เบื้องหลังหุ้นพุ่งทะยานของ Palantir ผู้ชนะที่แท้จริงในสงคราม เมื่อความขัดแย้งทั่วโลกคือเงินทองของพวกเขา

ทุกวันนี้บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่มักจะคุยโวโอ้อ้วยว่าพวกเขา “กำลังเชื่อมโยงโลก” แต่จริงๆ แล้วพวกเขากำลังทำอะไรกันแน่? หลายคนมองว่าพวกเขาแค่สร้างแพลตฟอร์มอย่าง Facebook , Instagram หรือ TikTok ที่ทำให้ผู้คนเสพติด

ท่ามกลางบริษัทเทคโนโลยีทั้งหลาย มี Palantir ที่เป็นยูนิคอร์นจาก Silicon Valley ซึ่งมีผลการดำเนินงานเติบโตแบบก้าวกระโดดที่สุดในปีที่ผ่านมา หลายคนอาจคิดว่าพวกเขาทำบริการสตรีมมิ่ง แอปเช่าบ้าน หรือหูฟังไร้สาย

แต่ Palantir แตกต่างจากบริษัทเทคอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง พวกเขาพูดอย่างเปิดเผยว่า “เราสร้างห่วงโซ่การสังหารดิจิทัล” และ “ผลิตภัณฑ์ของเราถูกใช้เพื่อฆ่าผู้คน”

เว็บไซต์ของ Palantir อธิบายว่าพวกเขาทำงานเกี่ยวกับการใช้ AI ตัดสินใจแทนมนุษย์และส่งมอบผลลัพธ์ให้กับสถาบันที่ทรงพลังที่สุดของโลกตะวันตก ถึงจะฟังดูซับซ้อน แต่มีอย่างหนึ่งที่ชัดเจน นั่นคือพวกเขาทำเงินมหาศาล

หุ้นของ Palantir พุ่งทะยานอย่างไม่น่าเชื่อ พุ่งกระฉูดถึง 340% ในปี 2024 ทำให้บริษัทมีมูลค่ากว่า 250 พันล้านดอลลาร์ เทียบเท่ากับยักษ์ใหญ่อย่าง AT&T, IBM และ Cisco เลยทีเดียว

Sharon Weinberger บรรณาธิการด้านความมั่นคงแห่งชาติของ Wall Street Journal ผู้มีประสบการณ์โชกโชนกับอุตสาหกรรมการป้องกันของสหรัฐฯ กว่า 20 ปี เล่าว่า Palantir เริ่มต้นในปี 2003 ระหว่างสงครามต่อต้านการก่อการร้าย

ช่วงนั้นกองทัพอเมริกากำลังเผชิญปัญหาใหญ่ในอัฟกานิสถานและอิรัก นั่นคือระเบิด IEDs ที่กำลังฆ่าทหารในอัตราที่น่าสะพรึงกลัว Palantir จึงเสนอตัวเข้ามาช่วย

พวกเขารังสรรค์แนวคิดในการรวบรวมข้อมูลมหาศาลที่กระทรวงกลาโหมเก็บรวบรวมจากสนามรบ นำมาวิเคราะห์ในฐานข้อมูล เพื่อระบุผู้ก่อการร้าย ซึ่งเป็นแนวทางที่สุดยอดมากในยุคนั้น

ปัจจุบัน Palantir ได้พัฒนาตัวเองเป็น “ผู้แก้ปัญหา” ให้กับกระทรวงกลาโหม พวกเขาบอกว่า “คุณมีปัญหา เราจะแก้ไขมัน” เป็นการวางตำแหน่งที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง

สิ่งที่ทำให้ Palantir เจ๋งมาก ๆ คือความกล้าที่จะประกาศตัวว่าทำงานกับกองทัพ พวกเขาพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “เราให้บริการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงกลาโหมทำสงคราม” ซึ่งเป็นแนวคิดที่ไม่เคยมีมาก่อนในปี 2003

Mark O’Mara นักประวัติศาสตร์และศาสตราจารย์ผู้ศึกษาการเมืองและธุรกิจอเมริกัน บอกว่า Palantir กำลังช่วยทำลายล้างระบบการทำสัญญาแบบดั้งเดิมของกระทรวงกลาโหม

ปกติแล้ว มีผู้รับเหมารายใหญ่เพียงไม่กี่รายที่ผูกขาดสัญญาขนาดใหญ่และมักมีค่าใช้จ่ายเกินงบประมาณ ทำให้งบกลาโหมบวมโต การมีบริษัทใหม่ๆ เข้ามาแข่งขันจึงเป็นเรื่องดี

Palantir ประสบความสำเร็จในการทำสัญญากับรัฐบาลอย่างมาก ส่วนหนึ่งเพราะพวกเขาจ้างพนักงานระดับสูงจากหน่วยงานรัฐบาลจำนวนมาก

ผู้บริหารระดับสูงของ Palantir หลายคนได้รับการแต่งตั้งโดย Trump ให้ดำรงตำแหน่งสำคัญในรัฐบาล สร้างความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับรัฐบาล ทำให้ได้ข้อมูลจากคนวงในที่ทำงานในภารกิจสำคัญของกองทัพ

ตั้งแต่ปี 2009 Palantir ได้ทำสัญญากับกระทรวงกลาโหมมากกว่า 1.3 พันล้านดอลลาร์ สำหรับโครงการสุดล้ำต่างๆ มากมาย

พวกเขาพัฒนาแพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูล Vantage ของกองทัพ, กระเป๋าคอมพิวเตอร์ดาวเทียม AI แบบ James Bond และระบบโดรนที่ควบคุมด้วย AI ชื่อ Project Maven

ที่เจ๋งสุดๆ คือ Titan ยานพาหนะที่ควบคุมด้วย AI ตัวแรกของกองทัพ ซึ่งลดเวลาจากการตรวจจับเป้าหมายถึงการยิง ลดภาระทหาร และช่วยให้ยิงแม่นยำในระยะไกล

แต่ความร่วมมือของพวกเขาไม่ได้จำกัดอยู่แค่ด้านทหาร ในช่วงโควิด-19 สหรัฐฯ ได้ทำสัญญากับ Palantir เพื่อติดตามข้อมูลการระบาดและพัฒนาระบบแจกจ่ายวัคซีน

มีรายงานว่า Palantir ยังช่วยหน่วยงาน Immigration and Customs Enforcement (ICE) พัฒนาระบบเฝ้าระวังและวางแผนปฏิบัติการด้วยสัญญาเริ่มต้นมูลค่าสูงถึง 127 ล้านดอลลาร์

ในช่วงทศวรรษ 2010 ตำรวจนิวออร์ลีนส์ร่วมมือกับ Palantir อย่างลับๆ เพื่อทดสอบเทคโนโลยีทำนายอาชญากรรม คล้ายๆ กับในหนัง Minority Report เลยทีเดียว

ทั่วโลก เทคโนโลยีของ Palantir ถูกใช้โดยกองทัพยูเครน กองทัพอิสราเอลสำหรับภารกิจสงคราม และโดยรัฐบาลอังกฤษเพื่อปรับปรุงระบบสุขภาพ NHS England

แต่ความร่วมมือเหล่านี้ก็สร้างความขัดแย้งไม่น้อย โดยเฉพาะประเด็นความเป็นส่วนตัว กลุ่มเสรีภาพพลเมืองแสดงความกังวลเรื่องการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล

Palantir ไม่ได้หยุดอยู่แค่งานด้านความมั่นคง พวกเขาขยายธุรกิจสู่ภาคเอกชนได้อย่างน่าทึ่ง ขายผลิตภัณฑ์ให้ธนาคารและหน่วยงานกำกับดูแลเพื่อต่อต้านการฟอกเงิน

บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่อย่าง BP เป็นพันธมิตรระยะยาวที่ใช้ซอฟต์แวร์ของ Palantir สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล และยังมีลูกค้าอื่นๆ อีกมากมาย

ลูกค้า AI ของ Palantir รวมถึงบริษัทชั้นนำอย่าง United Airlines, Lowe’s, General Mills และ Tampa General Hospital ทำให้รายได้เชิงพาณิชย์ในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 54% ในปีที่ผ่านมา

การเติบโตแบบก้าวกระโดดนี้ส่วนหนึ่งมาจากการปรับเปลี่ยนโฟกัสของบริษัทจากการเฝ้าระวังข้อมูลในช่วงแรก มาเป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ AI สุดล้ำในปัจจุบัน

เบื้องหลังความสำเร็จของ Palantir คือผู้ก่อตั้งที่มีวิสัยทัศน์อย่าง Peter Thiel และ Alex Karp โดย Thiel มักอยู่ในมุมมืด ส่วน Karp เป็นผู้นำที่พูดจาตรงไปตรงมา

Karp มีแฟนคลับมากมายในหมู่นักลงทุนรายย่อย โดยเฉพาะชุมชน Reddit ที่มีคนติดตามราว 100,000 คน บางคนถึงกับเรียกเขาว่า “Daddy Karp”

Karp ตอบสนองด้วยคำพูดที่ทะลึ่งและน่าตกใจ เช่น “ผมไม่คิดในแง่ชนะแพ้ ผมคิดในแง่การครอบงำ แทบไม่มีอะไรทำให้มนุษย์มีความสุขมากไปกว่าการเอาโคเคนไปจากพวกขายชอร์ต”

Alex Karp เป็นตัวละครที่ลึกลับซับซ้อน ในด้านหนึ่ง เขาร่วมมือกับ Peter Thiel นักสนับสนุนฝ่ายขวาและผู้ให้ทุน Trump ในปี 2016 เพื่อสร้างบริษัทเฝ้าระวังข้อมูลต่อต้านการก่อการร้าย

แต่อีกด้าน Karp กลับสนับสนุน Kamala Harris ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีล่าสุด บริจาคให้พรรคเดโมแครตบ่อยครั้ง และใช้ชีวิตแบบที่ไม่เหมือนกับผู้บริหารเทคโนโลยีทั่วไป

Karp มาจากพื้นฐานฝ่ายซ้าย ขณะที่ Thiel เป็นที่รู้จักในฐานะนักอนุรักษ์นิยมที่พูดตรงๆ แม้จะมีแนวคิดทางการเมืองต่างกัน แต่ทั้งคู่มีความเชื่อร่วมกันคล้ายยุคสงครามเย็น

พวกเขาเชื่อในความจำเป็นของความร่วมมือระหว่างอุตสาหกรรมเอกชนกับสถาบันป้องกันประเทศ เพื่อให้เทคโนโลยีที่ดีที่สุดอยู่ในมือของรัฐบาลสหรัฐฯ

ความสัมพันธ์ที่ Karp และ Palantir กำลังผลักดันทั้งเทคโนโลยีและกระทรวงกลาโหมไม่ใช่เรื่องใหม่ทั้งหมด แต่เป็นการหวนกลับไปสู่โมเดลแบบเก่า

Karp เปิดเผยว่าเขาชื่นชอบอุตสาหกรรมเทคโนโลยีแบบดั้งเดิม ที่มี Lockheed เป็นนายจ้างรายใหญ่ใน Silicon Valley จนถึงทศวรรษ 1980 ยุคที่กระทรวงกลาโหมสร้างอินเทอร์เน็ต

เขายังยกตัวอย่างโครงการแมนฮัตตันที่ Oppenheimer รวบรวมนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรเทพที่สุดในสหรัฐฯ เพื่อร่วมมือกับรัฐบาล เป็นตัวอย่างที่ควรทำตาม

ในหนังสือล่าสุด Karp โต้แย้งว่าอุตสาหกรรมเทคโนโลยีหลงทางในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา โดยมุ่งเน้นแค่ผลิตภัณฑ์สำหรับผู้บริโภคที่ไม่ได้พัฒนาสังคมอย่างแท้จริง

เขาเสนอว่าอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ควรกลับมาสร้างความสัมพันธ์กับรัฐบาลใหม่ เพื่อปกป้องตะวันตก แม้ว่าหลายคนจะรู้สึกไม่ดีกับแนวคิดนี้ก็ตาม

Karp แยกตัวเองจากผู้นำเทคโนโลยีร่วมสมัยด้วยความเปิดเผยเรื่องความรักชาติและการยอมรับว่าผลิตภัณฑ์ของบริษัทถูกใช้ในการปฏิบัติการทางทหาร

แนวคิดนี้กำลังได้รับการยอมรับมากขึ้นในหมู่บริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ ที่เริ่มเปิดเผยความสัมพันธ์กับวอชิงตัน ดี.ซี. แทนที่จะแกล้งทำเป็นไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล

แม้ว่า Palantir จะมีความทะเยอทะยานสูงส่ง แต่ยังไม่แน่ชัดว่าพวกเขาจะปฏิวัติอุตสาหกรรมการป้องกันและล้มล้างยักษ์ใหญ่อย่าง Lockheed Martin, Boeing หรือ Raytheon ได้หรือไม่

พวกเขายังไม่ได้พิสูจน์ว่าสามารถสร้างระบบอาวุธหลักได้เจ๋งกว่าบริษัทเหล่านี้ แต่มีความเป็นไปได้ว่า Palantir อาจเป็นตัวแทนของอนาคตในอุตสาหกรรมนี้

ความแตกต่างชัดเจนระหว่าง Palantir กับบริษัทป้องกันแบบดั้งเดิมคือการสื่อสารต่อสาธารณะ ผู้บริหารของ Lockheed Martin หรือ Raytheon แทบไม่เคยแสดงความเห็นเรื่องการเมืองโลก

Palantir กำลังทำสิ่งที่แตกต่างโดยพยายามขายตัวเองให้กับสังคมโดยรวม พวกเขาสร้างวัฒนธรรมที่บอกว่า “การทำงานกับเพนตากอนไม่ใช่ธุรกิจที่สกปรก แต่เป็นการช่วยปกป้องประเทศ”

ความสำเร็จในระยะยาวของแนวทางนี้ยังเป็นสิ่งที่ต้องติดตาม แต่สิ่งที่ชัดเจนคือ Palantir กำลังท้าทายรูปแบบการทำธุรกิจเดิมในอุตสาหกรรมการป้องกันและความมั่นคง

ในอนาคต บทบาทของบริษัทอย่าง Palantir และความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยีกับความมั่นคงจะยิ่งสำคัญ เมื่อเราเข้าสู่ยุค AI และเทคโนโลยีขั้นสูงนั่นเองครับผม

จาก ‘สาธารณรัฐ Samsung’ สู่วิกฤตครั้งใหญ่ เมื่อตระกูล Lee สั่นคลอน กับปัจจัยที่ดึงเกาหลีใต้ทั้งประเทศร่วมเสี่ยง

ข่าวใหญ่วงการเทคโนโลยีที่กำลังกระฉ่อนไปทั่วโลกตอนนี้คือการที่ Samsung ประกาศว่าบริษัทกำลังเผชิญภาวะวิกฤต! เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เพราะ Samsung ไม่ใช่แค่บริษัทธรรมดา แต่เป็นราชวงศ์ธุรกิจที่ส่งต่ออำนาจจากรุ่นสู่รุ่น

Samsung เป็นเหมือนพี่ใหญ่ที่ขับเคลื่อนเกาหลีใต้ ด้วยสัดส่วนถึง 20% ของ GDP ทั้งประเทศ มีบริษัทน้อยมากในโลกที่มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจบ้านเกิดขนาดนี้ จนมีคนล้อเรียกเกาหลีใต้ว่าเป็น “สาธารณรัฐ Samsung”

ในสายตาคนอเมริกาหรือชาติอื่นๆ อาจรู้จัก Samsung แค่เป็นแบรนด์มือถือหรืออิเล็กทรอนิกส์ แต่ในเกาหลีใต้ Samsung มีอิทธิพลไปในทุกภาคส่วนของธุรกิจ เพราะพวกเขาแฝงตัวไปแทบทุกวงการที่คุณนึกออก

บริษัทในเครือมีถึง 80 แห่ง Samsung Electronics เป็นเรือธงหลัก แต่พวกเขายังครองตลาดด้านการก่อสร้าง อสังหาฯ อาหาร การเงิน ประกันชีวิต สุขภาพ รวมถึงสร้างรถหุ้มเกราะ เรือบรรทุกน้ำมัน มีธุรกิจเสื้อผ้า ความบันเทิง และยังมีโรงพยาบาลอีกต่างหาก

ที่โคตรเจ๋งคือบริษัทยิ่งใหญ่ขนาดนี้เริ่มต้นจากการขายผักและบะหมี่แห้ง ต้นปี 2024 Samsung Electronics มีมูลค่า 400 พันล้านดอลลาร์ แต่พอถึงกรกฎาคม 2024 ความหายนะก็เกิดขึ้น

นักลงทุนต่างชาติเริ่มเทขายหุ้น Samsung จนมูลค่าหายวับไป 122 พันล้านดอลลาร์ในเวลาแค่ไม่กี่เดือน หรือเกือบครึ่งหนึ่งของมูลค่าบริษัท! การดิ่งลงเหวขนาดนี้น่าเป็นห่วงมาก โดยเฉพาะสำหรับบริษัทที่ผูกพันกับ GDP ของทั้งประเทศ

อะไรทำให้เกิดการตื่นตระหนกครั้งนี้? แม้ว่าตลาดหุ้นแค่ข่าวลือก็ทำให้หุ้นลดฮวบได้ แต่ความจริงแล้วมีมุมมืดซ่อนอยู่เบื้องหลัง Samsung ถึงขั้นปรับเปลี่ยนผู้บริหารและบังคับให้ผู้บริหารทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์เพื่อแก้วิกฤต

คำถามใหญ่คือ Samsung มีปัญหาร้ายแรงจริงหรือ? แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับ Samsung การเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร และผลกระทบที่มีต่อบริษัทระดับโลกนี้

ก่อนจะเข้าใจปัญหา เราต้องรู้ก่อนว่า Samsung ทำงานต่างจากบริษัทตะวันตก Samsung เป็น “chaebol” (แชโบล) หรือกลุ่มธุรกิจครอบครัวที่ส่งต่ออำนาจจากรุ่นสู่รุ่น คล้ายกับถ้า Zuckerberg จะมอบอาณาจักรให้ลูก

ตระกูล Lee ของ Samsung เป็นตระกูลที่ทรงอิทธิพลสุดในเกาหลี Miky Lee ผู้อำนวยการสร้างหนังดัง “Parasite” ก็เป็นทายาท Samsung และมีบทบาทสำคัญในการผลักดันวัฒนธรรมเกาหลีสู่กระแสหลัก

การเป็นบริษัทแชโบลทำให้อำนาจส่วนใหญ่อยู่ในมือตระกูล Lee ผู้ก่อตั้ง ซึ่งสร้างความท้าทายมากมาย มีคดีทุจริตและคดีความหลายครั้งที่ทำให้ภาพลักษณ์ Samsung ไม่ดีนัก

Jeffrey Kane ผู้เขียนหนังสือ “Samsung Rising” เคยกล่าวว่า “ผู้นำ Samsung ทุกคนเคยขึ้นศาลมาแล้ว ไม่ว่าจะถูกกล่าวหา ถูกตัดสินว่าผิด หรือติดคุกด้วยข้อหาหลบเลี่ยงภาษี ติดสินบน ยักยอกเงิน หรือให้การเท็จ”

คดีใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งเกิดขึ้นในปี 2017 เมื่อ Lee Jae-yong ทายาทของบริษัทเข้าไปพัวพันกับคดีติดสินบน Lee ถูกกล่าวหาว่าเสนอเงิน 38 ล้านดอลลาร์ให้บริษัท 4 แห่งที่บริหารโดยเพื่อนของประธานาธิบดี

หนึ่งในบริษัทนั้นอยู่ในเยอรมนีและให้บริการฝึกขี่ม้าแก่ลูกสาวของเพื่อนประธานาธิบดี เพื่อแลกกับการช่วยเหลือจากรัฐบาลในการควบรวมกิจการที่จะให้อำนาจควบคุม Samsung มากขึ้น

คดีนี้สั่นคลอนความเชื่อมั่นของประชาชนและนักลงทุน แต่ภายในปี 2022 เขาได้รับการปล่อยตัวและกลับมาเป็นประธานบริหาร Samsung Electronics อีกครั้ง เพราะรัฐบาลเกาหลีบอกว่า Samsung สำคัญเกินกว่าที่รัฐบาลจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว

Samsung ยังมีชื่อเสียงในเรื่องลำดับชั้นการบริหารที่เข้มงวด เมื่อธุรกิจไปได้สวย ระบบนี้ก็เข้าท่า แต่คนวงในบอกว่าเป็นวัฒนธรรมที่ขัดขวางนวัตกรรมและทำให้ปรับตัวตามตลาดที่เปลี่ยนแปลงเร็วได้ยาก

เมื่อพูดถึงการสูญเสียมูลค่า 122 พันล้านดอลลาร์ เราจำเป็นต้องแยกให้ชัดว่าเป็น Samsung Electronics โดยเฉพาะ มีสองแผนกหลักคือ แผนกประสบการณ์อุปกรณ์ (สมาร์ทโฟน ทีวี เครื่องใช้ไฟฟ้า) และแผนกโซลูชันอุปกรณ์ (ชิป จอแสดงผล)

เมื่อ Samsung Electronics ดิ่งลง 32% จากจุดสูงสุด นี่ดูเหมือนจะเป็นปัญหาใหญ่กว่าแค่ซีอีโอพลาด สาเหตุหลักมี 3 อย่าง: พลาดโอกาสด้าน AI, เสียเปรียบด้านชิป และการเปลี่ยนแปลงผู้นำที่วุ่นวาย

1. พลาดขบวนรถไฟ AI

เมื่อ AI แบบ generative บูม เกิดการแย่งชิงโอกาสทางธุรกิจอย่างบ้าคลั่ง Microsoft, Google และโดยเฉพาะ Nvidia ชิงพื้นที่อย่างเต็มตัว Nvidia ที่ผลิต GPU สำหรับ AI มีมูลค่าพุ่งทะยานเกิน 1 ล้านล้านดอลลาร์

แต่ Samsung กลับยืนมองอยู่ข้างสนาม พวกเขาล้าหลังในการผลิตหน่วยความจำแบนด์วิธสูง (HBM) ซึ่งเป็นชิปพิเศษที่ใช้ในระบบกราฟิกระดับสูงอย่าง Nvidia H100 ที่ขับเคลื่อนเทคโนโลยี AI

ในดีลสุด Exclusive Samsung ควรผลิตชิปหน่วยความจำพิเศษให้ Nvidia แต่กลับทำพลาด ชิปไม่ผ่านมาตรฐานด้านความร้อนและประสิทธิภาพพลังงานที่ Nvidia ต้องการ

ความล้มเหลวครั้งนี้มีราคาแพงมาก คู่แข่งอย่าง SK Hynix ฉวยโอกาสทองและตอนนี้กลายเป็นผู้จัดหาชิปเหล่านี้ให้ Nvidia แต่เพียงผู้เดียว

Samsung รู้ว่าพวกเขาพลาดท่า จึงออกมาขอโทษที่ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายด้านหน่วยความจำ AI ประสิทธิภาพสูง นักลงทุนยิ่งผิดหวังเมื่อกำไรไตรมาสล่าสุดต่ำกว่าคาดถึง 900 ล้านดอลลาร์

แม้จะทำกำไรได้ 6.78 พันล้านดอลลาร์ แต่การพลาดเป้าเกือบพันล้านไม่ใช่เรื่องน่ายินดี Samsung เข้าสู่โหมดตื่นตระหนก รองประธาน Kyung Kye-hyun ยอมรับว่าความล้มเหลวสร้างความกังวลเกี่ยวกับความสามารถทางเทคโนโลยีและทิศทางในอนาคต

วิกฤตนี้ทำให้บริษัทต้องจัดหนักสั่งให้ผู้บริหารทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์เพื่อกู้สถานการณ์ เรียกได้ว่าเป็นความพยายามแบบสุดทางเลยทีเดียว

2. สงครามชิปที่แพ้ราบคาบ

นอกจาก AI แล้ว ธุรกิจชิปของ Samsung ยังเผชิญความท้าทายในตลาดชิปสมาร์ทโฟน ชิป Exynos เป็นจุดอ่อนมานาน มีปัญหาทั้งความร้อน ประสิทธิภาพแบตเตอรี่ และประสิทธิภาพโดยรวมเมื่อเทียบกับชิป Snapdragon ของ Qualcomm

Samsung เองยังไม่เชื่อมั่นในชิป Exynos จนต้องใช้ Snapdragon แทนในสมาร์ทโฟนระดับเรือธง Galaxy ที่ขายในตลาดสำคัญ โดยเฉพาะอเมริกาเหนือ

คู่แข่งใหญ่ของ Samsung คือ TSMC ยักษ์ใหญ่จากไต้หวัน ธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ของ Samsung มียอดขายเกือบ 60 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 แต่ยังตามหลัง TSMC ที่ผลิตชิปได้ดีกว่า

TSMC ผลิตชิปที่มีประสิทธิภาพมากกว่า ใช้พลังงานน้อยกว่า และมีข้อบกพร่องน้อยกว่า ทำให้ได้สัญญากับลูกค้ารายใหญ่อย่าง Apple, Nvidia และ AMD

ในไตรมาสแรกปี 2024 ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ 10 อันดับแรกมีรายได้รวม 29.2 พันล้านดอลลาร์ โดย TSMC ครองส่วนแบ่งตลาดถึง 61.7% ขณะที่ Samsung มีเพียง 11% เท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้น Samsung ยังเผชิญการแข่งขันจากบริษัทจีนที่กำลังเติบโตแบบก้าวกระโดด ในภาคส่วนที่ไม่ถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตร เช่น ชิปรุ่นเก่าที่ใช้ในรถยนต์ เครื่องบิน เครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

3. ผู้นำวุ่นวาย บริษัทสั่นคลอน

Samsung พยายามแก้ปัญหาภายในด้วยการปรับเปลี่ยนผู้นำ ในเดือนพฤษภาคม 2024 ปลด Kyung Kye-hyun จากตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายชิป และนำ Jun-young Hong มาดูแลธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์หลัก

การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นก่อนที่นักลงทุนจะเทขายหุ้นในเดือนกรกฎาคม แสดงให้เห็นว่าผู้บริหารรู้ว่าบริษัทกำลังมีปัญหาและต้องเปลี่ยนแปลง แต่การปรับเปลี่ยนผู้นำนี้ไม่ใช่แค่เรื่องมุมมองใหม่

มันเป็นการตอบสนองต่อแรงกดดันที่จะแก้ไขประวัติศาสตร์อันยาวนานของการบริหารงานภายในที่ผิดพลาด บริษัทผ่านการเปลี่ยนแปลงผู้นำมาหลายครั้ง มีการแต่งตั้งซีอีโอใหม่ถึง 3 คนในปี 2021 ในแผนกสำคัญ

ความถี่ของการเปลี่ยนแปลงผู้นำบ่งชี้ถึงความไม่มั่นคงและอาจบ่งบอกว่าขาดกลยุทธ์ระยะยาวที่ชัดเจน การปรับเปลี่ยนล่าสุดเป็นเพียงความพยายามอีกครั้งที่จะฟื้นฟูผู้นำ แต่ยังไม่มีผลลัพธ์ที่ชัดเจน

ความวุ่นวายภายในนี้อาจเพิ่มการรับรู้ถึงความไม่มั่นคงของ Samsung ให้มากขึ้น ปัญหาเหล่านี้ทั้งการหยุดชะงักด้าน AI ความยากลำบากด้านชิป และความวุ่นวายในบริษัทหลายปีสร้างพายุที่สมบูรณ์แบบที่ทำลายหุ้นของ Samsung ให้เข้าสู่ตลาดหมี

ความหวังและความพยายามกู้วิกฤต

Samsung ทำอะไรได้บ้างเพื่อพลิกสถานการณ์? อย่างแรกคือนำ Junyang Hyan มานำแผนกเซมิคอนดักเตอร์ Jun เคยเป็นหัวหน้าแผนกแบตเตอรี่และโซลูชันพลังงานของ Samsung และมีบทบาทสำคัญในธุรกิจหน่วยความจำ

ตอนนี้เขามีภารกิจในการนำพาแผนกเซมิคอนดักเตอร์ผ่านวิกฤต ความหวังคือประสบการณ์ของเขาจะช่วยให้แผนกสำคัญนี้มั่นคงขึ้น โดยเฉพาะเมื่อความต้องการทั่วโลกผันผวน

พวกเขายังตัดสินใจลดต้นทุนอย่างหนัก มีแผนเลิกจ้างทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และออสเตรเลียที่อาจกระทบถึง 10% ของงานในภูมิภาค เป็นการตัดสินใจที่โหดเหี้ยม แต่จำเป็นเพื่อรักษาเสถียรภาพของบริษัท

มีพนักงานต่างประเทศ 15,000 คน ซึ่งเป็นมากกว่าครึ่งของพนักงาน Samsung ทั้งหมด แผนกโซลูชันอุปกรณ์ซึ่งดูแลหน่วยความจำและระบบรายงานกำไรลดลง 40% จากไตรมาสก่อน

ด้วยเหตุนี้ Samsung จึงวางแผนลดการผลิตลง 50% ภายในสิ้นปี 2024 เพื่อปรับตัวตามความต้องการที่ลดลงจากลูกค้าหลักในสหรัฐฯ และจีน พร้อมปรับกลยุทธ์การลงทุนโดยตัดโครงการรองเพื่อมุ่งเน้นธุรกิจหลักอย่างเซมิคอนดักเตอร์และเทคโนโลยีจอแสดงผล

มองอนาคต: วิกฤตหรือโอกาส?

แม้มูลค่าตลาดหายไป 122 พันล้านดอลลาร์และผู้บริหารระดับสูงกำลังปรับตัวอย่างหนัก แต่ทุกอย่างอาจไม่ได้มืดมนขนาดนั้น จุดแข็งหลักของ Samsung คือการมีธุรกิจที่หลากหลาย

แม้บางภาคส่วนจะได้รับผลกระทบ แต่ภาคส่วนอื่นๆ ยังช่วยพยุงบริษัทไว้ได้ ในกรณีนี้ ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ Samsung Electronics และเมื่อดูผลประกอบการล่าสุด เป็นภาพที่ผสมผสาน

รายได้อยู่ที่ 59.3 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 7% จากไตรมาสก่อน แต่กำไรจากการดำเนินงานลดลง 6.9 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากค่าใช้จ่ายครั้งเดียวรวมถึงเงินจูงใจในแผนกเซมิคอนดักเตอร์

มีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์อยู่บ้าง เช่น ยอดขายสมาร์ทโฟนและเทคโนโลยีจอแสดงผล โดยสรุปแล้ว แม้ Samsung Electronics จะเผชิญความท้าทาย โดยเฉพาะในด้านชิปหน่วยความจำและเซมิคอนดักเตอร์ แต่ไม่ได้เลวร้ายทั้งหมด

การเทขายหุ้นสะท้อนถึงการขาดความเชื่อมั่นในผู้นำและทิศทางของบริษัทมากกว่า ตลาดหุ้นมองไปที่อนาคตไม่ใช่สถานการณ์ปัจจุบัน

แม้จะไม่ใช่วิกฤตที่จะทำให้บริษัทล่มสลาย แต่การสูญเสียมูลค่า 122 พันล้านดอลลาร์ในเวลาอันสั้นเป็นความเสียหายครั้งใหญ่ และหากผู้นำไม่สามารถนำพาบริษัทไปในทิศทางที่ถูกต้อง อาจเสี่ยงต่อความตื่นตระหนกครั้งใหม่

ตลาดหุ้นมีความผันผวนง่าย ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยทั้งการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจโลก ความรู้สึกของนักลงทุน และเหตุการณ์ระยะสั้น แม้แต่แนวคิด “ใหญ่เกินกว่าจะล้ม” ก็ไม่ได้เป็นจริงเสมอไป

ต้องรอดูว่า Samsung จะฝ่าฟันต่อสู้กับวิกฤตครั้งนี้อย่างไร จะกลับมายิ่งใหญ่เหมือนเดิมหรือจะตกต่ำลงไปอีก ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการตัดสินใจในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ และวิธีที่พวกเขาจะรับมือกับความท้าทายในยุค AI ที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลกเทคโนโลยีอย่างถึงรากถึงโคน

ภาษีที่แพงขึ้น พันธมิตรที่หายไป เมื่อ Donald Trump กำลังมอบโลกให้จีนโดยไม่รู้ตัว

เรื่องราวของสองมหาอำนาจกำลังพลิกโฉมโลกใบนี้ไปอย่างสิ้นเชิง ขณะที่ Donald Trump ประกาศมาตรการภาษีศุลกากรรอบใหม่ รวมถึงทีมบริหารของเขาก็คุยโวเรื่องการเสริมกำลังพันธมิตรทางทหารในเอเชีย

หลายคนอาจจะคิดว่าประเทศจีนซึ่งถูกอเมริกามองว่าเป็นคู่แข่งหลักกำลังตกระกำลำบากกับสถานการณ์นี้ แต่ความจริงแล้วกลับตรงข้าม!

นโยบาย MAGA ของ Trump กำลังผลักดันให้ผู้นำจีนแก้ไขข้อผิดพลาดทางเศรษฐกิจที่เละเทะที่สุดของพวกเขา ยิ่งกว่านั้น ยังเปิดโอกาสให้จีนได้ขีดเขียนแผนที่ภูมิรัฐศาสตร์เอเชียใหม่เพื่อประโยชน์ของตัวเอง

ผลกระทบจากคำประกาศของ Trump นั้นโหดไม่เบา! ภาษีใหม่พุ่งกระฉูดถึงหลัก 100% หรือมากกว่านั้นหากรวมการยกเลิกข้อยกเว้นสำหรับพัสดุขนาดเล็ก

การส่งออกยังเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจจีน คิดเป็น 20% ของ GDP ซึ่งในอดีต จีนเคยใช้กลยุทธ์ในการเปลี่ยนเส้นทางห่วงโซ่การผลิตผ่านประเทศอื่น เช่น เวียดนาม เพื่อหลบเลี่ยงภาษีศุลกากรอเมริกา

แต่เล่ห์เหลี่ยมนี้จะได้ผลน้อยลงเมื่ออเมริกากำลังสร้างอุปสรรคทางการค้าระดับโลก และเวียดนามกำลังโดนในสิ่งเดียวกันกับที่จีนโดนแม้จะไม่โหดเท่าก็ตาม

สงครามการค้าครั้งนี้มาในจังหวะที่จีนกำลังถูกรุมเร้าด้วยปัญหามากโข ทั้งภาวะเงินฝืด วิกฤตอสังหาริมทรัพย์ และปัญหาประชากร

ช่วงห้าปีที่ผ่านมา พรรคคอมมิวนิสต์จีนละเลยการบริโภคภายในประเทศ และหันไปยอมรับแนวคิดรัฐนิยมที่จำกัดภาคเอกชน

นอกจากนี้ จีนยังส่งออกกำลังการผลิตส่วนเกินออกไป ทำให้ตลาดโลกเต็มไปด้วยสินค้าล้นตลาด อีกทั้งปลุกปั้นลัทธิชาตินิยมแบบก้าวร้าว

แนวคิดนี้สร้างความอึดอัดให้พันธมิตรของอเมริกาทั้งในเอเชียและยุโรป จนเกิดรอยร้าวในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

แต่ที่เจ๋งมาก ๆ คือแม้จะมีปัญหาทั้งหมดนี้ จีนกลับก้าวเข้าสู่ยุค MAGA รอบใหม่ด้วยความแข็งแกร่งที่มากกว่าในสมัยแรกของ Trump

ประธานาธิบดี Xi Jinping พูดมานานแล้วว่าอเมริกามีความแตกแยกและทำงานหนักเกินไปจนไม่อาจรักษาบทบาทผู้นำโลกได้ และหนึ่งในคำพูดฉาวโฉ่ของเขาคือการเตือนถึง “การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในรอบศตวรรษ”

แนวคิดชาตินิยมที่หวาดระแวงของเขาซึ่งเคยดูเหมือนการเพ้อฝัน ตอนนี้กลับเหมือนวิสัยทัศน์ล้ำสมัย ในขณะที่ Trump กำลังทำร้ายตัวเองอย่างช้า ๆ

Xi ได้เตรียมพร้อมสำหรับโลกวุ่นวายเช่นปัจจุบันตั้งแต่ขึ้นเป็นผู้นำจีนในปี 2012 เขาผลักดันให้ประเทศพึ่งพาตนเองทั้งด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยี

จีนลดความเปราะบางต่อมาตรการควบคุมของอเมริกาอย่างการคว่ำบาตรและการควบคุมการส่งออกได้อย่างดีเยี่ยม แม้ว่าธนาคารจีนยังต้องการเข้าถึงเงินดอลลาร์ แต่ปัจจุบันการชำระเงินระหว่างประเทศส่วนใหญ่นอกระบบธนาคารดำเนินการในรูปแบบของสกุลเงินหยวน

เศรษฐกิจภายในประเทศของจีนมีจุดแข็งหลายประการที่หลายคนมองข้าม การแข่งขันและการยอมรับเทคโนโลยีช่วยให้อุตสาหกรรมจีนเทพขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถเอาชนะคู่แข่งตะวันตกได้ในหลายด้าน ตั้งแต่ยานยนต์ไฟฟ้าไปจนถึงโดรน

ตัวอย่างที่เด่นชัดมาก ๆ ของศักยภาพจีนคือ DeepSeek ซึ่งเป็นสัญญาณว่าประเทศนี้สามารถสร้างนวัตกรรมเพื่อหลบหลีกการคว่ำบาตรเซมิคอนดักเตอร์ของอเมริกาได้

พรรคคอมมิวนิสต์รู้สึกภาคภูมิใจกับ AI ที่ผลิตในประเทศ สิ่งนี้อาจช่วยให้เทคโนโลยีแพร่กระจายทั่วจีนเร็วกว่าตะวันตก ซึ่งจะเพิ่ม Productivity ให้กับจีนอีกมากโข

ปัจจัยนี้ รวมกับสัญญาณที่ Xi อาจมีความอดทนกับผู้ประกอบการมากขึ้น ซึ่งมันอธิบายว่าทำไมตอนนี้ดัชนี MSCI ของหุ้นจีนถึงเพิ่มขึ้น 15% ในปี 2025 ในขณะที่หุ้นอเมริกันกลับดิ่งลงเหว

สี่ปีหลังจากฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์แตก เศรษฐกิจเริ่มส่งสัญญาณดีขึ้น ในบางเมือง เช่น เซี่ยงไฮ้และหนานจิง ราคาบ้านเริ่มสูงขึ้น

พรรคคอมมิวนิสต์ดำเนินมาตรการกระตุ้นการบริโภคแม้จะล่าช้า รัฐบาลท้องถิ่นสามารถปรับโครงสร้างหนี้ด้วยพันธบัตรใหม่มูลค่า 6 ล้านล้านหยวน และพันธบัตร “พิเศษ” อีก 4.4 ล้านล้านในปีนี้ โดยเงินพิเศษบางส่วนจะถูกส่งตรงไปยังภาคครัวเรือน

เพื่อใช้ประโยชน์จากโอกาสทางเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ พรรคคอมมิวนิสต์จำเป็นต้องเลิกกดขี่ภาคเอกชน แม้แต่ระบอบเผด็จการแบบเลนินของจีนก็ยังรู้ว่าการปราบปรามผู้ประกอบการเพื่อ “ความมั่งคั่งร่วมกัน” ที่เริ่มในปี 2021 นั้นเป็นสิ่งที่โหดเหี้ยมเกินไป

Li Qiang รองประธานาธิบดีของ Xi ได้กล่าวสุนทรพจน์เมื่อวันที่ 23 มีนาคม เพื่อเทิดทูน “มังกร” แห่งเมืองหางโจว ซึ่งเป็นเมืองหลวงแห่งนวัตกรรมจีน

เศรษฐกิจจีนต้องการมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มการบริโภค และความพยายามมุ่งมั่นในการรักษาเสถียรภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์

โอกาสทางเศรษฐกิจเหล่านี้ดำเนินควบคู่ไปกับโอกาสทางภูมิรัฐศาสตร์ นโยบายของอเมริกาต่อจีนมีความไม่ชัดเจน

นักการเมืองสายเหยี่ยวในคณะบริหารของ Trump ยืนยันว่า การที่อเมริกาหันหลังให้ยุโรปเป็นการปลดปล่อยทรัพยากรเพื่อยับยั้งจีน

จีนเชื่อว่าการพูดถึงข้อตกลง “reverse Kissinger” ของฝ่าย MAGA ที่ว่าอเมริกาจะพยายามแยกรัสเซียออกจากจีนนั้น เป็นเพียงคำพูดไร้สาระ

นโยบายปกป้องตนเองของ Trump การทำร้ายพันธมิตร และการไม่สนใจสิทธิมนุษยชนเป็นการปฏิเสธค่านิยมอเมริกา

Xi ไม่มีความตั้งใจที่จะเติมเต็มช่องว่างที่ “พี่ใหญ่” อย่างอเมริกาทิ้งไว้ แต่เขามีโอกาสขยายอิทธิพลของจีน โดยเฉพาะในซีกโลกใต้

หากนอกจากการส่งเสริมเทคโนโลยีพลังงานสะอาดแล้ว จีนยังกล้าที่จะลดการปล่อยมลพิษในประเทศมากขึ้น ก็มีโอกาสที่โชว์ให้โลกเห็นในประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ ซึ่งจะเป็นการสยายปีกในเวทีโลกอย่างน่าทึ่ง

การที่ Trump ดูหมิ่น NATO และไม่สนับสนุนยูเครนได้ทำลายความเชื่อมั่นในคำมั่นสัญญาที่อเมริกามีต่อพันธมิตรในเอเชียและความเต็มใจที่จะต่อสู้เพื่อไต้หวัน

หากอเมริกาผลิตเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงเองมากขึ้น แรงจูงใจในการปกป้องไต้หวันก็จะลดลง สิ่งนี้ถือเป็นของขวัญล้ำค่าสำหรับ Xi

การที่จีนจะฉวยโอกาสนี้ได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับคนเพียงคนเดียว: Xi Jinping จะนำพาจีนไปในทิศทางใดเป็นการขีดชะตาชีวิตของประเทศ

แต่ความจริงที่ว่าโอกาสเหล่านี้มีอยู่จริง ส่วนใหญ่เป็นเพราะอีกคนหนึ่งคือ Donald Trump ผู้ซึ่งอาจกำลังชักศึกเข้าบ้านโดยไม่รู้ตัว

จากสถานการณ์ปัจจุบัน เราเห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับอเมริกากำลังเข้าสู่จุดพีคแห่งการเปลี่ยนแปลง

การตัดสินใจของผู้นำทั้งสองประเทศจะมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจโลกและการเมืองระหว่างประเทศในทศวรรษหน้า

ในขณะที่จีนพยายามใช้นโยบาย MAGA ของ Trump เป็นโอกาสในการอัดฉีดความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจและขยายอิทธิพลระดับภูมิภาค

อเมริกากำลังเสี่ยงสูญเสียบทบาทผู้นำในเวทีโลกจากการดำเนินนโยบายที่เห็นแก่ตัวมากเกินไป

ประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะในซีกโลกใต้ ต่างกำลังชายตามองว่าทั้งจีนและอเมริกาจะตอบสนองต่อความท้าทายนี้อย่างไร และพวกเขาจะปรับตำแหน่งของตนในระเบียบโลกใหม่อย่างไร

ข้อสรุปที่สำคัญคือ นโยบายของ Trump อาจไม่เพียงแต่ไม่บรรลุเป้าหมายในการทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้ง แต่อาจเป็นสิ่งที่ทำให้จีนเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด

และขยายอิทธิพลในระดับที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สิ่งนี้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีความสำคัญไม่เพียงแต่สำหรับสองประเทศนี้เท่านั้น แต่สำหรับระเบียบโลกทั้งหมด

ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและอเมริกาในยุค MAGA รอบสองนี้จะแตกต่างอย่างมากจากรอบแรก ทั้งสองประเทศได้เปลี่ยนแปลงไปมาก

และบทบาทของพวกเขาในเวทีโลกก็ได้วิวัฒนาการไปด้วย ในขณะที่ Trump มุ่งเน้นชัยชนะระยะสั้นและการตอบสนองฐานเสียงภายในประเทศ Xi กลับมีวิสัยทัศน์ระยะยาวเกี่ยวกับตำแหน่งของจีนในระเบียบโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง

เราได้เห็นในประวัติศาสตร์หลายครั้งแล้วว่า นโยบายที่มุ่งแยกตัวและปกป้องผลประโยชน์ตนเองมากเกินไปมักให้ผลลัพธ์ตรงข้ามกับเป้าหมาย

ยิ่งอเมริกาดำเนินนโยบายที่มุ่งทำร้ายหรือกีดกันจีน จีนก็ยิ่งถูกผลักดันให้พัฒนาความสามารถในการพึ่งพาตนเองและสร้างพันธมิตรใหม่มากขึ้น

ในความเป็นจริง สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นมันอาจเป็นโอกาสที่ประเทศอย่างจีนจะได้แสดงความเป็นผู้นำในด้านที่เคยเป็นของสหรัฐฯ อย่างไม่มีใครคาดคิดมาก่อน และฝันร้ายของอเมริกาอาจก่อร่างสร้างตัวขึ้นเป็นฝันที่เป็นจริงของจีนก็เป็นได้นั่นเองครับผม

ปัญหา Tesla ใหญ่กว่าแค่เรื่อง Elon Musk? ยอดขายดิ่งลง รถถูกเผา เจาะลึกวิกฤตที่ไม่ใช่แค่เรื่องของการเมือง

ไม่นานมานี้ Elon Musk CEO ของ Tesla จัดประชุมพนักงานแบบฉุกเฉิน โดยเขาได้กล่าวปลุกใจพนักงานและให้คำมั่นสัญญาว่า “อนาคตของบริษัทจะสดใสและน่าตื่นเต้นอย่างเหลือเชื่อ”

แต่ทำไมเขาต้องรีบเร่งให้ความมั่นใจแบบนี้? คำตอบอยู่ที่สถานการณ์ของ Tesla ที่กำลังวิกฤต ราคาหุ้นดิ่งลงเหว ยอดขายลดฮวบ โดยเฉพาะในยุโรปที่ยอดขายตกอย่างหนัก

การประท้วงต่อต้านบริษัทขยายวงกว้างขึ้นทุกสัปดาห์ บริษัทที่เคยเป็นเรือธงแห่งอนาคตกลายเป็นเป้าของความโกรธแค้น จนมีเจ้าของรถ Tesla หลายคนตัดสินใจขายรถทิ้งแม้จะขาดทุนย่อยยับก็ตาม

พวกเขารู้สึกยี้กับกลยุทธ์ทางการเมืองของ Musk ที่เข้าไปสนับสนุนฝ่ายบริหารของ Trump สถานการณ์รุนแรงถึงขั้นมีรถ Tesla ถูกวางเพลิงทั่วประเทศ

รวมถึงการทำลายสถานีชาร์จไฟฟ้า จนประธานาธิบดี Trump ต้องออกมาแสดงความสนับสนุน Tesla แบบเปิดเผย และใช้กระทรวงยุติธรรมขู่ว่าจะจับผู้ทำลายทรัพย์สินของ Tesla ด้วยข้อหาการก่อการร้ายภายในประเทศ

เพื่อเข้าใจว่าอนาคตของ Tesla จะเป็นยังไง เราต้องวิเคราะห์ความท้าทาย 4 อย่างที่บริษัทกำลังเผชิญ: ยอดขายที่ดำดิ่ง, ไลน์ผลิตภัณฑ์ที่ล้าสมัย, อนาคตของ Robo Taxi และที่สำคัญคือ “ปัจจัย Elon” ที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของบริษัท

แล้วอนาคตของบริษัทจะเลวร้ายแค่ไหน?

จุดเริ่มต้นของปัญหาเกิดขึ้นในเดือนมกราคม 2024 เมื่อ Musk เตือนนักลงทุนว่า Tesla จะมี “การเติบโตของยอดขายที่ต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด”

เนื่องจากบริษัทมุ่งเน้นไปที่การพัฒนารถรุ่นใหม่ ซึ่งคาดว่าจะเป็น Model 2 ที่มีราคาถูกที่สุดเท่าที่ Tesla เคยผลิตมา ฟังดูเข้าท่าดี แต่ความจริงไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิด

ในปีเดียวกันนี้ Musk ตัดสินใจสนับสนุน Trump ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีแบบจัดหนัก โดยทุ่มเงินกว่า 200 ล้านดอลลาร์เพื่อช่วยให้เขาชนะการเลือกตั้ง

เมื่อ Trump ได้รับชัยชนะ ราคาหุ้น Tesla พุ่งกระฉูดแตะระดับสูงสุดใหม่ที่เกือบ 480 ดอลลาร์ต่อหุ้นในเดือนธันวาคม การเดิมพันครั้งใหญ่ของ Musk ดูเหมือนจะเป็นเรื่องคุ้มค่า

แต่หนึ่งเดือนต่อมา คำทำนายเรื่องยอดขายที่ลดลงก็เป็นจริง Tesla รายงานการลดลงของยอดขายประจำปีครั้งแรกในรอบกว่าทศวรรษ

ในขณะเดียวกัน Musk ก็ทำตัวฉาวโฉ่จากการทำท่าที่ดูคล้ายการเคารพแบบนาซีในพิธีสาบานตนของ Trump ต่อมา Musk ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้า DOGE (Department of Government Efficiency) และเริ่มนโยบายที่สร้างความแตกแยกอย่างรุนแรง

ผลกระทบเริ่มปรากฏชัดในแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของ Tesla ในสหรัฐฯ โดยยอดขายลดลง 12% ตลอดทั้งปี ในขณะที่ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าจากค่ายอื่นกลับพุ่งทะยาน

สถานการณ์ในยุโรปเลวร้ายยิ่งกว่า ในเดือนกุมภาพันธ์ ยอดขายของ Tesla ในฝรั่งเศสลดลง 45% ในโปรตุเกสลดลง 53% ในอิตาลีลดลง 55% และในเยอรมนีลดลงมากถึง 76% ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับการที่ Musk แทรกแซงการเมืองเยอรมันด้วยการสนับสนุนพรรค Alternative for Germany ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายขวาจัด

แม้แต่ในจีน ซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก Tesla ก็ประสบกับช่วงขาลงต่อเนื่องห้าเดือน ในขณะที่คู่แข่งอย่าง BYD และบริษัทจีนอื่นๆ กลับมียอดขายพุ่งทะยาน

ตำแหน่งลูกพี่ใหญ่ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าระดับโลกของ Tesla กำลังถูกท้าทายอย่างหนัก นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาแบบธรรมดา ๆ แต่เป็นการท้าทายจากคู่แข่งที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

หนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ยอดขายตกต่ำคือการที่รถ Tesla หลายรุ่นเริ่มมีอายุมากขึ้นโดยไม่ได้รับการปรับปรุงที่สำคัญ Model X จะมีอายุครบ 10 ปีในปีนี้ ขณะที่ Model S กำลังจะมีอายุถึง 15 ปี โดยทั้งสองรุ่นได้รับการอัปเดตเพียงนิดหน่อยนับตั้งแต่เปิดตัว

แม้ Model 3 และ Model Y ซึ่งเป็นรุ่นที่สร้างรายได้หลักจะได้รับการปรับปรุงเมื่อไม่นานมานี้ แต่ความล่าช้าในการพัฒนารุ่นใหม่ได้เปิดโอกาสให้คู่แข่งเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาด

ผู้บริโภคมีตัวเลือกมากขึ้นเมื่อรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่จาก Hyundai, Kia, Honda และ GM ทยอยเข้าสู่ตลาด ในขณะที่รุ่นใหม่เพียงรุ่นเดียวที่ Tesla เปิดตัวในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาคือ Cybertruck

ซึ่ง Cybertruck เองหลังจากเปิดตัวก็ประสบปัญหามากมาย ถูกเรียกคืนแล้ว 8 ครั้งนับตั้งแต่เปิดตัว ล่าสุดมีปัญหาแผ่นสแตนเลสสตีลที่ตกแต่งตัวรถหลุดลอยออกมา

ที่น่าสนใจคือ ในขณะที่ยอดขายของ Tesla ลดลง แต่ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในภาพรวมกลับเติบโตขึ้น ชาวอเมริกันซื้อรถยนต์ไฟฟ้าเป็นจำนวน 1.3 ล้านคันในปี 2024 เพิ่มขึ้น 7.3% จากปีก่อนหน้า

รถยนต์ไฟฟ้าครองส่วนแบ่งการตลาดรถยนต์ 8.1% ในสหรัฐฯ นี่แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคไม่ได้เบื่อรถยนต์ไฟฟ้า แต่พวกเขาอาจกำลังเบื่อ Tesla ที่ไม่มีอะไรใหม่ๆ มานำเสนอ

Musk เชื่อว่าความเสี่ยงทางการเมืองและความนิยมที่ลดลงคุ้มค่าที่จะเสี่ยง เพราะอนาคตที่แท้จริงของ Tesla อยู่ที่เทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติ, ปัญญาประดิษฐ์ และหุ่นยนต์

เขายืนยันมาตลอดเกือบทศวรรษว่า Tesla ใกล้จะแก้ไขปัญหาการขับขี่อัตโนมัติได้สำเร็จแล้ว โดย Tesla วางแผนจะเปิดตัว Robo Taxi ในรัฐเท็กซัสและแคลิฟอร์เนียในปีนี้ แต่บริษัทยังขาดใบอนุญาตหลายอย่างที่จำเป็นสำหรับการดำเนินการอย่างถูกกฎหมาย

และยังมีคำถามสำคัญว่าเทคโนโลยีของ Tesla นั้นเทพพอที่จะขับเคลื่อนยานพาหนะแบบไร้คนขับอย่างเต็มรูปแบบจริงหรือไม่ หรือเป็นแค่การเพ้อฝันของ Musk

แม้จะมีการเปิดตัวโครงการนำร่อง Robo Taxi แบบจำกัดในปีนี้ แต่ก็ยังห่างไกลจากคำสัญญาเดิมของ Musk ที่บอกว่ารถ Tesla ทุกคันที่ขายตั้งแต่ปี 2016 มีฮาร์ดแวร์ที่จำเป็นสำหรับการขับขี่อัตโนมัติแบบเต็มรูปแบบแล้ว

คำกล่าวอ้างนี้ถูกพิสูจน์ว่าเป็นการขายผ้าเอาหน้ารอด เมื่อ Musk ยอมรับเมื่อไม่นานมานี้ว่า Tesla จำเป็นต้องเปลี่ยนคอมพิวเตอร์ออนบอร์ดสำหรับลูกค้าบางรายที่ซื้อแพ็คเกจ Full Self-Driving (FSD)

สถานการณ์นี้นำไปสู่การฟ้องร้องแบบกลุ่มที่กล่าวหาว่า Tesla ได้หลอกลวงลูกค้า ทำให้ลูกค้าหลายคนรู้สึกเจ็บปวดกับคำสัญญาที่ไม่เป็นจริง

ประเด็นสุดท้ายแต่มีความสำคัญไม่แพ้กันคือ ตัว Elon Musk เอง บทบาทของเขาใน DOGE ท่าทีทางการเมืองที่สุดโต่ง และการแสดงออกที่ล้ำเส้น

ได้ทำให้แบรนด์ Tesla กลายเป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองที่สร้างความแตกแยก จากบริษัทที่เคยได้รับการเทิดทูน กลายเป็นบริษัทที่ถูกมองด้วยสายตาระแวง

สำหรับผู้ประท้วงหลายคน การต่อต้าน Tesla ไม่ใช่เพียงการต่อต้านบริษัทรถยนต์ แต่เป็นการต่อต้าน Musk และอำนาจที่มหาเศรษฐีที่ไม่ได้รับการเลือกตั้งรวบรวมไว้

โดยเฉพาะหลังจากที่เขามีบทบาทในการยกเลิกโครงการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการปลดพนักงานของรัฐจำนวนมาก กลุ่มคนที่ไม่พอใจต้องการโจมตีเขาในจุดที่เจ็บปวดที่สุด นั่นคือบริษัท Tesla

แม้การประท้วงส่วนใหญ่จะเป็นไปอย่างสงบ แต่ก็มีกรณีรุนแรงเกิดขึ้น ทั้งการวางเพลิงสถานีชาร์จ การยิงโชว์รูมในรัฐออริกอน ด้วยความโหดเหี้ยมที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

มีการจับกุมผู้หญิงคนหนึ่งในโคโลราโดที่ขว้างระเบิดขวดเพลิงใส่สถานที่ของ Tesla รถ Tesla ถูกพ่นสัญลักษณ์นาซีและถูกวางระเบิด

รวมถึง Cybertruck หลายคันที่ถูกเผาทำลายในซีแอตเทิล ความโกรธเกลียดต่อ Musk และ Tesla นั้นเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นจริงและบ้าคลั่ง จนไม่อาจยับยั้งได้

คำถามสำคัญคือ สถานการณ์จะเลวร้ายถึงขนาดที่ผู้ถือหุ้นของ Tesla จะเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนผู้นำหรือไม่? ดูเหมือนว่าโอกาสนั้นยังดูห่างไกล

โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาว่าผู้ถือหุ้นเคยลงมติอนุมัติแพ็คเกจค่าตอบแทนมูลค่า 56 พันล้านดอลลาร์สำหรับ Musk ถึงสองครั้ง

แต่การตัดสินใจเหล่านั้นเกิดขึ้นก่อนที่เขาจะมีบทบาทใน DOGE และก่อนที่ราคาหุ้นจะร่วงลงอย่างรุนแรง ทำให้สถานการณ์ปัจจุบันอาจต่างออกไป

มีสัญญาณบางอย่างที่แสดงถึงความกังวลในคณะกรรมการบริษัทของ Tesla กรรมการหลายคนรวมถึงประธานได้ขายหุ้น Tesla ไปแล้วมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์นับตั้งแต่ต้นปี

แต่ยังไม่ชัดเจนว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นกับ Tesla จะส่งผลกระทบต่ออำนาจของ Musk มากน้อยเพียงใด เนื่องจากเขายังคงอยู่ในความโปรดปรานของประธานาธิบดี Trump

แม้การประท้วงและความเสียหายจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อ Tesla แต่ Musk ได้สะสมอำนาจทางการเมืองไว้มาก จนไม่แน่ชัดว่ากลไกตลาดจะยังคงมีอิทธิพลต่อบริษัทเหมือนเดิมหรือไม่

อนาคตของ Tesla ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย โดยเฉพาะความสามารถในการทำให้คำสัญญาเรื่อง Tesla รุ่นราคาประหยัด แพลตฟอร์มยานพาหนะรุ่นใหม่ และบริการ Robo Taxi ใช้งานได้จริง

หรือว่าทั้งหมดนี้จะเป็นแค่ความฝันลม ๆ แล้ง ๆ ของ Musk ที่เข้าไปยุ่งกับการเมืองมากเกินไปจนลืมธุรกิจหลักของตัวเอง

ประธานาธิบดี Trump อาจแสดงการสนับสนุน Tesla มากเท่าไรก็ได้ แต่ถ้าธุรกิจของ Tesla ถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของคำสัญญาที่ไม่เป็นจริงและความคาดหวังที่เพ้อฝัน ก็เป็นไปได้ยากที่บริษัทจะรอดพ้นจากวิกฤตครั้งนี้โดยไม่ได้รับความเสียหาย

สถานการณ์ของ Tesla เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจของการที่การตัดสินใจส่วนตัวของผู้นำองค์กรสามารถขีดชะตาชีวิตบริษัทได้อย่างไร

โดยเฉพาะในยุคที่การแบ่งแยกทางการเมืองมีความรุนแรง และผู้บริโภคให้ความสำคัญกับค่านิยมและจุดยืนทางการเมืองของแบรนด์มากขึ้น

ไม่ว่าอนาคตของ Tesla จะเป็นอย่างไร บทเรียนจากสถานการณ์นี้มีความสำคัญสำหรับธุรกิจทุกขนาด: ความสำเร็จในอดีตไม่ได้รับประกันความสำเร็จในอนาคต

และแม้แต่บริษัทที่มีนวัตกรรมสุดล้ำและเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าก็ยังต้องรักษาความไว้วางใจจากลูกค้าและนักลงทุน ไม่ใช่ว่ามีเงินแล้วจะลืมตัว

เมื่อ Musk เล่นการเมืองหนัก บริษัทที่เคยเป็นที่เชิดหน้าชูตากลับต้องแบกรับความเสี่ยงจากการตัดสินใจส่วนตัวของเขา

อนาคตของ Tesla อาจไม่ได้จบเห่ทันที แต่หากไม่มีการแก้ไขอย่างเด็ดขาด สถานการณ์ของบริษัทที่จะกู่ไม่กลับอาจไม่ไกลเกินรอ

ท้ายที่สุด การกลับมารังสรรค์นวัตกรรมที่แท้จริงและการลดบทบาททางการเมืองของ Musk อาจเป็นหนทางเดียวที่จะช่วยให้ Tesla รอดพ้นจากวิกฤต

เพราะเมื่อความเจ๋งของเทคโนโลยีต้องปะทะกับความขัดแย้งทางการเมือง ผู้บริโภคอาจเลือกที่จะเดินจากไปถ้าไม่อยากถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งนั้น

ถอดรหัสเทคโนโลยี EUV ของจีน ท้าทายการผูกขาดของตะวันตก Huawei จะเปลี่ยนอนาคตวงการชิปโลกอย่างไร

วงการเทคโนโลยีกำลังร้อนระอุกับข่าวเกี่ยวกับเครื่องจักร EUV ที่หัวเว่ยกำลังพัฒนา ข่าวนี้สร้างความตื่นเต้นไม่น้อย เพราะถ้าเป็นเรื่องจริง นี่คือการพลิกโฉมวงการผลิตชิปครั้งยิ่งใหญ่เลยก็ว่าได้

EUV หรือ Extreme Ultraviolet เป็นเทคโนโลยีสุดล้ำที่ใช้ผลิตชิปประมวลผลสมัยใหม่ มันทำงานด้วยแสงความยาวคลื่น 13.5 นาโนเมตร

ความเจ๋งของมันคือยิ่งแสงมีคลื่นสั้นเท่าไหร่ ยิ่งสร้างวงจรที่เล็กและซับซ้อนได้มากขึ้นเท่านั้น ทำให้บรรจุทรานซิสเตอร์จำนวนมหาศาลในพื้นที่ขนาดจิ๋ว ซึ่งนี่คือหัวใจของชิปสมัยใหม่ที่ทรงพลัง

ปัจจุบัน ASML เป็นลูกพี่ใหญ่ในวงการ เป็นบริษัทเดียวในโลกที่ผลิตเครื่อง EUV เชิงพาณิชย์ได้ และสหรัฐฯ ก็มีการแบนการส่งออกเทคโนโลยีนี้ไปจีน เพื่อตัดไฟแต่ต้นลม

ข่าวอัพเดทล่าสุดที่เครื่อง EUV ของหัวเว่ยใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า Laser Induced Discharged Plasma หรือ LDP ซึ่งต่างจาก Laser Produced Plasma (LPP) ที่ ASML ใช้อยู่

มีการอ้างว่า LDP นั้นเทพกว่า เล็กกว่า เรียบง่ายกว่า และประหยัดพลังงานดีกว่า แต่ก่อนจะเชื่อคำคุยโวของฝั่งพี่จีน เรามาทำความเข้าใจทั้งสองเทคโนโลยีนี้ให้ชัดก่อน

แหล่งกำเนิดแสง LPP ของ ASML สร้างแสง EUV โดยใช้เลเซอร์คาร์บอนไดออกไซด์ยิงหยดดีบุกสองครั้ง การยิงครั้งแรกทำให้หยดดีบุกแบนเป็นจานกลม และการยิงครั้งที่สองด้วยพลังงานมากกว่าจะสร้างพลาสมาดีบุกที่ปล่อยแสง 13.5 นาโนเมตร

แสงนี้ต้องผ่านระบบกระจกซับซ้อน สะท้อนประมาณ 6-10 ครั้ง ซึ่งกระจกแต่ละบานสามารถสะท้อนแสง EUV ได้น้อยกว่า 70% เพียงเท่านั้น ทำให้ต้องสร้างโฟตอนจำนวนมหาศาลเพื่อให้มีแสงพอไปถึงแผ่นเวเฟอร์ เป้าหมายคือผลิตแสงที่มีกำลัง 250 วัตต์

LDP เป็นการพัฒนาต่อยอดจากเทคโนโลยี DPP (Discharge Produced Plasma) ซึ่งสร้างแสง EUV โดยการปล่อยกระแสไฟฟ้าแรงและสั้นมากระหว่างขั้วไฟฟ้าสองขั้ว

การปล่อยประจุไฟฟ้านี้สร้างสนามแม่เหล็กทรงพลังที่บีบอนุภาคเชื้อเพลิง สร้างพลาสมาที่ร้อนระอุถึง 200,000 องศาเซลเซียส เทคโนโลยีนี้เคยถูกศึกษาในการสร้างพลังงานนิวเคลียร์ฟิวชันตั้งแต่ปี 1950

LDP พัฒนาต่อจาก DPP โดยใช้เลเซอร์ร่วมด้วย ระบบแรกๆ มีจานหมุนสองจานที่เป็นทั้งขั้วไฟฟ้าและตัวจ่ายดีบุก จานหมุนผ่านอ่างดีบุกเหลว ทำให้พื้นผิวเคลือบฟิล์มดีบุก

เลเซอร์จะยิงฟิล์มดีบุก สร้างกลุ่มเมฆดีบุกระหว่างขั้วไฟฟ้า ตามด้วยการปล่อยกระแสไฟฟ้ามหาศาลเพื่อสร้างพลาสมาและผลิตแสง EUV ที่ต้องการ

ในยุคเริ่มต้นของ EUV ช่วงปลายทศวรรษ 1990 ถึงต้น 2000 เทคโนโลยี DPP ได้รับการศึกษาโดยสององค์กรหลัก: EUVA ในญี่ปุ่น และ Phillips Extreme UV

ความแตกต่างหลักคือเชื้อเพลิงที่ใช้ EUVA ใช้ Xenon ขณะที่ Phillips ใช้ดีบุก ซึ่งในที่สุดดีบุกพิสูจน์ตัวเองว่าเจ๋งกว่าเพราะผลิตแสง 13.5 นาโนเมตรได้มากกว่า

ปี 2005 กลุ่ม Ushio ของญี่ปุ่นซื้อ Phillips Extreme UV ไป 50% และปี 2008 ก็ซื้อทั้งบริษัท เปลี่ยนชื่อเป็น Extreme Technologies แล้วเปิดตัวแหล่งกำเนิดแสง LDP ปี 2010

เทคโนโลยีนี้สร้างประจุไฟฟ้าสูงถึง 20,000 แอมป์ เหมือนฟ้าผ่าจิ๋วที่ใช้เวลาแค่ไม่กี่ร้อยนาโนวินาที และทำได้ถึง 10,000-100,000 ครั้งต่อวินาที

ที่น่าสนใจก็คือ ASML เคยใช้แหล่งกำเนิดแสง LDP ในเครื่อง Alpha Demo ตัวแรก แต่ในที่สุดกลับเลือก LPP แทน

ไม่มีข้อมูลทางการว่าทำไม ASML ถึงเปลี่ยนใจ แต่มีทฤษฎีน่าสนใจ:

ทฤษฎีที่น่าเชื่อที่สุดคือ LDP ไม่สามารถทำให้พลังงานพุ่งได้เร็วเท่ากับ LPP และในปี 2008 Extreme ประกาศว่าผลิตพลังงาน EUV 500 วัตต์ได้

แต่เมื่อวัดที่ Intermediate Focus ซึ่งวัดพลังงานที่ผ่านการสะท้อนไปถึงเวเฟอร์จริงๆ กลับได้เพียง 14 วัตต์ มันทำให้เพียงพอสำหรับผลิตเวเฟอร์แค่ 7-8 แผ่นต่อชั่วโมง

แม้ปรับปรุงแล้ว ก็ยังได้แค่ 34 วัตต์ ซึ่งยังห่างชั้นจาก Cymer (ที่ใช้ใน LPP) ที่ได้ 250 วัตต์ และ Gigaphoton ที่ได้ 104 วัตต์

เพื่อให้ได้ 500 วัตต์ที่ Intermediate Focus, Extreme บอกว่า LDP ต้องผลิตพลังงานที่พลาสมาถึง 4,000 วัตต์ ซึ่งต้องปล่อยพัลส์ 50,000 พัลส์ต่อวินาที แต่ละพัลส์ปล่อยพลังงาน 80 มิลลิจูล

ประกาศล่าสุดเกี่ยวกับ LDP คือตุลาคม 2011 ที่ Ushio บรรลุพลังงาน 30 วัตต์ที่ Intermediate Focus ซึ่งดีขึ้นจาก 14 วัตต์ แต่ยังไม่พอสู้ LPP ที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว

ปัจจุบัน Ushio ยังใช้ LDP สร้างแสง EUV สำหรับเครื่องตรวจสอบแผ่นมาสก์พิเศษ เอาต์พุตประมาณ 250 วัตต์ที่พลาสมา ซึ่งใช้ได้ดีสำหรับงานตรวจสอบ แต่ไม่พอสำหรับผลิตชิปจริง ๆ

ในทางกลับกัน LPP ของ ASML นั้นล้ำหน้าแบบสุด ๆ ล่าสุดทีมวิจัยในซานดิเอโกผลิตพลังงาน EUV ได้ถึง 740 วัตต์!

จีนไม่ยอมยืมจมูกคนอื่นหายใจ พยายามพัฒนาเทคโนโลยี EUV เองมาตลอด โดยศึกษาทุกวิธีที่เป็นไปได้ ทั้ง LPP, เลเซอร์อิเล็กตรอนอิสระ และ LDP

ปี 2023 มีงานวิจัยจากทีม Harpin Institute of Technology ซึ่งมันแสดงให้เห็นว่ามีกลุ่มนักวิจัยจากจีนทำงานเกี่ยวกับ DPP และ LDP มาตั้งแต่ต้นปี 2010

เป็นไปได้ว่าจีนจะพัฒนา EUV สำเร็จในที่สุด อาจเร็วกว่าที่หลายคนคิด เพราะตอนนี้พวกเขาทุ่มเงินมหาศาลและมีนักวิทยาศาสตร์ฝีมือเทพมากมาย

พวกเขามีข้อได้เปรียบคือรู้แล้วว่าเทคโนโลยีนี้ทำงานได้จริงและรู้แนวคิด ซึ่งช่วยประหยัดเวลาวิจัยไปมากโข

อย่างไรก็ตาม เครื่อง EUV ของจีนอาจแข่งขันทางเศรษฐกิจกับ ASML ไม่ได้ในระยะแรก อาจผลิตเวเฟอร์ได้น้อยกว่ามาก (น้อยกว่า 100 แผ่นต่อชั่วโมง) หรือมีความละเอียดด้อยกว่า

บางคนอาจเยาะเย้ยว่าเทคโนโลยีจากจีนเป็นแค่เรื่องเพ้อฝัน แต่ก็ต้องบอกว่าจีนอาจมีการออกแบบที่ชาญฉลาดเพื่อชดเชยข้อบกพร่อง เช่น หาก LDP ไม่สว่างพอ อาจมีระบบกระจกพิเศษเพื่อจัดการปัญหานี้

อีกจุดแข็งของจีนคือความสามารถในการอดทนต่อธุรกิจที่ไม่ทำกำไรหลายปีได้ ในขณะที่ ASML มีอัตรากำไรขั้นต้นประมาณ 51% ซึ่งอาจต้องลดฮวบเมื่อเจอการแข่งขันจากจีนในอนาคต

ข่าวเกี่ยวกับเครื่อง EUV ของหัวเว่ยที่ใช้ LDP เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น แต่ยังมีคำถามมากมายเกี่ยวกับความเป็นไปได้และประสิทธิภาพที่แท้จริง

เทคโนโลยี LDP ไม่ใช่ของใหม่และเคยถูกพัฒนามาแล้ว แต่ถูก ASML ทิ้งเพราะขีดความสามารถที่จำกัด แต่เราไม่ควรประเมินความพยายามของจีนต่ำเกินไป

ด้วยทรัพยากรและความมุ่งมั่น จีนอาจปลุกปั้นเทคโนโลยีนี้สำเร็จในแบบของตัวเอง แม้อาจไม่สู้ ASML ได้ในระยะแรก แต่อาจรังสรรค์นวัตกรรมที่น่าสนใจในอนาคต

การติดตามความก้าวหน้านี้จะเป็นเรื่องที่น่าจับตาในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เพราะอาจจะเป็นการเปลี่ยนแปลงวงการชิปโลกไปอย่างสิ้นเชิง

References :
https://www.huaweicentral.com/huawei-is-allegedly-testing-china-made-euv-chip-making-machine/
https://www.eenewseurope.com/en/china-developed-euv-lithography-could-trial-in-2025/
https://www.digitimes.com/news/a20250317VL200/euv-digitimes-asia-production-intel-huawei.html
https://tinyurl.com/mpnme4vp