสูจน์ว่าบางครั้งความล้มเหลวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอาจเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เป็นบทเรียนที่ธุรกิจทุกแห่งควรใส่ใจ

ในที่สุด Apple Silicon ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องราวเกี่ยวกับชิปคอมพิวเตอร์ แต่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ ความกล้าหาญ และพลังของการคิดนอกกรอบ

มันแสดงให้เห็นว่าแม้ในอุตสาหกรรมที่เติบโตเต็มที่แล้ว ยังมีโอกาสสำหรับการค้นพบและนวัตกรรมที่น่าตื่นเต้นได้อยู่เสมอ

ถ้าคุณได้ใช้ Mac ที่มี Apple Silicon แล้ว คุณไม่ใช่แค่กำลังใช้คอมพิวเตอร์ คุณกำลังเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่กำลังก่อตัวขึ้น และการปฏิวัตินี้เพิ่งเริ่มต้นเพียงเท่านั้น

เส้นทางสู่ Gorilla Glass จากโปรเจ็กต์ล้มเหลวในปี 1971 สู่มาตรฐานหน้าจอสมาร์ทโฟนทั่วโลก

ย้อนกลับไปในยุคก่อน iPhone จะถือกำเนิด พวกเราใช้หน้าจอมือถือที่เรียกได้ว่าห่วยสุดๆ ตกนิดตกหน่อยจอก็แตก เป็นพลาสติกที่มีรอยขีดข่วนง่ายมาก สร้างความปวดหัวให้คนใช้ทั่วโลก

เดือนกันยายน 2006 เพียงสี่เดือนก่อน Steve Jobs วางแผนเปิดตัว iPhone ให้โลกได้เห็น เขาปรากฏตัวที่สำนักงานใหญ่ Apple ด้วยอารมณ์โกรธจัด เพราะเห็น iPhone ต้นแบบมีรอยขีดข่วนทั่วหน้าจอพลาสติก เพราะแค่กระทบกับกุญแจในกระเป๋ากางเกงเท่านั้น จอก็มีรอยเต็มไปหมดแล้ว

ผู้บริหารพยายามอธิบายว่ามีจอแก้วต้นแบบ แต่มันล้มเหลวในการทดสอบ ตกจากที่สูงหนึ่งเมตร 100 ครั้ง พังสิ้นซาก 100 ครั้ง Jobs กล่าวอย่างโมโหว่า “ฉันแค่อยากรู้ว่านายจะทำมันสำเร็จหรือเปล่า”

แผนเดิมคือจัดส่ง iPhone ด้วยจอแบบเดียวกับ iPod แต่จากคำสั่งเด็ดขาดของ Jobs ทำให้ทีม iPhone มีเวลาไม่ถึงปีหาจอใหม่

ปัญหาใหญ่ก็คือ ไม่มีจอแก้วไหนที่ทำได้ตามที่ Jobs ต้องการ แก้วส่วนใหญ่เปราะบาง แตกง่าย หรือไม่ก็หนาเกินไป

Apple พยายามเสริมความแข็งแกร่งของกระจกเองแต่ก็เละเทะไม่เป็นท่า เพราะเป็นบริษัทเทคโนโลยี ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุศาสตร์

ฟ้าลิขิตให้ iPhone ต้องมีหน้าจอพิเศษ เมื่อเพื่อนของ Jobs แนะนำให้เขาติดต่อ Wendell Weeks ซีอีโอของ Corning บริษัทแก้วในนิวยอร์ก

ช่วงปลายทศวรรษ 1950 Bill Decker ประธาน Corning ซึ่งตอนนั้นผลิตจานแก้วสำหรับ Microwave คุยกับ William Armistead หัวหน้าฝ่ายวิจัย

Decker ตั้งคำถามว่าทำไมไม่แก้ไขปัญหากระจกที่แตกง่ายเสียที จึงเป็นจุดเริ่มต้นของ Project Muscle

เป้าหมายของโครงการนี้คือสร้างกระจกใสแข็งแกร่งสุดล้ำ ทีมวิจัยสำรวจวิธีเสริมความทนทานของกระจกทุกรูปแบบที่คิดได้

วิธีการหลักมีสองแบบ คือเทคนิคการชุบแข็งแบบเก่าด้วยความร้อน และแบบใหม่คือกระจกหลายชั้นที่ขยายตัวต่างกัน

นักวิจัยเชื่อว่าเมื่อแก้วหลายชั้นเย็นตัวลง จะเกิดการบีบอัดที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับผลิตภัณฑ์ได้

การทดลองของ Project Muscle นำไปสู่การพัฒนาวัสดุใหม่ที่แข็งแรงพิเศษง ด้วยกระบวนการเสริมความแข็งแกร่งทางเคมีสุดเจ๋ง

พวกเขาใช้วิธีใหม่ที่เรียกว่าการแลกเปลี่ยนไอออน เริ่มต้นด้วยทรายซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของแก้ว ผสมสารเคมีให้ได้อะลูมิโนซิลิเกตที่มีโซเดียมสูง

จากนั้นนำแก้วแช่ในเกลือโพแทสเซียมและให้ความร้อนสูงถึง 400 องศาเซลเซียส เพราะโพแทสเซียมหนักกว่าโซเดียมในส่วนผสมดั้งเดิม

ไอออนขนาดใหญ่ถูกยัดลงในพื้นผิวแก้ว ทำให้เกิดสภาวะบีบอัดที่มีประสิทธิภาพมาก ๆ พวกเขาตั้งชื่อวัสดุใหม่นี้ว่า Chemcor

Chemcor แข็งแกร่งกว่ากระจกธรรมดาถึง 50 เท่า ทนแรงกดได้สูงถึง 100,000 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว และยังมองทะลุผ่านได้ชัดเจน

ปี 1962 Corning คิดว่ากระจกใหม่พร้อมสำหรับตลาดแล้ว แต่พวกเขาไม่รู้จะทำตลาด Chemcor อย่างไร เพราะคุณสมบัติมันเทพเกินไป

Corning จัดงานแถลงข่าวใหญ่ใจกลางแมนฮัตตัน เพื่ออวดโฉมกระจกสุดล้ำนี้ให้โลกได้เห็น มีการทดสอบการกระแทก งอและบิด

แทบไม่มีอะไรทำลายมันได้เลย แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจคือมีผู้สนใจเพียงไม่กี่รายเท่านั้น ทั้งที่มันสามารถใช้ประโยชน์ได้มากมาย

ทั้งหน้าต่างที่ทนทานสำหรับเรือนจำ หรือกระจกหน้ารถที่ป้องกันการแตกได้ดี Corning มองเห็นศักยภาพมากมายแต่ตลาดกลับไม่สนใจ

ปี 1969 บริษัทลงทุนวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์นี้ถึง 42 ล้านเหรียญสหรัฐ และ Chemcor ก็พร้อมที่จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับโลก

แต่ตลาดกลับตอบรับในทิศทางตรงกันข้าม ไม่มีใครต้องการกระจกแก้วแข็งแรงราคาแพง ท้ายที่สุด Chemcor และ Project Muscle ถูกทิ้งร้างในปี 1971

ตัดภาพมาปี 2005 เมื่อโทรศัพท์ฝาพับอย่าง Razr ดังกระฉูด Corning หวนกลับมารื้อฟื้นโปรเจ็กต์ Chemcor ที่ถูกทิ้งไว้ตั้งแต่ยุค 1960 อีกครั้ง

พวกเขาต้องการทดสอบว่ามีวิธีสร้างกระจกทนทาน ราคาไม่แพงจนเกินไป และป้องกันรอยขีดข่วนสำหรับมือถือได้หรือไม่ ครั้งนี้พวกเขาตั้งชื่อโค้ดสุดเท่ให้โครงการว่า “Gorilla Glass”

เมื่อทีม Apple เดินทางไปสำนักงานใหญ่ Corning ทางตอนเหนือของนิวยอร์ก Weeks มีความต้องการที่จะรื้อฟื้นงานวิจัยเก่า

Jobs อธิบายสิ่งที่พวกเขากำลังมองหา และ Weeks แนะนำ Jobs เกี่ยวกับ Gorilla Glass ที่กำลังพัฒนาอยู่ ทั้งคู่ถกเถียงกันอย่างหนัก

ต่างคนต่างโม้ถึงเทคโนโลยีสุดยอดในผลิตภัณฑ์ของตน น่าสนใจที่เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ Jobs ถึงกับผงะในการประชุม

Weeks เป็นคนขัดจังหวะและสั่งสอน Jobs เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ของวัสดุแก้ว แบบถึงพริกถึงขิงไม่มีใครยอมใคร สุดท้ายเป็นที่ชัดเจนว่าจอแก้วของ Weeks นั้นโครตเทพกว่าสิ่งที่ทีมงานของ Jobs วิจัยด้วยตัวเอง

Jobs ตัดสินใจสั่งให้ Weeks ผลิต Gorilla Glass ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ก่อน iPhone จะเปิดตัว

Weeks พยายามอธิบายว่าบริษัทไม่มีกำลังผลิตมากพอและผลิตไม่ทันแน่นอน แต่ Jobs กลับตอบด้วยความมั่นใจ “ไม่ต้องกลัว จงตั้งสติให้ดี คุณสามารถทำมันได้”

Corning มีต้นแบบจากงานวิจัยเมื่อ 50 ปีก่อน แต่ไม่เคยผลิตจำนวนมากอย่างที่ Jobs ต้องการ อย่างไรก็ตามประวัติศาสตร์ได้ถูกขีดเขียนขึ้นมาใหม่

ภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี สมาร์ทโฟนเกือบทุกเครื่องบนโลกต่างใช้ Gorilla Glass เป็นส่วนประกอบหลักที่ขาดไม่ได้

Gorilla Glass ผลิตในโรงงานที่ตั้งอยู่ระหว่างทุ่งยาสูบและฟาร์มปศุสัตว์ใน Harrodsburg รัฐเคนตักกี้ ซึ่งมีประชากรแค่ประมาณ 8,000 คน

นับเป็นหนึ่งในส่วนประกอบสำคัญของ iPhone ที่ได้รับการผลิตในสหรัฐอเมริกา เป็นที่เชิดหน้าชูตาให้กับคนในพื้นที่

หลังจาก iPhone รุ่นแรกออกสู่ตลาด Gorilla Glass ได้รับการพิสูจน์ว่ามีความเจ๋งเกินคาด กลายเป็นวัสดุสำคัญในวงการอิเล็กทรอนิกส์

มันถูกใช้ในทั้งโทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ต ก่อนจะขยายไปสู่อุปกรณ์เกือบทุกประเภทที่ต้องการหน้าจอแข็งแรงทนทาน

การได้สัญญาผลิตครั้งใหญ่จาก Apple ช่วยให้ Corning เติบโตแบบพุ่งกระฉูด ไม่ใช่แค่เพราะความสำเร็จของ iPhone เท่านั้น แต่ยังเป็นการพิสูจน์ให้โลกเห็นว่าเทคโนโลยีของ Corning นั้นเจ๋งแค่ไหน

ไม่นานหลังจากนั้น Samsung, Motorola, LG และแทบทุกบริษัทที่อยากเข้าวงการสมาร์ทโฟน ต่างหันมามองและใช้ Gorilla Glass กันทั้งนั้น

นี่คือเรื่องราวสุดพีคของนวัตกรรมที่ถูกลืมไปเกือบครึ่งศตวรรษ ก่อนจะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งโดย iPhone

เพื่อปกป้องหน้าจอจากรอยขีดข่วนในโลกยุคใหม่ ที่คนเกือบครึ่งโลกต้องสัมผัสกับหน้าจอนี้ทุกวัน บ่อยจนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเลยทีเดียว

กระจกอัจฉริยะที่ไม่มีใครสนใจในช่วง 1960-1970 กลับกลายเป็นส่วนสำคัญของเทคโนโลยีที่ขาดไม่ได้

เป็นตัวอย่างเจ๋งมากๆ ของนวัตกรรมที่มาถูกที่ถูกเวลา แม้จะรอคอยโอกาสนานเกือบ 50 ปี มันก็ไม่เคยประสบความสำเร็จได้จนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม

Gorilla Glass ไม่ได้เป็นแค่ส่วนประกอบของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แต่เป็นสัญลักษณ์ของการปฏิวัติในวงการอุตสาหกรรมวัสดุ

มันแสดงให้เห็นความสำคัญของการวิจัยและพัฒนาระยะยาว แม้จะไม่เห็นผลทันที แต่เมื่อถึงจุดพีค มันกลับมาสร้างประโยชน์มหาศาล

ปัจจุบัน Corning ยังพัฒนา Gorilla Glass อย่างต่อเนื่อง ออกรุ่นใหม่ๆ ที่แข็งแรงและมีประสิทธิภาพดีขึ้นเรื่อยๆ ตอบสนองความต้องการของตลาดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เติบโตแบบไม่หยุดยั้ง เกิดการแข่งขันกันรังสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ

การเติบโตของ Gorilla Glass ยังทำให้ Corning ขยายการวิจัยไปสู่วัสดุแก้วชนิดใหม่ๆ สำหรับอุตสาหกรรมอื่นๆ ด้วย ทั้งยานยนต์ อาคาร และอุปกรณ์ทางการแพทย์ แสดงให้เห็นว่านวัตกรรมหนึ่งสามารถผลักดันให้เกิดนวัตกรรมอีกมากมายได้

เรื่องราวของ Gorilla Glass จึงไม่ใช่แค่ความสำเร็จของวัสดุชนิดหนึ่ง แต่เป็นบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับการอดทนรอคอย

เป็นการไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค และการเห็นโอกาสในสิ่งที่คนอื่นมองข้าม นี่คือแก่นของการสร้างนวัตกรรมที่ยั่งยืนในระยะยาว ความรู้และเทคโนโลยีบางอย่างอาจมาก่อนเวลาที่โลกพร้อมยอมรับมัน มันต้องรอเวลาที่เหมาะสม

เมื่อถึงเวลาที่ใช่ นวัตกรรมเหล่านั้นจะได้รับการยอมรับและเปลี่ยนแปลงโลกได้อย่างมหาศาล เหมือน Gorilla Glass ที่ปกป้องจอมือถือเราทุกวันนี้

ลองคิดดู หากไม่มี Gorilla Glass หน้าจอมือถือของเราอาจเป็นรอยมากมายแค่เผลอวางไว้ในกระเป๋าร่วมกับกุญแจ

หรือถ้าวันนั้น Jobs ไม่โมโหเรื่องรอยขีดข่วน ไม่ได้เจอกับ Weeks พวกเราอาจยังใช้มือถือจอห่วยๆ กันอยู่

บางครั้งความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เกิดจากความบังเอิญ การพบกันของคนที่ใช่ในเวลาที่เหมาะสม ราวกับฟ้าลิขิตให้ทุกอย่างมันเกิดขึ้น

จาก Project Muscle สู่ Chemcor แล้วถูกลืมไปเกือบ 50 ปี จนฟื้นคืนชีพมาเป็น Gorilla Glass นี่คือเส้นทางสุดแเจ๋งของนวัตกรรมที่ปลุกปั้นโลกอิเล็กทรอนิกส์ให้แข็งแรงทนทานมากขึ้น

ความรู้และเทคโนโลยีบางอย่างอาจจะมาก่อนเวลาที่โลกพร้อมจะยอมรับมัน แต่เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม นวัตกรรมเหล่านั้นก็จะได้รับการยอมรับและสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับโลกได้อย่างมหาศาล เฉกเช่นเดียวกับ Gorilla Glass ที่ปกป้องหน้าจอสมาร์ทโฟนของเรามาจนถึงทุกวันนี้นั่นเองครับผม

เบื้องหลังหุ้นพุ่งทะยานของ Palantir ผู้ชนะที่แท้จริงในสงคราม เมื่อความขัดแย้งทั่วโลกคือเงินทองของพวกเขา

ทุกวันนี้บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่มักจะคุยโวโอ้อ้วยว่าพวกเขา “กำลังเชื่อมโยงโลก” แต่จริงๆ แล้วพวกเขากำลังทำอะไรกันแน่? หลายคนมองว่าพวกเขาแค่สร้างแพลตฟอร์มอย่าง Facebook , Instagram หรือ TikTok ที่ทำให้ผู้คนเสพติด

ท่ามกลางบริษัทเทคโนโลยีทั้งหลาย มี Palantir ที่เป็นยูนิคอร์นจาก Silicon Valley ซึ่งมีผลการดำเนินงานเติบโตแบบก้าวกระโดดที่สุดในปีที่ผ่านมา หลายคนอาจคิดว่าพวกเขาทำบริการสตรีมมิ่ง แอปเช่าบ้าน หรือหูฟังไร้สาย

แต่ Palantir แตกต่างจากบริษัทเทคอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง พวกเขาพูดอย่างเปิดเผยว่า “เราสร้างห่วงโซ่การสังหารดิจิทัล” และ “ผลิตภัณฑ์ของเราถูกใช้เพื่อฆ่าผู้คน”

เว็บไซต์ของ Palantir อธิบายว่าพวกเขาทำงานเกี่ยวกับการใช้ AI ตัดสินใจแทนมนุษย์และส่งมอบผลลัพธ์ให้กับสถาบันที่ทรงพลังที่สุดของโลกตะวันตก ถึงจะฟังดูซับซ้อน แต่มีอย่างหนึ่งที่ชัดเจน นั่นคือพวกเขาทำเงินมหาศาล

หุ้นของ Palantir พุ่งทะยานอย่างไม่น่าเชื่อ พุ่งกระฉูดถึง 340% ในปี 2024 ทำให้บริษัทมีมูลค่ากว่า 250 พันล้านดอลลาร์ เทียบเท่ากับยักษ์ใหญ่อย่าง AT&T, IBM และ Cisco เลยทีเดียว

Sharon Weinberger บรรณาธิการด้านความมั่นคงแห่งชาติของ Wall Street Journal ผู้มีประสบการณ์โชกโชนกับอุตสาหกรรมการป้องกันของสหรัฐฯ กว่า 20 ปี เล่าว่า Palantir เริ่มต้นในปี 2003 ระหว่างสงครามต่อต้านการก่อการร้าย

ช่วงนั้นกองทัพอเมริกากำลังเผชิญปัญหาใหญ่ในอัฟกานิสถานและอิรัก นั่นคือระเบิด IEDs ที่กำลังฆ่าทหารในอัตราที่น่าสะพรึงกลัว Palantir จึงเสนอตัวเข้ามาช่วย

พวกเขารังสรรค์แนวคิดในการรวบรวมข้อมูลมหาศาลที่กระทรวงกลาโหมเก็บรวบรวมจากสนามรบ นำมาวิเคราะห์ในฐานข้อมูล เพื่อระบุผู้ก่อการร้าย ซึ่งเป็นแนวทางที่สุดยอดมากในยุคนั้น

ปัจจุบัน Palantir ได้พัฒนาตัวเองเป็น “ผู้แก้ปัญหา” ให้กับกระทรวงกลาโหม พวกเขาบอกว่า “คุณมีปัญหา เราจะแก้ไขมัน” เป็นการวางตำแหน่งที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง

สิ่งที่ทำให้ Palantir เจ๋งมาก ๆ คือความกล้าที่จะประกาศตัวว่าทำงานกับกองทัพ พวกเขาพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “เราให้บริการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงกลาโหมทำสงคราม” ซึ่งเป็นแนวคิดที่ไม่เคยมีมาก่อนในปี 2003

Mark O’Mara นักประวัติศาสตร์และศาสตราจารย์ผู้ศึกษาการเมืองและธุรกิจอเมริกัน บอกว่า Palantir กำลังช่วยทำลายล้างระบบการทำสัญญาแบบดั้งเดิมของกระทรวงกลาโหม

ปกติแล้ว มีผู้รับเหมารายใหญ่เพียงไม่กี่รายที่ผูกขาดสัญญาขนาดใหญ่และมักมีค่าใช้จ่ายเกินงบประมาณ ทำให้งบกลาโหมบวมโต การมีบริษัทใหม่ๆ เข้ามาแข่งขันจึงเป็นเรื่องดี

Palantir ประสบความสำเร็จในการทำสัญญากับรัฐบาลอย่างมาก ส่วนหนึ่งเพราะพวกเขาจ้างพนักงานระดับสูงจากหน่วยงานรัฐบาลจำนวนมาก

ผู้บริหารระดับสูงของ Palantir หลายคนได้รับการแต่งตั้งโดย Trump ให้ดำรงตำแหน่งสำคัญในรัฐบาล สร้างความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับรัฐบาล ทำให้ได้ข้อมูลจากคนวงในที่ทำงานในภารกิจสำคัญของกองทัพ

ตั้งแต่ปี 2009 Palantir ได้ทำสัญญากับกระทรวงกลาโหมมากกว่า 1.3 พันล้านดอลลาร์ สำหรับโครงการสุดล้ำต่างๆ มากมาย

พวกเขาพัฒนาแพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูล Vantage ของกองทัพ, กระเป๋าคอมพิวเตอร์ดาวเทียม AI แบบ James Bond และระบบโดรนที่ควบคุมด้วย AI ชื่อ Project Maven

ที่เจ๋งสุดๆ คือ Titan ยานพาหนะที่ควบคุมด้วย AI ตัวแรกของกองทัพ ซึ่งลดเวลาจากการตรวจจับเป้าหมายถึงการยิง ลดภาระทหาร และช่วยให้ยิงแม่นยำในระยะไกล

แต่ความร่วมมือของพวกเขาไม่ได้จำกัดอยู่แค่ด้านทหาร ในช่วงโควิด-19 สหรัฐฯ ได้ทำสัญญากับ Palantir เพื่อติดตามข้อมูลการระบาดและพัฒนาระบบแจกจ่ายวัคซีน

มีรายงานว่า Palantir ยังช่วยหน่วยงาน Immigration and Customs Enforcement (ICE) พัฒนาระบบเฝ้าระวังและวางแผนปฏิบัติการด้วยสัญญาเริ่มต้นมูลค่าสูงถึง 127 ล้านดอลลาร์

ในช่วงทศวรรษ 2010 ตำรวจนิวออร์ลีนส์ร่วมมือกับ Palantir อย่างลับๆ เพื่อทดสอบเทคโนโลยีทำนายอาชญากรรม คล้ายๆ กับในหนัง Minority Report เลยทีเดียว

ทั่วโลก เทคโนโลยีของ Palantir ถูกใช้โดยกองทัพยูเครน กองทัพอิสราเอลสำหรับภารกิจสงคราม และโดยรัฐบาลอังกฤษเพื่อปรับปรุงระบบสุขภาพ NHS England

แต่ความร่วมมือเหล่านี้ก็สร้างความขัดแย้งไม่น้อย โดยเฉพาะประเด็นความเป็นส่วนตัว กลุ่มเสรีภาพพลเมืองแสดงความกังวลเรื่องการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล

Palantir ไม่ได้หยุดอยู่แค่งานด้านความมั่นคง พวกเขาขยายธุรกิจสู่ภาคเอกชนได้อย่างน่าทึ่ง ขายผลิตภัณฑ์ให้ธนาคารและหน่วยงานกำกับดูแลเพื่อต่อต้านการฟอกเงิน

บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่อย่าง BP เป็นพันธมิตรระยะยาวที่ใช้ซอฟต์แวร์ของ Palantir สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล และยังมีลูกค้าอื่นๆ อีกมากมาย

ลูกค้า AI ของ Palantir รวมถึงบริษัทชั้นนำอย่าง United Airlines, Lowe’s, General Mills และ Tampa General Hospital ทำให้รายได้เชิงพาณิชย์ในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 54% ในปีที่ผ่านมา

การเติบโตแบบก้าวกระโดดนี้ส่วนหนึ่งมาจากการปรับเปลี่ยนโฟกัสของบริษัทจากการเฝ้าระวังข้อมูลในช่วงแรก มาเป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ AI สุดล้ำในปัจจุบัน

เบื้องหลังความสำเร็จของ Palantir คือผู้ก่อตั้งที่มีวิสัยทัศน์อย่าง Peter Thiel และ Alex Karp โดย Thiel มักอยู่ในมุมมืด ส่วน Karp เป็นผู้นำที่พูดจาตรงไปตรงมา

Karp มีแฟนคลับมากมายในหมู่นักลงทุนรายย่อย โดยเฉพาะชุมชน Reddit ที่มีคนติดตามราว 100,000 คน บางคนถึงกับเรียกเขาว่า “Daddy Karp”

Karp ตอบสนองด้วยคำพูดที่ทะลึ่งและน่าตกใจ เช่น “ผมไม่คิดในแง่ชนะแพ้ ผมคิดในแง่การครอบงำ แทบไม่มีอะไรทำให้มนุษย์มีความสุขมากไปกว่าการเอาโคเคนไปจากพวกขายชอร์ต”

Alex Karp เป็นตัวละครที่ลึกลับซับซ้อน ในด้านหนึ่ง เขาร่วมมือกับ Peter Thiel นักสนับสนุนฝ่ายขวาและผู้ให้ทุน Trump ในปี 2016 เพื่อสร้างบริษัทเฝ้าระวังข้อมูลต่อต้านการก่อการร้าย

แต่อีกด้าน Karp กลับสนับสนุน Kamala Harris ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีล่าสุด บริจาคให้พรรคเดโมแครตบ่อยครั้ง และใช้ชีวิตแบบที่ไม่เหมือนกับผู้บริหารเทคโนโลยีทั่วไป

Karp มาจากพื้นฐานฝ่ายซ้าย ขณะที่ Thiel เป็นที่รู้จักในฐานะนักอนุรักษ์นิยมที่พูดตรงๆ แม้จะมีแนวคิดทางการเมืองต่างกัน แต่ทั้งคู่มีความเชื่อร่วมกันคล้ายยุคสงครามเย็น

พวกเขาเชื่อในความจำเป็นของความร่วมมือระหว่างอุตสาหกรรมเอกชนกับสถาบันป้องกันประเทศ เพื่อให้เทคโนโลยีที่ดีที่สุดอยู่ในมือของรัฐบาลสหรัฐฯ

ความสัมพันธ์ที่ Karp และ Palantir กำลังผลักดันทั้งเทคโนโลยีและกระทรวงกลาโหมไม่ใช่เรื่องใหม่ทั้งหมด แต่เป็นการหวนกลับไปสู่โมเดลแบบเก่า

Karp เปิดเผยว่าเขาชื่นชอบอุตสาหกรรมเทคโนโลยีแบบดั้งเดิม ที่มี Lockheed เป็นนายจ้างรายใหญ่ใน Silicon Valley จนถึงทศวรรษ 1980 ยุคที่กระทรวงกลาโหมสร้างอินเทอร์เน็ต

เขายังยกตัวอย่างโครงการแมนฮัตตันที่ Oppenheimer รวบรวมนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรเทพที่สุดในสหรัฐฯ เพื่อร่วมมือกับรัฐบาล เป็นตัวอย่างที่ควรทำตาม

ในหนังสือล่าสุด Karp โต้แย้งว่าอุตสาหกรรมเทคโนโลยีหลงทางในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา โดยมุ่งเน้นแค่ผลิตภัณฑ์สำหรับผู้บริโภคที่ไม่ได้พัฒนาสังคมอย่างแท้จริง

เขาเสนอว่าอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ควรกลับมาสร้างความสัมพันธ์กับรัฐบาลใหม่ เพื่อปกป้องตะวันตก แม้ว่าหลายคนจะรู้สึกไม่ดีกับแนวคิดนี้ก็ตาม

Karp แยกตัวเองจากผู้นำเทคโนโลยีร่วมสมัยด้วยความเปิดเผยเรื่องความรักชาติและการยอมรับว่าผลิตภัณฑ์ของบริษัทถูกใช้ในการปฏิบัติการทางทหาร

แนวคิดนี้กำลังได้รับการยอมรับมากขึ้นในหมู่บริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ ที่เริ่มเปิดเผยความสัมพันธ์กับวอชิงตัน ดี.ซี. แทนที่จะแกล้งทำเป็นไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล

แม้ว่า Palantir จะมีความทะเยอทะยานสูงส่ง แต่ยังไม่แน่ชัดว่าพวกเขาจะปฏิวัติอุตสาหกรรมการป้องกันและล้มล้างยักษ์ใหญ่อย่าง Lockheed Martin, Boeing หรือ Raytheon ได้หรือไม่

พวกเขายังไม่ได้พิสูจน์ว่าสามารถสร้างระบบอาวุธหลักได้เจ๋งกว่าบริษัทเหล่านี้ แต่มีความเป็นไปได้ว่า Palantir อาจเป็นตัวแทนของอนาคตในอุตสาหกรรมนี้

ความแตกต่างชัดเจนระหว่าง Palantir กับบริษัทป้องกันแบบดั้งเดิมคือการสื่อสารต่อสาธารณะ ผู้บริหารของ Lockheed Martin หรือ Raytheon แทบไม่เคยแสดงความเห็นเรื่องการเมืองโลก

Palantir กำลังทำสิ่งที่แตกต่างโดยพยายามขายตัวเองให้กับสังคมโดยรวม พวกเขาสร้างวัฒนธรรมที่บอกว่า “การทำงานกับเพนตากอนไม่ใช่ธุรกิจที่สกปรก แต่เป็นการช่วยปกป้องประเทศ”

ความสำเร็จในระยะยาวของแนวทางนี้ยังเป็นสิ่งที่ต้องติดตาม แต่สิ่งที่ชัดเจนคือ Palantir กำลังท้าทายรูปแบบการทำธุรกิจเดิมในอุตสาหกรรมการป้องกันและความมั่นคง

ในอนาคต บทบาทของบริษัทอย่าง Palantir และความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยีกับความมั่นคงจะยิ่งสำคัญ เมื่อเราเข้าสู่ยุค AI และเทคโนโลยีขั้นสูงนั่นเองครับผม

จาก ‘สาธารณรัฐ Samsung’ สู่วิกฤตครั้งใหญ่ เมื่อตระกูล Lee สั่นคลอน กับปัจจัยที่ดึงเกาหลีใต้ทั้งประเทศร่วมเสี่ยง

ข่าวใหญ่วงการเทคโนโลยีที่กำลังกระฉ่อนไปทั่วโลกตอนนี้คือการที่ Samsung ประกาศว่าบริษัทกำลังเผชิญภาวะวิกฤต! เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เพราะ Samsung ไม่ใช่แค่บริษัทธรรมดา แต่เป็นราชวงศ์ธุรกิจที่ส่งต่ออำนาจจากรุ่นสู่รุ่น

Samsung เป็นเหมือนพี่ใหญ่ที่ขับเคลื่อนเกาหลีใต้ ด้วยสัดส่วนถึง 20% ของ GDP ทั้งประเทศ มีบริษัทน้อยมากในโลกที่มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจบ้านเกิดขนาดนี้ จนมีคนล้อเรียกเกาหลีใต้ว่าเป็น “สาธารณรัฐ Samsung”

ในสายตาคนอเมริกาหรือชาติอื่นๆ อาจรู้จัก Samsung แค่เป็นแบรนด์มือถือหรืออิเล็กทรอนิกส์ แต่ในเกาหลีใต้ Samsung มีอิทธิพลไปในทุกภาคส่วนของธุรกิจ เพราะพวกเขาแฝงตัวไปแทบทุกวงการที่คุณนึกออก

บริษัทในเครือมีถึง 80 แห่ง Samsung Electronics เป็นเรือธงหลัก แต่พวกเขายังครองตลาดด้านการก่อสร้าง อสังหาฯ อาหาร การเงิน ประกันชีวิต สุขภาพ รวมถึงสร้างรถหุ้มเกราะ เรือบรรทุกน้ำมัน มีธุรกิจเสื้อผ้า ความบันเทิง และยังมีโรงพยาบาลอีกต่างหาก

ที่โคตรเจ๋งคือบริษัทยิ่งใหญ่ขนาดนี้เริ่มต้นจากการขายผักและบะหมี่แห้ง ต้นปี 2024 Samsung Electronics มีมูลค่า 400 พันล้านดอลลาร์ แต่พอถึงกรกฎาคม 2024 ความหายนะก็เกิดขึ้น

นักลงทุนต่างชาติเริ่มเทขายหุ้น Samsung จนมูลค่าหายวับไป 122 พันล้านดอลลาร์ในเวลาแค่ไม่กี่เดือน หรือเกือบครึ่งหนึ่งของมูลค่าบริษัท! การดิ่งลงเหวขนาดนี้น่าเป็นห่วงมาก โดยเฉพาะสำหรับบริษัทที่ผูกพันกับ GDP ของทั้งประเทศ

อะไรทำให้เกิดการตื่นตระหนกครั้งนี้? แม้ว่าตลาดหุ้นแค่ข่าวลือก็ทำให้หุ้นลดฮวบได้ แต่ความจริงแล้วมีมุมมืดซ่อนอยู่เบื้องหลัง Samsung ถึงขั้นปรับเปลี่ยนผู้บริหารและบังคับให้ผู้บริหารทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์เพื่อแก้วิกฤต

คำถามใหญ่คือ Samsung มีปัญหาร้ายแรงจริงหรือ? แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับ Samsung การเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร และผลกระทบที่มีต่อบริษัทระดับโลกนี้

ก่อนจะเข้าใจปัญหา เราต้องรู้ก่อนว่า Samsung ทำงานต่างจากบริษัทตะวันตก Samsung เป็น “chaebol” (แชโบล) หรือกลุ่มธุรกิจครอบครัวที่ส่งต่ออำนาจจากรุ่นสู่รุ่น คล้ายกับถ้า Zuckerberg จะมอบอาณาจักรให้ลูก

ตระกูล Lee ของ Samsung เป็นตระกูลที่ทรงอิทธิพลสุดในเกาหลี Miky Lee ผู้อำนวยการสร้างหนังดัง “Parasite” ก็เป็นทายาท Samsung และมีบทบาทสำคัญในการผลักดันวัฒนธรรมเกาหลีสู่กระแสหลัก

การเป็นบริษัทแชโบลทำให้อำนาจส่วนใหญ่อยู่ในมือตระกูล Lee ผู้ก่อตั้ง ซึ่งสร้างความท้าทายมากมาย มีคดีทุจริตและคดีความหลายครั้งที่ทำให้ภาพลักษณ์ Samsung ไม่ดีนัก

Jeffrey Kane ผู้เขียนหนังสือ “Samsung Rising” เคยกล่าวว่า “ผู้นำ Samsung ทุกคนเคยขึ้นศาลมาแล้ว ไม่ว่าจะถูกกล่าวหา ถูกตัดสินว่าผิด หรือติดคุกด้วยข้อหาหลบเลี่ยงภาษี ติดสินบน ยักยอกเงิน หรือให้การเท็จ”

คดีใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งเกิดขึ้นในปี 2017 เมื่อ Lee Jae-yong ทายาทของบริษัทเข้าไปพัวพันกับคดีติดสินบน Lee ถูกกล่าวหาว่าเสนอเงิน 38 ล้านดอลลาร์ให้บริษัท 4 แห่งที่บริหารโดยเพื่อนของประธานาธิบดี

หนึ่งในบริษัทนั้นอยู่ในเยอรมนีและให้บริการฝึกขี่ม้าแก่ลูกสาวของเพื่อนประธานาธิบดี เพื่อแลกกับการช่วยเหลือจากรัฐบาลในการควบรวมกิจการที่จะให้อำนาจควบคุม Samsung มากขึ้น

คดีนี้สั่นคลอนความเชื่อมั่นของประชาชนและนักลงทุน แต่ภายในปี 2022 เขาได้รับการปล่อยตัวและกลับมาเป็นประธานบริหาร Samsung Electronics อีกครั้ง เพราะรัฐบาลเกาหลีบอกว่า Samsung สำคัญเกินกว่าที่รัฐบาลจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว

Samsung ยังมีชื่อเสียงในเรื่องลำดับชั้นการบริหารที่เข้มงวด เมื่อธุรกิจไปได้สวย ระบบนี้ก็เข้าท่า แต่คนวงในบอกว่าเป็นวัฒนธรรมที่ขัดขวางนวัตกรรมและทำให้ปรับตัวตามตลาดที่เปลี่ยนแปลงเร็วได้ยาก

เมื่อพูดถึงการสูญเสียมูลค่า 122 พันล้านดอลลาร์ เราจำเป็นต้องแยกให้ชัดว่าเป็น Samsung Electronics โดยเฉพาะ มีสองแผนกหลักคือ แผนกประสบการณ์อุปกรณ์ (สมาร์ทโฟน ทีวี เครื่องใช้ไฟฟ้า) และแผนกโซลูชันอุปกรณ์ (ชิป จอแสดงผล)

เมื่อ Samsung Electronics ดิ่งลง 32% จากจุดสูงสุด นี่ดูเหมือนจะเป็นปัญหาใหญ่กว่าแค่ซีอีโอพลาด สาเหตุหลักมี 3 อย่าง: พลาดโอกาสด้าน AI, เสียเปรียบด้านชิป และการเปลี่ยนแปลงผู้นำที่วุ่นวาย

1. พลาดขบวนรถไฟ AI

เมื่อ AI แบบ generative บูม เกิดการแย่งชิงโอกาสทางธุรกิจอย่างบ้าคลั่ง Microsoft, Google และโดยเฉพาะ Nvidia ชิงพื้นที่อย่างเต็มตัว Nvidia ที่ผลิต GPU สำหรับ AI มีมูลค่าพุ่งทะยานเกิน 1 ล้านล้านดอลลาร์

แต่ Samsung กลับยืนมองอยู่ข้างสนาม พวกเขาล้าหลังในการผลิตหน่วยความจำแบนด์วิธสูง (HBM) ซึ่งเป็นชิปพิเศษที่ใช้ในระบบกราฟิกระดับสูงอย่าง Nvidia H100 ที่ขับเคลื่อนเทคโนโลยี AI

ในดีลสุด Exclusive Samsung ควรผลิตชิปหน่วยความจำพิเศษให้ Nvidia แต่กลับทำพลาด ชิปไม่ผ่านมาตรฐานด้านความร้อนและประสิทธิภาพพลังงานที่ Nvidia ต้องการ

ความล้มเหลวครั้งนี้มีราคาแพงมาก คู่แข่งอย่าง SK Hynix ฉวยโอกาสทองและตอนนี้กลายเป็นผู้จัดหาชิปเหล่านี้ให้ Nvidia แต่เพียงผู้เดียว

Samsung รู้ว่าพวกเขาพลาดท่า จึงออกมาขอโทษที่ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายด้านหน่วยความจำ AI ประสิทธิภาพสูง นักลงทุนยิ่งผิดหวังเมื่อกำไรไตรมาสล่าสุดต่ำกว่าคาดถึง 900 ล้านดอลลาร์

แม้จะทำกำไรได้ 6.78 พันล้านดอลลาร์ แต่การพลาดเป้าเกือบพันล้านไม่ใช่เรื่องน่ายินดี Samsung เข้าสู่โหมดตื่นตระหนก รองประธาน Kyung Kye-hyun ยอมรับว่าความล้มเหลวสร้างความกังวลเกี่ยวกับความสามารถทางเทคโนโลยีและทิศทางในอนาคต

วิกฤตนี้ทำให้บริษัทต้องจัดหนักสั่งให้ผู้บริหารทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์เพื่อกู้สถานการณ์ เรียกได้ว่าเป็นความพยายามแบบสุดทางเลยทีเดียว

2. สงครามชิปที่แพ้ราบคาบ

นอกจาก AI แล้ว ธุรกิจชิปของ Samsung ยังเผชิญความท้าทายในตลาดชิปสมาร์ทโฟน ชิป Exynos เป็นจุดอ่อนมานาน มีปัญหาทั้งความร้อน ประสิทธิภาพแบตเตอรี่ และประสิทธิภาพโดยรวมเมื่อเทียบกับชิป Snapdragon ของ Qualcomm

Samsung เองยังไม่เชื่อมั่นในชิป Exynos จนต้องใช้ Snapdragon แทนในสมาร์ทโฟนระดับเรือธง Galaxy ที่ขายในตลาดสำคัญ โดยเฉพาะอเมริกาเหนือ

คู่แข่งใหญ่ของ Samsung คือ TSMC ยักษ์ใหญ่จากไต้หวัน ธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ของ Samsung มียอดขายเกือบ 60 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 แต่ยังตามหลัง TSMC ที่ผลิตชิปได้ดีกว่า

TSMC ผลิตชิปที่มีประสิทธิภาพมากกว่า ใช้พลังงานน้อยกว่า และมีข้อบกพร่องน้อยกว่า ทำให้ได้สัญญากับลูกค้ารายใหญ่อย่าง Apple, Nvidia และ AMD

ในไตรมาสแรกปี 2024 ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ 10 อันดับแรกมีรายได้รวม 29.2 พันล้านดอลลาร์ โดย TSMC ครองส่วนแบ่งตลาดถึง 61.7% ขณะที่ Samsung มีเพียง 11% เท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้น Samsung ยังเผชิญการแข่งขันจากบริษัทจีนที่กำลังเติบโตแบบก้าวกระโดด ในภาคส่วนที่ไม่ถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตร เช่น ชิปรุ่นเก่าที่ใช้ในรถยนต์ เครื่องบิน เครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

3. ผู้นำวุ่นวาย บริษัทสั่นคลอน

Samsung พยายามแก้ปัญหาภายในด้วยการปรับเปลี่ยนผู้นำ ในเดือนพฤษภาคม 2024 ปลด Kyung Kye-hyun จากตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายชิป และนำ Jun-young Hong มาดูแลธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์หลัก

การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นก่อนที่นักลงทุนจะเทขายหุ้นในเดือนกรกฎาคม แสดงให้เห็นว่าผู้บริหารรู้ว่าบริษัทกำลังมีปัญหาและต้องเปลี่ยนแปลง แต่การปรับเปลี่ยนผู้นำนี้ไม่ใช่แค่เรื่องมุมมองใหม่

มันเป็นการตอบสนองต่อแรงกดดันที่จะแก้ไขประวัติศาสตร์อันยาวนานของการบริหารงานภายในที่ผิดพลาด บริษัทผ่านการเปลี่ยนแปลงผู้นำมาหลายครั้ง มีการแต่งตั้งซีอีโอใหม่ถึง 3 คนในปี 2021 ในแผนกสำคัญ

ความถี่ของการเปลี่ยนแปลงผู้นำบ่งชี้ถึงความไม่มั่นคงและอาจบ่งบอกว่าขาดกลยุทธ์ระยะยาวที่ชัดเจน การปรับเปลี่ยนล่าสุดเป็นเพียงความพยายามอีกครั้งที่จะฟื้นฟูผู้นำ แต่ยังไม่มีผลลัพธ์ที่ชัดเจน

ความวุ่นวายภายในนี้อาจเพิ่มการรับรู้ถึงความไม่มั่นคงของ Samsung ให้มากขึ้น ปัญหาเหล่านี้ทั้งการหยุดชะงักด้าน AI ความยากลำบากด้านชิป และความวุ่นวายในบริษัทหลายปีสร้างพายุที่สมบูรณ์แบบที่ทำลายหุ้นของ Samsung ให้เข้าสู่ตลาดหมี

ความหวังและความพยายามกู้วิกฤต

Samsung ทำอะไรได้บ้างเพื่อพลิกสถานการณ์? อย่างแรกคือนำ Junyang Hyan มานำแผนกเซมิคอนดักเตอร์ Jun เคยเป็นหัวหน้าแผนกแบตเตอรี่และโซลูชันพลังงานของ Samsung และมีบทบาทสำคัญในธุรกิจหน่วยความจำ

ตอนนี้เขามีภารกิจในการนำพาแผนกเซมิคอนดักเตอร์ผ่านวิกฤต ความหวังคือประสบการณ์ของเขาจะช่วยให้แผนกสำคัญนี้มั่นคงขึ้น โดยเฉพาะเมื่อความต้องการทั่วโลกผันผวน

พวกเขายังตัดสินใจลดต้นทุนอย่างหนัก มีแผนเลิกจ้างทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และออสเตรเลียที่อาจกระทบถึง 10% ของงานในภูมิภาค เป็นการตัดสินใจที่โหดเหี้ยม แต่จำเป็นเพื่อรักษาเสถียรภาพของบริษัท

มีพนักงานต่างประเทศ 15,000 คน ซึ่งเป็นมากกว่าครึ่งของพนักงาน Samsung ทั้งหมด แผนกโซลูชันอุปกรณ์ซึ่งดูแลหน่วยความจำและระบบรายงานกำไรลดลง 40% จากไตรมาสก่อน

ด้วยเหตุนี้ Samsung จึงวางแผนลดการผลิตลง 50% ภายในสิ้นปี 2024 เพื่อปรับตัวตามความต้องการที่ลดลงจากลูกค้าหลักในสหรัฐฯ และจีน พร้อมปรับกลยุทธ์การลงทุนโดยตัดโครงการรองเพื่อมุ่งเน้นธุรกิจหลักอย่างเซมิคอนดักเตอร์และเทคโนโลยีจอแสดงผล

มองอนาคต: วิกฤตหรือโอกาส?

แม้มูลค่าตลาดหายไป 122 พันล้านดอลลาร์และผู้บริหารระดับสูงกำลังปรับตัวอย่างหนัก แต่ทุกอย่างอาจไม่ได้มืดมนขนาดนั้น จุดแข็งหลักของ Samsung คือการมีธุรกิจที่หลากหลาย

แม้บางภาคส่วนจะได้รับผลกระทบ แต่ภาคส่วนอื่นๆ ยังช่วยพยุงบริษัทไว้ได้ ในกรณีนี้ ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ Samsung Electronics และเมื่อดูผลประกอบการล่าสุด เป็นภาพที่ผสมผสาน

รายได้อยู่ที่ 59.3 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 7% จากไตรมาสก่อน แต่กำไรจากการดำเนินงานลดลง 6.9 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากค่าใช้จ่ายครั้งเดียวรวมถึงเงินจูงใจในแผนกเซมิคอนดักเตอร์

มีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์อยู่บ้าง เช่น ยอดขายสมาร์ทโฟนและเทคโนโลยีจอแสดงผล โดยสรุปแล้ว แม้ Samsung Electronics จะเผชิญความท้าทาย โดยเฉพาะในด้านชิปหน่วยความจำและเซมิคอนดักเตอร์ แต่ไม่ได้เลวร้ายทั้งหมด

การเทขายหุ้นสะท้อนถึงการขาดความเชื่อมั่นในผู้นำและทิศทางของบริษัทมากกว่า ตลาดหุ้นมองไปที่อนาคตไม่ใช่สถานการณ์ปัจจุบัน

แม้จะไม่ใช่วิกฤตที่จะทำให้บริษัทล่มสลาย แต่การสูญเสียมูลค่า 122 พันล้านดอลลาร์ในเวลาอันสั้นเป็นความเสียหายครั้งใหญ่ และหากผู้นำไม่สามารถนำพาบริษัทไปในทิศทางที่ถูกต้อง อาจเสี่ยงต่อความตื่นตระหนกครั้งใหม่

ตลาดหุ้นมีความผันผวนง่าย ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยทั้งการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจโลก ความรู้สึกของนักลงทุน และเหตุการณ์ระยะสั้น แม้แต่แนวคิด “ใหญ่เกินกว่าจะล้ม” ก็ไม่ได้เป็นจริงเสมอไป

ต้องรอดูว่า Samsung จะฝ่าฟันต่อสู้กับวิกฤตครั้งนี้อย่างไร จะกลับมายิ่งใหญ่เหมือนเดิมหรือจะตกต่ำลงไปอีก ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการตัดสินใจในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ และวิธีที่พวกเขาจะรับมือกับความท้าทายในยุค AI ที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลกเทคโนโลยีอย่างถึงรากถึงโคน

ทำไม Elon Musk ถึงไม่เอา SpaceX เข้าตลาดหุ้น? ล้มเหลว 3 ครั้ง สำเร็จครั้งเดียว เมื่อบริษัทเอกชนเปลี่ยนเกมอวกาศทั้งหมด

ผมว่าหลายคนอาจจะสงสัยว่าบริษัทเอกชนที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกตอนนี้คือใคร? ไม่ใช่ Apple หรือ Microsoft แต่เป็น SpaceX บริษัทอวกาศของ Elon Musk ที่มีมูลค่าพุ่งทะยานถึง 350 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024

มูลค่าของ SpaceX สูงกว่า GDP ของประเทศฟินแลนด์หรือชิลีซะอีก แถมเรื่องที่น่าทึ่งคือนักลงทุนแทบไม่มีใครยอมขายหุ้นเลย พวกเขามั่นใจว่ามูลค่าจะพุ่งกระฉูดขึ้นไปอีก

ใครจะไปคิดว่าบริษัทที่เกือบล้มละลายเมื่อยี่สิบปีก่อน หลังจากความล้มเหลวในการปล่อยจรวดติดๆ กันหลายครั้ง จะกลายเป็นยักษ์ใหญ่แห่งวงการอวกาศที่ NASA ต้องพึ่งพา

เรื่องราวเริ่มต้นในวันหยุดสุดสัปดาห์วันแรงงานปี 2001 เมื่อ Elon Musk วัย 30 ปี เข้าเว็บไซต์ของ NASA เพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับแผนการเดินทางไปดาวอังคาร

Musk คิดว่าน่าจะมีแผนชัดเจนอยู่แล้ว เพราะมนุษย์ลงจอดบนดวงจันทร์ตั้งแต่ปี 1969 แต่เขาต้องอึ้งเมื่อพบว่าไม่มีแผนดังกล่าวเลย

การค้นหาต่อไปทำให้เขาพบข้อมูลเกี่ยวกับงานดินเนอร์ใน Silicon Valley ที่จัดโดยองค์กรชื่อ The Mars Society Musk และภรรยา Justine จึงซื้อตั๋วราคา 500 ดอลลาร์

นอกจากนี้ Musk ยังเขียนเช็คบริจาค 5,000 ดอลลาร์ให้กับองค์กร ซึ่งดึงดูดความสนใจของประธาน Robert Zubrin ที่จัดให้เขานั่งข้างผู้กำกับชื่อดัง James Cameron

ที่งานนี้ พวกเขาพูดคุยถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการตั้งอาณานิคมบนดาวอังคาร และความเสี่ยงต่อการดำรงอยู่ของมนุษยชาติหากไม่ดำเนินการ

นี่เป็นจุดพีคในชีวิตของ Musk เขาได้พบภารกิจที่ยิ่งใหญ่กว่าธุรกิจก่อนหน้านี้อย่าง PayPal ที่เขาร่วมก่อตั้ง ราวกับมีเวทมนตร์มาดลใจให้เขาเริ่มต้นสิ่งใหม่

เมื่อเขาแบ่งปันแผนการตั้งอาณานิคมบนดาวอังคารกับเพื่อนร่วมงานเก่า Reid Hoffman ในงานศิษย์เก่า PayPal คำถามแรกที่ได้รับคือ “นี่มันเป็นธุรกิจได้อย่างไร?”

แต่สำหรับ Musk แล้ว มันไม่เคยเกี่ยวกับเรื่องของเงิน แต่เกี่ยวกับเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่า เขามองว่าการตั้งอาณานิคมบนดาวอังคารมีความสำคัญต่อการอยู่รอดของมนุษยชาติ

Musk เคยกล่าวว่า “ดาวอังคารเป็นการมุ่งสู่อนาคตที่น่าตื่นเต้น ชีวิตไม่สามารถเป็นแค่การแก้ปัญหา ต้องมีสิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจให้คุณ”

แผนแรกของ Musk นั้นฟังดูง่ายๆ – ส่งหนูไปดาวอังคาร แต่ถ้าหนูไม่รอด? มันไม่ใช่ภารกิจที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้คนมากมายเท่าไรนัก

แผนที่สองเจ๋งกว่า คือการส่งเรือนกระจกขนาดเล็กไปดาวอังคารเพื่อแสดงให้เห็นว่าชีวิตสามารถเติบโตบนดาวเคราะห์อื่นได้ เขาประมาณการค่าใช้จ่ายที่ 30 ล้านดอลลาร์

จากการขาย PayPal ให้ eBay ทำให้ Musk ได้รับเงินมากโข 180 ล้านดอลลาร์ เงินก้อนนี้จะช่วยให้เขาเริ่มต้นธุรกิจอวกาศได้

Musk บินไปมอสโกเพื่อซื้อจรวดรัสเซีย แต่การเจรจากลับไม่ราบรื่น เมื่อชาวรัสเซียขึ้นราคาจรวดจาก 18 ล้านดอลลาร์เป็น 21 ล้านดอลลาร์ต่อลำ

พวกเขายังทะลึ่งถามว่า “โอ้ เด็กน้อย คุณไม่มีเงินหรือ?” นี่เป็นจุดที่ Musk ตะหงิดใจและตัดสินใจว่าถ้าซื้อจรวดไม่ได้ในราคาที่สมเหตุสมผล เขาจะสร้างของเขาเอง

Musk เริ่มพัฒนาสิ่งที่เขาเรียกว่า “ดัชนีคนโง่” (idiot index) วิธีวัดความไม่มีประสิทธิภาพโดยเปรียบเทียบต้นทุนของผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปกับต้นทุนวัตถุดิบ

เขาพบว่าจรวดสำเร็จรูปมีราคาสูงกว่าวัตถุดิบถึง 50 เท่า เขาตระหนักว่าสามารถสร้างจรวดที่มีประสิทธิภาพและราคาถูกกว่ามากได้

เพื่อนสนิทพยายามพูดให้เขาล้มเลิกความคิดบ้า ๆ ที่จะเริ่มธุรกิจจรวด คนหนึ่งถึงกับรวบรวมฟุตเทจความหายนะของจรวดมาให้ดู

แต่ Musk ยังคงมุ่งมั่น เขาบอกว่าให้โอกาสตัวเองประสบความสำเร็จเพียง 10% แต่ก็เต็มใจที่จะเสี่ยง “มีบางครั้งที่บางสิ่งมีความสำคัญมากพอจนคุณต้องทำมันแม้จะมีความกลัว” Musk กล่าว

ในเดือนพฤษภาคม 2002 Musk ก่อตั้ง Space Exploration Technologies หรือ SpaceX ขึ้นในโกดังเก่าใน Southern California พื้นที่ซึ่งมีวิศวกรอวกาศฝีมือเทพอยู่มากมาย

เป้าหมายแรกคือการปล่อยจรวดลำแรกภายในเดือนกันยายน 2003 และส่งภารกิจไร้คนขับไปดาวอังคารภายในปี 2010 เป็นกรอบเวลาที่ดูเพ้อฝันสุดๆ

ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ Musk และภรรยา Justine ต้องเผชิญกับโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ เมื่อลูกชายคนแรกของพวกเขา Nevada เสียชีวิตเมื่ออายุเพียง 10 สัปดาห์

Maye มารดาของ Musk เล่าว่า “เขาร้องไห้เหมือนคนบ้า” มันเป็นช่วงเวลาที่เจ็บปวดรวดร้าวอย่างยิ่ง หลังจากนั้น Musk ทุ่มเทให้กับงานมากขึ้นเพื่อรับมือกับความสูญเสีย

การตัดสินใจสำคัญของ Musk คือการจ้าง Tom Mueller วิศวกรผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องยนต์จาก TRW มาพัฒนาเครื่องยนต์ Merlin อันเป็นหัวใจของจรวด Falcon

เมื่อ Mueller กำหนดเวลาสำหรับการสร้างเครื่องยนต์ Musk ได้ยืนยันให้ลดเวลาลงครึ่งหนึ่ง แม้ Mueller จะคัดค้านว่าเป็นไปไม่ได้

Musk ยืนกรานว่า “เมื่อฉันขออะไร คุณต้องให้มันกับฉัน” แม้ว่าเครื่องยนต์จะไม่เสร็จตามกำหนด แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกเร่งด่วนของ Musk ที่จะไปถึงดาวอังคาร

อีกบุคคลสำคัญคือ Gwynne Shotwell ผู้เข้าร่วมบริษัทในตำแหน่งรองประธานฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บุคลิกที่เด็ดขาดแต่เป็นกันเองของเธอสร้างความสมดุลกับ Musk

Shotwell ช่วยให้ SpaceX ได้รับสัญญาสำคัญแรกกับกระทรวงกลาโหมในปี 2003 มูลค่า 3.5 ล้านดอลลาร์ เพื่อปล่อยดาวเทียมขนาดเล็ก

ถนนสู่ความสำเร็จของ SpaceX ไม่ได้ปูด้วยกลีบกุหลาบ แต่เต็มไปด้วยขวากหนาม การปล่อยจรวด Falcon 1 ครั้งแรกในวันที่ 24 มีนาคม 2006 จบลงด้วยความเละเทะ

เพียงไม่กี่วินาทีหลังจากทะยานขึ้น เกิดไฟไหม้ที่เครื่องยนต์ Merlin จากการรั่วไหลของน้ำมันผ่านนัตขนาดเล็กที่ยึดท่อน้ำมัน ภารกิจจบลงในไม่ถึงหนึ่งนาที

การปล่อยครั้งที่สองในเดือนมีนาคม 2007 ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่าอีกครั้ง เมื่อขั้นที่สองของจรวดเริ่มหมุนควบคุมไม่ได้เนื่องจากเชื้อเพลิงกระฉอก

ชะตาชีวิตของ SpaceX แขวนอยู่บนเส้นด้ายในช่วงการปล่อยครั้งที่สามในเดือนสิงหาคม 2008 เมื่อเงินกำลังจะหมด Musk บอกทีมว่าพวกเขามีเงินพอสำหรับการปล่อยอีกเพียงครั้งเดียว

ในขณะเดียวกัน Tesla ก็กำลังดิ่งลงเหว และ Musk เองก็กำลังผ่านการหย่าร้างที่ขมขื่น เรียกได้ว่าเป็นช่วงที่ชีวิตของเขากำลังวิกฤตเลยทีเดียว

การปล่อยครั้งที่สามดูเหมือนจะไปได้สวย จนกระทั่งขั้นแรกของจรวดชนกับขั้นที่สอง ทำให้ทั้งคู่ตกกลับสู่โลก สาเหตุเกิดจากระบบระบายความร้อนที่ออกแบบใหม่

ความผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำให้พนักงานหลายคนหมดกำลังใจ แต่ Musk ไม่ยอมแพ้ เขาบอกทีมว่า “สำหรับผม ผมจะไม่ยอมแพ้และผมหมายถึงไม่มีวันยอมแพ้”

“ถ้าคุณยังอยู่กับผม เราจะชนะ” คำพูดนี้สร้างแรงบันดาลใจให้ทีมงานลุกขึ้นสู้ต่อไป ในไม่กี่นาทีพลังงานของทั้งอาคารก็เปลี่ยนจากความสิ้นหวังเป็นความมุ่งมั่นฝ่าฟันต่อสู้

โชคดีที่ Peter Thiel และ Founders Fund ตัดสินใจอัดฉีดเงิน 20 ล้านดอลลาร์ หลังจากการปล่อยครั้งที่สามล้มเหลว ทำให้ SpaceX มีทุนสำหรับความพยายามครั้งที่สี่

ในวันที่ 28 กันยายน 2008 การปล่อยจรวด Falcon 1 ครั้งที่สี่ประสบความสำเร็จ ทำให้ SpaceX กลายเป็นบริษัทเอกชนรายแรกที่ส่งจรวดเข้าสู่วงโคจรโลกได้

Musk บอกกับพนักงานด้วยความภูมิใจว่า “นี่เป็นเพียงก้าวแรกของอีกหลายก้าว” เป็นคำพูดที่แสดงถึงวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของเขา

ความเจ๋งของ SpaceX ไม่ได้หยุดแค่นั้น สามเดือนต่อมา NASA มอบสัญญามูลค่า 1.6 พันล้านดอลลาร์ให้ SpaceX เพื่อเติมเสบียงให้สถานีอวกาศนานาชาติ

Musk ตื่นเต้นมากจนเปลี่ยนรหัสผ่านคอมพิวเตอร์เป็น “ilovenasa” สัญญานี้ส่งให้ SpaceX พัฒนาจรวด Falcon 9 ที่ใหญ่และทรงพลังกว่าเดิมมาก

ความสำเร็จของ SpaceX มาจากความสามารถในการสั่นคลอนอุตสาหกรรมอวกาศด้วยการลดต้นทุนอย่างมหาศาล พวกเขาผลิตชิ้นส่วนประมาณ 80% ภายในบริษัทเอง

Musk และทีมรังสรรค์วิธีประหยัดต้นทุนที่สร้างสรรค์แบบสุดมัน เช่น ใช้สลักประตูห้องน้ำที่ดัดแปลงแล้วแทนสลักราคาแพงของ NASA

วิธีนี้ลดค่าใช้จ่ายจาก 1,500 ดอลลาร์ต่อชิ้นเหลือเพียง 30 ดอลลาร์! เป็นตัวอย่างของการคิดนอกกรอบแบบที่บริษัทอวกาศดั้งเดิมไม่เคยทำ

อีกตัวอย่างคือการใช้เครื่องปรับอากาศบ้านราคา 6,000 ดอลลาร์ที่ดัดแปลงแล้ว แทนระบบระบายความร้อนมาตรฐานที่มีราคา 3 ล้านดอลลาร์

นวัตกรรมและการประหยัดต้นทุนทำให้ Falcon 9 มีค่าใช้จ่ายในการปล่อยประมาณ 50 ล้านดอลลาร์ต่อครั้ง เทียบกับกระสวยอวกาศที่แพงถึง 1.5 พันล้านดอลลาร์ต่อครั้ง

ประธานาธิบดี Obama เล็งเห็นประสิทธิภาพนี้ จึงตัดสินใจยุติแผนการของ NASA สำหรับผู้สืบทอดกระสวยอวกาศ Constellation และหันไปสนับสนุนบริษัทเอกชนแทน

วิสัยทัศน์สุดล้ำของ Musk คือการสร้าง Starship จรวดที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ทั้งหมด ซึ่งเป็นศูนย์กลางของภารกิจไปดาวอังคาร

Starship เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ SpaceX มีมูลค่าพุ่งทะยานสูงที่สุดในโลก บริษัทที่เป็นเนื้อหอมที่นักลงทุนหมายปอง แต่ Musk ไม่มีแผนที่จะนำเข้าตลาดหุ้นในเร็วๆ นี้

เขาอธิบายว่า “ดาวอังคารต้องใช้การพัฒนาเทคโนโลยีที่ซับซ้อนเป็นเวลากว่าทศวรรษ แต่ตลาดสนใจแค่ 3 เดือนข้างหน้า ทำให้เกิดลำดับความสำคัญที่ขัดแย้งกัน”

แต่ Starlink บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมของ SpaceX อาจมีโอกาสเข้าตลาดหุ้น บริการนี้เติบโตดังกระฉูดจาก 60,000 รายในปี 2021 เป็น 5 ล้านรายในปี 2024

Musk บอกว่าอาจนำ Starlink เข้าตลาดหุ้น “ในอีกหลายปีข้างหน้าเมื่อการเติบโตของรายได้ราบรื่นและคาดการณ์ได้” เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับภารกิจดาวอังคาร

จากบริษัทที่เกือบสิ้นไร้ไม้ตอกเมื่อยี่สิบปีก่อน SpaceX ได้ก่อร่างสร้างตัวจนกลายเป็นบริษัทเอกชนที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก

วิสัยทัศน์อันกว้างไกลของ Elon Musk ความมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้ต่อความล้มเหลว และนวัตกรรมที่ลดต้นทุนอย่างมหาศาล ทำให้ SpaceX เป็นที่เชิดหน้าชูตาในวงการอวกาศ

SpaceX ไม่เพียงปฏิวัติอุตสาหกรรมอวกาศ แต่ยังนำพามนุษยชาติใกล้ความฝันในการเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถอาศัยอยู่ได้บนหลายดาวเคราะห์

ความสำเร็จของ SpaceX ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของกำไรหรือมูลค่าตลาด แต่เป็นก้าวสำคัญของมนุษยชาติในการก้าวข้ามขีดจำกัดและมุ่งสู่การสำรวจที่ไม่เคยมีมาก่อน

ดังที่ Musk เคยกล่าวไว้ “ชีวิตต้องมีสิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจ” และสำหรับเขาและทีมงาน SpaceX นั่นคือการทำให้มนุษย์กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถเดินทางระหว่างดาวเคราะห์ได้

เรื่องราวของ SpaceX สอนเราว่าแม้จะล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตราบใดที่คุณไม่ยอมแพ้และมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน คุณสามารถเปลี่ยนความฝันลมๆ แล้งๆ ให้กลายเป็นความจริงได้