ในโลกของธุรกิจที่เต็มไปด้วยการแข่งขันอันโหดเหี้ยม การยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือคู่แข่งที่กำลังอ่อนแอ ถือเป็นเรื่องที่แทบจะไม่มีใครทำกัน
แต่เรื่องที่ไม่น่าเชื่อนี้ก็เกิดขึ้นแล้ว เมื่อ NVIDIA บริษัทชิปที่ร้อนแรงที่สุดในโลกเวลานี้ ประกาศทุ่มเงินมหาศาลถึง 5 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 180,000 ล้านบาท เข้าลงทุนใน Intel ยักษ์ใหญ่ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นราชา แต่ตอนนี้กำลังหลงทาง
ดีลนี้สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนในวงการเทคโนโลยี เพราะมันดูขัดกับตรรกะทางธุรกิจทุกอย่าง
NVIDIA ที่กำลังวิ่งนำอยู่หัวแถว จะหันกลับไปฉุดคนที่กำลังจะล้มอย่าง Intel ขึ้นมาทำไม?
เรื่องนี้ไม่ใช่การกุศล และมันซับซ้อนกว่าที่เราเห็น นี่คือเกมกระดานชิ้นใหม่ ที่มีอนาคตของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เป็นเดิมพัน
ภาพที่ยืนยันว่าดีลนี้ไม่ธรรมดา คือภาพของ Jensen Huang ซีอีโอของ NVIDIA ในงานแถลงข่าว
ชายคนนี้มีภาพจำคือเสื้อแจ็คเก็ตหนังสีดำ ที่เขาสวมใส่แทบจะทุกงานจนเป็นเอกลักษณ์ แต่วันนี้ เขากลับสวมสูทเต็มยศ เคียงข้าง Lip-Bu Tan ซีอีโอของ Intel
การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ นี้ คือสัญญาณที่บอกว่านี่คือเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์
ลองนึกภาพตามนะครับ ฝั่งหนึ่งคือ NVIDIA ราชาองค์ใหม่แห่งโลก AI ชิปของพวกเขาคือหัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกแทบทุกอย่างในปัจจุบัน
ส่วนอีกฝั่งคือ Intel อดีตจักรพรรดิแห่งโลก PC ผู้สร้างมาตรฐานให้วงการคอมพิวเตอร์มาหลายทศวรรษ แต่ในช่วงสิบปีหลัง พวกเขากลับเดินสะดุดครั้งแล้วครั้งเล่า จนสูญเสียความเป็นผู้นำไป
ภาพที่เกิดขึ้นจึงเป็นการจับมือกันระหว่าง “อดีต” และ “ปัจจุบัน” ของโลกเทคโนโลยี
คำถามสำคัญที่ทุกคนอยากรู้คำตอบก็คือ เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมราชาองค์ปัจจุบันต้องหันไปพยุงอดีตราชาที่กำลังโรยรา นี่คือแผนการอะไรซ่อนอยู่กันแน่
เพื่อจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด เราต้องย้อนกลับไปดูบาดแผลในอดีตของ Intel และเกมการเมืองที่ NVIDIA กำลังเผชิญอยู่
เรื่องราวของ Intel ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา คือกรณีศึกษาชั้นดีของคำว่า “ต้นทุนของการพลาดโอกาส”
ย้อนกลับไปในยุคที่ Intel ยิ่งใหญ่เกรียงไกร พวกเขาคือผู้กำหนดทุกอย่างด้วยสโลแกน “Intel Inside” ที่ทุกคนคุ้นหู และเป็นผู้ขับเคลื่อนกฎของ Moore (Moore’s Law) ที่ว่าคอมพิวเตอร์จะแรงขึ้นสองเท่าในทุกๆ สองปี
แต่ความผิดพลาดครั้งประวัติศาสตร์ก็เกิดขึ้น เมื่อ Steve Jobs ติดต่อ Intel เพื่อให้ผลิตชิปสำหรับโทรศัพท์รุ่นแรกที่ชื่อว่า iPhone
ในเวลานั้น ผู้บริหารของ Intel ปฏิเสธโอกาสนั้นไป เพราะมองว่ากำไรต่อหน่วยมันน้อยเกินไป และไม่เชื่อว่าโทรศัพท์หน้าตาแปลกๆ นี้จะขายได้ดี
นั่นคือการตัดสินใจที่เปลี่ยนโลกไปตลอดกาล เพราะมันทำให้ Intel ตกขบวนรถไฟที่ชื่อว่า “สมาร์ทโฟน” และเปิดประตูให้สถาปัตยกรรมของ Arm เข้ามาครองโลกมือถือแทน
เมื่อหมดยุค PC และโลกเข้าสู่ยุค Mobile เต็มตัว Intel ก็เริ่มสูญเสียความสำคัญลงไป
เท่านั้นยังไม่พอ ในตลาด CPU ที่เป็นเหมือนบ้านของตัวเองแท้ๆ พวกเขาก็เริ่มถูกคู่แข่งตลอดกาลอย่าง AMD แซงหน้าไปอย่างเจ็บปวด
AMD ภายใต้การนำของซีอีโอหญิงแกร่งอย่าง Lisa Su ได้สร้างนวัตกรรมที่เรียกว่า Chiplets ซึ่งเป็นการนำชิปเล็กๆ หลายตัวมาประกอบกันเหมือนตัวต่อเลโก้
แนวคิดนี้ทำให้ชิปของ AMD มีประสิทธิภาพสูงขึ้นในต้นทุนที่ต่ำลง จนสามารถเอาชนะชิปของ Intel ได้ในหลายๆ การทดสอบ และแย่งส่วนแบ่งการตลาดไปอย่างต่อเนื่อง
ซ้ำร้าย เทคโนโลยีการผลิตชิปของ Intel ก็เริ่มล้าหลังกว่าคู่แข่งอย่าง TSMC จากไต้หวัน ซึ่งเป็นบริษัทที่รับจ้างผลิตชิปให้กับทั้ง Apple, AMD และแม้แต่ NVIDIA เอง
เรียกได้ว่า Intel กำลังเผชิญกับวิกฤติรอบด้าน ทั้งเสียตลาดเดิม, เข้าตลาดใหม่ไม่ทัน และเทคโนโลยีการผลิตก็ตามหลังคู่แข่ง
ดังนั้น การที่ NVIDIA ยื่นมือเข้ามาพร้อมเงินทุนก้อนมหึมา มันจึงเป็นมากกว่าแค่เรื่องเงิน
แต่มันคือการส่งสัญญาณไปยังทั่วโลกว่า Intel ยังไม่ตาย และยังมีอนาคต มันคือยาชุบชีวิตที่ Lip-Bu Tan กำลังต้องการมากที่สุด
แล้วฝั่ง NVIDIA ล่ะ? พวกเขากำลังอยู่บนจุดสูงสุด ทุกอย่างดูเหมือนจะสมบูรณ์แบบ แล้วทำไมต้องมาเสี่ยงกับ Intel?
คำตอบก็คือ ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของ NVIDIA กำลังสร้างจุดอ่อนที่อันตรายอย่างยิ่งให้กับตัวเอง
จุดอ่อนแรกคือ “ความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทาน” ชิป AI ที่ล้ำสมัยทั้งหมดของ NVIDIA ไม่ได้ผลิตเอง แต่จ้าง TSMC ที่ไต้หวันผลิตให้ทั้งหมด
มันหมายความว่าชะตากรรมของบริษัทที่ร้อนแรงที่สุดในโลก ถูกฝากไว้กับโรงงานบนเกาะเล็กๆ ที่เป็นจุดเปราะบางทางภูมิรัฐศาสตร์มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
นี่คือความเสี่ยงที่ใหญ่เกินกว่าที่บริษัทระดับนี้จะยอมรับได้
จุดอ่อนที่สองคือ “แรงกดดันทางการเมือง” ตอนนี้สงครามเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีนกำลังทวีความรุนแรงขึ้น
รัฐบาลสหรัฐฯ พยายามกีดกันไม่ให้จีนเข้าถึงชิป AI ที่ล้ำสมัย ซึ่งจีนเป็นตลาดที่ใหญ่มากของ NVIDIA ทำให้บริษัทถูกบีบอยู่ตรงกลางระหว่างผลประโยชน์ทางธุรกิจกับนโยบายของรัฐบาล
ทั้งหมดนี้ทำให้ Jensen Huang ตระหนักว่า การมีแค่เทคโนโลยีที่ดีที่สุดอย่างเดียวไม่พอ แต่พวกเขาต้องการพันธมิตรที่ทรงพลังในบ้านเกิดของตัวเองด้วย
และพันธมิตรที่เหมาะสมที่สุดในเกมนี้ ก็คือ Intel นั่นเอง
เพราะในสายตาของรัฐบาลสหรัฐฯ Intel ไม่ใช่แค่บริษัทเอกชน แต่คือ “สมบัติของชาติ”
Intel เป็นบริษัทสัญชาติอเมริกันเพียงแห่งเดียว ที่มีความสามารถทั้งในการออกแบบและ “ผลิต” ชิปได้เองบนแผ่นดินอเมริกา
รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังทุ่มเงินหลายหมื่นล้านดอลลาร์ผ่านกฎหมาย CHIPS Act เพื่อดึงอุตสาหกรรมการผลิตชิปกลับสู่มาตุภูมิ และ Intel คือหัวใจของแผนการนี้
ดังนั้น การที่ NVIDIA เข้าไปลงทุนใน Intel จึงเป็นการเดินหมากที่ชาญฉลาดอย่างยิ่ง
มันคือการส่งสัญญาณว่า NVIDIA พร้อมที่จะสนับสนุนนโยบายของชาติ และเป็นการสร้างพันธมิตรที่จะช่วยลดการพึ่งพา TSMC ในอนาคต
พวกเขาไม่ได้กำลังซื้อหุ้นของบริษัทที่กำลังลำบาก แต่กำลังซื้อ “เกราะกำบังทางการเมือง” และ “หลักประกันสำหรับอนาคต” ของตัวเอง
เมื่อเราเข้าใจภาพทั้งหมดแล้ว การจับมือกันของสองยักษ์ใหญ่ในครั้งนี้ ก็คือสถานการณ์ที่ได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่ายอย่างแท้จริง
Intel ได้รับเงินทุนเพื่อต่อลมหายใจ ได้ความเชื่อมั่นกลับคืนมา และที่สำคัญคือได้เข้าถึงเทคโนโลยีสำคัญของ NVIDIA อย่าง NVLink เพื่อนำไปพัฒนา CPU สำหรับตลาด Data Center ที่พวกเขาเคยเป็นรอง
ในขณะเดียวกัน NVIDIA ก็ได้พันธมิตรด้านการผลิตในสหรัฐฯ มาเป็นตัวเลือกสำรอง ลดความเสี่ยงจากไต้หวัน และยังได้ช่องทางใหม่ในการนำ GPU ของตัวเองไปรวมกับ CPU ของ Intel เพื่อบุกตลาดแล็ปท็อปอีกมหาศาล
แต่ที่สำคัญที่สุด คือพวกเขาได้สร้างสายสัมพันธ์อันดีกับรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้ในยุคที่การเมืองและเทคโนโลยีกำลังหลอมรวมเป็นเรื่องเดียวกัน
การรวมพลังของสองบริษัทอเมริกันในครั้งนี้ จึงเป็นมากกว่าแค่ดีลธุรกิจ
มันคือการก่อตัวของ “ขั้วอำนาจใหม่” ในวงการเซมิคอนดักเตอร์ ที่พร้อมจะท้าทายคู่แข่งจากทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น AMD, TSMC หรือ Samsung
และที่สำคัญมันเป็นจุดเริ่มต้นของบทใหม่ในมหากาพย์สงครามชิป ที่มีอนาคตของโลกเทคโนโลยีเป็นเดิมพัน และการเดินหมากครั้งนี้ของ NVIDIA ก็ได้เปลี่ยนหน้าตาของกระดานนี้ไปตลอดกาล
References : [reuters, bloomberg, nvidianews, techcrunch, anandtech]





