ดราม่า “รีวิวบุฟเฟต์” กับ case study ของอิทธิพลที่เพิ่มมากขึ้นจาก Micro-Influencers

“ต้องยอมรับว่าปัจจุบัน กลุ่มนักรีวิว หรือ Micro-Influencers มักมีผลและมีอิทธิพลต่อร้านค้า เพราะเรียกได้ว่าเป็นการตลาดแบบปากต่อปาก หากมีใครไปรีวิว ร้านก็สามารถพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสได้ ภายในชั่วข้ามคืน” คำกล่าวจาก คุณเอ้ย อังกูร เจ้าของแบรนด์รสสุคนธ์ (ไอศครีมสับประรด) ในรายการโหนกระแสที่ออกอากาศในวันที่ 15 ก.ย. 2564 ถือว่าเป็นคำพูดที่น่าสนใจมาก ๆ

ซึ่งแน่นอนว่าดราม่าเรื่องนี้เหมือนจะจบลงด้วยดี และมีการนำเสนอเรื่องราวรายละเอียดจากหลายๆ แห่งแล้ว แต่สิ่งที่ผมกลับสนใจมาก ๆ ในตอนนี้จากประเด็นดังกล่าวที่เกิดขึ้นและเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของสังคมคงจะเป็นบทบาท และ อิทธิพลของ Micro-Influencers กับการตลาดในยุคปัจจุบัน

เอาจริง ๆ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ไปร่วม joined กับหลายๆ กลุ่มตามความสนใจของผมเช่นกัน ซึ่งได้สังเกตเห็นอิทธิพลที่เกิดขึ้นเหล่านี้มาซักระยะหนึ่งแล้ว ที่หลายคนอาจจะมองข้ามไป

ตัวอย่างที่ผมคิดว่าน่าสนใจ ก็คือ กลุ่มจัดโต๊ะคอม ที่แน่นอนว่ามันตอบรับกับพฤติกรรมที่ตอนนี้หลาย ๆ คนต้อง Work From Home แล้วอยากจะสร้างบรรยากาศการทำงานที่บ้านให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งก็ทำให้กลุ่มนี้ดังขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

สิ่งที่ผมเห็นอย่างนึงก็คือ สินค้าที่ เหล่าสมาชิกในกลุ่มเข้ามารีวิวนั้น หากเป็นสินค้ายอดฮิต เช่น โคมไฟ Xiaomi , คีย์บอร์ด Keychron หรือ โต๊ะของ iKea ในบางรุ่น มันส่งอิทธิพลอย่างมากต่อยอดขายจริง ๆ ของสินค้านั้น ๆ ได้เลยทีเดียว เรียกได้ว่า ของแทบจะขาดตลาดทันที หากไอเท็มใดเกิดความฮิตติดตลาดขึ้นในกลุ่ม

กลุ่มสุดฮิต จัดโต๊ะคอม ที่ทำเอาสินค้าขาดตลาด (CR: FB/juddesk)
กลุ่มสุดฮิต จัดโต๊ะคอม ที่ทำเอาสินค้าขาดตลาด (CR: FB/juddesk)

ซึ่งผมก็คิดว่า มันก็เกิดขึ้นกับหลาย ๆ กลุ่ม ตามแต่ความสนใจของแต่ละคน ซึ่งในกรณีที่เป็นข่าวคือ กลุ่มนักรีวิวการรับประทานบุฟเฟต์ ซึ่งมีสมาชิกเกินกว่าครึ่งล้าน ที่เรียกได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ธรรมดา

Micro-Influencers คืออะไร?

การรีวิวโดยผู้มีชื่อเสียงเคยเป็นวิธีสำคัญสำหรับแบรนด์ใหญ่ ๆ ในการสร้างชื่อเสียงและขยายการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ตั้งแต่ George Clooney ดื่มกาแฟไปจนถึง Kim Kardashian ที่มารีวิวผลิตภัณฑ์แต่งหน้าใหม่

การรีวิวโดยผู้มีชื่อเสียงเป็นเป้าหมายสำหรับนักการตลาดที่กระตือรือร้นที่จะใช้ประโยชน์จากฐานแฟน ๆ ที่เป็นที่ยอมรับมาโดยตลอด 

ด้วยผู้ติดตามหลายล้านคนบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย จึงเป็นวิธีแก้ปัญหาง่ายๆ สำหรับการสร้างฐานแฟนใหม่ ๆ สำหรับแบรนด์ใหม่หรือการทำให้แบรนด์เป็นที่ยอมรับ 

อย่างไรก็ตาม เทรนด์ดังกล่าวได้ชะลอตัวลง และตอนนี้แบรนด์ต่างๆ กำลังมองหาผู้ที่มีผู้ติดตามที่น้อยกว่าเดิมมากบนโซเชียลมีเดีย ซึ่ง Micro-Influencers คือผู้ที่อาจมีผู้ติดตามตั้งแต่ 2,000 ถึง 100,000 คน เพียงเท่านั้น แต่มีพลังในการบอกต่อแบบปากต่อปากอย่างมหาศาล

คำพูดจากปากต่อปาก ในโลกออนไลน์ มีอิทธิพลมากที่สุดในการตัดสินใจซื้อ

บทวิเคราะห์ที่น่าสนใจจากบริษัทที่ปรึกษาระดับโลกอย่าง Mckinsey ที่ได้กล่าวถึงเทรนด์ดังกล่าวว่า กำลังกลายเป็นปัจจัยและอิทธิพลสำคัญมากสำหรับการตัดสินใจซื้อโดยเฉพาะสำหรับกลุ่มคน Gen Z

ตัวอย่างในประเทศจีน ประสบการณ์การใช้ผลิตภัณฑ์ที่เขียนบน Taobao, Tmall หรือ RED ตลอดจนความคิดเห็นของเพื่อนและครอบครัวบนโซเชียลมีเดีย ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อ

มากกว่าสามในสี่ของผู้ตอบแบบสำรวจจาก Mckinsey นั้น กล่าวว่า ผู้บริโภค Gen Z นั้นจะมองบทวิจารณ์ออนไลน์ , บัญชีโซเชียลมีเดียของแบรนด์ และ บล็อกเกอร์หรือผู้มีอิทธิพลออนไลน์ เป็นแหล่งที่มีอิทธิพลสูงสุดสามอันดับแรกในการตัดสินใจซื้อ

ซึ่ง Gen Z นั้นจะให้ความสำคัญกับข้อมูลเหล่านี้มากกว่ากลุ่ม Millennials และ Gen X

ส่วนในสหรัฐอเมริกา โซเชียลมีเดียมีอิทธิพลมากที่สุด 39% ของผู้บริโภค Gen Z ในขณะที่บทวิจารณ์ออนไลน์ และบล็อกในออนไลน์นั้นก็เป็นตัวเลือกลำดับต้น ๆ ที่ 26% ส่วนเพื่อนหรือครอบครัวมีอิทธิพล 15% และ 10% ตามลำดับ

อำนาจของเพจที่ลดลง และ อำนาจของกลุ่มที่เพิ่มขึ้น

ต้องบอกว่าหลังจากมีปัญหาครั้งใหญ่ในเรื่องการโฆษณาทางด้านการเมืองตั้งแต่ปี 2016 นั้น เรียกได้ว่า Facebook ได้ปรับอัลกอริธึมครั้งใหญ่ ที่มีการให้ความสำคัญของการ community มากยิ่งขึ้น

Facebook เริ่มให้ความสำคัญกับกลุ่มมากยิ่งขึ้น (CR:Engadget)
Facebook เริ่มให้ความสำคัญกับกลุ่มมากยิ่งขึ้น (CR:Engadget)

เราจะเห็นได้จากสถานการณ์ในตอนนี้ เพจ facebook หลาย ๆ เพจ ที่มียอด like หรือ follower หลักแสน หลักล้าน แต่ในบางโพสต์แทบจะมี engagement กับกลุ่มแฟน ๆ แค่หลักสิบเท่านั้น

แน่นอนว่าสิ่งแรกคงเป็นการบังคับให้ไปจ่ายเงินโฆษณามากขึ้นสำหรับเหล่าแบรนด์ หรือ เพจใหญ่ ๆ ที่หาก content ไม่โดนจริง ๆ ยากมากที่จะแจ้งเกิดได้ในยุคนี้ ที่มี content ให้เลือกสรรค์เต็มไปหมด

แต่ที่น่าสนใจอย่างในกรณีของ ดราม่าบุฟเฟ่ต์ นี้ก็คือเรื่อง community ที่เริ่มมีความสำคัญมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะกระจายไปตามกลุ่มตามความชอบต่าง ๆ ของระบบ Facebook นั่นเอง

ทั้งกลุ่มที่ซื้อขาย หรือ กลุ่มแลกเปลี่ยนความคิดเห็น รีวิวสินค้าต่างๆ ซึ่งตอนนี้ Facebook ให้ความสำคัญมากกว่าเพจเสียด้วยซ้ำ

นั่นทำให้เทรนด์ของ Micro-Influencers เริ่มเด่นชัดขึ้น ตามความหลากหลายของกลุ่มที่เกิดขึ้นนั่นเอง และมันก็แสดงให้เห็นผ่านข่าวดราม่าบุฟเฟ่ต์นี้ว่า ตอนนี้เหล่า Micro-Influencers เริ่มเข้ามามีบทบาทและอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคเพิ่มมากขึ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเองครับผม

References : https://www.digitalcoastmarketing.com/are-micro-influencers-the-future-of-marketing/
https://www.mckinsey.com/industries/retail/our-insights/how-gen-z-and-millennials-are-shaping-the-future-of-us-retail
https://www.mckinsey.com/cn/our-insights/our-insights/chinas-gen-z-are-coming-of-age-heres-what-marketers-need-to-know
https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_6619168

Deepfake Marketing กับอนาคตใหม่ของบริษัทที่ต้องการสร้างโคลนโฆษณาบนใบหน้าของคุณ

ในการเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับผลิตภัณฑ์ใด ๆ คุณอาจจะต้องสมัครผ่านเว็บไซต์ของ Agency โฆษรา และส่งชื่อ ที่อยู่อีเมล และโปรไฟล์ Instagram ของคุณ 

แต่ด้วยเทคโนโลยี Deepfake มันได้ถึงจุดเปลี่ยนของวงการโฆษณา เมื่อบริษัทเทคโนโลยีที่มีชื่อว่า Hour One ที่มองหาตัวละครที่แสดงถึงช่วงอายุ เพศ และลักษณะทางเชื้อชาติที่หลากหลาย  

หาก Hour One ยอมรับ บริษัทจะถ่ายใบหน้าของคุณ และให้คุณพูดและแสดงสีหน้าต่างๆ บนหน้าจอสีเขียวโดยใช้กล้องความละเอียดสูง จากนั้นจะประมวลผลการบันทึกผ่านซอฟต์แวร์ AI

ปัจจุบัน Hour One สร้างเสียงที่สร้างขึ้นโดย AI เพื่อให้เข้ากับวิดีโอ ใช้งานได้เหมือนกับซอฟต์แวร์แปลงข้อความเป็นคำพูด และให้ AI พูด และยังเสนอตัวเลือกที่มีราคาแพงกว่าซึ่งใช้นักพากย์มืออาชีพที่จะอ่านสคริปต์ของคุณ 

ในขณะที่บริษัทมีนโยบายด้านจริยธรรมเกี่ยวกับการปกป้องตัวตนของคุณ ซึ่งบริษัทได้กล่าวว่า “ทรัพย์สินข้อมูลของคุณจะถูกป้องกันด้วยการรักษาความปลอดภัยสูงสุด” 

นอกจากนี้ยังจะติดป้ายกำกับวิดีโอสังเคราะห์ทั้งหมดที่เลียนแบบตัวของคุณด้วยลายน้ำที่ระบุว่าสร้างขึ้นโดย AI ทังหมดอีกด้วย

ซึ่ง Hour One จะมีมาตรฐานที่เข้มงวดมากขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่า ลูกค้าของพวกเขารู้สึกปลอดภัยในการขายภาพเหมือนที่ขายให้กับบริษัทเอกชนอื่นๆ  

ท้ายที่สุด บริษัทโฆษณาต่าง ๆ สามารถใช้ตัวละครเหล่านี้เพื่อพูดและขายสิ่งที่พวกเขาต้องการได้ 

ต้องบอกว่าอ่านข่าวนี้แล้ว ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่น่าสนใจของวงการโฆษณาเลยนะครับ เพราะจะเห็นได้ว่า เทคโนโลยีอย่าง Deepfake ในตอนนี้นั้นพัฒนาไปไกลมาก ๆ แล้ว

แน่นอนว่าก่อนหน้านี้ ถูกใช้ไปในทางที่ผิด กับการทำคลิปล้อเลียนคนดัง หรือ การทำคลิปโป๊ จากเหล่าดาราชื่อดัง แต่มันก็ทำให้เราได้เห็นถึงศักยภาพของเทคโนโลยีนี้

แน่นอนว่า ต่อไป บริษัทโฆษณา สามารถหยิบจับเลือกใช้ตัวละครต่าง ๆ ได้หลากหลายมากยิ่งขึ้น และ ไม่จำเป็นต้องไปลงทุนถ่ายทำในทุก ๆ scene อีกต่อไป เพราะ การใช้ Deepfake นั้นสามารถ จะสร้างสรรค์ตัวละคร ให้พูด ให้แสดงอย่างไรก็ได้ และสุดท้ายมันก็ทำให้ต้นทุนต่าง ๆ สำหรับสิ่งเหล่านี้ลดลงไปได้ในอนาคตนั่นเองครับผม

References : https://www.technologyreview.com/2021/08/27/1033879/people-hiring-faces-work-deepfake-ai-marketing-clones/
https://www.hourone.ai/ethics
https://deepdatainsight.com/what-is-deep-fake-and-should-we-be-worried/
https://www.hourone.ai/become-a-character

Becky Li กับอิทธิพลของ KOL ที่ขายรถ Mini ออนไลน์ได้ 100 คันในเวลา 4 นาที

ด้วยผู้ติดตาม 20 ล้านคนบนโซเชียลมีเดีย Becky Li ถือเป็นผู้นำด้านความคิดที่สำคัญอันดับต้น ๆ หรือ KOL รายได้ของเธอขึ้นอยู่กับยอดขายที่เธอสามารถสร้างได้และทุกวันนี้อิทธิพลของเธอในจีนสามารถวัดผลได้โดยตรงอีกด้วย 

ขณะนี้แบรนด์หรูที่ดำเนินงานในประเทศจีนให้ลิงก์ที่แตกต่างกันสำหรับ KOL เพื่อแนบไปกับโพสต์หรือบล็อกเพื่อคำนวณอิทธิพลของพวกเขา Li อธิบายในรายงานของ Bernstein Research ที่เผยแพร่ในเดือนกุมภาพันธ์ 

“แบรนด์จะให้ลิงก์แก่ฉันเมื่อฉันเขียนบทความและลิงก์นี้จะนำคุณไปยังเว็บไซต์ของแบรนด์ แต่ละ KOL จะได้รับลิงค์ที่แตกต่างกัน จากนั้นแบรนด์ก็สามารถดูได้ว่า KOL แต่ละคนทำยอดขายอะไรได้บ้างและพวกเขาก็เริ่มแข่งขันกันในกลุ่ม KOL” เธอกล่าวในการให้สัมภาษณ์กับ Luca Solca นักวิเคราะห์อาวุโสของ Bernstein

“พวกเขาโหดร้าย แต่นี่คือความจริง”

Li ทำงานอย่างหนักในการให้คำปรึกษาผู้หญิงจีนเกี่ยวกับแฟชั่นเครื่องสำอางและเครื่องประดับในบทความที่มีความยาว ตลอดจนรูปภาพและวิดีโอบน WeChat และโพสต์สั้น ๆ บน Weibo, Twitter ของจีน เธอแนะนำให้ซื้อสินค้าจากแบรนด์ที่ต้องการมากมายรวมถึง Chanel และ Dior

“ฉันรู้จักแฟน ๆ ของฉัน ฉันรู้ว่าพวกเขาชอบอะไรต้องการอะไร และฉันจะช่วยให้พวกเขาพบสินค้าที่ต้องการ” เธอกล่าว 

ด้วยแนวโน้มของโพสต์สั้น ๆ และไมโครบล็อกบทความของ Li สามารถมีความยาวได้ถึง 5,000 ตัวอักษรจีน เธอกล่าวเสริมว่า ผู้ติดตามของเธอหลายแสนคนชอบเนื้อหาเชิงลึกของโพสต์ พวกเขาอ่านจนจบและแสดงความคิดเห็น 

“หากแบรนด์ต้องการสื่อสารเชิงลึกกับผู้บริโภคและได้รับความไว้วางใจในระยะยาวแบรนด์จะเข้าหาฉันเพราะแบรนด์ต่าง ๆ สามารถหาลูกค้าที่ภักดีได้จากบทความของฉัน” เธอกล่าว

ผู้ติดตามที่ภักดีของเธออาจบุกไปถล่มร้านค้าในเมือง – Secoo ซึ่งเป็นร้านค้าปลีกสุดหรูสาขาปักกิ่งจัดแคมเปญสองสัปดาห์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Li ซึ่งเรียกว่า Becky’s Choice “พวกเขาตกแต่งทั้งร้านเหมือนตู้เสื้อผ้าของฉันที่บ้าน” เธอกล่าว “ในครึ่งเดือนพวกเขาสร้างยอดขายได้ 20 ล้านหยวน [3.1 ล้านเหรียญสหรัฐ]”

ขณะนี้แบรนด์หรูที่ดำเนินธุรกิจในจีนให้ลิงก์ที่แตกต่างกันสำหรับ KOL เพื่อแนบไปยังโพสต์หรือบล็อกเพื่อคำนวณอิทธิพลของตน
ขณะนี้แบรนด์หรูที่ดำเนินธุรกิจในจีนให้ลิงก์ที่แตกต่างกันสำหรับ KOL เพื่อแนบไปยังโพสต์หรือบล็อกเพื่อคำนวณอิทธิพลของตน (CR:SCMP)

Li ไม่รู้สึกเหมือนถูกบังคับให้แบ่งปันรายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของเธอกับผู้ติดตามซึ่งแตกต่างจากเหล่า Influencer ชาวตะวันตก

“ฉันไม่อยากเปิดเผยเกี่ยวกับครอบครัวของฉันทางออนไลน์” เธอกล่าว “อย่างไรก็ตามฉันจะแบ่งปันคำอวยพรปีใหม่ และวิธีที่ฉันบรรลุเป้าหมาย จากนั้นผู้คนจะได้เห็นวิถีชีวิตของฉัน วิธีที่ฉันคิด และความคิดของฉัน”

หญิงสาวชาวจีนมีจุดมุ่งหมาย 3 ประการ Li เชื่อว่าคือ การหาเงิน การพัฒนาเรื่องความสวยงามและการรักตัวเอง การใช้แบรนด์ Becky’s Fantasy และ การปรากฏตัวบนโซเชียลมีเดียของเธอทำให้เธอมีอิทธิพลต่อการซื้อของหญิงสาวที่ต้องการเหล่านี้และเธอมีพลังมหาศาลในตลาดจีน 

ตามบทความที่ตีพิมพ์โดยนิตยสารแฟชั่นออนไลน์ Jing Daily ในปี 2020 Li มีพนักงานมากกว่า 100 คนเพื่อดูแลบัญชี WeChat 5 บัญชี แบรนด์เสื้อผ้า 2 แบรนด์ แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซและเวิร์กช็อปการพัฒนาตนเอง 

Li เดิมทีเป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์ที่ Southern Metropolitan Daily ในปี 2014 เธอรู้สึกได้ถึงสัญญาณแห่งการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเปลี่ยนผ่านห้องข่าวในรูปแบบดั้งเดิม และเริ่มย้ายเข้าสู่การตลาดออนไลน์ด้วยบัญชี WeMedia ของเธอเอง 

เดิมทีการตลาดออนไลน์คิดว่าดีที่สุดสำหรับสินค้าราคาถูก อย่างไรก็ตามในปี 2017 Li ได้ขายรถมินิคูเปอร์รุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นจำนวน 100 คันทางออนไลน์ภายในเวลา 4 นาที ซึ่งเป็นความสำเร็จที่เธอบอกว่าเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับโลกแห่งการซื้อทางออนไลน์ที่มีมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ และผู้นำทางความคิดหรือเหล่า Influencer ก็ส่งผลกระทบต่อยอดขายได้โดยตรง

“หลังจากปี 2017 และการทำงานร่วมกันกับ Mini เราก็เริ่มเปลี่ยนไป” เธอกล่าว “แบรนด์ต่างๆขอให้ KOL ขายสินค้าในนามของพวกเขาซึ่งหมายความว่าพวกเขาร่วมมือกับเราเพื่อสร้างแบรนด์ร่วมหรือแบรนด์ที่มีชื่อร่วมหรือขอให้เราถ่ายทำแคมเปญ จากนั้นจึงมีข้อกำหนดในแง่ของการทำให้เกิดการซื้อซ้ำอย่างต่อเนื่อง

ในขณะที่เธอแนะนำแบรนด์หรูจากตะวันตกมานาน แต่ Li คาดว่าจีนจะพัฒนาแบรนด์หรูของตัวเองในอนาคตอันใกล้นี้ “ในอดีตเมื่อใดก็ตามที่ฉันพูดถึงแบรนด์จีนมันเกี่ยวกับของลอกเลียนแบบ” เธอกล่าว “มันเกี่ยวกับคุณภาพที่ไม่ดี แต่ตอนนี้ผู้คนเชื่อมั่นในดีไซน์และคุณภาพของแบรนด์จีนมากขึ้น”

ต้องบอกว่าเรื่องราวของ Li นั้นน่าสนใจมาก ๆ เพราะเหล่า Influencer ตอนนี้กำลังพัฒนาไปในระดับที่สามารถวัดผลทางยอดขายได้ทันที และเป็นการทุ่มเทงบประมาณทางด้านตลาดที่ตรงจุดที่สุดสำหรับแบรนด์ต่าง ๆ

ซึ่งแน่นอนว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศจีน ก็กำลังดำเนินรอยตามขึ้นในประเทศไทยเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นแพล็ตฟอร์ม Ecommerce ต่าง ๆ ที่ล้วนแล้วแต่มาจากเมืองจีนแทบจะทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็น lazada , shopee หรือ Jd

ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่ง อาชีพที่น่าสนใจในอนาคต ที่ไม่ใช่แค่เพียง Influencer ที่สร้าง Awareness ให้กับ Product สินค้าต่าง ๆ เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะต่อไปทุกอย่างต้องวัดผลได้ ลงทุนทำการตลาดกับ KOL และได้ยอดขายกลับมาเท่าไหร่ มันจะสามารถที่จะวัดผลได้แบบ Real Time เหมือนที่ Li ทำสำเร็จในประเทศจีนนั่นเองครับผม

References : https://jingdaily.com/chinas-top-blogger-becky-li-is-expanding-in-unexpected-ways/
https://www.scmp.com/lifestyle/fashion-beauty/article/3122361/becky-li-chinese-kol-who-sold-100-cars-online-four-minutes

จิตวิทยาเบื้องหลัง iPhone รุ่นใหม่ และเหตุใดจึงยากที่จะต้านทานกิเลสกับมัน

นับตั้งแต่ Steve Jobs ประกาศวางขาย iPhone เครื่องแรกในงาน MacWorld ในปี 2007 Apple ได้เปิดตัว iPhone มากกว่า 20 รุ่น จากข้อมูลในเดือนมกราคม 2019 พบว่ามีชาวอเมริกันกว่า 80% เป็นเจ้าของสมาร์ทโฟน

และในปีเดียวกันนั้นมี iPhone ที่ใช้งานอยู่ 900 ล้านเครื่องทั่วโลกตามรายงานของ Tim Cook CEO ของ Apple เมื่อ Apple ประกาศเปิดตัว iPhone 12 ในวันที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมา มีผู้สั่งซื้อ iPhone ล่วงหน้าประมาณ 2 ล้านคนภายในแค่ 24 ชั่วโมงแรกเพียงเท่านั้น

แล้วทำไมแฟน ๆ เหล่าสาวก Apple ต่างก็ชื่นชอบและอยากซื้อ iPhone รุ่นใหม่ทุกครั้ง? นี่คือเหตุผลทางจิตวิทยาที่ยากที่จะต้านทานกิเลสจาก iPhone รุ่นใหม่

เราติดใจกับคำว่า ‘what’s next’

การผลิต iPhone รุ่นใหม่แต่ละครั้งมีคุณสมบัติใหม่ ๆ เช่น iPhone 4 ในปี 2011 นำกล้อง “เซลฟี่” แบบหันหน้าไปทางด้านหน้าเป็นครั้งแรก ในขณะที่ iPhone 5S ในปี 2013 เปิดตัวการสแกนลายนิ้วมือ Touch ID ส่วนรุ่นล่าสุดอย่าง iPhone 12 มีหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นการเชื่อมต่อเครือข่าย 5G ที่เร็วขึ้นและกล้องที่สุดล้ำ

“ถึงแม้ว่า iPhone เครื่องปัจจุบันของคุณจะทำงานได้ดีอยู่แล้วก็ตาม แต่ผู้คนต่างสนใจการปรับปรุงคุณภาพและความสามารถเหล่านั้น” Kelly Goldsmith รองศาสตราจารย์ด้านการตลาดจาก Vanderbilt University ใน Owen Graduate School of Management กล่าว

โทรศัพท์รุ่นใหม่แต่ละรุ่น และ Apple ในฐานะแบรนด์ก็ได้แสดงถึงนวัตกรรมใหม่ ๆ ออกมาอยู่เสมอ และคำว่า “what’s next” ซึ่งผู้บริโภคมักจะให้ความสำคัญเป็นอย่างสูง Katie Martell ที่ปรึกษาด้านการตลาดกล่าว “เราอาศัยอยู่ในโลกที่มีอะไรใหม่ ๆ และอะไรที่เป็นสิ่งใหม่ ถือว่าเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุด”

มันเป็นส่วนหนึ่งในตัวตนของคุณ

ในปี 2011 Samsung คู่แข่งของ Apple ได้เปิดตัวโฆษณาที่ล้อเลียนผู้คนที่มาต่อแถวนอกร้านค้า Apple เพื่อรอการเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ มีการล้อเลียนในโฆษณาว่า “ถ้าหน้าตาของเครื่องมือถือมันเหมือนกัน คนอื่นจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณได้อัปเกรดรุ่นใหม่ไปแล้ว” 

การมีโทรศัพท์รุ่นล่าสุดและดีที่สุดเป็นสัญลักษณ์แสดงสถานะ Goldsmith กล่าว “ มันเป็นสิ่งที่คุณพกติดตัวตลอดเวลาดังนั้นมันจึงถ่ายทอดข้อมูลเกี่ยวกับคุณให้คนอื่นรู้” เธอกล่าว

โทรศัพท์ของคุณยังเป็นกลไกที่แข็งแกร่งสำหรับสิ่งที่เรียกว่า ”สัญลักษณ์ของตัวคุณ” ซึ่งเป็นแนวคิดในเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการกระทำของคุณที่มีอิทธิพลต่อความเชื่อเกี่ยวกับตัวคุณเอง

ในกรณีนี้การมี iPhone รุ่นใหม่ล่าสุดสามารถเพิ่มความนับถือต่อตนเอง และเตือนคุณว่าคุณไม่ได้ล้าสมัย “ทุกครั้งที่คุณมองไปที่โทรศัพท์เครื่องนั้น จะบอกคุณบางอย่างเกี่ยวกับตัวคุณและมันเป็นการตอกย้ำลักษณะบางอย่างของตัวคุณเอง” Goldsmith กล่าว

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Apple มีแนวโน้มที่จะส่งเสริมผู้บริโภคด้วยการโปรโมตเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้กับ iPhone เครื่องใหม่ของพวกเขา Martell กล่าว 

ตัวอย่างเช่น Apple สนับสนุนให้ผู้คนแชร์รูปภาพที่ถ่ายบน iPhone ด้วย แฮชแท็ก “#ShotoniPhone” เพื่อนำไปรวมอยู่ในป้ายโฆษณาและแคมเปญโฆษณาของApple นี่เป็นการส่งสัญญาณให้ผู้บริโภคทราบว่า “คุณมีอำนาจนั้นอยู่ในมือ”

ช้าอดหมดนะจ๊ะ!!!

เมื่อ iPhone รุ่นใหม่พร้อมใช้งานเป็นเรื่องปกติที่จะเห็นเหล่าสาวกมารอคอยรอบ ๆ ร้าน Apple หลายชั่วโมงก่อนที่ร้านจะเปิด แฟน ๆ Apple ต้องการเป็นคนแรกที่มีและใช้อุปกรณ์และมักหลีกเลี่ยงการรอคอยจากความล่าช้าในการจัดส่ง

สำหรับผู้บริโภคเส้นแบ่งที่อยู่นอกร้านเป็นสัญญาณว่าอะไรก็ตามที่อยู่ภายในร้าน Apple นั้นมีคุณค่า มีแนวคิดเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมสองประการที่เกี่ยวข้องกับประเด็นดังกล่าว : การพิสูจน์ทางสังคม (การทำให้เชื่อว่าคนอื่นก็ต้องการสินค้า) และ ความขาดแคลน (ความกลัวว่าอาจมีไม่เพียงพอ) Goldsmith กล่าว

การวิจัยพบว่าเมื่อคุณคิดว่าสิ่งของหายากมันจะเพิ่มความเร้าอารมณ์ของคุณ และทำให้คุณรู้สึกตื่นตระหนกในการตัดสินใจอย่างรวดเร็ว การรับรู้ถึงความขาดแคลนทำให้คุณมีความเข้าใจในความจริงน้อยลง และมีแนวโน้มที่จะปล่อยใจไปกับสิ่งของที่คุณชื่นชอบมากกว่าการหาทางเลือกอื่น ๆ ที่มีเหตุผลมากกว่า

″นั่นทำให้คุณอยากซื้อ ทำให้คุณอยากเข้าแถวและทำให้คุณไม่อยากพลาด” เธอกล่าว

“ผู้บริโภคตอบสนองแทบจะรุนแรงเกินไปต่อกลยุทธ์ทางการตลาดที่ขาดแคลนเหล่านี้” Goldsmith กล่าว

มันเป็นประสบการณ์ทางสังคม

“Apple ทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมในการใช้ประโยชน์จากประสบการณ์ทางสังคมเกี่ยวกับการรอคอย iPhone และคาดหวังถึงสิ่งที่จะมีใน iPhone และการพูดคุยเกี่ยวกับ iPhone” Goldsmith กล่าว ด้วยการประกาศวันที่วางจำหน่ายของ Apple“ มันเป็นประสบการณ์ที่แตกต่างจากที่คุณรู้สึกกับคู่แข่งรายอื่น ๆ” Martell กล่าว

References : https://www.cnbc.com/2020/10/19/iphone-12-pre-orders-sales-exceed-iphone-11-top-analyst-says.html
https://www.youtube.com/watch?v=tNxDd3l0lEU
https://www.apple.com/newsroom/2019/01/share-your-best-photos-shot-on-iphone/
https://www.cnbc.com/2019/09/20/apple-iphone-11-goes-on-sale-with-lines-outside-major-stores-around-the-world.html
https://changingbusiness.johnshopkins.edu/spring2015/blog/2015/03/13/the-less-i-see-you-the-more-i-want-you/
Jonathan Brady/PA Images via Getty Images

VR กับการยกระดับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ของจีน

แพลตฟอร์มด้านการบริการในจีนอย่าง 58.com กล่าวว่ากำลังจะเพิ่มการใช้เทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของโบรกเกอร์อสังหาริมทรัพย์ของประเทศจีน

เหยา จิน โบ CEO ของ  58.com กล่าวว่าในขณะนี้ บริษัท ให้บริการนายหน้าอสังหาริมทรัพย์มากกว่า 1.3 ล้านรายในประเทศจีนซึ่งครอบคลุมนายหน้าประมาณ 70-80% ของประเทศ ซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับหนึ่งของประเทศจีน

“ เราหวังว่าจะใช้เทคโนโลยีเช่นบริการคลาวด์และ VR (Virtual Reality) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับภาคอสังหาริมทรัพย์รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพการบริการในวงการอสังหาริมทรัพย์” นายเหยากล่าว

บริษัท จะใช้เทคโนโลยี VR เพื่อช่วยให้ลูกค้าได้เพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพอันงดงามของอพาร์ทเมนท์ในรูปแบบออนไลน์เสมือนจริง

เหยากล่าวว่า บริษัท จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการสร้างเนื้อหา VR จากกว่า 10,000 หยวน ( 1,458 ดอลลาร์สหรัฐ) เหลือเพียงแค่หลักพันหยวนเท่านั้น นอกจากนี้ยังจะให้บริการแบบครบวงจรมากขึ้นเพื่อเชื่อมต่อตัวแทนบ้านและผู้ซื้ออพาร์ตเมนต์ที่มีศักยภาพมากขึ้น

ตามรายงานล่าสุดของ 58.com พบว่ากว่าครึ่งของจำนวน 1.3 ล้านนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ในแพลตฟอร์มเกิดขึ้นในปี 1990 บ่งชี้ว่าเหล่ามืออาชีพในอุตสาหกรรมกำลังเริ่มอายุน้อยลงเรื่อย ๆ และพร้อมปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยียุคใหม่

ตัวแทนบ้านกว่า 75 เปอร์เซ็นต์สามารถสรุปข้อตกลงได้ทันที หลังจากพาผู้ซื้อที่มีศักยภาพไปเยี่ยมอพาร์ทเมนท์ราว ๆ 5-10 คนเพื่อปิดการขาย

Anjuke หน่วยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ออนไลน์ภายใต้ 58.com ได้ลงนามในความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในเดือนเมษายนด้วยแพลตฟอร์มออนไลน์ Myfun บริษัทธุรกิจโฆษณาดิจิทัลในออสเตรเลียภายใต้เครือ REA Group ที่เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อช่วยขยายธุรกิจในจีนแผ่นดินใหญ่ต่อไป

การร่วมมือกันของสองยักษ์ใหญ่วงการอสังหาริมทรัพย์จากจีน และ ออสเตรีเลีย
การร่วมมือกันของสองยักษ์ใหญ่วงการอสังหาริมทรัพย์จากจีน และ ออสเตรีเลีย

ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงดังกล่าว Myfun จะทำการจัดส่ง List ของรายการที่พักอาศัยในออสเตรเลียรวมถึงการอัพเดทรายวันเกี่ยวกับที่พักอาศัยมากกว่า 50,000 รายการบนแพลตฟอร์มของ Anjuke Myfun ซึ่งจะให้บริการประสานงานเพื่อช่วยเหลือผู้ใช้ตลอดการทำธุรกรรมด้านอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร

เทคโนโลยี VR กับวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย

ตอนนี้ก็ต้องบอกว่า นักท่องเที่ยวจีนนั้น ได้เข้ามาท่องเที่ยวในไทยเป็นจำนวนมาก และได้เกิดความต้องการด้านที่พักเป็นอย่างมาก ซึ่งแน่นอนว่า ถูกใจเหล่าบรรดา นายหน้าอสังหาในไทยอย่างแน่นอน

และการที่คนจีนนั้นเริ่มปรับตัวกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่าง VR เป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น ก็ถือว่า เป็นส่งทีส่งเสริมให้ เทคโนโลยีดังกล่าวนั้นสามารถนำมาใช้ในไทยได้อย่างดียิ่งขึ้น

และเริ่มมี Startup ไทยบางรายนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาปรับใช้เป็นที่เรียบร้อยแล้วตัวอย่างเช่น บริษัท บลูโอเชี่ยน เทคโนโลยี ที่ส่งเทคโนโลยีอย่าง VRReal.EstateTH  มาทำตลาดในบ้านเราบ้างแล้ว

ไทยก็มีเทคโนโลยี VR ที่เริ่มเข้ามามีบทบาทแล้วเหมือนกัน
ไทยก็มีเทคโนโลยี VR ที่เริ่มเข้ามามีบทบาทแล้วเหมือนกัน

หาก VR นั้นต่อไปได้กลายเป็นมาตรฐานคนใช้กันทั่วไป ก็น่าสนใจจริง ๆ ว่าตลาดด้านอสังหาริมทรัพย์ของบ้านเรานั้นจะเปลี่ยนไปขนาดไหน ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งสำคัญคือการปรับของเหล่านายหน้ายุคเก่า ที่ต้องปรับตัวให้กับเทคโนโลยียุ่งใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขายและบริการให้ดีขึ้นนั่นเองครับผม

References : 
http://www.chinadaily.com.cn/a/201906/20/WS5d0b40eba3103dbf1432959f.html