ไขปริศนาดีลสะท้านโลก NVIDIA ซื้อ Intel หรือซื้อ “เกราะกำบัง” ทางการเมือง?

ในโลกของธุรกิจที่เต็มไปด้วยการแข่งขันอันโหดเหี้ยม การยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือคู่แข่งที่กำลังอ่อนแอ ถือเป็นเรื่องที่แทบจะไม่มีใครทำกัน

แต่เรื่องที่ไม่น่าเชื่อนี้ก็เกิดขึ้นแล้ว เมื่อ NVIDIA บริษัทชิปที่ร้อนแรงที่สุดในโลกเวลานี้ ประกาศทุ่มเงินมหาศาลถึง 5 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 180,000 ล้านบาท เข้าลงทุนใน Intel ยักษ์ใหญ่ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นราชา แต่ตอนนี้กำลังหลงทาง

ดีลนี้สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนในวงการเทคโนโลยี เพราะมันดูขัดกับตรรกะทางธุรกิจทุกอย่าง

NVIDIA ที่กำลังวิ่งนำอยู่หัวแถว จะหันกลับไปฉุดคนที่กำลังจะล้มอย่าง Intel ขึ้นมาทำไม?

เรื่องนี้ไม่ใช่การกุศล และมันซับซ้อนกว่าที่เราเห็น นี่คือเกมกระดานชิ้นใหม่ ที่มีอนาคตของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เป็นเดิมพัน

ภาพที่ยืนยันว่าดีลนี้ไม่ธรรมดา คือภาพของ Jensen Huang ซีอีโอของ NVIDIA ในงานแถลงข่าว

ชายคนนี้มีภาพจำคือเสื้อแจ็คเก็ตหนังสีดำ ที่เขาสวมใส่แทบจะทุกงานจนเป็นเอกลักษณ์ แต่วันนี้ เขากลับสวมสูทเต็มยศ เคียงข้าง Lip-Bu Tan ซีอีโอของ Intel

การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ นี้ คือสัญญาณที่บอกว่านี่คือเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์

ลองนึกภาพตามนะครับ ฝั่งหนึ่งคือ NVIDIA ราชาองค์ใหม่แห่งโลก AI ชิปของพวกเขาคือหัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกแทบทุกอย่างในปัจจุบัน

ส่วนอีกฝั่งคือ Intel อดีตจักรพรรดิแห่งโลก PC ผู้สร้างมาตรฐานให้วงการคอมพิวเตอร์มาหลายทศวรรษ แต่ในช่วงสิบปีหลัง พวกเขากลับเดินสะดุดครั้งแล้วครั้งเล่า จนสูญเสียความเป็นผู้นำไป

ภาพที่เกิดขึ้นจึงเป็นการจับมือกันระหว่าง “อดีต” และ “ปัจจุบัน” ของโลกเทคโนโลยี

คำถามสำคัญที่ทุกคนอยากรู้คำตอบก็คือ เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมราชาองค์ปัจจุบันต้องหันไปพยุงอดีตราชาที่กำลังโรยรา นี่คือแผนการอะไรซ่อนอยู่กันแน่

เพื่อจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด เราต้องย้อนกลับไปดูบาดแผลในอดีตของ Intel และเกมการเมืองที่ NVIDIA กำลังเผชิญอยู่

เรื่องราวของ Intel ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา คือกรณีศึกษาชั้นดีของคำว่า “ต้นทุนของการพลาดโอกาส”

ย้อนกลับไปในยุคที่ Intel ยิ่งใหญ่เกรียงไกร พวกเขาคือผู้กำหนดทุกอย่างด้วยสโลแกน “Intel Inside” ที่ทุกคนคุ้นหู และเป็นผู้ขับเคลื่อนกฎของ Moore (Moore’s Law) ที่ว่าคอมพิวเตอร์จะแรงขึ้นสองเท่าในทุกๆ สองปี

แต่ความผิดพลาดครั้งประวัติศาสตร์ก็เกิดขึ้น เมื่อ Steve Jobs ติดต่อ Intel เพื่อให้ผลิตชิปสำหรับโทรศัพท์รุ่นแรกที่ชื่อว่า iPhone

ในเวลานั้น ผู้บริหารของ Intel ปฏิเสธโอกาสนั้นไป เพราะมองว่ากำไรต่อหน่วยมันน้อยเกินไป และไม่เชื่อว่าโทรศัพท์หน้าตาแปลกๆ นี้จะขายได้ดี

นั่นคือการตัดสินใจที่เปลี่ยนโลกไปตลอดกาล เพราะมันทำให้ Intel ตกขบวนรถไฟที่ชื่อว่า “สมาร์ทโฟน” และเปิดประตูให้สถาปัตยกรรมของ Arm เข้ามาครองโลกมือถือแทน

เมื่อหมดยุค PC และโลกเข้าสู่ยุค Mobile เต็มตัว Intel ก็เริ่มสูญเสียความสำคัญลงไป

เท่านั้นยังไม่พอ ในตลาด CPU ที่เป็นเหมือนบ้านของตัวเองแท้ๆ พวกเขาก็เริ่มถูกคู่แข่งตลอดกาลอย่าง AMD แซงหน้าไปอย่างเจ็บปวด

AMD ภายใต้การนำของซีอีโอหญิงแกร่งอย่าง Lisa Su ได้สร้างนวัตกรรมที่เรียกว่า Chiplets ซึ่งเป็นการนำชิปเล็กๆ หลายตัวมาประกอบกันเหมือนตัวต่อเลโก้

แนวคิดนี้ทำให้ชิปของ AMD มีประสิทธิภาพสูงขึ้นในต้นทุนที่ต่ำลง จนสามารถเอาชนะชิปของ Intel ได้ในหลายๆ การทดสอบ และแย่งส่วนแบ่งการตลาดไปอย่างต่อเนื่อง

ซ้ำร้าย เทคโนโลยีการผลิตชิปของ Intel ก็เริ่มล้าหลังกว่าคู่แข่งอย่าง TSMC จากไต้หวัน ซึ่งเป็นบริษัทที่รับจ้างผลิตชิปให้กับทั้ง Apple, AMD และแม้แต่ NVIDIA เอง

เรียกได้ว่า Intel กำลังเผชิญกับวิกฤติรอบด้าน ทั้งเสียตลาดเดิม, เข้าตลาดใหม่ไม่ทัน และเทคโนโลยีการผลิตก็ตามหลังคู่แข่ง

ดังนั้น การที่ NVIDIA ยื่นมือเข้ามาพร้อมเงินทุนก้อนมหึมา มันจึงเป็นมากกว่าแค่เรื่องเงิน

แต่มันคือการส่งสัญญาณไปยังทั่วโลกว่า Intel ยังไม่ตาย และยังมีอนาคต มันคือยาชุบชีวิตที่ Lip-Bu Tan กำลังต้องการมากที่สุด

แล้วฝั่ง NVIDIA ล่ะ? พวกเขากำลังอยู่บนจุดสูงสุด ทุกอย่างดูเหมือนจะสมบูรณ์แบบ แล้วทำไมต้องมาเสี่ยงกับ Intel?

คำตอบก็คือ ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของ NVIDIA กำลังสร้างจุดอ่อนที่อันตรายอย่างยิ่งให้กับตัวเอง

จุดอ่อนแรกคือ “ความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทาน” ชิป AI ที่ล้ำสมัยทั้งหมดของ NVIDIA ไม่ได้ผลิตเอง แต่จ้าง TSMC ที่ไต้หวันผลิตให้ทั้งหมด

มันหมายความว่าชะตากรรมของบริษัทที่ร้อนแรงที่สุดในโลก ถูกฝากไว้กับโรงงานบนเกาะเล็กๆ ที่เป็นจุดเปราะบางทางภูมิรัฐศาสตร์มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

นี่คือความเสี่ยงที่ใหญ่เกินกว่าที่บริษัทระดับนี้จะยอมรับได้

จุดอ่อนที่สองคือ “แรงกดดันทางการเมือง” ตอนนี้สงครามเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีนกำลังทวีความรุนแรงขึ้น

รัฐบาลสหรัฐฯ พยายามกีดกันไม่ให้จีนเข้าถึงชิป AI ที่ล้ำสมัย ซึ่งจีนเป็นตลาดที่ใหญ่มากของ NVIDIA ทำให้บริษัทถูกบีบอยู่ตรงกลางระหว่างผลประโยชน์ทางธุรกิจกับนโยบายของรัฐบาล

ทั้งหมดนี้ทำให้ Jensen Huang ตระหนักว่า การมีแค่เทคโนโลยีที่ดีที่สุดอย่างเดียวไม่พอ แต่พวกเขาต้องการพันธมิตรที่ทรงพลังในบ้านเกิดของตัวเองด้วย

และพันธมิตรที่เหมาะสมที่สุดในเกมนี้ ก็คือ Intel นั่นเอง

เพราะในสายตาของรัฐบาลสหรัฐฯ Intel ไม่ใช่แค่บริษัทเอกชน แต่คือ “สมบัติของชาติ”

Intel เป็นบริษัทสัญชาติอเมริกันเพียงแห่งเดียว ที่มีความสามารถทั้งในการออกแบบและ “ผลิต” ชิปได้เองบนแผ่นดินอเมริกา

รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังทุ่มเงินหลายหมื่นล้านดอลลาร์ผ่านกฎหมาย CHIPS Act เพื่อดึงอุตสาหกรรมการผลิตชิปกลับสู่มาตุภูมิ และ Intel คือหัวใจของแผนการนี้

ดังนั้น การที่ NVIDIA เข้าไปลงทุนใน Intel จึงเป็นการเดินหมากที่ชาญฉลาดอย่างยิ่ง

มันคือการส่งสัญญาณว่า NVIDIA พร้อมที่จะสนับสนุนนโยบายของชาติ และเป็นการสร้างพันธมิตรที่จะช่วยลดการพึ่งพา TSMC ในอนาคต

พวกเขาไม่ได้กำลังซื้อหุ้นของบริษัทที่กำลังลำบาก แต่กำลังซื้อ “เกราะกำบังทางการเมือง” และ “หลักประกันสำหรับอนาคต” ของตัวเอง

เมื่อเราเข้าใจภาพทั้งหมดแล้ว การจับมือกันของสองยักษ์ใหญ่ในครั้งนี้ ก็คือสถานการณ์ที่ได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่ายอย่างแท้จริง

Intel ได้รับเงินทุนเพื่อต่อลมหายใจ ได้ความเชื่อมั่นกลับคืนมา และที่สำคัญคือได้เข้าถึงเทคโนโลยีสำคัญของ NVIDIA อย่าง NVLink เพื่อนำไปพัฒนา CPU สำหรับตลาด Data Center ที่พวกเขาเคยเป็นรอง

ในขณะเดียวกัน NVIDIA ก็ได้พันธมิตรด้านการผลิตในสหรัฐฯ มาเป็นตัวเลือกสำรอง ลดความเสี่ยงจากไต้หวัน และยังได้ช่องทางใหม่ในการนำ GPU ของตัวเองไปรวมกับ CPU ของ Intel เพื่อบุกตลาดแล็ปท็อปอีกมหาศาล

แต่ที่สำคัญที่สุด คือพวกเขาได้สร้างสายสัมพันธ์อันดีกับรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้ในยุคที่การเมืองและเทคโนโลยีกำลังหลอมรวมเป็นเรื่องเดียวกัน

การรวมพลังของสองบริษัทอเมริกันในครั้งนี้ จึงเป็นมากกว่าแค่ดีลธุรกิจ

มันคือการก่อตัวของ “ขั้วอำนาจใหม่” ในวงการเซมิคอนดักเตอร์ ที่พร้อมจะท้าทายคู่แข่งจากทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น AMD, TSMC หรือ Samsung

และที่สำคัญมันเป็นจุดเริ่มต้นของบทใหม่ในมหากาพย์สงครามชิป ที่มีอนาคตของโลกเทคโนโลยีเป็นเดิมพัน และการเดินหมากครั้งนี้ของ NVIDIA ก็ได้เปลี่ยนหน้าตาของกระดานนี้ไปตลอดกาล

References : [reuters, bloomberg, nvidianews, techcrunch, anandtech]

จาก “Made in China” กับเส้นทางสู่ “Owned by China” เทคโนโลยีจีนยึดโลกอย่างไร?

หากเราลองหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมา แล้วไล่ดูแอปพลิเคชันที่ใช้งานกันอยู่ทุกวัน เราอาจจะพบเรื่องน่าประหลาดใจอย่างหนึ่ง

ไม่ว่าจะเป็นแอปวิดีโอสั้นสุดฮิตอย่าง TikTok, แพลตฟอร์ม e-commerce ที่เราคุ้นเคยอย่าง Lazada หรือถ้ามองออกไปนอกจอมือถือ แบรนด์รถยนต์ยุโรปสุดหรูอย่าง Volvo หรือแบรนด์รถยนต์ระดับ mass อย่าง BYD ก็ตาม

รู้หรือไม่ว่า… สิ่งเหล่านี้ล้วนมีจุดร่วมเดียวกัน คือมีเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นบริษัทจากประเทศจีน

ทุกวันนี้ จีนได้ก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลกอย่างเต็มตัว การเติบโตนี้ได้ผลักดันให้บริษัทเทคโนโลยีของพวกเขากลายเป็นผู้เล่นคนสำคัญในเวทีโลก

คนนับพันล้านชีวิตใช้ผลิตภัณฑ์และบริการจากบริษัทอย่าง Tencent และ Huawei ในทุกๆ วัน แต่การแผ่ขยายอิทธิพลนี้ กลับเกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบ จนหลายคนอาจไม่เคยสังเกต

ผู้คนรับรู้ว่าสินค้าจำนวนมากถูกประทับตราว่า “Made in China” แต่กลับไม่รู้ว่าโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่แทรกซึมอยู่ในชีวิตประจำวัน ก็กำลังจะกลายเป็น “Owned by China” เช่นกัน

เรื่องราวทั้งหมดต้องย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษ 1980 เมื่อผู้นำจีนอย่าง เติ้ง เสี่ยวผิง ตัดสินใจปฏิรูปเศรษฐกิจครั้งประวัติศาสตร์

มันคือการแง้มประตูประเทศที่เคยปิดตาย เพื่อเปิดรับการค้าและการลงทุนจากโลกภายนอก เปรียบเสมือนการจุดประกายไฟ ที่จะลุกลามจนกลายเป็นเปลวเพลิงแห่งนวัตกรรมในเวลาต่อมา

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 1984 เมื่อจีนประกาศจัดตั้ง “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” หรือ Special Economic Zones (SEZs) ขึ้นมา

เมืองชายฝั่งอย่าง เซินเจิ้น ที่ตอนนั้นยังเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงอันเงียบสงบ ได้ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นห้องทดลองทางเศรษฐกิจขนาดมหึมา

ลองจินตนาการถึงพื้นที่ที่มอบสิทธิประโยชน์ทางภาษี กฎระเบียบที่ผ่อนปรน และเปิดกว้างรับเงินทุนจากต่างชาติ มันได้ดึงดูดทั้งผู้ประกอบการและบริษัทข้ามชาติให้หลั่งไหลเข้ามา

เซินเจิ้น ได้กลายร่างเป็นศูนย์กลางการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และได้รับสมญานามในเวลาต่อมาว่าเป็น “Silicon Valley ของจีน”

ท่ามกลางความคึกคักนี้เอง ในปี 1987 อดีตวิศวกรในกองทัพอย่าง เหริน เจิ้งเฟย ได้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ ที่ชื่อว่า Huawei ขึ้นมา

ในยุคแรก Huawei เป็นเพียงผู้จัดจำหน่ายอุปกรณ์โทรคมนาคม แต่ด้วยวิสัยทัศน์ที่มุ่งเน้นการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) อย่างหนัก ทำให้พวกเขาสามารถสร้างเทคโนโลยีของตัวเองได้

กลยุทธ์ที่น่าสนใจของ Huawei คือการเจาะตลาดในพื้นที่ชนบทของจีน ซึ่งเป็นตลาดที่คู่แข่งจากชาติตะวันตกมองข้าม และนี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ Huawei เติบโตอย่างแข็งแกร่งจากฐานราก

เวลาเดินทางมาถึงทศวรรษ 1990 ซึ่งถือเป็นยุคทองของการก่อตั้งบริษัทอินเทอร์เน็ตจีน หรือที่เรารู้จักกันในนามกลุ่ม “BAT”

ในปี 1998 Ma Huateng หรือ Pony Ma ได้ก่อตั้ง Tencent ขึ้นที่ เซินเจิ้น ผลิตภัณฑ์แรกของเขาคือโปรแกรมแชทชื่อ OICQ ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก ICQ ที่โด่งดังในยุคนั้น

Tencent ค่อยๆ พัฒนาจนกลายเป็นเจ้าแห่งโซเชียลมีเดียของจีน และได้ให้กำเนิด “Super App” อย่าง WeChat ที่รวมทุกบริการในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่การสื่อสาร การเงิน ไปจนถึงความบันเทิง

หนึ่งปีถัดมา ในปี 1999 ที่เมืองหางโจว ครูสอนภาษาอังกฤษนามว่า Jack Ma ได้รวบรวมเพื่อน 17 คน มาที่อพาร์ตเมนต์ของเขา เพื่อก่อตั้งบริษัทที่มีชื่อว่า Alibaba

เป้าหมายแรกของ Alibaba คือการสร้างแพลตฟอร์มเพื่อเชื่อมผู้ผลิตจีนกับผู้ซื้อทั่วโลก แต่จุดเปลี่ยนสำคัญคือการเปิดตัว Taobao เพื่อท้าชนกับ eBay และพวกเขาก็ชนะสงครามนั้นอย่างเด็ดขาด

การเติบโตของ Alibaba ได้รับแรงหนุนจากชนชั้นกลางชาวจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีกำลังซื้อในโลกออนไลน์มหาศาล

ส่วนตัวอักษรสุดท้ายในกลุ่ม BAT ก็คือ Baidu ซึ่งก่อตั้งโดย Robin Li ในปี 2000 เขากลับมาจากการทำงานที่ Silicon Valley เพื่อสร้าง Search Engine ของคนจีน

Baidu เติบโตอย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งเพราะได้รับประโยชน์จากการที่รัฐบาลจีนมีข้อจำกัดกับคู่แข่งอย่าง Google ทำให้พวกเขากลายเป็นผู้ครองตลาดการค้นหาในประเทศอย่างเบ็ดเสร็จ

Huawei และกลุ่ม BAT คือคลื่นลูกแรกที่พิสูจน์ให้โลกเห็นว่า จีนไม่ใช่แค่โรงงานของโลกอีกต่อไป แต่สามารถสร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เป็นของตัวเองได้แล้ว

แต่เรื่องราวยังไม่จบแค่นั้น เมื่อเข้าสู่ทศวรรษ 2010 คลื่นลูกที่สองของบริษัทเทคโนโลยีจีน ก็เริ่มซัดเข้าสู่เวทีโลกอย่างเต็มกำลัง

ในปี 2010 Lei Jun ได้ก่อตั้ง Xiaomi ขึ้นมา เพื่อท้าทายตลาดสมาร์ทโฟน ด้วยกลยุทธ์ “ของดีราคาถูก” โดยนำเสนอโทรศัพท์สเปกสูงในราคาที่เข้าถึงได้ และขายผ่านช่องทางออนไลน์เป็นหลัก

กลยุทธ์นี้ได้ผลอย่างมหาศาล และทำให้ Xiaomi กลายเป็นหนึ่งในผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรายใหญ่ที่สุดของโลกได้ในเวลาอันรวดเร็ว

จากนั้นในปี 2012 บริษัทที่สร้างปรากฏการณ์ไปทั่วโลกก็ได้ถือกำเนิดขึ้น นั่นคือ ByteDance ของ จาง อี้หมิง

หลายคนอาจไม่คุ้นชื่อบริษัท แต่ถ้าบอกว่าพวกเขาคือผู้สร้าง TikTok ก็คงไม่มีใครไม่รู้จัก อาวุธลับของ TikTok คืออัลกอริทึมที่ชาญฉลาด ซึ่งสามารถป้อนวิดีโอให้ผู้ใช้ได้อย่างไม่รู้จบ

ความสำเร็จของ TikTok ทำให้ ByteDance กลายเป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก และมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมป๊อปทั่วโลกอย่างที่ไม่เคยมีบริษัทจีนไหนทำได้มาก่อน

ล่าสุด สมรภูมิรบได้ขยายไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจีนได้กลายเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของโลกไปแล้ว และมีบริษัทอย่าง BYD และ Nio เป็นหัวหอก ท้าทายเจ้าตลาดเดิมอย่าง Tesla

มาถึงตรงนี้ เราจะเห็นภาพการเติบโตที่น่าทึ่งของบริษัทเทคโนโลยีจีน แต่คำถามสำคัญก็คือ แล้วทำไมเรื่องนี้ถึงกลายเป็นประเด็นที่น่ากังวลในระดับโลก?

คำตอบไม่ได้อยู่ที่ตัวบริษัทเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่โครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างภาคเอกชนและภาครัฐของจีน ที่มีความเชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก

ประเด็นแรกที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคือเรื่อง “โครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสาร” โดยมี Huawei เป็นศูนย์กลาง

การที่ Huawei เป็นผู้นำในเทคโนโลยี 5G ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของโลกดิจิทัลในอนาคต ทำให้ชาติตะวันตกกังวลว่า รัฐบาลจีนอาจใช้เครือข่ายนี้ในการสอดแนมหรือแทรกแซงการสื่อสารได้

ประเด็นที่สองคือเรื่อง “ข้อมูล” ซึ่งเปรียบเสมือนทองคำในยุคนี้ บริษัทอย่าง Alibaba และ Tencent ต่างก็มีธุรกิจ Cloud Computing ที่ให้บริการเก็บข้อมูลกับบริษัทหลายพันแห่งทั่วโลก

ความน่ากังวลอยู่ที่กฎหมายความมั่นคงทางไซเบอร์ของจีน ปี 2017 ซึ่งกำหนดให้บริษัทจีนต้องส่งมอบข้อมูลให้กับรัฐบาลหากมีการร้องขอ

นั่นหมายความว่าข้อมูลสำคัญของธุรกิจหรือของพลเมืองในประเทศต่างๆ ที่ถูกเก็บไว้บนคลาวด์ของจีน อาจตกไปอยู่ในมือของรัฐบาลจีนได้

นอกจากการสร้างผลิตภัณฑ์ของตัวเองแล้ว บริษัทจีนยังขยายอิทธิพลผ่านการลงทุนอย่างเงียบๆ ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ Tencent

Tencent ได้เข้าถือหุ้นในบริษัทเกมยักษ์ใหญ่ของโลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Epic Games ผู้สร้าง Fortnite หรือ Riot Games ผู้สร้าง League of Legends

เกมเมอร์จำนวนมากอาจไม่เคยรู้เลยว่า เกมโปรดที่พวกเขาเล่นอยู่ทุกวันนั้น มีบริษัทจีนเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ซึ่งทำให้ Tencent มีอิทธิพลต่ออุตสาหกรรมเกมและความบันเทิงของโลกอย่างมหาศาล

การครอบงำอย่างเงียบๆ นี้ กำลังคุกคามสิ่งที่เรียกว่า “อธิปไตยทางเทคโนโลยี” (Technological Sovereignty) ของหลายประเทศ

เมื่อโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากจีนมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ทำให้ประเทศเหล่านั้นสูญเสียความสามารถในการควบคุมและพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองอย่างอิสระ

อย่างไรก็ตาม หากมองอย่างเป็นธรรม ก็ต้องยอมรับว่าบริษัทเทคโนโลยีจากฝั่งสหรัฐอเมริกาก็มีพฤติกรรมรวบรวมข้อมูลมหาศาลไม่ต่างกัน

กรณีของ Edward Snowden ที่ออกมาเปิดโปงโครงการ PRISM ก็แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ก็สามารถเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้งานผ่านบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของตนเองได้เช่นกัน

ดังนั้น ปัญหาที่แท้จริงอาจไม่ใช่เรื่องของสัญชาติ แต่เป็นเรื่องของการที่อำนาจทางดิจิทัลกระจุกตัวอยู่ในมือของบริษัทไม่กี่แห่ง และรัฐบาลไม่กี่ประเทศ

ท้ายที่สุดแล้ว เส้นทางที่มั่นคงที่สุดสำหรับทุกประเทศ อาจไม่ใช่การเลือกว่าจะพึ่งพาเทคโนโลยีจากจีนหรืออเมริกา

แต่คือการพยายามสร้างและพัฒนาเทคโนโลยีให้เป็นของตนเอง แม้จะเป็นเส้นทางที่ยาวไกลและต้องใช้ต้นทุนมหาศาล

เพราะในโลกที่อำนาจถูกขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและเทคโนโลยี การพึ่งพาตนเอง คือหลักประกันที่ดีที่สุดของความมั่นคงและอธิปไตยในระยะยาว.

References : [reuters, bloomberg, scmp, cfr, wsj]

Nusantara เดิมพัน 1.2 ล้านล้าน ย้ายเมืองหลวงอินโดฯ สู่ Utopia หรือหายนะ?

ถ้าถามว่าเมืองหลวงของประเทศไหนในโลกกำลังจมลงทะเลเร็วที่สุด คำตอบที่น่าตกใจก็คือ Jakarta เมืองหลวงของอินโดนีเซีย

มหานครแห่งนี้ไม่ได้แค่มีความเสี่ยง แต่กำลังจมลงไปแล้วจริงๆ ในอัตราที่น่าเหลือเชื่อ บางพื้นที่ของเมืองทรุดตัวลงถึง 25 เซนติเมตรต่อปี ซึ่งเร็วกว่าเมืองที่เรารู้จักกันดีอย่าง Venice หลายเท่า

ลองนึกภาพตามง่ายๆ ว่าทุก 4 ปี พื้นดินบางส่วนของ Jakarta จะหายไปเกือบ 1 เมตร นี่คือวิกฤตที่ไม่ได้รออยู่ในอนาคต แต่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า

สาเหตุหลักมาจากสองปัจจัยที่ผสมโรงกันอย่างลงตัว หนึ่งคือการสูบน้ำบาดาลขึ้นมาใช้อย่างมหาศาลเพื่อหล่อเลี้ยงประชากรหลายสิบล้านคน และสองคือระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ

ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ไว้ว่า หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ภายในปี 2050 พื้นที่ราวหนึ่งในสามของ Jakarta อาจจมอยู่ใต้มหาสมุทรเป็นการถาวร

นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาน้ำท่วม แต่มันคือการคุกคามการดำรงอยู่ของศูนย์กลางเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมของประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 4 ของโลก

เมื่อบ้านกำลังจะจมหายไป รัฐบาลอินโดนีเซียภายใต้การนำของประธานาธิบดี Joko Widodo จึงตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่เคยมีใครกล้าทำมาก่อนในประวัติศาสตร์ของชาติ นั่นคือการ “ย้ายเมืองหลวง”

นี่คือจุดเริ่มต้นของมหากาพย์โปรเจกต์ที่ชื่อว่า Nusantara เมืองหลวงแห่งใหม่ที่จะถูกสร้างขึ้นมาจากความว่างเปล่าบนเกาะ Borneo ที่อยู่ห่างออกไปกว่า 1,300 กิโลเมตร

วิสัยทัศน์ของ Nusantara นั้นยิ่งใหญ่กว่าแค่การสร้างเมืองเพื่อหนีน้ำท่วม มันคือความพยายามที่จะสร้าง “Utopia” หรือเมืองในอุดมคติสำหรับศตวรรษที่ 21

ภาพฝันที่ถูกวาดไว้คือเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ที่โอบล้อมด้วยผืนป่า เป็นเมืองที่ใช้พลังงานหมุนเวียนเกือบทั้งหมด และที่สำคัญคือการกระจายความเจริญออกจากเกาะชวา ที่แออัดมานาน

การเลือกที่ตั้งใจกลางประเทศบนเกาะ Borneo ถือเป็นการส่งสัญญาณเชิงยุทธศาสตร์ว่า อินโดนีเซียยุคใหม่จะเติบโตไปพร้อมกันทั้งประเทศ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังอีกต่อไป

อันที่จริงแล้ว การย้ายเมืองหลวงไม่ใช่เรื่องใหม่ในประวัติศาสตร์โลก ในทศวรรษ 1960 บราซิลเคยสร้างเมือง Brasília ขึ้นมาจากที่ดินเปล่า เพื่อย้ายศูนย์กลางอำนาจเข้าไปใจกลางแผ่นดิน

แม้ Brasília จะกลายเป็นสัญลักษณ์ของสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ แต่ก็ต้องเผชิญกับคำวิจารณ์และปัญหามากมายในช่วงแรกเช่นกัน

คำถามสำคัญจึงเกิดขึ้นว่า Nusantara จะเดินซ้ำรอยประวัติศาสตร์ หรือจะสามารถสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ขึ้นมาได้สำเร็จ โครงการที่เดิมพันด้วยงบประมาณมหาศาลกว่า 1.2 ล้านล้านบาทนี้ จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่ หรือจะเป็นเพียงอนุสาวรีย์แห่งความล้มเหลวที่ต้องจดจำ

การสร้างเมืองทั้งเมืองขึ้นมาจากศูนย์ ก็เหมือนกับการต่อจิ๊กซอว์ภาพที่ใหญ่และซับซ้อนที่สุดในโลก และสำหรับ Nusantara ความท้าทายก็ปรากฏขึ้นแทบจะในทุกชิ้นส่วนของภาพ

อุปสรรคแรกและใหญ่ที่สุดคือเรื่อง “เงินทุน” งบประมาณที่ประเมินไว้ราว 33,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐนั้นเป็นตัวเลขที่มหาศาล

รัฐบาลของประธานาธิบดี Widodo ประกาศว่าจะใช้งบประมาณของรัฐเพียง 20% เท่านั้น ส่วนที่เหลืออีก 80% หวังพึ่งพาการลงทุนจากภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศ

แต่ตรงนี้เองที่เกิดปัญหาคลาสสิกที่เรียกว่า “ไก่กับไข่” นักลงทุนจะยังไม่กล้าใส่เงินก้อนโต หากไม่มั่นใจว่าเมืองนี้จะเกิดขึ้นและมีชีวิตชีวาได้จริง

ในขณะเดียวกัน เมืองก็ไม่สามารถพัฒนาไปถึงจุดนั้นได้ หากปราศจากเงินลงทุนก้อนแรก ความลังเลของนักลงทุนยิ่งชัดเจนขึ้น เมื่อกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่อย่าง SoftBank จากญี่ปุ่น ตัดสินใจถอนตัวในปี 2022

การถอนตัวครั้งนั้นเปรียบเหมือนการส่งสัญญาณเตือนไปยังนักลงทุนทั่วโลกว่า โครงการนี้อาจมีความเสี่ยงซ่อนอยู่มากกว่าที่ตาเห็น

ความท้าทายถัดมาคือ “ความขัดแย้งในอุดมการณ์” Nusantara ถูกนำเสนอในฐานะเมืองสีเขียว เป็น “Forest City” ที่จะอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างยั่งยืน

แต่ในความเป็นจริง การสร้างเมืองขนาดมหึมาบนพื้นที่เทียบเท่า 4 เท่าของนคร New York ย่อมหลีกเลี่ยงการถางป่าไม่ได้

พื้นที่ก่อสร้างนั้นคือส่วนหนึ่งของป่าฝนเขตร้อนที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เป็นบ้านของลิงอุรังอุตังและสัตว์ป่าหายากนานาชนิด

นักวิจารณ์และกลุ่มสิ่งแวดล้อมจึงตั้งคำถามว่า แนวคิดเมืองสีเขียวนี้เป็นของจริง หรือเป็นเพียงคำโฆษณาสวยหรูเพื่อกลบภาพการทำลายป่าครั้งใหญ่กันแน่

ยิ่งไปกว่านั้น เป้าหมายการใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ก็เป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่ง เพราะปัจจุบันอินโดนีเซียยังพึ่งพาถ่านหินเป็นแหล่งพลังงานหลัก

การสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานสะอาดให้เพียงพอสำหรับเมืองใหม่ทั้งเมือง จึงเป็นโจทย์ที่ยากและต้องใช้เงินทุนอีกมหาศาล

อีกหนึ่งความท้าทายที่มักถูกมองข้ามคือ “ต้นทุนทางสังคม” ในพื้นที่ที่ถูกเลือกเป็นที่ตั้งของ Nusantara มีชุมชนพื้นเมืองดั้งเดิมอาศัยอยู่กว่า 20,000 ชีวิต

พวกเขาต้องเผชิญกับการถูกโยกย้ายถิ่นฐาน และวิถีชีวิตที่ผูกพันกับผืนป่ามานานกำลังจะเปลี่ยนไปตลอดกาล นี่คือราคาที่ต้องจ่ายซึ่งไม่สามารถประเมินเป็นตัวเงินได้

และอุปสรรคที่สำคัญที่สุด อาจจะเป็นเรื่อง “การเมือง” ประธานาธิบดี Widodo พยายามเร่งรัดโครงการนี้อย่างหนัก เพื่อให้เฟสแรกเสร็จทันก่อนที่เขาจะหมดวาระลง แต่ก็ทำไม่สำเร็จ

แต่ความเร่งรีบนี้เองที่อาจนำมาซึ่งปัญหา เมื่อช่วงกลางปี 2024 หัวหน้าและรองหัวหน้าโครงการ Nusantara ได้ประกาศลาออกพร้อมกันอย่างกะทันหัน ซึ่งสร้างความสั่นสะเทือนต่อความเชื่อมั่นของโครงการ

ชะตากรรมของ Nusantara จึงตกอยู่ในมือของประธานาธิบดีคนใหม่อย่าง Prabowo Subianto ว่าเขาจะยังคงให้ความสำคัญกับโครงการมรดกชิ้นนี้ต่อไปหรือไม่

การเปลี่ยนผ่านอำนาจทางการเมืองครั้งนี้จึงกลายเป็นตัวแปรสำคัญ ที่จะชี้ชะตาว่า Nusantara จะได้ไปต่อ หรือจะถูกทิ้งให้กลายเป็นเมืองร้างกลางป่า

ณ วันนี้ โครงการ Nusantara กำลังเดินอยู่บนเส้นด้ายบางๆ ระหว่างความฝันอันยิ่งใหญ่กับความเป็นจริงที่เต็มไปด้วยอุปสรรค

การก่อสร้างเฟสแรกยังคงดำเนินต่อไป แต่ก็เผชิญกับปัญหาความล่าช้าจากทั้งสภาพอากาศและการขนส่งวัสดุที่ยากลำบาก ขณะที่คำถามตัวโตๆ ว่าเงินทุนส่วนที่เหลืออีก 80% นั้นจะมาจากไหน ก็ยังคงไม่มีคำตอบที่ชัดเจน

อนาคตของ Nusantara สามารถเป็นไปได้สองทางที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว

ทางแรกคือความสำเร็จ หากรัฐบาลใหม่ยังคงผลักดันโครงการอย่างเต็มที่ และสามารถสร้างความเชื่อมั่นจนดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติได้ Nusantara ก็อาจจะกลายเป็นต้นแบบของเมืองแห่งอนาคตได้จริง

มันจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำ กระจายความเจริญ และกลายเป็นศูนย์กลางแห่งใหม่ของนวัตกรรมสีเขียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

แต่อีกทางหนึ่งคือความล้มเหลว หากการเมืองเปลี่ยนทิศทาง เงินทุนไม่มาตามนัด โครงการนี้ก็อาจจะหยุดชะงักและไปไม่ถึงฝั่งฝัน

Nusantara อาจกลายเป็นเพียงเมืองราชการที่เงียบเหงา เหมือนกับเมืองหลวงใหม่อย่าง Naypyidaw ของเมียนมา ที่ไม่สามารถดึงดูดภาคธุรกิจและผู้คนให้ย้ายตามไปได้

ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด มันอาจกลายเป็น “เมืองร้าง” ที่ใช้งบประมาณมหาศาลไปโดยเปล่าประโยชน์ และกลายเป็นภาระทางการคลังของประเทศไปอีกหลายสิบปี

ที่สำคัญ ปัญหาเดิมใน Jakarta ทั้งเรื่องการทรุดตัวของเมืองและปัญหาสังคมต่างๆ ก็ยังคงไม่ได้รับการแก้ไข เพราะการย้ายเมืองหลวงเป็นเพียงการ “หนีปัญหา” ไม่ใช่การ “แก้ปัญหา” ที่ต้นตอ

เรื่องราวของ Nusantara จึงไม่ใช่แค่เรื่องของอินโดนีเซีย แต่เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับทุกประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ที่กรุงเทพฯ ก็กำลังเผชิญกับภัยคุกคามที่คล้ายคลึงกัน

มันคือกรณีศึกษาของการพัฒนาเมืองในศตวรรษที่ 21 ที่ต้องหาจุดสมดุลที่สมบูรณ์แบบระหว่างความจำเป็นทางเศรษฐกิจ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และความเป็นอยู่ของผู้คน

ท้ายที่สุดแล้ว ความสำเร็จที่แท้จริงของ Nusantara คงไม่ได้วัดกันที่ตึกระฟ้าที่สวยงาม หรือเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย

แต่วัดกันที่ว่าเมืองนี้สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน สร้างโอกาสที่เท่าเทียม และรักษาสมดุลระหว่างการพัฒนากับธรรมชาติไว้ได้หรือไม่

นี่คือการเดิมพันครั้งประวัติศาสตร์ของอินโดนีเซีย ซึ่งไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร มันก็จะกลายเป็นบทเรียนราคาแพงให้โลกได้เรียนรู้ไปอีกนานแสนนาน

References : [channelnewsasia, bloomberg, bbc, reuters, thediplomat]

ญี่ปุ่นเดิมพันชาติด้วยชิป 2nm ทุ่มสุดตัวสร้าง “Rapidus” เพื่อหวังโค่น TSMC

ลองนึกภาพตามนะครับ… คนคนหนึ่งเคยเป็นราชาผู้ยิ่งใหญ่ ครองบัลลังก์ที่ไม่มีใครเทียบได้ แต่แล้ววันหนึ่ง เขากลับสูญเสียทุกอย่างไปจนแทบไม่เหลืออะไรเลย

นี่ไม่ใช่พล็อตหนัง แต่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับประเทศญี่ปุ่นในสมรภูมิที่ดุเดือดที่สุดแห่งหนึ่งของโลก นั่นคือ “อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์”

ย้อนกลับไปในช่วงปลายทศวรรษ 1980 ญี่ปุ่นคือมหาอำนาจที่แท้จริงในโลกของชิป บริษัทอย่าง NEC, Toshiba และ Hitachi คือชื่อที่ทุกคนต้องรู้จัก พวกเขาผลิตชิปป้อนให้กับคนทั้งโลก มากกว่าครึ่งหนึ่งของชิปทั้งหมดล้วนมาจากดินแดนอาทิตย์อุทัยแห่งนี้

แต่แล้วเกิดอะไรขึ้น? ทำไมจากจุดสูงสุด ญี่ปุ่นถึงร่วงหล่นลงมา จนส่วนแบ่งในตลาดโลกทุกวันนี้เหลือไม่ถึง 10% ด้วยซ้ำ

ความผิดพลาดในวันนั้น กลายเป็นบทเรียนราคาแพงที่ญี่ปุ่นต้องจดจำไปอีกนานหลายทศวรรษ พวกเขายึดติดกับโมเดลธุรกิจที่เรียกว่า IDM (Integrated Device Manufacturer) ซึ่งก็คือการทำทุกอย่างครบวงจร ตั้งแต่ออกแบบไปจนถึงผลิตขายเอง

โมเดลนี้เคยเป็นจุดแข็ง แต่เมื่อโลกเปลี่ยนไป มันกลับกลายเป็นโซ่ตรวนที่ฉุดรั้งพวกเขาไว้ ในขณะเดียวกัน ที่ไต้หวัน บริษัทหน้าใหม่อย่าง TSMC ได้ถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับโมเดลที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง

TSMC เลือกที่จะเป็น “โรงหล่อชิป” หรือ Foundry ที่รับจ้างผลิตเพียงอย่างเดียว ไม่ได้ออกแบบเอง ทำให้พวกเขาสามารถทุ่มเททรัพยากรทั้งหมดไปที่การผลิตให้มีประสิทธิภาพสูงสุดและขยายขนาดได้อย่างรวดเร็ว

บริษัทยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นเริ่มแบกรับต้นทุนการสร้างโรงงานใหม่ๆ ที่ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลไม่ไหว พวกเขาค่อยๆ ถูกทิ้งห่างไปเรื่อยๆ จนในที่สุด บัลลังก์เจ้าแห่งชิปก็เปลี่ยนมือไป

เวลาผ่านไป… ญี่ปุ่นดูเหมือนจะหลับใหลไปกับการเป็นแค่อดีตมหาอำนาจ ชิปที่ล้ำที่สุดที่พวกเขาผลิตได้เองในประเทศคือขนาด 40 นาโนเมตร ในขณะที่ไต้หวันกับเกาหลีใต้ก้าวไปไกลถึง 7, 5 และ 3 นาโนเมตรแล้ว

จนกระทั่งวันหนึ่ง สัญญาณเตือนภัยได้ดังขึ้น ปลุกให้ยักษ์ใหญ่ที่หลับใหลต้องตื่นขึ้นมาเผชิญความจริง

วิกฤตการณ์ขาดแคลนชิปทั่วโลกที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ทั้งพายุหิมะในเท็กซัสและไฟไหม้โรงงานในญี่ปุ่นเอง ได้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง การผลิตรถยนต์ต้องหยุดชะงัก เครื่องใช้ไฟฟ้าขาดตลาด ญี่ปุ่นตระหนักในทันทีว่าความมั่นคงทางเศรษฐกิจของชาติกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย

คำถามสำคัญคือ ญี่ปุ่นจะทำอย่างไรต่อไป? จะยอมปล่อยให้อนาคตของประเทศต้องพึ่งพาชิปจากต่างชาติ หรือจะลุกขึ้นสู้เพื่อทวงคืนความยิ่งใหญ่กลับมาอีกครั้ง

และนี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวการเดิมพันครั้งประวัติศาสตร์ ที่อาจจะเปลี่ยนโฉมหน้าอุตสาหกรรมเทคโนโลยีไปตลอดกาล

รัฐบาลญี่ปุ่นตัดสินใจว่าพวกเขาจะนิ่งเฉยต่อไปไม่ได้อีกแล้ว จึงได้เปิดตัวกลยุทธ์เซมิคอนดักเตอร์ครั้งใหม่ โดยหนึ่งในแผนการที่ทะเยอทะยานที่สุด คือการให้กำเนิดบริษัทสตาร์ทอัพแห่งหนึ่งขึ้นมา

บริษัทนี้มีชื่อว่า Rapidus ซึ่งเป็นภาษาละตินที่แปลว่า “รวดเร็ว”

ชื่อนี้บ่งบอกภารกิจของพวกเขาได้เป็นอย่างดี เพราะ Rapidus ไม่ได้ตั้งเป้าที่จะค่อยๆ ไล่ตาม แต่พวกเขาตั้งใจจะ “ก้าวกระโดด” จากเทคโนโลยีเก่าขนาด 40 นาโนเมตร ไปสู่ชิปที่ล้ำสมัยที่สุดในโลกขนาด 2 นาโนเมตรให้ได้ภายในปี 2027

นี่คือภารกิจที่หลายคนมองว่าเป็นไปไม่ได้ มันคือสิ่งที่เรียกว่า “Moonshot Project” หรือโครงการที่เสี่ยงสูง แต่หากทำสำเร็จ ผลตอบแทนก็จะมหาศาลเช่นกัน

เบื้องหลัง Rapidus คือการผนึกกำลังครั้งประวัติศาสตร์ของ 8 บริษัทยักษ์ใหญ่แห่งญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็น Toyota, Sony, NTT, SoftBank, NEC, Kioxia, Denso และ Mitsubishi UFJ Bank

แต่เงินลงทุนเริ่มต้นจากทั้ง 8 บริษัทรวมกันนั้นถือว่าน้อยมาก แค่ประมาณ 51 ล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับเงินที่ต้องใช้สร้างโรงงานผลิตชิปที่ล้ำสมัย

แล้วเงินทุนมหาศาลจะมาจากไหน?

คำตอบก็คือ รัฐบาลญี่ปุ่นนั่นเอง พวกเขากำลังทุ่มสุดตัวกับโปรเจกต์นี้ โดยให้เงินอุดหนุนไปแล้วกว่า 6.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และยังมีแผนจะอัดฉีดเพิ่มอีกในอนาคต เพราะนี่ไม่ใช่แค่เรื่องธุรกิจ แต่มันคือเรื่องของความมั่นคงของชาติ

แต่เงินอย่างเดียวไม่สามารถสร้างชิปที่ล้ำที่สุดในโลกได้ พวกเขาต้องการเทคโนโลยีด้วย และนี่คือจุดที่พันธมิตรคนสำคัญได้ก้าวเข้ามา

พันธมิตรรายนั้นก็คือ IBM ยักษ์ใหญ่จากสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นบริษัทที่สาธิตการทำงานของชิปทดสอบ 2 นาโนเมตรได้สำเร็จเป็นรายแรกๆ ของโลก

พูดง่ายๆ ก็คือ IBM มี “สูตรลับ” ในการสร้างชิป 2 นาโนเมตร และพวกเขาตกลงที่จะถ่ายทอดสูตรนี้ให้กับ Rapidus โดยวิศวกรญี่ปุ่นกว่า 100 ชีวิตถูกส่งไปเรียนรู้งานที่ศูนย์วิจัยของ IBM ในนิวยอร์ก

Rapidus จึงมีทั้งเงินทุนสนับสนุนจากรัฐบาล และมีเทคโนโลยีจากพันธมิตรระดับโลก พวกเขาเริ่มก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่เมืองชิโตเสะ จังหวัดฮอกไกโด และทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างรวดเร็วสมชื่อ

ภายในเวลาไม่ถึง 2 ปี จากที่ดินว่างเปล่า Rapidus ก็สามารถเปิดสายการผลิตนำร่องได้สำเร็จในเดือนเมษายน 2025 และเริ่มทดสอบเครื่องจักรราคาหลายร้อยล้านดอลลาร์อย่างเครื่อง EUV Lithography ได้แล้ว

แต่สิ่งที่ทำให้ Rapidus น่าสนใจ ไม่ใช่แค่ความเร็วหรือเงินทุนมหาศาล แต่เป็น “ปรัชญา” ในการผลิตที่แตกต่างออกไป

พวกเขาไม่ได้พยายามจะลอกเลียนแบบ TSMC ที่เน้นการผลิตในปริมาณมหาศาลเหมือนโรงงานขนมปังที่อบขนมปังแบบเดียวกันออกมาทีละมากๆ

Rapidus เลือกใช้แนวทางที่เรียกว่า “Single-Wafer Processing” ซึ่งเปรียบเสมือนเชฟในร้านอาหารหรู ที่ปรุงอาหารแต่ละจานอย่างพิถีพิถันตามความต้องการของลูกค้าแต่ละคน

แนวทางนี้ทำให้พวกเขามีความยืดหยุ่นและรวดเร็วสูง เหมาะสำหรับลูกค้าที่ต้องการชิปพิเศษในปริมาณไม่มาก เช่น สตาร์ทอัพด้าน AI หรือห้องวิจัยต่างๆ ซึ่งเป็นตลาดที่โรงงานยักษ์ใหญ่อาจไม่สนใจ

นอกจากนี้ พวกเขายังใช้ AI และเซ็นเซอร์จำนวนมากในโรงงาน เพื่อตรวจสอบคุณภาพของเวเฟอร์แต่ละแผ่นแบบเรียลไทม์ และนำข้อมูลที่ได้กลับไปปรับปรุงการออกแบบและการผลิตทันที

มันเหมือนกับสายการผลิตอัจฉริยะที่สามารถเรียนรู้และแก้ไขตัวเองได้ตลอดเวลา เพื่อให้ได้ชิปที่มีคุณภาพสูงสุดโดยใช้เวลาน้อยที่สุด

ทุกอย่างดูเหมือนจะกำลังไปได้สวย แต่เส้นทางของ Rapidus ก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ พวกเขายังต้องเผชิญกับความท้าทายใหญ่หลวงอีกหลายด่าน

ด่านแรกคือ “เงินทุน” แม้รัฐบาลจะอัดฉีดเงินให้มหาศาล แต่มันก็ยังเป็นเพียงแค่ 1 ใน 3 ของเงินที่ต้องใช้ทั้งหมดเท่านั้น Rapidus จำเป็นต้องดึงดูดเงินลงทุนจากภาคเอกชนให้ได้มากกว่านี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายมาก

ด่านที่สองคือ “บุคลากร” เงินซื้อเครื่องจักรได้ แต่ไม่สามารถสร้างวิศวกรที่มีประสบการณ์ได้ในชั่วข้ามคืน ญี่ปุ่นขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตชิปขั้นสูงมานาน และตอนนี้พวกเขากำลังแข่งขันแย่งชิงบุคลากรกลุ่มนี้กับบริษัททั่วโลก

ด่านที่สามคือ “ความเสี่ยงทางเทคโนโลยี” การผลิตชิป 2 นาโนเมตรเป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่ง แม้แต่บริษัทที่มีประสบการณ์อย่าง Intel หรือ Samsung ก็ยังเคยเจอปัญหามาแล้ว สำหรับผู้มาใหม่อย่าง Rapidus ความเสี่ยงที่จะเจออุปสรรคที่ไม่คาดฝันจึงสูงมาก

และด่านสุดท้ายที่สำคัญที่สุดคือ “เวลา” คู่แข่งไม่ได้หยุดรอ ในขณะที่ Rapidus ตั้งเป้าจะผลิตชิป 2 นาโนเมตรให้ได้ในปี 2027 แต่ TSMC และ Samsung คาดว่าจะเริ่มผลิตได้ตั้งแต่ปี 2025 แล้ว

คำถามคือ Rapidus จะไล่ตามทันได้อย่างไร?

มาถึงตรงนี้ เราจะเห็นได้ว่าการเดินทางของ Rapidus เต็มไปด้วยความหวังและความเสี่ยง มันคือการเดิมพันครั้งสำคัญที่อนาคตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีญี่ปุ่นเป็นเดิมพัน

หากพวกเขาทำสำเร็จ ญี่ปุ่นจะกลับมาผงาดในเวทีโลกอีกครั้งในฐานะผู้ผลิตชิปชั้นนำ มันจะช่วยสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และเป็นแรงบันดาลใจให้ประเทศอื่นๆ กล้าที่จะลุกขึ้นมาท้าทายผู้เล่นรายใหญ่

แต่ถ้าหากพวกเขาล้มเหลว มันก็จะกลายเป็นบทเรียนราคาแพงอีกครั้งหนึ่ง ถึงการพยายามทำอะไรที่อาจจะน้อยเกินไปและช้าเกินไป

อย่างไรก็ตาม มีมุมมองที่น่าสนใจว่า ความสำเร็จของ Rapidus อาจไม่จำเป็นต้องหมายถึงการเอาชนะ TSMC เสมอไป

ในยุคที่ความต้องการชิปสำหรับ AI กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด ตลาดอาจจะใหญ่พอสำหรับผู้เล่นหลายราย การเป็น “แหล่งผลิตสำรอง” ที่เชื่อถือได้สำหรับชิปขั้นสูง ก็ถือเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่แล้ว

ตอนนี้ Rapidus ได้เปลี่ยนจากแนวคิดบนกระดาษ มาสู่ความเป็นจริงที่จับต้องได้ โรงงานแห่งใหม่กำลังผงาดขึ้นที่ฮอกไกโด และชิปต้นแบบ 2 นาโนเมตรชุดแรกก็ใกล้จะเผยโฉมออกมาแล้ว

สองปีข้างหน้า คือช่วงเวลาที่จะตัดสินทุกอย่าง โลกกำลังจับตามองว่าการเดิมพันครั้งประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นในครั้งนี้ จะจบลงด้วยชัยชนะอันหอมหวาน หรือความพ่ายแพ้ที่น่าเจ็บปวด

และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร เรื่องราวของ Rapidus ก็ได้กลายเป็นกรณีศึกษาที่น่าติดตามที่สุดเรื่องหนึ่งในโลกธุรกิจยุคปัจจุบันไปแล้ว

References : [spectrum.ieee, eetimes, reuters, asia .nikkei, anandtech]

เวียดนาม All-in! เดิมพันครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ด้วย “โด๋ยเม้ย 2.0”

หากเราย้อนเวลากลับไปในปี 1986 ภาพของเวียดนามในตอนนั้นคือประเทศที่เพิ่งผ่านพ้นเปลวไฟแห่งสงคราม เศรษฐกิจบอบช้ำ และประชาชนต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด แต่แล้วการตัดสินใจครั้งประวัติศาสตร์ก็ได้เกิดขึ้น

การปฏิรูปเศรษฐกิจที่โลกรู้จักในชื่อ “โด๋ยเม้ย” (Doi Moi) ได้พลิกโฉมเวียดนามจากระบบเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์ที่แทบจะล้มละลาย ไปสู่ระบบเศรษฐกิจแบบตลาดที่เปิดรับการลงทุนจากทั่วโลก

ผลลัพธ์ที่ได้นั้นน่าทึ่งเป็นอย่างมาก เวียดนามกลายเป็นโรงงานของโลกแห่งใหม่ ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ หรือ FDI (Foreign Direct Investment) ได้อย่างมหาศาล และก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก จนได้รับฉายาว่าเป็น “เสือตัวใหม่แห่งเอเชีย”

เรื่องราวความสำเร็จนี้ดูเหมือนจะสวยหรู แต่เมื่อเวลาผ่านไป เรื่องราวบทเดิมอาจไม่สามารถพาเวียดนามไปสู่จุดหมายต่อไปได้อีกแล้ว รอยร้าวบางอย่างเริ่มปรากฏขึ้นบนโครงสร้างเศรษฐกิจที่เคยแข็งแกร่ง และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวบทใหม่ที่ทะเยอทะยานและท้าทายกว่าเดิมหลายเท่าตัวของพวกเขา

แล้วอะไรคือรอยร้าวที่ว่านั้น? ทำไมประเทศที่กำลังเติบโตอย่างร้อนแรงถึงต้องเดิมพันครั้งใหญ่เพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองอีกครั้ง?

ปัญหาแรกที่ซ่อนอยู่ใต้พรมคือ ภาคเอกชนในประเทศกลับไม่ได้เติบโตไปพร้อมกับเศรษฐกิจภาพรวม สัดส่วนของภาคเอกชนต่อ GDP ลดลงอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับภาคการลงทุนจากต่างชาติที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ นี่คือสัญญาณอันตราย เพราะการพึ่งพาเงินทุนจากภายนอกมากเกินไปย่อมหมายถึงความเปราะบาง

ยิ่งไปกว่านั้น ความเชื่อมโยงระหว่างบริษัทต่างชาติกับบริษัทท้องถิ่นยังคงมีน้อยมาก สินค้าส่งออก “Made in Vietnam” ที่เราเห็นกันนั้น แท้จริงแล้วยังมีมูลค่าเพิ่มที่มาจากต่างประเทศสูงถึง 50% ซึ่งหมายความว่าเวียดนามยังเป็นเพียงผู้รับจ้างประกอบ มากกว่าจะเป็นผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมด้วยตัวเอง ผลประโยชน์จึงไม่ได้กระจายสู่เศรษฐกิจในประเทศเท่าที่ควร

ปัญหาที่สามซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ไม่แพ้กัน คือช่องว่างด้านประสิทธิภาพการผลิต ภาคเอกชนในประเทศมีการจ้างงานกว่า 80% แต่กลับสร้าง GDP ได้เพียง 50% ในบรรดาบริษัทเกือบล้านแห่ง มีเพียง 3% เท่านั้นที่เป็นธุรกิจขนาดใหญ่ ส่วนที่เหลือคือธุรกิจขนาดเล็กและขนาดจิ๋วที่ยังขาดศักยภาพในการแข่งขัน

ทั้งหมดนี้กำลังผลักให้เวียดนามเข้าใกล้สภาวะที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า “กับดักรายได้ปานกลาง” (Middle-income Trap) ซึ่งเป็นภาวะที่ประเทศไม่สามารถพัฒนาตัวเองให้ก้าวข้ามไปเป็นประเทศรายได้สูงได้ เพราะติดอยู่กับการแข่งขันด้านราคาและแรงงานราคาถูก

เมื่อภาพปัญหาชัดเจนขึ้น ผู้นำเวียดนามจึงได้ข้อสรุปว่า หากไม่ทำอะไรบางอย่าง อนาคตที่สดใสอาจกลายเป็นเพียงความฝัน และนี่คือจุดกำเนิดของภารกิจครั้งประวัติศาสตร์บทใหม่ที่เรียกว่า “โด๋ยเม้ย 2.0” (Doi Moi 2.0)

“โด๋ยเม้ย 2.0” ไม่ใช่แค่การปรับเปลี่ยนนโยบายเล็กๆ น้อยๆ แต่มันคือการ “ผ่าตัดใหญ่” ระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยมีหัวใจสำคัญอยู่ที่มติที่ 68 หรือ Resolution No. 68 ซึ่งประกาศออกมาในเดือนพฤษภาคม ปี 2025

เป้าหมายหลักของมติฉบับนี้ชัดเจนและทรงพลังมาก นั่นคือการผลักดันให้ “ภาคเอกชน” กลายเป็นพลังขับเคลื่อนที่สำคัญที่สุดของเศรษฐกิจเวียดนาม นี่คือการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ครั้งสำคัญที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของเวียดนาม

แนวคิดหลักที่อยู่เบื้องหลังการปฏิรูปครั้งนี้คือ “Transform to Reform, Optimise to Mobilise” หรือ “ปรับเปลี่ยนเพื่อปฏิรูป, เพิ่มประสิทธิภาพเพื่อระดมสรรพกำลัง” ซึ่งเปรียบเสมือนพิมพ์เขียวที่จะนำทางเวียดนามไปสู่อนาคต

“ปรับเปลี่ยนเพื่อปฏิรูป” คือการเปลี่ยนกรอบความคิดของคนทั้งสังคม ตั้งแต่ข้าราชการไปจนถึงผู้ประกอบการ มีการปฏิรูปกฎหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิทางธุรกิจอย่างจริงจัง และที่สำคัญคือการลดขั้นตอนทางราชการที่ยุ่งยากลงอย่างน้อย 30%

ลองนึกภาพการทำธุรกิจในอดีตที่ต้องผ่านการอนุมัติหลายขั้นตอนและใช้เวลานาน เวียดนามกำลังจะเปลี่ยนจากระบบ “อนุมัติก่อนดำเนินการ” (Pre-approval Licensing) ที่เป็นคอขวด มาเป็นระบบ “กำกับดูแลหลังดำเนินการ” (Post-approval Supervision) เพื่อปลดปล่อยศักยภาพของภาคธุรกิจให้เติบโตได้อย่างคล่องตัว

ส่วน “เพิ่มประสิทธิภาพเพื่อระดมสรรพกำลัง” คือการนำทรัพยากรที่มีอยู่มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และระดมทรัพยากรใหม่ๆ เข้ามาเสริมทัพ ซึ่งแผนการในส่วนนี้ยิ่งน่าสนใจเข้าไปอีก

เวียดนามกำลังปฏิรูประบบราชการอย่างจริงจัง มีการยุบรวมกระทรวงจาก 18 เหลือ 13 แห่ง และลดจำนวนจังหวัดจาก 63 เหลือเพียง 34 แห่ง เพื่อลดความซ้ำซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพ เงินงบประมาณที่ประหยัดได้จะถูกนำไปลงทุนในสิ่งที่สำคัญต่ออนาคตของชาติอย่างโครงสร้างพื้นฐาน การศึกษา และเทคโนโลยี

ที่น่าจับตามองเป็นพิเศษคือความพยายามในการสร้าง “แชมป์เปี้ยนระดับชาติ” โดยรัฐบาลตั้งเป้าจะพัฒนาบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ 20 แห่งให้สามารถแข่งขันในเวทีโลกได้ ซึ่งคล้ายกับกลยุทธ์ “แชโบล” (Chaebol) ที่เคยสร้างความสำเร็จให้กับเกาหลีใต้มาแล้ว

รัฐบาลจะเปิดโอกาสให้บริษัทเหล่านี้เข้าร่วมในโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของประเทศที่มีมูลค่ารวมกันกว่า 10% ของ GDP เพื่อให้เกิดการเรียนรู้และถ่ายทอดเทคโนโลยี นี่คือการปูทางให้บริษัทท้องถิ่นเติบโตและแข็งแกร่งขึ้นจากภายใน

ด้านทรัพยากรมนุษย์ก็มีการลงทุนครั้งใหญ่เช่นกัน มีการขึ้นเงินเดือนข้าราชการกว่า 30% เพื่อดึงดูดคนเก่งให้เข้ามารับใช้ชาติ และที่สำคัญที่สุดคือการ “ยกเลิกค่าเล่าเรียน” สำหรับโรงเรียนรัฐบาลทุกแห่ง ตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงมัธยมปลาย นี่คือการลงทุนในระยะยาวเพื่อสร้างคนรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพมารขับเคลื่อนประเทศ

นอกจากนี้ ยังมีการปฏิรูปด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างเข้มข้น โดยตั้งเป้าให้เวียดนามติดอันดับ 30 ประเทศแรกของโลกด้านนวัตกรรมภายในปี 2045 มีการผลักดันการใช้ Digital ID และสร้างศูนย์ข้อมูลแห่งชาติ (National Data Center) เพื่อรองรับเศรษฐกิจดิจิทัลที่จะเป็นหัวใจสำคัญในอนาคต

คำถามสำคัญคือ แผนการที่ทะเยอทะยานทั้งหมดนี้เป็นแค่ความฝันบนกระดาษหรือไม่?

คำตอบคือ “ไม่” เพราะการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้เริ่มขึ้นแล้วอย่างเป็นรูปธรรมในปี 2025 การยุบรวมกระทรวง การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และการปฏิรูปการศึกษาได้เกิดขึ้นจริงแล้ว นี่คือสิ่งที่ทำให้ “โด๋ยเม้ย 2.0” แตกต่างจากการประกาศนโยบายทั่วไป มันคือการลงมือทำอย่างจริงจัง

แล้วการปฏิรูปครั้งใหญ่นี้จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจอย่างไร? และนักลงทุนอย่างเราควรจับตามองอะไรเป็นพิเศษ?

จากการวิเคราะห์ เราคาดว่า GDP ของเวียดนามจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งที่ 6.9% ในปี 2025 และ 7.4% ในปี 2026 การลงทุนในประเทศที่เพิ่มขึ้นจะช่วยชดเชยผลกระทบจากการส่งออกที่อาจชะลอตัวได้

อย่างไรก็ตาม การเดินทางครั้งนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ยังมีความเสี่ยงสำคัญที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด ความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดคือ การเติบโตของสินเชื่อที่มากเกินไป

ในอดีต เวียดนามเคยมีบทเรียนราคาแพงจากวัฏจักรเศรษฐกิจที่ร้อนแรงเกินไปจนนำไปสู่วิกฤต การผลักดันการเติบโตอย่างรวดเร็วอาจทำให้ระบบธนาคารต้องปล่อยสินเชื่อจำนวนมาก ซึ่งหากขาดการกำกับดูแลที่ดีพอ ก็อาจนำไปสู่ปัญหาหนี้เสียและสั่นคลอนเสถียรภาพทางการเงินได้

ซึ่งตอนนี้ได้เริ่มเห็นสัญญาณบางอย่างแล้ว เช่น การเติบโตของสินเชื่อที่เร็วกว่าเงินฝาก และภาวะเงินทุนที่ตึงตัวขึ้นในบางช่วง การปฏิรูปตลาดทุนเพื่อสร้างแหล่งเงินทุนทางเลือกนอกเหนือจากธนาคารจึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่รัฐบาลต้องทำให้สำเร็จ

อีกหนึ่งความท้าทายคือผลกระทบต่อค่าเงินดอง (VND) การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่จะทำให้ความต้องการนำเข้าสินค้าและเครื่องจักรเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดลดลงและสร้างแรงกดดันให้ค่าเงินอ่อนตัวในระยะสั้น

และมีการคาดการณ์ว่าอัตราแลกเปลี่ยน USD/VND อาจอ่อนค่าลงไปอยู่ที่ระดับ 26,900 ภายในสิ้นปี 2026 และธนาคารกลางเวียดนามน่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 4.50% เพื่อดูแลเสถียรภาพของเศรษฐกิจ

แต่ในระยะกลางถึงระยะยาว หากการปฏิรูปเหล่านี้สำเร็จผล จะได้เห็นภาพที่แตกต่างออกไปอย่างชัดเจน

เมื่อประสิทธิภาพการผลิตของประเทศสูงขึ้น เงินเฟ้อจะค่อยๆ ลดลง ดุลบัญชีเดินสะพัดจะกลับมาดีขึ้น และการอ่อนค่าของเงินดองจะชะลอตัวลงสู่ระดับที่สมเหตุสมผล การเติบโตของเวียดนามจะไม่ได้มาจากแรงงานราคาถูกอีกต่อไป แต่จะขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี

เรื่องราวของ “โด๋ยเม้ย 2.0” จึงเป็นการเดิมพันครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของเวียดนาม มันคือการเดิมพันที่จะตัดสินว่าเวียดนามจะสามารถก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลางและผงาดขึ้นเป็นประเทศพัฒนาแล้วได้สำเร็จภายในปี 2045 ตามที่ตั้งเป้าไว้ได้หรือไม่

เวียดนามกำลังบอกกับโลกใบนี้ว่า พวกเขาไม่ได้พอใจกับความสำเร็จในอดีต แต่กำลังเขียนประวัติศาสตร์บทใหม่ด้วยความกล้าหาญและความทะเยอทะยานที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม ซึ่งบทสรุปของเรื่องราวนี้จะเป็นอย่างไร เวลาเท่านั้นที่จะเป็นผู้ให้คำตอบ

References : [Nikkei Asia, Bloomberg, MUFG, Vietnam Investment Review]