วิกฤตสุขภาพจิต เมื่อ Influencer เป็นตัวเลือกอาชีพสุด Cool อันดับหนึ่งของกลุ่มคนรุ่นใหม่

ในปัจจุบันถ้าใครได้มีโอกาสได้ดูรายการทีวี หลาย ๆ รายการ ที่มีแขกรับเชิญที่เป็นคนทั่วไป แล้วมีคำอธิบายว่าเขาหรือเธอผู้นั้นมีอาชีพอะไร จะสังเกตุเห็นเทรนด์ใหม่ที่มีคนที่ประกอบอาชีพเป็น Influencer โผล่มาเยอะมาก ๆ

จากข้อมูลการสำรวจในปี 2019 พบว่าเด็ก ๆ Generation ใหม่ ๆ นั้น อยากเป็น Youtuber มากกว่านักบินอวกาศเสียอีก มีคนหนุ่มสาวมากถึง 1.3 ล้านคนในสหราชอาณาจักร ต้องการสร้างรายได้ด้วยการสร้างเนื้อหาบนโซเชียลมีเดียของตนเอง

ต้องบอกว่ามันได้กลายเป็นตลาดที่ใหญ่มหึมา ซึ่งมีข้อมูลงานวิจัยที่คาดว่าตลาด Influencer ทั่วโลกนั้นจะมีมูลค่าประมาณ 13.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ในปี 2021 ที่ผ่านมา เหล่า Influencer ชั้นนำของวงการเช่น Zoella และ Deliciously Ella สร้างรายได้ประมาณ 4.7 ล้านปอนด์ และ 2.5 ล้านปอนด์ ตามลำดับ และมีผู้คนอีกกว่า 300,000 คน ที่อายุระหว่าง 18-26 ปี ใช้การสร้างคอนเทนต์บนเครือข่ายโซเชียลมีเดียของตนเองเป็นแหล่งรายได้หลัก

Deliciously Ella ที่เป็น Influencer ชั้นนำในสหราชอาณาจักร (CR:Daily Mail)
Deliciously Ella ที่เป็น Influencer ชั้นนำในสหราชอาณาจักร (CR:Daily Mail)

แต่ภายใต้ภาพลักษณ์ที่ดูสวยหรูของเหล่า Influencer นั้น มีปัญหาสังคมต่าง ๆ ตามมาอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเหยียดเพศ เชื้อชาติ และปัญหาที่สำคัญในเรื่องสุขภาพจิตที่เกิดขึ้นที่กำลังส่งผลกระทบต่อกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ต้องการยึดอาชีพดังกล่าวเป็นแหล่งช่องทางในการหาเลี้ยงชีพหลัก

เหล่า Influencer ที่ประสบความสำเร็จเป็นคนแรก ๆ มักอ้างว่าใครก็สามารถที่จะประสบความสำเร็จเหมือนอย่างพวกเขาได้ มักมีคำพูดที่ว่า ทุกคนมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากันในหนึ่งวัน แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้น มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถหล่อเลี้ยงชีพด้วยด้วยอาชีพนี้

ผู้เชี่ยวชาญด้านโซเชียลมีเดีย Brooke Erin Duffy ได้ทำการค้นคว้าเกี่ยวกับอาชีพของ blogger ด้านแฟชั่น หรือ ความงาม และกลุ่มนักออกแบบ

เธอได้เปิดเผยให้เห็นช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างกลุ่มคนที่ร่ำรวยในฐานะผู้มีอิทธิพลและคนอื่น ๆ ที่พยายามที่จะผลักดันตัวเองให้กลายเป็น Influencer ซึ่งส่วนใหญ่คนกลุ่มหลังมักจะได้รับงานแบบฟรี ๆ สำหรับงาน PR ขององค์กรต่าง ๆ เสียมากกว่า

รายงานในเดือนเมษายน 2022 คณะกรรมการด้านดิจิทัล วัฒนธรรม สื่อและการกีฬา (DCMS) ของรัฐสภาอังกฤษระบุว่า ความเหลื่อมล้ำในการจ่ายเงินเป็นประเด็นสำคัญในอุตสาหกรรม Influencer

มีช่องว่างในการจ่ายเงินที่มีการแบ่งแยกตามเพศ เชื้อชาติ และความทุพพลภาพ ซึ่งรายงานของ DCMS อ้างถึงการศึกษาในปี 2020 จาก MSL Group ซึ่งเป็นบริษัทประชาสัมพันธ์ระดับโลก ที่พบว่ามีช่องว่างของรายได้ระหว่างกลุ่ม Influencer ผิวขาวและผิวสี ที่แตกต่างกันถึง 35%

รวมถึงเรื่องปัญหาความเสี่ยงของการกำหนดระดับเพดานค่าจ้างก็ได้เริ่มทวีความรุนแรงขึ้นในอุตสาหกรรม Influencer เนื่องจากไม่มีมาตรฐานอุตสาหกรรมที่ชัดเจนนักและมีความโปร่งใสเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

เหล่า Influencer โดยเฉพาะกลุ่มหน้าใหม่มักจะถูกให้ประเมินมูลค่าของตนเอง และคนกลุ่มนี้มักจะประเมินค่าแรงการสร้างสรรค์ของตัวเองต่ำเกินไป และหลายคนก็จบลงด้วยการทำงานแบบฟรี ๆ

เมื่ออัลกอริธึมคือผู้สร้าง Influencer

เหล่า Influencer ส่วนใหญ่มักจะตกเป็นทาสของอัลกอริธึม ที่อยู่เบื้องหลังที่กำหนดว่าโพสต์ใดที่จะแสดงต่อผู้ใช้ แม้จะมีข้อมูลบางส่วนที่แพลตฟอร์มเปิดเผยออกมาว่าอัลกอริธึมของพวกเขาเป็นอย่างไร แต่ท้ายที่สุดแล้วอัลกอริธึมเหล่านี้ก็เป็นตัวกำหนดว่าใครและสิ่งใดที่จะมองเห็นได้ และจะเปลี่ยนแปลงเมื่อใดก็ได้

ซึ่งในการทำงานกับ Influencer บน Instagram ผู้เชี่ยวชาญด้านอัลกอริธึมอย่าง Kelley Cotter ได้เน้นย้ำว่าการแสวงหาอิทธิพลบนเครือข่ายโซเชียลมีเดียแห่งนี้ได้กลายเป็นเกมแห่งการสร้างการมองเห็นได้อย่างไร

เหล่า Influencer ส่วนใหญ่มักจะตกเป็นทาสของอัลกอริธึม (CR:Bonfire Media)
เหล่า Influencer ส่วนใหญ่มักจะตกเป็นทาสของอัลกอริธึม (CR:Bonfire Media)

เหล่า Influencer ต้องโต้ตอบกับแพลตฟอร์มและอัลกอริธึมของแพลตฟอร์ม ในรูปแบบที่พวกเขาหวังว่าจะได้รับการตอบแทนด้วยการเพิ่มการมองเห็น

และแน่นอนว่าภัยคุกคามจากการความไม่แน่นอนของอัลกอริธึมนี่เองที่เป็นสิ่งที่สร้างความไม่มั่นคงอย่างต่อเนื่องสำหรับเหล่า Influencer ซึ่งต้องตกอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างต่อเนื่องในการโพสต์ลงไปในฟีดของแพลตฟอร์มเพื่อสร้างเนื้อหาที่ดึงดูดใจ

ซึ่งหากพวกเขาทำบางอย่างผิดพลาด พวกเขาอาจจะถูกลงโทษ อาจจะถูกแบน ลดการแสดงผล หรือซ่อนการแสดงผลไม่ให้ใครเห็นได้เลย นั่นทำให้อัลกอริธึมเปรียบดั่งพระเจ้าของเหล่า Influencer ทุกคน ที่มันสามารถที่จะตัดสินชะตาชีวิตของพวกเขาได้แบบทันทีทันใด

วิกฤตสุขภาพจิต

นั่นเองที่ทำให้กลายเป็นปัญหาใหญ่กับสังคม ด้วยสถานะที่ต้องออนไลน์อย่างต่อเนื่องเหมือนสิ่งเสพติดไม่มีผิดเพี้ยน นั่นเองที่นำไปสู่ปัญหาด้านสุขภาพจิต

เหล่า Influencer สามารถออนไลน์ตลอดทั้งวันทั้งคืนเพื่อเชื่อมต่อกับกลุ่มเป้าหมายของเขา และสำหรับหลาย ๆ คนมันแทบไม่มีการแยกระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวอีกต่อไป

และด้วยความกลัวที่จะถูกลดการมองเห็น นั่นทำให้เหล่า Influencer ต้องทำงานกันแบบ overload อยู่ตลอดเวลา และ เผชิญกับปัญหาสุขภาพจิตตามมา

อัลกอริธึมที่โรคจิตของแพลตฟอร์มยังทำให้เหล่า content creator สร้างเนื้อหาที่มีความสุ่มเสี่ยงจะถูกล่วงละเมิดทางออนไลน์ได้เป็นอย่างมาก ทั้งในแง่รูปลักษณ์หรือสิ่งที่พวกเขาทำ ความ fake ของชีวิตที่ดูสวยหรู ซึ่งบางครั้งจำเป็นต้องถ่ายทอดออกมาแม้สภาพจิตใจจะสูญสิ้นก็ตามที

ทั้งหมดทั้งมวลนำไปสู่ปัญหาทางสุขภาพจิตและร่างกาย ซึ่งรวมถึงภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล ความผิดปกติต่างๆ ของร่างกาย หรือแม้กระทั่งความผิดปกติของการกิน

บทสรุป

แม้ว่าการเป็นผู้มีอิทธิพลอาจจะดูน่าสนใจสำหรับผู้คนจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ด้านมืดของอุตสาหกรรมก็เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องมีการเปิดเผยให้เห็นออกมา ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะนำไปสู่การปรับปรุงให้ดีขึ้นผ่านกฎระเบียบต่าง ๆ ทั้งการจ้างงาน การต่อสู้กับแพลตฟอร์ม หรือ การลดปัญหาทางสังคมที่อาจจะเกิดขึ้นและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นกับอุตสาหกรรมนี้ในอนาคตได้นั่นเองครับผม

References :
https://www.theguardian.com/us-news/2019/jan/08/instagram-influencers-psychology-social-media-anxiety
https://journals.sagepub.com/doi/pdf/10.1177/1461444818815684
https://committees.parliament.uk/publications/22107/documents/164150/default
https://mslgroup.com/whats-new-at-msl/msl-study-reveals-racial-pay-gap-influencer-marketing

Nielsen กับการปรับตัวครั้งใหญ่ เมื่อตลาด TV Rating มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์กำลังตกอยู่ในความเสี่ยง

ถ้า Google คือ การค้นหาทางอินเทอร์เน็ต Facebook คือแพลตฟอร์มสำหรับเครือข่ายโซเชียลมีเดีย สำหรับ Nielsen เอง พวกเขาคือเจ้าพ่อแห่งวงการจัด Rating TV

Nielsen มีอำนาจอิทธิพลมาตั้งแต่ยุคเริ่มต้นของวงการโทรทัศน์ จวบจนถึงทุกวันนี้ กว่า 99 ปีแล้วที่พวกเขาผูกขาดในการวัดจำนวนผู้ชมที่ตัดสินว่าละครหรือรายการทีวีเรื่องใด จะถูกปรับออกจากผังหรือได้ไปต่อ

Nielsen เองได้อาศัย กล่องวิเศษ ที่ติดตั้งในกลุ่มประชากรแบบสุ่ม และคอยตรวจสอบว่าใครในครอบครัวกำลังดดูทีวีช่องไหนอยู่

รายรับต่อปีของพวกเขาอยู่ที่ประมาณ 3.5 พันล้านดอลลาร์ แต่มีอำนาจเหนือ 95% ของเวลาออกอากาศทางเคเบิลทั้งหมดในอเมริกา

แต่ทุกวันนี้ อาณาจักรที่ดูโบราณคร่ำครึ กำลังถูกท้าทายอย่างหนัก เกิดเรื่องอื้อฉาวนับไม่ถ้วน ลูกค้าหลายรายก็ถอนตัวออกไปเพราะมองว่า Nielsen นั้นโบราณเกินไปที่จะทำหน้าที่เป็นมาตรฐานวงการทีวีในทุกวันนี้ที่เทคโนโลยีมันก้าวล้ำไปถึงไหนต่อไหนแล้ว

ในขณะเดียวกันบริการอย่าง Streaming ที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดดนั้น พวกเขาไม่แคร์ Nielsen แต่อย่างใด เพราะพวกเขาสามารถวัดยอดผู้ชมได้แบบถูกต้อง 100% จากฐานผู้ใช้งานจริง ๆ ไม่ต้องสุ่มข้อมูลด้วยข้ออ้างทางสถิติ

ความน่าสนใจที่เกิดขึ้นในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่ง Nielsen ได้กล่าวว่า 9,400 กล่องจากทั้งหมด 41,000 ครัวเรือนที่มีกล่องวิเศษดังกล่าวในอเมริกา หรือเกือบหนึ่งในสี่ของทั้งหมดนั้น รายงานข้อมูลการรับชมผิดพลาดในช่วงตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2020 ถึง กุมภาพันธ์ 2021

แล้วมันเกิดอะไรขึ้น เมื่อ Rating ที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้มาอย่างยาวนาน แต่กลับรายงานผิดพลาดได้ถึงเพียงนี้ และมันส่งผลต่ออุตสาหกรรมโดยเฉพาะด้านการโฆษณาอย่างมหาศาล

Nielsen เองได้โทษไปที่ โรคระบาด ซึ่งโดยปกติครัวเรือนที่ได้รับการคัดเลือกเหล่านี้จะได้รับการบำรุงรักษาเครื่องวัด Rating เป็นประจำต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน

แต่บริษัทได้เลื่อนการเข้าตรวจสอบออกไปนับครั้งไม่ถ้วน เนื่องจากต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของ CDC และหลีกเลี่ยงการส่งพนักงานไปอยู่ในสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงที่อาจจะทำให้ลูกค้าของพวกเขาติดเชื้อ COVID-19

แน่นอนว่าทำให้เหล่าลูกค้าที่ใช้บริการ Rating ของ Nielsen นั้นเกิดความเสียหาย ซึ่งพวกเขาก็ได้ทักท้วงไปยัง David Kenny ซึ่งเป็น CEO ของ Nielsen ว่าจำนวนผู้ชมที่ลดลงอย่างรวดเร็วนั้นไม่น่าจะเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง

มันเป็นไปไม่ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ผู้คนต้องอยู่กับบ้านจากการ lockdown ที่เกิดขึ้น จำนวนผู้ชมไม่น่าจะมีการลดลง ซึ่งท้ายที่สุด Kenny ก็ออกมายอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น

แม้จะไม่มีตัวเลขยืนยันความชัดเจนจากความเสียหายที่เกิดขึ้น แต่มันได้สร้างความโกรธเคืองขึ้นกับเครือข่ายทีวีทั้งหลายที่อาศัย Rating ของ Nielsen เป็นหลัก

ตอนนี้มันได้เกิดรูปแบบของบริการ Streaming ที่สามารถวัดยอดวิวได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ไม่ต้องมาประมาณโดยใช้รูปแบบของสถิติทางด้านคณิตศาสตร์เหมือนที่ Nielsen ทำ

ในเดือนสิงหาคม 2020 Dazid Zaslav ที่เป็น CEO ของ Discovery ซึ่งใช้บริการของ Nielsen เป็นตัววัด Rating มานานแสนนานรู้สึกโกรธจัดจากความผิดพลาดในครั้งนี้ รวมถึง กล่าวถึงความล้าหลังของ Nielsen ที่มีเทคโนโลยีล้าหลัง ทั้งที่ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว

Dazid Zaslav ที่เป็น CEO ของ Discovery รู้สึกโกรธจัดจากความผิดพลาดที่เกิดขึ้น (CR:FT)
Dazid Zaslav ที่เป็น CEO ของ Discovery รู้สึกโกรธจัดจากความผิดพลาดที่เกิดขึ้น (CR:FT)

สำนักโฆษณาวีดีโอ (VAB) ซึ่งเป็นสมาคมของเครือข่ายและเคเบิลที่คอนติดตามการวัดจำนวนผู้ชมโทรทัศน์ กล่าวหา Nielsen ต่อสาธารณชนในเรื่องการย่อจำนวนผู้ชมของเครือข่ายอย่างเป็นระบบ

พวกเขาได้แจ้งต่อ Media Ratings Council (MRC) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่แสวงหาผลกำไรที่กำหนดมาตรฐานการให้คะแนน ให้ถอดการรับรอง Nielsen สำหรับเคเบิลทีวีและทีวีออกไป

“Nielsen ทำสามสิ่ง คือ ปฏิเสธ เบี่ยงเบน และหน่วงเวลา” Sean Cunningham หัวหน้าของ VAB กล่าว

ซึ่งท้ายที่สุด Nielsen ก็ออกมายอมรับความผิดพลาด ซึ่งในช่วงเวลานั้นเพียงอย่างเดียวมีเม็ดเงินโฆษณาแพร่สะพัดถึง 1.6-2.3 พันล้านดอลลาร์ และสร้างความสูญเสียมากถึง 5% จากความผิดพลาดที่เกิดขึ้นครั้งนี้

แต่ก็ต้องบอกว่าจุดอ่อนของบริการ Streaming ก็คือการแสดงโฆษณาที่น้อยมาก ๆ ทั้ง Netflix , Amazon Prime และ Disney Plus แทบจะไม่มีโฆษณาเลย

มีเพียงบริการกลุ่มเล็ก ๆ เท่านั้นที่แสดงโฆษณา เช่น Youtube หรือ Hulu ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาไม่สามารถที่จะแสดงโฆษณาได้มากเท่ากับสิ่งที่เกิดขึ้นในวงการทีวีอย่างแน่นอน

มีเพียง 5% ของเวลาโฆษณาทางทีวีทั้งหมดที่ได้ไปปรากฎบนบริการ Streaming เหล่านี้ แม้ว่าพวกเขาจะมีส่วนแบ่งเวลาในการรับชมเกือบ 28% ก็ตาม และ 95% ของนาทีโฆษณาทั้งหมดยังคงปรากฎอยู่ในทีวีแบบเดิม ๆ อยู่ แม้ว่าคนดูจะเริ่มน้อยลงไปมากก็ตามที

ซึ่งแม้จำนวนผู้ชมจะลดจำนวนลงไป แต่ผู้โฆษณารายใหญ่ก็ไม่ได้ตัดงบประมาณในการโฆษณาจากทีวีแบบดั้งเดิม ซึ่งทีวียังเป็นสื่อที่มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับสปอตโฆษณาที่ให้ความรู้สึกดี และ ราคาแพง ซึ่งสร้างความภักดีต่อแบรนด์ให้กับแบรนด์สินค้ายักษ์ใหญ่ทั่วโลก

แต่ในทางกลับกัน ฐานลูกค้าของบริการ Streaming นั้นมักจะอายุน้อยกว่า และมีรายได้สูงกกว่าผู้รับชมทางทีวีหรือเคเบิลแบบเดิม ๆ ซึ่งผู้โฆษณาต้องจ่ายเงินมากกว่าหากต้องการลงโฆษณาในบริการ Streaming เหล่านี้

เมื่อ Nielsen ชิง Disrupt ธุรกิจตัวเองก่อน

Nielsen ได้วัดสิ่งที่คนอเมริกันมากกว่า 300 คนดูทางทีวีโดยการสำรวจความคิดเห็นจากกลุ่มตัวอย่างเพียงแค่ 41,000 ครัวเรือน ซึ่งการกระจายกลุ่มของผู้ชมที่เริ่มกว้างขึ้นจากการเกิดขึ้นของบริการ Streaming ทำให้ Nielsen ต้องมีการปรับเปลี่ยนครั้งสำคัญ

Nielsen กล่าวว่า “ขนาดกลุ่มตัวอย่างของเราที่สามารถวัดได้มีขนาดเล็กเกินไป”

Kenny เชื่อว่าทางออกที่ดีที่สุดคือการ Disrupt ตัวเอง และวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ผู้ลงโฆษณาเข้าถึงผู้ชมทั้งหมดที่เหมาะสมได้ คือการรวบรวมข้อมูลขนาดใหญ่เข้ากับข้อมูลเชิงลึกครัวเรือนรายครัวเรือนอย่างใกล้ชิด สร้างเป็น Big Data ขนาดใหญ่แล้วนำมาประมวลผลด้วยเทคโนโลยี AI

David Kenny CEO ของ Nielsen ที่ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับบริษัท (CR:Nexttv)
David Kenny CEO ของ Nielsen ที่ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับบริษัท (CR:Nexttv)

Nielsen ได้เพิ่มฐานข้อมูลด้วยข้อมูลจากสามแหล่งหลัก อย่างแรกคือจำนวนผู้ชมจากบริการเคเบิลทีวีและดาวเทียม จากผู้ให้บริการเคเบิล เช่น Comcast และ Charter และบริการทีวีดาวเทียม DirectTV และ Dish

ข้อมูลส่วนที่สองมาจากสมาร์ททีวี ซึ่งผู้ผลิตฮาร์ดแวร์เช่น Vizio , LG และ Samsung รวมถึง Roku ที่มีระบบปฏิบัติการในตัว ใช้เทคโนโลยี ACR เพื่อกำหนดว่ารายการใดแสดงโฆษณาใด และผู้ชมกำลังดูสิ่งใดอยู่ แหล่งที่สามคือตัวเลขจากเจ้าของแอป Streaming เช่น Roku , Tubi และ Youtube

ทั้งหมดนี้ Nielsen กรองข้อมูลจากกล่องรับสัญญาณและสมาร์ททีวี 100 ล้านเครื่อง และ Nielsen ได้สร้างแบบจำลองคอมพิวเตอร์ที่ปรับใช้เทคโนโลยีทางด้าน AI และ Machine Learning เพื่อเรียนรู้ว่าผู้ชมอาศัยอยู่ที่ใดโดยการซื้อข้อมูลที่อยู่จากผู้ให้บริการเคเบิลและบริการ Streaming

Nielsen ยังซื้อข้อมูลการตลาดจากแหล่งต่าง ๆ ตั้งแต่ผู้จัดพิมพ์นิตยสารไปจนถึงผู้ให้บริการด้านสุขภาพ เพื่อช่วยประเมินว่าชุดข้อมูลของผู้ชมประกอบด้วยผู้หญิงที่เพิ่งแต่งงานใหม่หรือเจ้าของบ้านที่สูงอายุมากเพียงใด

ข้อมูลทั้งหมดนั้นทำงานผ่านอัลกอริธึมที่มีความซับซ้อน ช่วยให้ Nielsen แนะนำผู้โฆษณาเกี่ยวกับวิธีที่ดีที่สุดในการเข้าถึงผู้ชมที่พวกเขาต้องการ

ซึ่งโมเดลนี้ทำหน้าที่สำคัญสองประการ อย่างแรก Machine Learning จะเรียนรู้จากข้อมูลใหม่เพื่อคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการรับชมได้อย่างแม่นยำ

ตัวอย่างเทรนด์ล่าสุดที่ Nielsen พบก็คือ ครอบครัวที่ดูกีฬาสดในตอนเย็นจะ Stream Hulu หรือ Youtube มากขึ้นในตอนบ่ายก่อนที่จะเปลี่ยนไปเล่นเกมทางเคเบิลทีวี

แบบจำลองของ Nielsen สามารถคาดการณ์ได้ว่าแนวโน้มดังกล่าวจะเกิดขึ้นเมื่อใด โดยแนะนำให้ผู้ซื้อโฆษณา ซื้อเวลาในบริการ Streaming ก่อนงานใหญ่ ๆ ที่จะเกิดขึ้น

ส่วนที่สอง ข้อมูลขนาดใหญ่เหล่านี้อาจไม่ได้บอกว่าใครที่กำลังดูอยู่ที่บ้านที่อาจะเป็น พ่อ แม่ ปู่ ย่า ลูก หลาน ซึ่ง AI และ Machine Learning สามารถให้ความน่าจะเป็นที่ชัดเจนว่าใครเป็นผู้รับชมที่แท้จริงในเวลาที่กำหนด

ต้องบอกว่าการบูมขึ้นของบริการ Streaming และ ความล้มเหลวของ Nielsen นั้นทำให้คู่แข่งของพวกเขาแข็งแกร่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Comscore , 605 , TVSquared และ VideoAmp

นั่นเองที่ทำให้ Nielsen ต้องมีการเร่งปรับตัวครั้งใหญ่ในครั้งนี้ ซึ่งสุดท้ายรูปแบบการนับผู้ชมแบบใหม่นี้ซึ่งครอบคลุมทั้งทีวีและ บริการ Streaming ได้กลายมาเป็นบริการที่มีชื่อว่า Nielsen ONE

โดย Nielsen จะมีอายุครบ 100 ปีเมื่อเปิดตัว Nielsen ONE ซึ่ง Kenny เดิมพันว่าความสามารถใหม่ของ Nielsen ในการวัดจำนวนผู้ชมแบบดิจิทัลของสื่อได้ดีกว่าใคร ๆ จะทำให้การครบรอบ 100 ปีไม่ใช่เพียงแค่การย้อนรำลึกถึงอดีตเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่จะเป็นการเฉลิมฉลองการเกิดใหม่ของพวกเขาด้วยนั่นเองครับผม

References :
https://www.adweek.com/convergent-tv/nielsen-expands-nielsen-one-alpha/
https://fortune.com/2022/02/28/nielsen-ratings-streaming-advertising-david-kenny/
https://www.adexchanger.com/platforms/watch-out-nielsen-one-comscore-is-busily-building-a-unified-cross-platform-measurement-offering-of-its-own/
https://global.nielsen.com/news-center/2020/the-future-of-media-starts-with-nielsen-one/


ดราม่า “รีวิวบุฟเฟต์” กับ case study ของอิทธิพลที่เพิ่มมากขึ้นจาก Micro-Influencers

“ต้องยอมรับว่าปัจจุบัน กลุ่มนักรีวิว หรือ Micro-Influencers มักมีผลและมีอิทธิพลต่อร้านค้า เพราะเรียกได้ว่าเป็นการตลาดแบบปากต่อปาก หากมีใครไปรีวิว ร้านก็สามารถพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสได้ ภายในชั่วข้ามคืน” คำกล่าวจาก คุณเอ้ย อังกูร เจ้าของแบรนด์รสสุคนธ์ (ไอศครีมสับประรด) ในรายการโหนกระแสที่ออกอากาศในวันที่ 15 ก.ย. 2564 ถือว่าเป็นคำพูดที่น่าสนใจมาก ๆ

ซึ่งแน่นอนว่าดราม่าเรื่องนี้เหมือนจะจบลงด้วยดี และมีการนำเสนอเรื่องราวรายละเอียดจากหลายๆ แห่งแล้ว แต่สิ่งที่ผมกลับสนใจมาก ๆ ในตอนนี้จากประเด็นดังกล่าวที่เกิดขึ้นและเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของสังคมคงจะเป็นบทบาท และ อิทธิพลของ Micro-Influencers กับการตลาดในยุคปัจจุบัน

เอาจริง ๆ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ไปร่วม joined กับหลายๆ กลุ่มตามความสนใจของผมเช่นกัน ซึ่งได้สังเกตเห็นอิทธิพลที่เกิดขึ้นเหล่านี้มาซักระยะหนึ่งแล้ว ที่หลายคนอาจจะมองข้ามไป

ตัวอย่างที่ผมคิดว่าน่าสนใจ ก็คือ กลุ่มจัดโต๊ะคอม ที่แน่นอนว่ามันตอบรับกับพฤติกรรมที่ตอนนี้หลาย ๆ คนต้อง Work From Home แล้วอยากจะสร้างบรรยากาศการทำงานที่บ้านให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งก็ทำให้กลุ่มนี้ดังขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

สิ่งที่ผมเห็นอย่างนึงก็คือ สินค้าที่ เหล่าสมาชิกในกลุ่มเข้ามารีวิวนั้น หากเป็นสินค้ายอดฮิต เช่น โคมไฟ Xiaomi , คีย์บอร์ด Keychron หรือ โต๊ะของ iKea ในบางรุ่น มันส่งอิทธิพลอย่างมากต่อยอดขายจริง ๆ ของสินค้านั้น ๆ ได้เลยทีเดียว เรียกได้ว่า ของแทบจะขาดตลาดทันที หากไอเท็มใดเกิดความฮิตติดตลาดขึ้นในกลุ่ม

กลุ่มสุดฮิต จัดโต๊ะคอม ที่ทำเอาสินค้าขาดตลาด (CR: FB/juddesk)
กลุ่มสุดฮิต จัดโต๊ะคอม ที่ทำเอาสินค้าขาดตลาด (CR: FB/juddesk)

ซึ่งผมก็คิดว่า มันก็เกิดขึ้นกับหลาย ๆ กลุ่ม ตามแต่ความสนใจของแต่ละคน ซึ่งในกรณีที่เป็นข่าวคือ กลุ่มนักรีวิวการรับประทานบุฟเฟต์ ซึ่งมีสมาชิกเกินกว่าครึ่งล้าน ที่เรียกได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ธรรมดา

Micro-Influencers คืออะไร?

การรีวิวโดยผู้มีชื่อเสียงเคยเป็นวิธีสำคัญสำหรับแบรนด์ใหญ่ ๆ ในการสร้างชื่อเสียงและขยายการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ตั้งแต่ George Clooney ดื่มกาแฟไปจนถึง Kim Kardashian ที่มารีวิวผลิตภัณฑ์แต่งหน้าใหม่

การรีวิวโดยผู้มีชื่อเสียงเป็นเป้าหมายสำหรับนักการตลาดที่กระตือรือร้นที่จะใช้ประโยชน์จากฐานแฟน ๆ ที่เป็นที่ยอมรับมาโดยตลอด 

ด้วยผู้ติดตามหลายล้านคนบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย จึงเป็นวิธีแก้ปัญหาง่ายๆ สำหรับการสร้างฐานแฟนใหม่ ๆ สำหรับแบรนด์ใหม่หรือการทำให้แบรนด์เป็นที่ยอมรับ 

อย่างไรก็ตาม เทรนด์ดังกล่าวได้ชะลอตัวลง และตอนนี้แบรนด์ต่างๆ กำลังมองหาผู้ที่มีผู้ติดตามที่น้อยกว่าเดิมมากบนโซเชียลมีเดีย ซึ่ง Micro-Influencers คือผู้ที่อาจมีผู้ติดตามตั้งแต่ 2,000 ถึง 100,000 คน เพียงเท่านั้น แต่มีพลังในการบอกต่อแบบปากต่อปากอย่างมหาศาล

คำพูดจากปากต่อปาก ในโลกออนไลน์ มีอิทธิพลมากที่สุดในการตัดสินใจซื้อ

บทวิเคราะห์ที่น่าสนใจจากบริษัทที่ปรึกษาระดับโลกอย่าง Mckinsey ที่ได้กล่าวถึงเทรนด์ดังกล่าวว่า กำลังกลายเป็นปัจจัยและอิทธิพลสำคัญมากสำหรับการตัดสินใจซื้อโดยเฉพาะสำหรับกลุ่มคน Gen Z

ตัวอย่างในประเทศจีน ประสบการณ์การใช้ผลิตภัณฑ์ที่เขียนบน Taobao, Tmall หรือ RED ตลอดจนความคิดเห็นของเพื่อนและครอบครัวบนโซเชียลมีเดีย ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อ

มากกว่าสามในสี่ของผู้ตอบแบบสำรวจจาก Mckinsey นั้น กล่าวว่า ผู้บริโภค Gen Z นั้นจะมองบทวิจารณ์ออนไลน์ , บัญชีโซเชียลมีเดียของแบรนด์ และ บล็อกเกอร์หรือผู้มีอิทธิพลออนไลน์ เป็นแหล่งที่มีอิทธิพลสูงสุดสามอันดับแรกในการตัดสินใจซื้อ

ซึ่ง Gen Z นั้นจะให้ความสำคัญกับข้อมูลเหล่านี้มากกว่ากลุ่ม Millennials และ Gen X

ส่วนในสหรัฐอเมริกา โซเชียลมีเดียมีอิทธิพลมากที่สุด 39% ของผู้บริโภค Gen Z ในขณะที่บทวิจารณ์ออนไลน์ และบล็อกในออนไลน์นั้นก็เป็นตัวเลือกลำดับต้น ๆ ที่ 26% ส่วนเพื่อนหรือครอบครัวมีอิทธิพล 15% และ 10% ตามลำดับ

อำนาจของเพจที่ลดลง และ อำนาจของกลุ่มที่เพิ่มขึ้น

ต้องบอกว่าหลังจากมีปัญหาครั้งใหญ่ในเรื่องการโฆษณาทางด้านการเมืองตั้งแต่ปี 2016 นั้น เรียกได้ว่า Facebook ได้ปรับอัลกอริธึมครั้งใหญ่ ที่มีการให้ความสำคัญของการ community มากยิ่งขึ้น

Facebook เริ่มให้ความสำคัญกับกลุ่มมากยิ่งขึ้น (CR:Engadget)
Facebook เริ่มให้ความสำคัญกับกลุ่มมากยิ่งขึ้น (CR:Engadget)

เราจะเห็นได้จากสถานการณ์ในตอนนี้ เพจ facebook หลาย ๆ เพจ ที่มียอด like หรือ follower หลักแสน หลักล้าน แต่ในบางโพสต์แทบจะมี engagement กับกลุ่มแฟน ๆ แค่หลักสิบเท่านั้น

แน่นอนว่าสิ่งแรกคงเป็นการบังคับให้ไปจ่ายเงินโฆษณามากขึ้นสำหรับเหล่าแบรนด์ หรือ เพจใหญ่ ๆ ที่หาก content ไม่โดนจริง ๆ ยากมากที่จะแจ้งเกิดได้ในยุคนี้ ที่มี content ให้เลือกสรรค์เต็มไปหมด

แต่ที่น่าสนใจอย่างในกรณีของ ดราม่าบุฟเฟ่ต์ นี้ก็คือเรื่อง community ที่เริ่มมีความสำคัญมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะกระจายไปตามกลุ่มตามความชอบต่าง ๆ ของระบบ Facebook นั่นเอง

ทั้งกลุ่มที่ซื้อขาย หรือ กลุ่มแลกเปลี่ยนความคิดเห็น รีวิวสินค้าต่างๆ ซึ่งตอนนี้ Facebook ให้ความสำคัญมากกว่าเพจเสียด้วยซ้ำ

นั่นทำให้เทรนด์ของ Micro-Influencers เริ่มเด่นชัดขึ้น ตามความหลากหลายของกลุ่มที่เกิดขึ้นนั่นเอง และมันก็แสดงให้เห็นผ่านข่าวดราม่าบุฟเฟ่ต์นี้ว่า ตอนนี้เหล่า Micro-Influencers เริ่มเข้ามามีบทบาทและอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคเพิ่มมากขึ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเองครับผม

References : https://www.digitalcoastmarketing.com/are-micro-influencers-the-future-of-marketing/
https://www.mckinsey.com/industries/retail/our-insights/how-gen-z-and-millennials-are-shaping-the-future-of-us-retail
https://www.mckinsey.com/cn/our-insights/our-insights/chinas-gen-z-are-coming-of-age-heres-what-marketers-need-to-know
https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_6619168

Deepfake Marketing กับอนาคตใหม่ของบริษัทที่ต้องการสร้างโคลนโฆษณาบนใบหน้าของคุณ

ในการเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับผลิตภัณฑ์ใด ๆ คุณอาจจะต้องสมัครผ่านเว็บไซต์ของ Agency โฆษรา และส่งชื่อ ที่อยู่อีเมล และโปรไฟล์ Instagram ของคุณ 

แต่ด้วยเทคโนโลยี Deepfake มันได้ถึงจุดเปลี่ยนของวงการโฆษณา เมื่อบริษัทเทคโนโลยีที่มีชื่อว่า Hour One ที่มองหาตัวละครที่แสดงถึงช่วงอายุ เพศ และลักษณะทางเชื้อชาติที่หลากหลาย  

หาก Hour One ยอมรับ บริษัทจะถ่ายใบหน้าของคุณ และให้คุณพูดและแสดงสีหน้าต่างๆ บนหน้าจอสีเขียวโดยใช้กล้องความละเอียดสูง จากนั้นจะประมวลผลการบันทึกผ่านซอฟต์แวร์ AI

ปัจจุบัน Hour One สร้างเสียงที่สร้างขึ้นโดย AI เพื่อให้เข้ากับวิดีโอ ใช้งานได้เหมือนกับซอฟต์แวร์แปลงข้อความเป็นคำพูด และให้ AI พูด และยังเสนอตัวเลือกที่มีราคาแพงกว่าซึ่งใช้นักพากย์มืออาชีพที่จะอ่านสคริปต์ของคุณ 

ในขณะที่บริษัทมีนโยบายด้านจริยธรรมเกี่ยวกับการปกป้องตัวตนของคุณ ซึ่งบริษัทได้กล่าวว่า “ทรัพย์สินข้อมูลของคุณจะถูกป้องกันด้วยการรักษาความปลอดภัยสูงสุด” 

นอกจากนี้ยังจะติดป้ายกำกับวิดีโอสังเคราะห์ทั้งหมดที่เลียนแบบตัวของคุณด้วยลายน้ำที่ระบุว่าสร้างขึ้นโดย AI ทังหมดอีกด้วย

ซึ่ง Hour One จะมีมาตรฐานที่เข้มงวดมากขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่า ลูกค้าของพวกเขารู้สึกปลอดภัยในการขายภาพเหมือนที่ขายให้กับบริษัทเอกชนอื่นๆ  

ท้ายที่สุด บริษัทโฆษณาต่าง ๆ สามารถใช้ตัวละครเหล่านี้เพื่อพูดและขายสิ่งที่พวกเขาต้องการได้ 

ต้องบอกว่าอ่านข่าวนี้แล้ว ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่น่าสนใจของวงการโฆษณาเลยนะครับ เพราะจะเห็นได้ว่า เทคโนโลยีอย่าง Deepfake ในตอนนี้นั้นพัฒนาไปไกลมาก ๆ แล้ว

แน่นอนว่าก่อนหน้านี้ ถูกใช้ไปในทางที่ผิด กับการทำคลิปล้อเลียนคนดัง หรือ การทำคลิปโป๊ จากเหล่าดาราชื่อดัง แต่มันก็ทำให้เราได้เห็นถึงศักยภาพของเทคโนโลยีนี้

แน่นอนว่า ต่อไป บริษัทโฆษณา สามารถหยิบจับเลือกใช้ตัวละครต่าง ๆ ได้หลากหลายมากยิ่งขึ้น และ ไม่จำเป็นต้องไปลงทุนถ่ายทำในทุก ๆ scene อีกต่อไป เพราะ การใช้ Deepfake นั้นสามารถ จะสร้างสรรค์ตัวละคร ให้พูด ให้แสดงอย่างไรก็ได้ และสุดท้ายมันก็ทำให้ต้นทุนต่าง ๆ สำหรับสิ่งเหล่านี้ลดลงไปได้ในอนาคตนั่นเองครับผม

References : https://www.technologyreview.com/2021/08/27/1033879/people-hiring-faces-work-deepfake-ai-marketing-clones/
https://www.hourone.ai/ethics
https://deepdatainsight.com/what-is-deep-fake-and-should-we-be-worried/
https://www.hourone.ai/become-a-character

Becky Li กับอิทธิพลของ KOL ที่ขายรถ Mini ออนไลน์ได้ 100 คันในเวลา 4 นาที

ด้วยผู้ติดตาม 20 ล้านคนบนโซเชียลมีเดีย Becky Li ถือเป็นผู้นำด้านความคิดที่สำคัญอันดับต้น ๆ หรือ KOL รายได้ของเธอขึ้นอยู่กับยอดขายที่เธอสามารถสร้างได้และทุกวันนี้อิทธิพลของเธอในจีนสามารถวัดผลได้โดยตรงอีกด้วย 

ขณะนี้แบรนด์หรูที่ดำเนินงานในประเทศจีนให้ลิงก์ที่แตกต่างกันสำหรับ KOL เพื่อแนบไปกับโพสต์หรือบล็อกเพื่อคำนวณอิทธิพลของพวกเขา Li อธิบายในรายงานของ Bernstein Research ที่เผยแพร่ในเดือนกุมภาพันธ์ 

“แบรนด์จะให้ลิงก์แก่ฉันเมื่อฉันเขียนบทความและลิงก์นี้จะนำคุณไปยังเว็บไซต์ของแบรนด์ แต่ละ KOL จะได้รับลิงค์ที่แตกต่างกัน จากนั้นแบรนด์ก็สามารถดูได้ว่า KOL แต่ละคนทำยอดขายอะไรได้บ้างและพวกเขาก็เริ่มแข่งขันกันในกลุ่ม KOL” เธอกล่าวในการให้สัมภาษณ์กับ Luca Solca นักวิเคราะห์อาวุโสของ Bernstein

“พวกเขาโหดร้าย แต่นี่คือความจริง”

Li ทำงานอย่างหนักในการให้คำปรึกษาผู้หญิงจีนเกี่ยวกับแฟชั่นเครื่องสำอางและเครื่องประดับในบทความที่มีความยาว ตลอดจนรูปภาพและวิดีโอบน WeChat และโพสต์สั้น ๆ บน Weibo, Twitter ของจีน เธอแนะนำให้ซื้อสินค้าจากแบรนด์ที่ต้องการมากมายรวมถึง Chanel และ Dior

“ฉันรู้จักแฟน ๆ ของฉัน ฉันรู้ว่าพวกเขาชอบอะไรต้องการอะไร และฉันจะช่วยให้พวกเขาพบสินค้าที่ต้องการ” เธอกล่าว 

ด้วยแนวโน้มของโพสต์สั้น ๆ และไมโครบล็อกบทความของ Li สามารถมีความยาวได้ถึง 5,000 ตัวอักษรจีน เธอกล่าวเสริมว่า ผู้ติดตามของเธอหลายแสนคนชอบเนื้อหาเชิงลึกของโพสต์ พวกเขาอ่านจนจบและแสดงความคิดเห็น 

“หากแบรนด์ต้องการสื่อสารเชิงลึกกับผู้บริโภคและได้รับความไว้วางใจในระยะยาวแบรนด์จะเข้าหาฉันเพราะแบรนด์ต่าง ๆ สามารถหาลูกค้าที่ภักดีได้จากบทความของฉัน” เธอกล่าว

ผู้ติดตามที่ภักดีของเธออาจบุกไปถล่มร้านค้าในเมือง – Secoo ซึ่งเป็นร้านค้าปลีกสุดหรูสาขาปักกิ่งจัดแคมเปญสองสัปดาห์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Li ซึ่งเรียกว่า Becky’s Choice “พวกเขาตกแต่งทั้งร้านเหมือนตู้เสื้อผ้าของฉันที่บ้าน” เธอกล่าว “ในครึ่งเดือนพวกเขาสร้างยอดขายได้ 20 ล้านหยวน [3.1 ล้านเหรียญสหรัฐ]”

ขณะนี้แบรนด์หรูที่ดำเนินธุรกิจในจีนให้ลิงก์ที่แตกต่างกันสำหรับ KOL เพื่อแนบไปยังโพสต์หรือบล็อกเพื่อคำนวณอิทธิพลของตน
ขณะนี้แบรนด์หรูที่ดำเนินธุรกิจในจีนให้ลิงก์ที่แตกต่างกันสำหรับ KOL เพื่อแนบไปยังโพสต์หรือบล็อกเพื่อคำนวณอิทธิพลของตน (CR:SCMP)

Li ไม่รู้สึกเหมือนถูกบังคับให้แบ่งปันรายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของเธอกับผู้ติดตามซึ่งแตกต่างจากเหล่า Influencer ชาวตะวันตก

“ฉันไม่อยากเปิดเผยเกี่ยวกับครอบครัวของฉันทางออนไลน์” เธอกล่าว “อย่างไรก็ตามฉันจะแบ่งปันคำอวยพรปีใหม่ และวิธีที่ฉันบรรลุเป้าหมาย จากนั้นผู้คนจะได้เห็นวิถีชีวิตของฉัน วิธีที่ฉันคิด และความคิดของฉัน”

หญิงสาวชาวจีนมีจุดมุ่งหมาย 3 ประการ Li เชื่อว่าคือ การหาเงิน การพัฒนาเรื่องความสวยงามและการรักตัวเอง การใช้แบรนด์ Becky’s Fantasy และ การปรากฏตัวบนโซเชียลมีเดียของเธอทำให้เธอมีอิทธิพลต่อการซื้อของหญิงสาวที่ต้องการเหล่านี้และเธอมีพลังมหาศาลในตลาดจีน 

ตามบทความที่ตีพิมพ์โดยนิตยสารแฟชั่นออนไลน์ Jing Daily ในปี 2020 Li มีพนักงานมากกว่า 100 คนเพื่อดูแลบัญชี WeChat 5 บัญชี แบรนด์เสื้อผ้า 2 แบรนด์ แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซและเวิร์กช็อปการพัฒนาตนเอง 

Li เดิมทีเป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์ที่ Southern Metropolitan Daily ในปี 2014 เธอรู้สึกได้ถึงสัญญาณแห่งการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเปลี่ยนผ่านห้องข่าวในรูปแบบดั้งเดิม และเริ่มย้ายเข้าสู่การตลาดออนไลน์ด้วยบัญชี WeMedia ของเธอเอง 

เดิมทีการตลาดออนไลน์คิดว่าดีที่สุดสำหรับสินค้าราคาถูก อย่างไรก็ตามในปี 2017 Li ได้ขายรถมินิคูเปอร์รุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นจำนวน 100 คันทางออนไลน์ภายในเวลา 4 นาที ซึ่งเป็นความสำเร็จที่เธอบอกว่าเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับโลกแห่งการซื้อทางออนไลน์ที่มีมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ และผู้นำทางความคิดหรือเหล่า Influencer ก็ส่งผลกระทบต่อยอดขายได้โดยตรง

“หลังจากปี 2017 และการทำงานร่วมกันกับ Mini เราก็เริ่มเปลี่ยนไป” เธอกล่าว “แบรนด์ต่างๆขอให้ KOL ขายสินค้าในนามของพวกเขาซึ่งหมายความว่าพวกเขาร่วมมือกับเราเพื่อสร้างแบรนด์ร่วมหรือแบรนด์ที่มีชื่อร่วมหรือขอให้เราถ่ายทำแคมเปญ จากนั้นจึงมีข้อกำหนดในแง่ของการทำให้เกิดการซื้อซ้ำอย่างต่อเนื่อง

ในขณะที่เธอแนะนำแบรนด์หรูจากตะวันตกมานาน แต่ Li คาดว่าจีนจะพัฒนาแบรนด์หรูของตัวเองในอนาคตอันใกล้นี้ “ในอดีตเมื่อใดก็ตามที่ฉันพูดถึงแบรนด์จีนมันเกี่ยวกับของลอกเลียนแบบ” เธอกล่าว “มันเกี่ยวกับคุณภาพที่ไม่ดี แต่ตอนนี้ผู้คนเชื่อมั่นในดีไซน์และคุณภาพของแบรนด์จีนมากขึ้น”

ต้องบอกว่าเรื่องราวของ Li นั้นน่าสนใจมาก ๆ เพราะเหล่า Influencer ตอนนี้กำลังพัฒนาไปในระดับที่สามารถวัดผลทางยอดขายได้ทันที และเป็นการทุ่มเทงบประมาณทางด้านตลาดที่ตรงจุดที่สุดสำหรับแบรนด์ต่าง ๆ

ซึ่งแน่นอนว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศจีน ก็กำลังดำเนินรอยตามขึ้นในประเทศไทยเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นแพล็ตฟอร์ม Ecommerce ต่าง ๆ ที่ล้วนแล้วแต่มาจากเมืองจีนแทบจะทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็น lazada , shopee หรือ Jd

ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่ง อาชีพที่น่าสนใจในอนาคต ที่ไม่ใช่แค่เพียง Influencer ที่สร้าง Awareness ให้กับ Product สินค้าต่าง ๆ เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะต่อไปทุกอย่างต้องวัดผลได้ ลงทุนทำการตลาดกับ KOL และได้ยอดขายกลับมาเท่าไหร่ มันจะสามารถที่จะวัดผลได้แบบ Real Time เหมือนที่ Li ทำสำเร็จในประเทศจีนนั่นเองครับผม

References : https://jingdaily.com/chinas-top-blogger-becky-li-is-expanding-in-unexpected-ways/
https://www.scmp.com/lifestyle/fashion-beauty/article/3122361/becky-li-chinese-kol-who-sold-100-cars-online-four-minutes