10 ปีผ่านไป ฉันยังสงสัยว่าฉันคิดผิดหรือเปล่าที่ให้สมาร์ทโฟนกับลูกสาว

เมื่อเวลาเป็นสิ่งที่ย้อนกลับไปแก้ไขอดีตไม่ได้ ก็ต้องบอกว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีกับการเติบโตของเด็ก ๆ ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของเหล่าผู้ปกครองว่าควรที่จะมอบสมาร์ทโฟนแก่ลูก ๆ ดีหรือไม่

มันมีข้ออ้างมากมายว่าเด็ก ๆ ควรจะได้รับสมาร์ทโฟน เพราะพวกเขาจะกลายเป็นคนนอกสังคมที่ไม่มีโทรศัพท์ใช้ เพราะคนอื่น ๆ ต่างมีโทรศัพท์

ผู้ปกครองหลายคนก็คิดว่าโทรศัพท์เป็นอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัย ทำให้เด็กที่เกิดปัญหาเร่งด่วนเฉพาะหน้าสามารถที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้ปกครองได้

กลุ่มที่มีชื่อว่า Sapien Labs ซึ่งมีการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพจิตของเด็ก ได้สำรวจความคิดเห็นจากผู้ที่มีอายุระหว่าง 18-24 ปี เกือบ 28,000 คน

Sapien ซึ่งได้ทำการวิจัยกับกลุ่มคน Gen Z อธิบายว่าคนกลุ่มนี้เป็น “กลุ่มคนรุ่นแรกที่ผ่านวัยรุ่นด้วยเทคโนโลยีนี้”

ไม่แปลกใจเลยที่การวิจัยของกลุ่มดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าสภาพจิตใจของคน Gen Z นั้นแย่กว่าคนรุ่นก่อน ๆ

สุขภาพจิตของวัยรุ่นแย่ลงอย่างมากในทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงเวลาหลังจากที่สมาร์ทโฟนกลายเป็นกระแสหลัก และปัญหาการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้ปัญหาดังกล่าวรุนแรงขึ้น

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือ Sapien ติดตามช่วงอายุผู้ที่ตอบแบบสอบถามในการมีโทรศัพท์มือถือเป็นครั้้งแรกและเปรียบเทียบสิ่งนี้กับผลสุขภาพจิตที่รายงานออกมา

มันแสดงให้เห็นรูปแบบที่ชัดเจน เด็กที่รับโทรศัพท์ตั้งแต่อายุยังน้อยมีสุขภาพจิตที่แย่ลง โดยสัดส่วนของเด็กผู้หญิงที่ประสบปัญหาด้านสุขภาพจิตมีตั้งแต่ 74% สำหรับผู้ที่ได้รับสมาร์ทโฟนเครื่องแรกเมื่ออายุ 6 ขวบ จนถึง 46% ของผู้ที่ได้รับสมาร์ทโฟนเมื่ออายุ 18 ปี ส่วนของเด็กผู้ชายนั้นตัวเลขอยู่ที่ 42% และ 36% ตามลำดับ

รูปแบบดังกล่าวมีความสำคัญอย่างหนึ่งในประเภทของสุขภาพจิตที่เรียกว่า “social self” ซึ่งจะติดตามว่าเรามองตนเองอย่างไรและเกี่ยวข้องกับผู้อื่นอย่างไร

Sapien ระบุว่ารูปแบบดังกล่าวนี้ไม่เพียงแต่มีแนวโน้มในการเสพติดการใช้เทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นที่ลดลงด้วย

จากสถิติการใช้เวลา 5-8 ชั่วโมงต่อวันทางออนไลน์ในช่วงวัยเด็ก มีการคาดการณ์ว่าสิ่งนี้หากนับเป็นจำนวนชั่วโมงจะมากถึง 1,000 – 2,000 ชั่วโมงต่อปี แทนที่จะใช้เวลาไปปฏิสัมพันธ์ทางสังคมแบบเห็นหน้าเห็นตากับผู้อื่นในสังคม

ก่อนที่เราจะพิจารณาผลกระทบอื่น ๆ ของเทคโนโลยี ตั้งแต่เรื่องของเนื้อหาที่เด็กสามารถดูได้ทางออนไลน์ ไปจนถึงการกลั่นแกล้งบนอินเทอร์เน็ต และความกดดันที่ต้องโต้ตอบกับโลกของโซเชียลมีเดียตลอดเวลา

Jonathan Haidt ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก กล่าวว่า “โทรศัพท์โดยตัวมันเองนั้นไม่ได้เป็นอันตราย แต่สมาร์ทโฟนที่เต็มไปด้วยแอปเปรียบดั่งคำสาปของซาตาน”

Jonathan Haidt ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก (CR:The Chronicle of Higher Education)
Jonathan Haidt ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก (CR:The Chronicle of Higher Education)

เมื่อเด็กมีสมาร์ทโฟนเป็นของตัวเองและใช้งานได้ตามต้องการ พวกเขาจะประสบปัญหาร้ายแรงเกี่ยวกับการอดนอนและการเสพติดไปกับมัน

ทางออกคืออะไร?

ในปัจจุบันมีความคืบหน้าเกี่ยวกับเนื้อหาจากบริษัทด้านเทคโนโลยีที่เผชิญกับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นในการควบคุมเนื้อหาบางอย่าง

เมื่อเร็ว ๆ นี้ Youtube ได้ร่วมมือกับสมาคมโรคการกินผิดปรกติแห่งชาติของอเมริกาเพื่อจำกัดเนื้อหาที่เป็นอันตราย นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้มีอิทธิพลทางโซเชียลมีเดียรุ่นใหม่ เช่น Linda Sun และ Natacha Oceane ส่งเสริมทัศนคติเชิงบวกต่อร่างกายและรณรงค์ต่อต้านในเรื่องการทรมานตัวเองด้วยการอดอาหาร

Linda Sun Youtuber คนดังต้องช่วยให้ข้อมูลที่ถูกต้อง (CR:Youtube)
Linda Sun Youtuber คนดังต้องช่วยให้ข้อมูลที่ถูกต้อง (CR:Youtube)

แต่ก็ยังมีการถกเถียงเกี่ยวกับคำถามที่ว่า เราควรห้ามเด็กเล็กไม่ให้ใช้สมาร์ทโฟนหรือไม่? หรืออย่างน้อยก็ระงับอุปกรณ์ที่มีการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต

ซึ่งก็ต้องบอกว่ามันเป็นเรื่องยากมาก ๆ สำหรับเหล่าผู้ปกครองหรือโรงเรียนในยุคปัจจุบันที่จะควบคุมหรือจำกัดการใช้โทรศัพท์มือถือ

ในขณะที่มีความเห็นว่าโรงเรียนควรขอให้เด็ก ๆ ทิ้งโทรศัพท์ไว้ในล็อกเกอร์ขณะอยู่ในชั้นเรียน แต่ผู้ปกครองอาจคัดค้านเนื่องจากพวกเขาต่างกังวลว่าจะติดต่อลูก ๆ ไม่ได้หากเกิดอะไรขึ้น เช่น เหตุกราดยิงในโรงเรียน

มีสัญญาณแห่งความหวังเล็ก ๆ ได้เกิดขึ้นในรัฐเท็กซัส มีการเคลื่อนไหวให้กำหนดว่าเด็ก ๆ ควรจะรอจนกว่าจะถึงเกรด 8 (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2) ถึงจะใช้อุปกรณ์เหล่านี้ได้ โดยมีครอบครัวมากกว่า 45,000 คนที่ลงทะเบียนสนับสนุน

แน่นอนว่าหากใครมีลูกเล็ก ๆ ก็ต้องเตรียมความพร้อมสำหรับการต่อสู้ในเรื่องนี้ในอนาคตข้างหน้า เพราะอย่าไปหวังพึ่งเหล่าผู้ประกอบการที่หิวโหยเงินตรา ที่จะหวังว่าพวกเขาจะสร้างโทรศัพท์มือถือโง่ๆ ที่ปราศจากสิ่งล่อตาล่อใจจากอินเทอร์เน็ต เพราะท้ายที่สุดแล้วเด็กคือกลุ่มเป้าหมายหลักเป้าหมายแรกที่พวกเขาต้องการที่จะล่อลวงมาเสพติดเทคโนโลยีเหล่านี้ให้ได้นั่นเองครับผม

References :
https://www.ft.com/content/da7bd5c6-1d29-4c40-8578-05966b84346b
https://www.todaysparent.com/family/parenting/yes-your-smartphone-habit-is-affecting-your-kid-heres-how/
https://www.nytimes.com/2016/07/21/technology/personaltech/whats-the-right-age-to-give-a-child-a-smartphone.html
https://www.theatlantic.com/family/archive/2019/09/i-wont-buy-my-teenagers-smartphones/597805/

รักแรก รักเดียว และรักแท้ ของชายที่ชื่อ Mark Zuckerberg

เรื่องราวความรักจากการเผชิญหน้ากันครั้งแรกของ Mark Zuckerberg และ Priscilla Chan ได้รับการเปิดเผยจากหลายแหล่ง แต่ข้อเท็จจริงแล้วนั้นมันเกิดขึ้นระหว่างงานเลี้ยงที่จัดขึ้นโดยลูกพี่ลูกน้องของ Mark Zuckerberg ในปี 2003 และสิ่งที่น่าประหลาดใจในการพบกันครั้งแรกของพวกเขาก็คือ พวกเขาพบกันในห้องน้ำ

หลังจากนั้นนักเรียน Harvard สองคนนี้ได้เริ่มคบกัน เมื่อถูกถามเกี่ยวกับความประทับใจเกี่ยวกับ Mark Zuckerberg “เขาเป็นเด็ก nerd ที่แสบไม่ใช่ย่อยเลยทีเดียว” Chan กล่าว “ฉันจำได้ว่าเขามีแก้วเบียร์ที่เขียนว่า ‘pound include beer dot H’ ซึ่งมันเป็นแท็กสำหรับโปรแกรมภาษา C++ มันเหมือนกับอารมณ์ขันในวิทยาลัย แต่มีความน่ารัก แฝงไปด้วยความน่าสนใจทางวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์

ในสมัยนั้น Mark Zuckerberg เป็นเพียงนักศึกษาธรรมดาที่ยังไม่ได้เป็นเจ้าพ่อ Social Network เหมือนอย่างที่เห็นในปัจจุบัน เขาเปรียบเสมือนคอมพิวเตอร์ที่ไม่ได้รับการเอาใจใส่ ซึ่งกิจวัตรประจำวันส่วนใหญ่ของเขาคือการเขียน Code รวมถึง แก้ปัญหาต่างๆ ทั้งวัน ด้วยพลังงานที่ล้นเหลือ 

หนุ่มเนิร์ดที่รักการเขียนโค้ด ด้วยพลังที่ล้นเหลือ
หนุ่มเนิร์ดที่รักการเขียนโค้ด ด้วยพลังที่ล้นเหลือ

อันที่จริงผู้หญิงแทบทุกคนใน Harvard ในตอนแรกเหมือนจะไม่ชอบในตัว Mark Zuckerberg เพราะเขาทำผิดพลาดโดยไม่ตั้งใจ ที่มีการปล่อยรูปถ่ายของนักเรียนผ่านเว็บไซต์ที่เขาสร้างขึ้นมาเพื่อเปรียบเทียบความ Hot ของสาว ๆ อย่าง Facemash  

แต่ถึงอย่างนั้น Chan ก็ตกหลุมรักเขาตั้งแต่เริ่มแรก และเช่นเดียวกัน Zuckerberg เองก็รักเธอมากเช่นกัน โดยเขามักทำเรื่องตลก ๆ ตามสไตล์ของเด็กเนิร์ด เขาอยากจะออกเดทกับเธอมากกว่าที่จะตั้งใจเรียนให้จบกลางภาคเรียนซะด้วยซ้ำในตอนนั้น นอกจากนี้ Zuckerberg ยังพยายามเรียนภาษาจีนอย่างรวดเร็วเพื่อให้มีส่วนร่วมกับครอบครัวของ Chan มากยิ่งขึ้น

ต่อมา Mark Zuckerberg ได้ตัดสินใจครั้งสำคัญอีกครั้งในชีวิตของเขา เขาได้ลาออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อมาบริหารกิจการของเขาซึ่งนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของ Facebook ด้วยการที่ใช้ชีวิตร่วมกันตั้งแต่การกำเนิดขึ้นของ Facebook ทำให้พวกเขาได้ผ่านช่วงเวลาสำคัญด้วยกันมากมาย

ในปี 2006 มีข้อเสนอมากมายที่ตั้งใจจะซื้อ Facebook รวมถึงจาก Yahoo ที่มาพร้อมกับข้อเสนอมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ 

ซึ่งก็ต้องบอกว่าตัวของ Zuckerberg กำลังดิ้นรนภายใต้แรงกดดันมากมายในช่วงเวลานั้น และ Chan ก็จำได้ว่า “ฉันจำได้ว่าเรามีการสนทนาเกี่ยวกับข้อตกลงของ Yahoo อยู่เสมอ แต่ในที่สุดเราก็ตัดสินใจที่จะมุ่งเน้นไปที่เป้าหมายใหญ่ที่สุดในการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับโลกนี้ผ่านแพลตฟอร์ม Facebook” 

สำหรับข้อเสนอต่าง ๆ มากมายที่เข้ามาหา Zuckerberg เขาได้ปฏิเสธข้อเสนอการซื้อกิจการแทบจะทั้งหมด และตอนนี้มันก็ได้พิสูจน์ในสิ่งที่เขาทำ เมื่อ Facebook ได้กลายเป็น Social Network ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก

แม้ว่า Zuckerberg เป็นคนบ้างาน แต่ Chan ก็เป็นผู้หญิงที่ฉลาดที่รู้วิธีรักษาความสัมพันธ์ที่ดี Chan ได้วางกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดสำหรับความสัมพันธ์ของทั้งคู่ซึ่งพวกเขาต้องทำตาม “หนึ่งวันต่อสัปดาห์เป็นอย่างน้อย ที่ต้องใช้เวลาร่วมกันอย่างน้อยหนึ่งร้อยนาที และสถานที่ต้องไม่ใช่ในอพาร์ตเมนต์ของเขา และแน่นอนว่าไม่ใช่ที่ Office ของ Facebook”

แม้จะงานยุ่งขนาดไหน ทั้งคู่มีกฏที่ต้องใช้เวลาร่วมกันอย่างน้อยอาทติย์ละครั้ง
แม้จะงานยุ่งขนาดไหน ทั้งคู่มีกฏที่ต้องใช้เวลาร่วมกันอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง

เมื่อ Chan อายุเพียง 13 ปีเธอตั้งใจจะเข้ามหาวิทยาลัย Harvard ชีวิตนั้นยากเกินกว่าที่เธอคาดหวังไว้ แต่เธอถูกสอนให้เป็นผู้หญิงที่ฉลาด โดยพ่อของ Chan เป็นชาวจีนและแม่ของเธอเป็นชาวเวียดนาม 

ทั้งครอบครัวอาศัยอยู่ในเวียดนามเป็นระยะเวลาหนึ่งและจากนั้นย้ายเข้าประเทศสหรัฐอเมริกาในฐานะผู้ลี้ภัย พ่อแม่ของ Chan ทำงานอย่างหนักมากถึง 18 ชั่วโมงต่อวันในการบริหารร้านอาหาร 

สำหรับความพยายามของพวกเขาทั้งคู่ก็คือการทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัวดีขึ้น และการให้การศึกษาที่ดีสำหรับลูก ๆ  อย่างไรก็ตามทั้งพ่อและแม่ของ Chan นั้นมีเวลาไม่มากนักในการดูแลลูก ๆ ซึ่งพวกเขาต้องทิ้ง Chan ไว้ให้คุณยายเลี้ยงดู

ซึ่งแม้ว่าคุณยายของ Chan นั้นจะไม่รู้ภาษาอังกฤษเลยก็ตาม แต่เธอก็ยังเป็นผู้หญิงที่มีเหตุผล เธอช่วย Chan ให้วางแผนชีวิตที่ถูกต้องและสอนให้เธอพึ่งพาตนเอง และมีความมั่นใจในตัวเอง

ในช่วงมัธยมปลายของ Chan เธอได้รับรางวัลพิเศษมากมาย เมื่อเธอถามครูสอนเทนนิสเกี่ยวกับการเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย Harvard หลังจากสำเร็จการศึกษา ครูแนะนำให้ Chan เข้าร่วมทีมเทนนิสเพราะ Harvard ต้องการให้นักเรียนได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่จากทุกด้านรวมถึงกิจกรรมด้านกีฬา 

Chan เข้าร่วมทีมเทนนิส และมีความพยายามอย่างมากที่จะพาตัวเองเข้าสู่ Harvard ให้ได้  และในที่สุดเธอก็ได้รับการตอบรับทุนจากมหาวิทยาลัย Harvard

หลังจากสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัย Harvard Chan ได้มาเป็นนักศึกษาแพทย์ที่ University of California, San Francisco เธอไม่ได้เลือกที่จะทำงานใน Facebook แต่เธอเลือกที่จะทำงานที่ FASE และ สอนเด็ก ๆ ที่โรงเรียน Harker เพราะเธอเป็นคนรักเด็ก ๆ มาก

ทั้งคู่ที่คบกันมา 9 ปี ก่อนที่จะแต่งงานกันในปี 2012 มีรายงานว่างานแต่งงานเป็นเรื่องน่าประหลาดใจสำหรับแขกที่ได้รับการแจ้งว่าพวกเขากำลังจะมาร่วมงานฉลองสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนแพทย์ของ Chan และไม่มีใครคาดคิดว่าคู่นี้จะแต่งงานในหนึ่งวันหลังจากที่ Facebook ทำ IPO ในตลาดหุ้น

ซึ่งสุดท้ายทั้งคู่ก็ได้จัดงานแต่งงานในสวนหลังบ้านใน Palo Alto ของ Zuckerberg และในที่สุด Zuckerberg ก็สวมชุดสูทมากกว่าที่จะเป็นฮูดเครื่องหมายการค้าของเขา นอกจากนี้เขายังออกแบบแหวนด้วยตัวเองและเป็นสิ่งที่ทำมาเซอร์ไพรซ์ Chan ในวันแต่งงาน

Zuckerberg และ Chan ทำสิ่งต่าง ๆ ให้เรียบง่ายที่สุดเสมอ สำหรับการ ฮันนีมูน ในอิตาลี พวกเขายังมานั่งทานแมคโดนัลด์กัน ดังนั้นหนังสือพิมพ์บางฉบับจึงกล่าวถึงฮันนีมูนว่า “McHoneymoon ของ Zuck” แต่จากรูปคุณจะเห็นว่าพวกเขาสนุกกับงานเลี้ยงของ McDonald มากมายขนาดไหน

ในขณะที่ Chan อาจเป็นที่รู้จักจากความพยายามด้านการกุศล ซึ่งเธอและ Zuckerberg มีเป้าหมายเดียวกันและกลายเป็นผู้บริจาครายใหญ่ในที่สุด จนถึงตอนนี้พวกเขาได้มอบเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนการศึกษา 

โดยทั้งคู่ยังประกาศว่าพวกเขาจะบริจาคเงิน 120 ล้านดอลลาร์เพื่อเป็นกองทุนสาธารณะสำหรับโรงเรียนของรัฐซานฟรานซิสโก ซึ่งหลังจากที่ลูกสาวคนแรกของพวกเขาเกิด พวกเขาตั้งใจจะบริจาคมากถึง 99% ของจำนวนหุ้นใน Facebook เพื่อต่อสู้เรื่องสิทธิ์ในความเท่าเทียมและความรัก การตัดสินใจนี้ส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่ Chan คิดทั้งหมด

หลังจากคลอดลูกสาวคนแรกทั้งคู่ก็ทุ่มเงินให้การกุศลทั้งหมด
หลังจากคลอดลูกสาวคนแรกทั้งคู่ก็ทุ่มเงินให้การกุศลทั้งหมด

ต้องบอกว่าเรื่องราวความรักของทั้งคู่นั้น มันเกินขอบเขตของเผ่าพันธุ์และเชื้อชาติ จากเรื่องราวความรักของ Mark Zuckerberg และ Priscilla Chan เราสามารถเรียนรู้ได้ว่าการได้รับการสนับสนุนและความเข้าใจเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคู่รักทุกคู่ 

พวกเขาถือเป็นตัวอย่างหนึ่งของการเป็นคู่รักที่ทรงพลังและสร้าง Impact อย่างมหาศาลให้กับโลกของเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแนวคิดการบริจาคหุ้นที่มีแทบจะทั้งหมดให้กับการกุศล หรือ เรื่องราวของธุรกิจที่ Mark Zuckerberg กำลังสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างมากให้เกิดขึ้นกับโลกของเรา และเรื่องราวทั้งสองด้านของคู่รักคู่นี้ เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การชื่นชมเป็นอย่างมากนั่นเองครับ

–> อ่านเพิ่มเติมประวัติ Mark Zuckerberg

References : https://www.bollywoodshaadis.com/articles/the-love-story-of-mark-zuckerberg-and-priscilla-chan-1839 https://www.businessinsider.com/mark-zuckerberg-and-priscilla-chans-12-year-relationship-in-photos-2015-7 https://people.com/human-interest/mark-zuckerberg-priscilla-chan-love-story/ https://fabiosa.com/rsako-auemm-pbdar-phkan-a-timeline-of-unconditional-love-the-story-of-mark-zuckerberg-and-priscilla-chan/

Escape From Pretoria กับการเดินทางที่ไม่มีวันหวนกลับของ Elon Musk

หลาย ๆ ท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าตัว อีลอน มัสก์ นั้นได้เติบโตขึ้นในวัยเด็กในประเทศแอฟริกาใต้ซึ่งประเทศแอฟริกาใต้นี่เองเป็นที่ที่ มัสก์ นั้นได้หล่อหลอมเอาความคิดและนิสัยบางอย่างจากสภาพแวดล้อมรวมถึงวัฒนธรรม ที่สุดท้ายมันได้หล่อหลอมให้กลายเป็น อีลอน มัสก์ อย่างที่เราได้เห็นกันในทุกวันนี้

และหลายท่านอาจจะไม่รู้ว่า นามสกุลของ อีลอน มัสก์ นั้น นับเป็นหนึ่งในนามสกุลที่เก่าแก่ที่สุดนามสกุลนึงเลยก็ว่าได้ของประเทศอังกฤษ ซึ่งถือได้ว่า มัสก์ นั้นเป็นนามสกุลแรก ๆ ของอังกฤษ หลังจากประเทศอังกฤษได้เริ่มมีการปรับมาให้ใช้นามสกุลเพิ่มจากเดิมที่เหล่าประชากรจะมีแต่เพียงแค่ชื่อเพียงเท่านั้น ซึ่งการเกิดขึ้นของนามสกุลก็เพื่อใช้ในการจัดเก็บภาษีได้สะดวกขึ้นนั่นเอง

ถ้าจะย้อนไปถึงรากเหง้าจริง ๆ ของตระกูล มัสก์ นั้นมีข้อมูลว่าสามารถที่จะติดตามย้อนกลับไปได้ถึง ศตวรรษที่ 18 ต้นตระกูลจริง  ๆ นั้นคือ เฮนรี่ มัสก์ ที่ได้แต่งงานกับ Mary Faulkener ซึ่งทั้งสองใช้ชีวิตอยู่ในประเทศอังกฤษและมีลูกๆ  รวมทั้งสิ้น 4 คน และสืบเชื้อสายต่อเนื่องมาจนถึง อีลอน มัสก์ ในปัจจุบัน

มัสก์ มักจะถูกล้อเสมอ ๆ ในวัยเด็กเพราะชื่อที่แปลกประหลาดอย่าง อีลอน นั้นมีที่มาจากไหนซึ่งชื่อของเขามาจากคุณตาทวดที่ชื่อ จอห์น อีลอน ฮัลเดอมัน ซึ่งคุณตาทวดของมัสก์ นั้น ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคเบาหวานซึ่งเป็นโรคร้ายแรงที่ไม่มียารักษาในขณะนั้นโดยเสียชีวิตในปี 1909

ภรรยาของ คุณตาทวด จอห์น อีลอน ฮัลเดอมัน คือ  อัลเมด้า ฮัลเดอมัน ต้องต่อสู้ดิ้นรนกับลูกชาย ซึ่งก็คือคุณตาของมัสก์ โจชัว ฮัลเดอมัน โดยหลังจากสามีได้เสียชีวิตไปก็ได้ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่ประเทศแคนาดาด้วยความเชื่อที่ว่าหากเป็นโรคเบาหวานจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้หากอยู่ในที่ที่หนาวพอซึ่งแคนาดาสามารถตอบสนองสิ่งดังกล่าวได้ดี

ซึ่งต้นแบบหลักของมัสก์ก็น่าจะเป็นคุณตาของเขาอย่าง โจชัว ฮัลเดอมัน นี่เองที่เป็นผู้ชายแหวกแนวที่มีความโดดเด่นอย่างมากซึ่งเป็นต้นแบบที่สำคัญของมัสก์ต่อมา

โจชัว ฮัลเดอมัน คุณตาผู้เป็นต้นแบบนิสัยหลายอย่างของ มัสก์ (CR:Bloomberg)
โจชัว ฮัลเดอมัน คุณตาผู้เป็นต้นแบบนิสัยหลายอย่างของ มัสก์ (CR:Bloomberg)

โจชัว คุณตาของมัสก์ นั้นทำงานได้หลายอย่างและยังมีทักษะในหลาย ๆ เรื่องเช่น การต่อยมวย การเล่นมวยปล้ำ การยิงปืน การไต่เชือก เรียกได้ว่าเป็นคนที่มีความสามารถหลากหลายเลยทีเดียวในขณะนั้น 

คุณตา โจชัว ได้แต่งงานกับ วีน ครูสอนในสตูดิโอเต้นรำชาวแคนาดาในปี 1948 โดยมีลูกด้วยกัน 5 คน และสองในห้า นี้เป็นฝาแฝดคือ เคย์ และ เมย์ ซึ่งก็คือแม่บังเกิดเกล้าของอีลอน มัสก์ ในภายหลังนั่นเอง

คุณตา โจชัว เป็นคนโลดโผนและใช้แนวคิดแบบเสรีนิยมในการเลี้ยงลูก ๆ ของเขา เขาชอบขับเครื่องบินในตอนนั้นเขาได้เปิดคลินิกไคโรแพรกติกซึ่งเป็นคลินิกแพทย์ทางเลือกที่มีความนิยมในสมัยนั้นเป็นอย่างมาก

แต่ในปี 1950 ชีวิตของคุณตา โจชัว และครอบครัวก็ต้องออกผจญภัยอีกครั้งเพราะคุณตาเบื่อกับระบบราชการแคนาดาที่ชอบมาก้าวก่ายชีวิตการทำงานของเขาและนิสัยรักการผจญภัยของเขารวมถึงเขาก็มีแนวคิดที่จะนำเอาคลินิกไคโรแพรกติกไปเผยแพร่ในประเทศอย่างแอฟริกาใต้อีกด้วย เขาจึงพาครอบครัวทั้งหมดออกเดินทางไปแอฟริกาใต้ ที่ๆ พวกเขาไม่เคยไปมาก่อนเลยด้วยซ้ำ

วีรบุรุษ วินสตัน เชอร์ชิล

สำหรับเมืองในแอฟริกาใต้ ที่ โจชัว ต้องการจะไปอาศัยนั้นเขายังไม่ได้ตัดสินใจตั้งแต่แรกเขาทำการบินด้วยเครื่องบินส่วนตัวของเขาสำรวจดูเมืองต่าง ๆ ทั่วแอฟริกาใต้ จนสุดท้ายมาปักหลักอยู่ที่เมือง พริทอเรีย นอกกรุงโจฮันเนสเบิร์ก 

ถ้าเปรียบเทียบชีวิตของอีลอน มัสก์ ตอนเด็กสมัยที่อาศัยอยู่ในเมือง พริทอเรีย ของแอฟริกาใต้ เขาแทบดูจะไม่มีความสุขกับการใช้ชีวิตในเมืองนี้เลยด้วยซ้ำอาจจะกล่าวได้ว่าเมืองแห่งนี้มันเหมือนคุกสำหรับกักขัง อีลอน มัสก์ ให้เขาแทบจะต้องเก็บตัวอยู่คนเดียว แต่เมืองแห่งนี้มันได้หล่อหลอมนิสัยบางอย่างของเขาซึ่งเป็นคุณลักษณะสำคัญของผู้ที่ประสบความสำเร็จมากมายนั่นคือนิสัยรักการอ่าน

อดีตนายกรัฐมนตรีผู้ยิ่งใหญ่ของอังกฤษอย่าง วินสตัน เชอร์ชิล  เมื่อเขาหันเหชีวิตเข้าสู่การเมืองครั้งแรกเขาลงสมัครรับเลือกตั้งในตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง

ทั้งนี้เชอร์ชิลเพิ่งมีอายุ 25 ปี และไม่มีใครรู้จัก เขาจึงได้หันกลับมาสู่ปืนและปากกาอีกครั้งหนึ่ง ในปีนั้นเองสงครามบัวร์ได้เริ่มปะทุขึ้น สงครามดังกล่าวเป็นการรบระหว่างกองทัพอังกฤษและชาวดัตช์ผู้ไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในดินแดนแอฟริกาใต้

ฉนวนสงครามเกิดขึ้นเมื่อมีการค้นพบแหล่งแร่มีค่า เช่น ทองคำและเพชร รัฐบาลอังกฤษจึงได้มีความคิดที่จะเข้าครอบครองดินแดนดังกล่าว เขามองเห็นช่องทางในการที่จะทำในสิ่งที่ตนรักคือการเขียนหนังสือ เขาจึงตกลงกับหนังสือพิมพ์ Morning Post เพื่อที่จะติดตามข่าวเรื่องนี้โดยเขาได้นั่งรถไฟไปกับกองทหารอังกฤษแต่ขบวนรถไฟดังกล่าวถูกโจมตีอย่างหนักจากทหารชาวบัวร์

เมื่อเกิดวิกฤตเช่นนี้เขาก็ได้สร้างวีรกรรมคือรับอาสาฝ่ากระสุนปืนของพวกบัวร์ไปเคลื่อนย้ายตู้รถไฟที่ขวางทางอยู่ ทำให้ขบวนรถที่เต็มไปด้วยทหารที่บาดเจ็บสามารถผ่านออกจากสนามรบไปได้อย่างปลอดภัย อย่างไรก็ดีทหารอังกฤษอีก 52 นาย รวมทั้งตัวเขาเองถูกจับเป็นเชลยทั้งหมด

เขาถูกคุมขังประมาณ 1 เดือนด้วยความอัดอั้นตันใจแม้เขาจะไม่ได้ถูกทรมานใดๆ แต่การต้องมาทนอยู่เฉยๆ เป็นเหมือนการทำให้เขาเสียเวลาในการแสวงหาชื่อเสียงไปโดยเปล่าโดยที่เขายังไม่รู้ว่าขณะเดียวกันนั้นหนังสือพิมพ์พากันประโคมข่าวถึงเขาและคนอังกฤษกำลังสวดมนต์อ้อนวอนขอให้พระเจ้าคุ้มครองให้แก่วีรบุรษเชอร์ชิลผู้ซึ่งอยู่ระหว่างการคุมขัง

ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1899 เขาได้หลบหนีออกมาจากที่คุมขัง ท่ามกลางกองกำลังพลของทหารชาวบัวร์จำนวนมากมายมหาศาล เขาสามารถหนีกลับมาที่กองทัพอังกฤษได้อย่างปลอดภัย และเมื่อกองทหารอังกฤษบุกเข้ายึดกรุงพริทอเรีย เชอร์ชิลก็ได้เป็นผู้ขี่ม้านำหน้าใครๆ เข้าไปฉีกธงของพวกบัวร์ที่ปักไว้หน้าคุกที่เคยกักขังเขาไว้ทิ้ง

เชอร์ชิล ในสมัยที่หนีออกจากคุกในเมือง พริทอเรีย ได้สำเร็จ (CR:All About History)
เชอร์ชิล ในสมัยที่หนีออกจากคุกในเมือง พริทอเรีย ได้สำเร็จ (CR:All About History)

หลังจากนั้นเขาได้เดินทางกลับมายังประเทศอังกฤษ และได้รับการต้อนรับอย่างใหญ่โตในฐานะวีรบุรุษของชาติ เขาได้เข้าสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้งและประสบความสำเร็จ โดยได้รับเลือกให้เป็นผู้แทนราษฎรนับว่าเป็นจุดเริ่มต้นในชีวิตบนเส้นทางการเมืองอันยาวนานและยิ่งใหญ่ของเขานั่นเอง

ซึ่งจะว่าไปแล้วเส้นทางชีวิตของ วินสตัน เชอร์ชิล ในเมืองพริทอเรียมันก็แทบจะคล้ายกับ อีลอน มัสก์ ประสบพบเจอตอนใช้ชีวิตอยู่ในเมืองพริทอเรียแห่งแอฟริกาใต้

ในวัย 6 ขวบ ในงานปาร์ตี้ครั้งนึงที่บ้านของญาติเขาในเมือง พริทอเรีย ด้วยความที่ มัสก์ นั้นได้ถูกห้ามจากแม่ของเขาไม่ให้ไปงานปาร์ตี้ที่บ้านญาติของเขา

เขาไม่เห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าวเขาจึงได้วางแผนที่จะหนีไปจากบ้านเพื่อไปยังงานปาร์ตี้ ซึ่งความคิดแรกของ มัสก์นั้นเขาก็อยากที่จะปั่นจักรยานไปแทนที่จะเดินซึ่งเป็นระยะทางที่ยาวไกล 

แต่ เมย์ แม่ของมัสก์ ได้หลอกกับเขาว่าการที่จะขับรถจักรยานได้นั้นต้องมีใบขับขี่และตำรวจจะจับหากยังดื้อด้านที่จะขับรถจักรยานออกไปข้างนอกซึ่ง มัสก์ นั้นมีทางเลือกเดียวที่ต้องเดินข้ามเมือง พริทอเรีย ที่ต้องใช้ระยะทางกว่า 10 ไมล์ ( 16 km) เพื่อไปยังที่จัดงานปาร์ตี้

มันเป็นเส้นทางเดียวกับที่ เชอร์ชิล หนีออกจากคุก ซึ่งเชอร์ชิล นั้นได้แต่เฝ้ามองทิศผ่านดวงดาวเพื่อหนีออกไปจาก พริทอเรีย ให้ได้แต่มัสก์เด็กน้อยวัย 6 ขวบ ที่ตอนนั้นถือได้ว่าเป็นนักอ่านตัวยง

มัสก์ ได้อ่านสัญญาณจราจรบนถนนเพื่อเดินทางไปยังปาร์ตี้ให้ได้ เขาเดินผ่านตึกยุคโบราณที่มีอยู่เต็มเมืองพริทอเรีย ซึ่งต้องใช้เวลากว่า 4 ชม. กว่าจะถึงสถานที่จัดงานปาร์ตี้ดังกล่าว

และมันเป็นจังหวะที่ เมย์ แม่ของเขาเห็นเข้าพอดีซึ่งมัสก์นั้นไม่ได้รับอนุญาติให้มางานดังกล่าว ทางเดียวที่เขาทำได้ในตอนนั้นคือ หนี!!! และมัสก์ ก็หนีโดยการปีนต้นไม้ขึ้นไปอย่างรวดเร็วซึ่งเป็นทางเลือกที่หนูน้อยมัสก์คิดออก ณ ขณะนั้น 

เมย์ แม่บังเกิดเกล้าของ อีลอน มัสก์ (CR:Reddit)
เมย์ แม่บังเกิดเกล้าของ อีลอน มัสก์ (CR:Reddit)

มัสก์ อยู่บนต้นไม้ไม่ยอมลงมาจนแม่เขาต้องสัญญาว่าจะไม่ทำโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้น เขาลงมาพร้อมความรู้สึกเบื่อหน่ายและต้องกลับบ้านเหมือนที่เขาต้องทำทุก ๆ ครั้ง เพราะที่พริทอเรียมันคือคุกดี ๆ สำหรับมัสก์นั่นเอง

ที่ พริทอเรีย มัสก์ แทบจะไม่มีเพื่อน เวลาส่วนใหญ่ในการใช้ชีวิตที่แอฟริกาใต้ คือ เล่นกับลูกพี่ลูกน้องของเขา หรือ อ่านหนังสือ หรือสิ่งสุดท้ายที่เขาจะทำก็คือการดูทีวีเพราะเขาเกลียดรายการทีวีที่นี่เป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้มัสก์มีนิสัยเบื่อง่ายเป็นอย่างมาก

นักอ่านตัวยง

แต่สิ่งนึงที่เขาชอบที่สุด ก็คือ การอ่านหนังสือ มัสก์อ่านทุกอย่างที่อ่านได้เพื่อเป็นการแก้เบื่อของเขาในการใช้ชีวิตที่นี่ เขาสามารถใช้เวลากับหนังสือเล่มโปรดกว่า 10 ชม.ต่อวัน เขาอ่านหนังสือได้มากมาย บางครั้งสามารถอ่านหนังสือเล่มใหญ่ ๆ ได้ 2 เล่มภายในวันเดียวเลยด้วยซ้ำ

เขามักจะไปฝังตัวอยู่ที่ร้านหนังสือเป็นประจำ มันเหมือนโลกทั้งใบของเขาคือโลกของการอ่านหนังสือนี่เอง  บางครั้งการไปฝังตัวที่ร้านหนังสือของเขานานจนเจ้าของร้านต้องมาไล่ให้เขากลับบ้าน แม้กระทั่งยามที่ทานอาหารมือค่ำหากมีอาหารที่ไม่น่าสนใจนักเขาก็มักจะพกหนังสือมานั่งอ่านบนโต๊ะอาหารด้วย

หนังสือที่เขาชอบนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวของฮีโร่ที่มากอบกู้โลกหรือหนังสือที่เกี่ยวข้องกับการผจญภัย มีหลาย ๆ เล่มที่น่าสนใจ มัสก์ ได้อ่านมาหมดแล้วไม่ว่าจะเป็น The Lord of the Rings by J.R.R Tolkien , everything by Jules Verne , the Foundation Series by Isaac Asimov หรือ everything by Robert Heinlein และอีกมากมาย

หนังสืออย่าง everything by Jules Verne นั้นทำให้ มัสก์ สนใจเรื่องฟิสิกส์รวมถึงเรื่องของสิ่งที่เป็นอนาคต เช่น เรือดำน้ำ , ยานอวกาศ  การเดินทางไปในอวกาศ ซึ่งล้วนแล้วเป็นที่มาในความสนใจของเขาที่สุดท้ายแล้วมาสร้างบริษัท SpaceX แทบจะทั้งสิ้น

ซึ่งหลายปีต่อมาเขาก็ชอบอ่านประวัติบุคคลสำคัญไม่ว่าจะเป็น Benjamin Franklin หรือแม่กระทั่งประวัติของ สตีฟ จ็อบส์ เขาก็สนใจเรื่องจิตวิญญาณในการเป็นผู้ประกอบการของผู้ที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจเหล่านี้

การ์ตูนก็เป็นสิ่งที่เด็กทุกคนสนใจซึ่งมัสก์เองก็เหมือนเด็กทั่ว ๆ ไป เขาไล่อ่านการ์ตูนหลาย  ๆ เรื่องตั้งแต่ Batman ไปจนถึง Iron Man ซึ่งสุดท้ายหลายๆ สื่อได้ยกเขาเปรียบเสมือน Iron Man ในโลกแห่งความจริงเลยด้วยซ้ำ

ซึ่งหลังจากอ่านการ์ตูนจนไม่มีอะไรจะให้เขาอ่านแล้วนั้น เขาก็เริ่มสนใจไปอ่านหนังสืออย่าง Encyclopedia Britannica ซึ่งแม่ของเขายังตกใจว่า มัสก์ นั้นสามารถจดจำเนื้อหาส่วนใหญ่ของ encyclopedia หลังจากอ่านจบ พี่สาวของเขาทอสก้าได้ให้ฉายากับมัสก์ว่า “genius boy” เพราะทึ่งในความสามารถในการจดจำทุกสิ่งทุกอย่างของมัสก์

ครูของมัสก์นั้นก็คิดไม่ต่างจากพี่สาวของเขา  แม้มัสก์จะเป็นคนเงียบแต่ก็มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร เป็นอัจฉริยะด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ และเป็นคนที่รักคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่เด็ก

แต่ตัวมัสก์เองนั้นก็ไม่ได้เป็นที่รักของเพื่อน ๆ ร่วมชั้นเสียทีเดียว เพราะเขาต้องการที่จะพิสูจน์ตัวเองว่าเขานั้นฉลาดกว่าใครเพื่อน และความฉลาดของเขานั้น เขาก็ต้องการจะช่วยเพื่อน ๆ ด้วย แต่ส่วนใหญ่เพื่อน ๆ จะไม่ค่อยเข้าใจกับความหวังดีของมัสก์ในลักษณะนี้มันทำให้เขาดูแปลกในสายตาเพื่อน ๆ ตั้งแต่เด็ก

เขาไม่ค่อยสุงสิงกับเพื่อนสักเท่าไหร่มักจะไปขลุกอยู่ในห้องสมุดของโรงเรียนเสียมากกว่า ในขณะที่เพื่อน ๆ ต่างเล่นสนุกกันซึ่งนิสัยเหล่านี้นั้น จะเห็นได้ว่าจะคล้ายกับเหล่านักธุรกิจทางด้านเทคโนโลยีที่ประสบความสำเร็จมาแล้วทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น สตีฟ จ็อบส์ หรือ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก

มันเป็นช่วงเวลาที่ใช้ชีวิตได้ลำบากมาก ๆ สำหรับเด็กน้อยยอดอัจฉริยะอย่าง อีลอน มัสก์ ซึ่งชีวิตในวัยเด็กก็ส่งผลสำคัญต่อมัสก์เป็นอย่างมาก มันเป็นชีวิตที่น่าเบื่อของเขามาก ๆ กับการใช้ชีวิตในแอฟริกาเขามักถูกรังแกจากเพื่อนร่วมชั้นอยู่เสมอ แต่มันไม่มีทางเลือกสำหรับเด็กที่ต้องตื่นเช้าและไปโรงเรียนเขาเกลียดชีวิตในวัยเด็กของตัวเองเป็นอย่างมาก

และมันได้ส่งผลต่อชีวิตในครอบครัวของเขา การที่เขาเป็นเด็กที่ฉลาดมากบางครั้งทำให้ไม่ค่อยเชื่อฟังสิ่งที่พ่อแม่พูด เขามักจะถามหาเหตุผลในทุก ๆ เรื่อง คำว่า Why? นั้นคือประโยคที่เขามักพูดกับแม่เขาบ่อย ๆ เพราะเขาเป็นคนที่รู้เยอะมากจากการอ่าน บางครั้งหากพ่อแม่สอนอะไรผิด ๆ เขาก็มักจะสวนกลับไปทันทีและไม่มีท่าทีรดราวาศอกเขาจะเถียงจนกว่าแม่เขาจะยอมแพ้ไปเท่านั้น

มัสก์ในวัยเด็กที่เมืองพริทอเรีย (CR:ilovetesla)
มัสก์ในวัยเด็กที่เมืองพริทอเรีย (CR:ilovetesla)

สู่โลกคอมพิวเตอร์

จุดเปลี่ยนที่สำคัญของ มัสก์ คือ การได้พบเจอกับโลกใหม่คือคอมพิวเตอร์ เขาได้พยายามสะสมเงินเพื่อซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนตัวเครื่องแรกของเขาอย่าง Commodore VIC-20 ซึ่งแน่นอนสำหรับเด็ก ๆ มันใช้สำหรับเล่นเกมส์นั่นเอง

มัสก์ต้องการสร้างเกมส์ของตัวเอง เขาจึงได้พยายามเรียนรู้ที่จะทำการฝึกเขียนโปรแกรม เขาจึงได้ไปลงเรียนในคลาส computer programming ซึ่งในปี 1983 ในขณะที่เขาอายุได้ 12 ปีนั้น เขาสามารถสร้างเกมส์และขายไปยังนิตยสารที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ได้ถึง 500 เหรียญ เขาติดต่อผา่น mail ง่าย ๆ ไปยังนิตยสารเพื่อต้องการขายเกมส์ที่เขาสร้างขึ้นมา ซึ่งเกมส์แรกที่เขาสร้างขึ้นคือ “Blaster” 

เป็นการเอาแนวคิดเกมส์อาเขต ที่เขาชอบอย่าง Asteroids และ Space Invaders มารวมร่างกันซึ่งจากผลงานชิ้นแรก นั้นทำให้เขาเป็นที่ยอมรับจากนิตยสาร เขาก็สามารถสร้างเกมส์อื่น ๆ ขายได้อีกในภายหลัง

ตอนอายุได้ 17 ปี มัสก์ ต้องการที่จะออกจากแอฟริกาไปยังแคนาดา หนึ่งในเหตุผลหลักคือเขาไม่ต้องการที่จะเข้าไปเกณฑ์ทหาร มัสก์นั้นอยากเข้าเรียนมหาลัยให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ 

เขาต้องการหนีจากแอฟริกาใต้มานานมากแล้ว ที่นี่เปรียบไปก็ไม่ต่างจากคุกสำหรับคนอย่างเขา ความหลงไหลในคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยี และความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของเขาเป็นแรกผลักให้เขาต้องออกจากแอฟริกา แคนาดานั้นเป็นแค่ที่พักชั่วคราวเท่านั้นเพราะเขามีบรรพบุรุษเป็นชาวแคนาดา 

เขาเริ่มเติบโตขึ้นอีกขั้น เขาเป็นผู้ใหญ่ที่พร้อมที่จะไปแสวงโชคที่ดินแดนแห่งเสรีภาพ เป้าหมายอันแรงกล้าของเขาคือ  ซิลิกอน วัลเลย์ สถานที่บ่มเพาะผู้ประกอบการหน้าใหม่ มันชัดเจนว่าเขามีจิตวิญญาณที่จะเป็นผู้ประกอบการที่ยิ่งใหญ่ได้ บวกกับความฉลาดเป็นกรด เขาแค่ต้องเรียนให้จบมหาลัยเท่านั้น และตั๋วเดินทางไปแคนาดามันพร้อมแล้วซึ่งมันจะเป็นการเดินทางจากบ้านไปอย่างไม่มีวันหวนกลับสำหรับชายที่ชื่อ อีลอน มัสก์ ในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

References :
หนังสือ Elon Musk Tesla ,SpaceX , and the Quest for a Fantastic Future เขียนโดย Ashlee Vance
หนังสือ The Engineer : Follow Elon Musk on a journey from South Africa to Mars โดย Erik Nordeus
หนังสือ จากรถยนต์ไฟฟ้า Tesla สู่อาณาจักรนิคมบนดาวอังคาร เรื่องราวชีวิตของผู้ประกอบการที่อาจหาญที่สุดในยุคของเรา!
ผู้เขียน Ashley Vance (แอชลี แวนซ์)
ผู้แปล จินดารัตน์
https://www.ndtv.com/offbeat/at-17-elon-musk-had-to-be-retested-for-computer-aptitude-because-2382598

ความรักบนเส้นขนาน ของชายบ้างานที่ชื่อ Elon Musk

ต้องบอกว่าเป็นอีกหนึ่งบทเรียนชีวิตรักของ สุดยอดผู้ประกอบการ ที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลกเราผ่านบริษัทของเขา ไม่ว่าจะเป็น Tesla , SpaceX , Hyperloop หรือ SolarCity ที่ล้วนแล้วแต่เป็นธุรกิจที่มองไปที่อนาคตของโลกเราแทบจะทั้งสิ้น

แน่นอนว่าการบริหาร บริษัท ขนาดเท่า Tesla นั้นเป็นสิ่งที่ท้าทายมาก แต่ Musk ยังเป็นซีอีโอของ บริษัท สำรวจอวกาศ SpaceX ซึ่งมีภารกิจในการพามนุษย์ไปยังดาวอังคาร และ “จุดหมายปลายทางอื่น ๆ ในระบบสุริยะ”

และนั่นไม่ใช่ทั้งหมด Musk ยังก่อตั้งหรือปัจจุบันมีบทบาทสำคัญใน บริษัท อื่น ๆ อีกหลายแห่งโดยมีเป้าหมายดังต่อไปนี้:

  • การพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติทั้งหมด (OpenAI)
  • การพัฒนาอินเทอร์เฟซเครื่องสมองเพื่อเชื่อมต่อมนุษย์และคอมพิวเตอร์ (Neuralink)
  • การแก้ปัญหา “การจราจรคับคั่ง” ด้วยเครือข่ายอุโมงค์ใต้ดินขนาดใหญ่อย่าง Hyperloop (The Boring Company)
  • การผลิตพลังงานสะอาดผ่านแผงโซลาร์เซลล์ (SolarCity ซึ่งเป็น บริษัท ย่อยของ Tesla)
  • X (Twitter) เครือข่ายโซเชียลมีเดียที่ Musk หวังจะผลักดันให้กลายเป็น The Everything Apps

แต่ต้องบอกว่า การที่จะต้องบริหารบริษัทหลาย ๆ บริษัท ที่มีภารกิจอันใหญ่หลวงแทบจะทั้งสิ้นแบบที่ Elon Musk ทำนั้น มันก็ทำให้ชีวิตอีกด้านหนึ่งของ Elon Musk ล้มเหลวไม่เป็นท่าเช่นเดียวกัน

ผู้ก่อตั้ง Tesla ผ่านการหย่าร้าง 3 ครั้ง เคยตกหลุมรัก อดีตนักแสดงชื่อดังอย่าง Amber Heard ของ Johnny Depp และตอนนี้กำลังมีลูกกับภรรยาคนปัจจุบันของเขาอย่าง Grimms

ก่อนหน้านี้ Elon Musk ได้เปิดเผยชีวิตส่วนตัวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในการสัมภาษณ์เชิงลึกของ Rolling Stone โดย Neil Strauss ที่ตีพิมพ์ในเดือนพฤศจิกายนปี 2017

เขาได้พูดถึงการเลิกลากับ Amber Heard อดีตแฟนสาว ซึ่งแสดงอาการอกหักหลังจากต้องแยกทางกัน รวมถึงความสัมพันธ์ที่เหินห่างกับ Errol พ่อของเขา โดยเรียกเขาว่า “มนุษย์ที่โครตน่ากลัว”

หากจะย้อนเรื่องราวความรักของ Elon Musk คงต้องย้อนกลับไปในช่วงกลางทศวรรษที่ 1990 ซึ่ง Musk ได้พบกับ Jennifer Gwynne ในขณะที่ทั้งคู่ยังคงศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย ทั้งคู่เดทกันประมาณ 1 ปี แม้จะเป็นช่วงระยะเวลาสั้น ๆ แต่ดูเหมือนทั้งคู่จะจริงจังกับความรักครั้งนี้ เพราะมีการแนะนำให้รู้จักกับครอบครัวซึ่งกันและกัน

แต่ไม่นานหลังจากที่ Gwynne กลับจากเรียนต่อต่างประเทศ เธอและ Musk ก็ยุติความสัมพันธ์ ซึ่ง Gwynne ได้ออกมาอธิบายในภายหลังว่า Musk ไม่ค่อยเก่งในเรื่องความสัมพันธ์ทางไกล และการคุยโทรศัพท์ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเสียเวลาสำหรับเขา

Elon Musk และ Jennifer Gwynne ที่ดูเหมือนจะเป็นรักครั้งแรกของเขา (CR:CBS News)
Elon Musk และ Jennifer Gwynne ที่ดูเหมือนจะเป็นรักครั้งแรกของเขา (CR:CBS News)

หลังจากนั้น Musk ได้มาพบกับภรรยาคนแรกของเขา Justine Wilson ขณะที่ทั้งคู่กำลังศึกษาอยุ่ที่มหาวิทยาลัย Queen ในออนแทริโอ ประเทศแคนาดา ในขณะนั้น Justine ยังเป็นนักศึกษาปีหนึ่ง และ Musk เรียนอยู่ในชั้นปีที่สอง

หลังจาก Musk ได้ย้ายไปเรียนต่อที่ วอร์ตัน เขาก็ยังคงส่งกุหลาบให้กับ Justine พวกเขาแยกทางกันก่อนที่ Justine จะย้ายไปอยู่ที่ญี่ปุ่นเป็นเวลาหนึ่งปี แต่สุดท้ายก็ได้กลับมาคบกันอีกครั้งเมื่อ Musk เริ่มทำสตาร์ทอัพครั้งแรกของเขาอย่าง Zip2

Justine เองได้เริ่มทำงานกับนวนิยายเรื่องแรกของเธอหลังจากสำเร็จการศึกษา Justine ได้กล่าวว่า Musk จีบเธอโดยให้บัตรเครดิตกับเธอเพื่อซื้อหนังสือมากที่สุดเท่าที่เธอต้องการ จนในที่สุดทั้งคู่ได้แต่งงานกันในปี 2000

หลังจากนั้นทั้งคู่ได้ย้ายไปลอสแองเจลิส และมีลูกชายชื่อเนวาดา ซึ่งได้เสียชีวิตอย่างกะทันหันจากกลุ่มอาการเสียชีวิตอย่างกะทันหัน (SIDS) แต่ในที่สุด พวกเขาก็ได้มีลูกฝาแฝด และ แฝดสาม รวมทั้งหมด 5 คน

Justine ได้กล่าวว่าในช่วงเวลาหลายเดือนหลังการแต่งงาน Musk เริ่มใช้ความคิดครอบงำเธอ และคอยสังเกตสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเธออยู่ตลอดเวลา ถึงขั้นที่ว่า Justine ต้องบอกกับ Musk ว่าเธอเป็นภรรยา ไม่ใช่ลูกจ้าง ซึ่ง Musk มักพูดซ้ำ ๆ เวลาอารมณ์เสียว่าจะไล่เธอออกไป

สุดท้ายทั้งคู่ก็ได้แยกทางกันในปี 2008 หลังจากหย่าร้าง เจ้าพ่อเทคโนโลยีเริ่มออกเดทกับนักแสดงสาว Talulah Riley ซึ่งเป็นเวลาเพียงแค่หกสัปดาห์หลังจากที่หย่าจาก Justine ตัว Musk เองและ Riley ก็ได้มั่นหมายกันก่อนที่จะย้ายไปอยู่แอลเอ

Riley และ Musk แต่งงานกันในปี 2010 สองปีต่อมาข่าวการหย่าร้างของทั้งคู่ก็เปิดเผยต่อสาธารณะ เมื่อ Musk ได้ Tweet ถึง Riley ว่า “มันเป็นสี่ปีที่น่าทึ่ง ผมจะรักคุณตลอดไป. คุณจะทำให้ใครบางคนมีความสุขมากในวันหนึ่ง”

แต่ทั้งคู่ก็ได้กลับมาแต่งงานใหม่ในปี 2013 แต่การกลับมาอีกครั้งทั้งคู่ก็ไม่สามารถจูนติดกันได้เหมือนเดิม สุดท้ายต้องมีการหย่าขึ้นอีกครั้งในปีถัดไป หลังจากแต่งงานใหม่ครั้งที่สองได้เพียงปีเดียวเท่านั้น

จากนั้นในปี 2016 Musk ได้เริ่มออกเดทกับนักแสดงสาว Amber Heard หลังจากที่มีข่าวการฟ้องหย่ากับ Johny Depp ได้เพียงไม่นาน แต่พวกเขาก็เลิกรากันในอีกหนึ่งปีต่อมา โดยปัญหาเกิดจากตารางงานที่หนักหน่วงของทั้งคู่ ซึ่งในเดือนพฤศจิกายนปี 2017 Musk ได้เปิดใจเกี่ยวกับการเลิกลากับ Heard โดยเล่าว่าเขาหลงรักเธอจริง ๆ และรู้สึกเจ็บปวดมากที่ต้องเลิกราจากกัน

การเลิกลากับ Heard เป็นส่งที่ทำให้เจ้าพ่อเทคโนโลยีเจ็บปวดมาก (CR:People)
การเลิกลากับ Heard เป็นส่งที่ทำให้เจ้าพ่อเทคโนโลยีเจ็บปวดมาก (CR:People)

ในเดือนพฤษภาคมปี 2018 Musk มาถึงงานกาล่าของสถาบันเครื่องแต่งกายประจำปีอันโด่งดังที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิแทน ข้าง ๆ Grimes นักดนตรีชาวแคนาดา ซึ่ง มีรายงานว่า ทั้งคู่ได้เริ่มคบหาดูใจกับแบบเงียบ ๆ มาซักระยะหนึ่งแล้ว

Grimes และ Musk พบกันทาง Twitter โดย Musk กำลังวางแผนที่จะสร้างเรื่องตลกเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับตัวละคร Rococo Basilisk ใน วีดีโอ Flesh Without Blood ของ Grimes

หลังจากนั้นเดือนมกราคมปี 2020 Grimes ได้โพสต์รูปใน Instragram ของเธอ และ Twitter ของเธอ ในขณะที่เธอกำลังตั้งครรภ์ ซึ่งภายหลังได้มีการยืนยันว่าเธอได้ทำการตั้งครรภ์กับ Elon Musk

ในวันที่ 4 พฤษภาคม ปี 2020 Musk ได้ประกาศให้กำเนิดลูกชายซึ่งเขาและ Grimes ได้ตั้งชื่อว่า X Æ A-12

Musk และ Grimes ได้ตั้งชื่อว่า X Æ A-12 ที่มีเอกลักษณ์สุด ๆ (CR:Entertainment tonight)
Musk และ Grimes ได้ตั้งชื่อว่า X Æ A-12 ที่มีเอกลักษณ์สุด ๆ (CR:Entertainment tonight)

ในเดือนธันวาคมปี 2020 Musk กล่าวว่า เขาได้ย้ายไปเท็กซัสหลังจากต้องต่อสู้กับรัฐแคลิฟอร์เนียเป็นเวลาหลายเดือนเกี่ยวกับข้อจำกัดการล็อกดาวน์จากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19

Grimes และ Baby X ได้ย้ายไปอยู่กับเขาที่นั่น และในเดือนมีนาคม 2020 เขาได้แชร์ภาพครอบครัวที่ถ่ายใกล้กับโรงงานของ SpaceX ในรัฐเท็กซัสตอนใต้ ทั้งคู่ก็ได้ให้กำเนิดลูกคนที่สองที่ชื่อว่า Exa Dark Sideræl หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ยังมีปัญหารัก ๆ เลิก ๆ อยู่ตลอดเวลา

ในเดือนกรกฎาคม ปี 2022 Musk ได้ให้กำเนิดลูกแฝด Strider และ Azure กับสาวคนใหม่คือ Shivon Zilis ผู้บริหารของบริษัท Neuralink แม้เดิมที่ทั้งคู่ต้องการจะปกปิดเรื่องความสัมพันธ์ในครั้งนี้ แต่สื่อได้รับเอกสารจากศาลเท็กซัสที่ยืนยันว่าทั้งคู่คือลูกของ Elon Musk

หนึ่งวันหลังจากการเกิดของ Strider และ Azure Musk ได้กล่าวถึงสถานการณ์ดังกล่าวบน Twitter (X) ว่า
“ผมพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือในเรื่องวิกฤติประชากรที่ลดน้อยถอยลง” เขาเขียนบน Twitter “อัตราการเกิดที่น้อยลงถือเป็นอันตรายครั้งใหญ่ที่สุดที่อายธรรมมนุษย์กำลังต้องเผชิญ จำคำพูดของฉันไว้ มันเป็นเรื่องจริงที่น่าเศร้า”

ในขณะที่ Zilis อ้างว่าเธอไม่เคยมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับ Musk และฝาแฝดทั้งสองคนตั้งครรภ์จากการผสมเทียม

แล้ว Musk แบ่งเวลาให้กับเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวอย่างไร? 

ต้องบอกว่าถ้าใครเคยอ่านประวัติของ Elon Musk แบบเต็ม ๆ จะพบว่า ตั้งแต่เขาเริ่มทำงานนั้น เขาก็โฟกัสไปที่งานอยู่แทบจะตลอดเวลา ช่วงแรกของการพัฒนา Zip2 สตาร์ทอัพบริษัทแรกของ Musk นั้น เขาก็แทบจะขลุกอยู่แต่ที่ office แทบจะ 24 ชม.

ซึ่งในปัจจุบันเขาต้องแบ่งเวลาเพื่อให้โดยพื้นฐานแล้วเขาสามารถมุ่งเน้นไปที่ บริษัท ทีละ บริษัท

เมื่อพูดคุยกับนักข่าว Alison van Diggelen ย้อนกลับไปในปี 2013  Musk อธิบายว่าการบินไปมาระหว่างทางตอนเหนือและตอนใต้ของแคลิฟอร์เนีย โดยทั่วไปจะแบ่งสัปดาห์ของเขาระหว่างสองบริษัทหลักของเขาด้วยวิธีต่อไปนี้:

วันจันทร์: SpaceX

วันอังคาร: Tesla

วันพุธ: Tesla

วันพฤหัสบดี: SpaceX

วันศุกร์: SpaceX

วันเสาร์: Tesla

วันอาทิตย์: Tesla หรือ SpaceX

แต่หลังจากที่ Elon Musk ได้เข้าซื้อกิจการ Twitter นั้นตารางงานของเขาก็เปลี่ยนไป โดยหันมาโฟกัสกับ Twitter เป็นส่วนใหญ่เพื่อนำพาบริษัทให้รอดพ้นจากวิกฤติทางด้านการเงิน โดย Musk ได้สั่งยกเลิกการทำงานแบบ Remote และออกกฎให้เหล่าพนักงานของ Twitter ควรทำงาน 80 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

Musk ระบุว่าตารางเวลานี้เป็นเพียงตัวอย่างและการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับสิ่งที่เขากำลังทำอยู่  โดยที่ Musk มักเลือกที่จะมุ่งเน้นไปที่บริษัทใดบริษัทหนึ่งก่อนที่จะขึ้นเครื่องบินและเริ่มต้นใหม่ในเช้าวันรุ่งขึ้นกับอีกบริษัทหนึ่ง

แน่นอนว่ามีเพียงไม่กี่คนที่สามารถบริหาร บริษัทหลายแห่งเหมือนที่ Musk ทำได้  และเขาก็เคยกล่าวไว้อย่างชัดเจนในเรื่อง Work Life Balance ว่า “เพื่อความชัดเจนผมก็ไม่สนับสนุนให้ทำงานเจ็ดวันต่อสัปดาห์โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณมีครอบครัวเหมือนผม ดูชีวิตรักของผมสิ มันพังแทบไม่เป็นท่า”

References : https://www.businessinsider.com/elon-musk-relationships-2017-11#while-musk-and-his-first-wife-became-estranged-justine-wrote-in-marie-claire-that-she-and-riley-ended-up-getting-along-very-well-she-even-sent-her-ex-husbands-girlfriend-an-email-saying-i-would-rather-live-out-the-french-movie-version-of-things-in-which-the-two-women-become-friends-and-various-philosophies-are-pondered-10
https://www.scmp.com/magazines/style/celebrity/article/3132768/elon-musks-love-life-mapped-tesla-founder-divorced-3
https://www.cnbc.com/2017/11/15/why-elon-musk-says-he-needs-to-be-in-love-to-live-a-happy-life.html
https://www.businessinsider.in/tech/news/elon-musk-told-twitter-staff-to-expect-80-hour-work-weeks-and-fewer-office-perks-report-says/articleshow/95454276.cms
https://people.com/elon-musk-complete-dating-history-7502497#:~:text=Elon%20Musk%20has%20had%20his,later%20divorced%20and%20remarried%20again.
https://people.com/parents/grimes-welcomes-second-baby-a-daughter-with-elon-musk/

เปิดตัว NEW MAZDA CX-3 ครอสโอเวอร์เอสยูวีคุณภาพคุ้มค่าเหนือราคา ดีไซน์ใหม่เพิ่มความสปอร์ตพรีเมี่ยม อัดเทคโนโลยีเต็มคันกว่าเดิม

มาสด้าเปิดตัว New Mazda CX-3 ยนตรกรรมครอสโอเวอร์เอสยูวีรุ่นใหม่ล่าสุด ที่ออกแบบใหม่ทั้งภายนอกและภายใน พร้อมแนวคิด “Never Settle for Less ความท้าทายใหม่ไม่รู้จบ” ตกแต่งอย่างมีสไตล์ยกระดับความสปอร์ตพรีเมี่ยมให้โดดเด่นยิ่งขึ้น มีให้เลือกถึง 4 รุ่นย่อย พร้อมรุ่นย่อยใหม่ กับ 2.0 Sport Luxe ครบครันด้วยเทคโนโลยีสกายแอคทีฟและโคโดะดีไซน์อันสง่างามสปอร์ตโดดเด่นไม่เหมือนใคร เหนือชั้นด้วยเครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซิน 2.0 ลิตร ทั้งความแรงและประหยัดน้ำมัน 16.4 กิโลเมตร/ลิตร ใส่ระบบความปลอดภัยครบครันมากกว่าเดิม

ราคาจำหน่ายเริ่มต้นเพียง 770,000 บาท กับคุณภาพล้นคัน คุ้มค่าเกินราคา สัมผัสคันจริงได้ที่งาน Big Motor Sale ระหว่างวันที่ 25 สิงหาคม 2566 – 3 กันยายน 2566 หรือทดลองขับพร้อมรับข้อเสนอพิเศษมากมายได้ที่โชว์รูมมาสด้าทั่วประเทศตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

มร. ทาดาชิ มิอุระ ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า มาสด้ามุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อส่งมอบประสบการณ์ความสนุกสนานในการขับขี่ให้กับลูกค้า เพื่อให้รถยนต์มาสด้าเป็นยานพาหนะที่สร้างความรักความผูกพันให้กับผู้ขับขี่ได้อย่างไม่รู้จบ ซึ่ง Mazda CX-3 คือหนึ่งในรถครอสโอเวอร์เอสยูวีรุ่นเริ่มต้น ภายใต้ตระกูล CX-Series ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศไทย

โดยสามารถสร้างความสำเร็จด้านยอดขายให้กับมาสด้าอย่างต่อเนื่อง และยังคงได้รับความนิยมจากลูกค้ามาจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ที่กำลังมองหาเอสยูวีคันแรกที่ให้ความอเนกประสงค์ในการเดินทาง ตั้งแต่ Mazda CX-3 ได้เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยถึงปัจจุบัน สามารถครองใจลูกค้าด้วยยอดขายสะสมสูงถึง 30,000 คัน 

การเปิดตัวครั้งนี้ เป็นการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดรถอเนกประสงค์ขนาดซับคอมแพคท์ (B-SUV) ที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง New Mazda CX-3 จึงได้ถูกพัฒนาไปอีกขั้น โดยเพิ่มอุปกรณ์มาตรฐานเข้ามาและเพิ่มรุ่นย่อยใหม่ คือรุ่น 2.0 Sport Luxe ที่ได้รับการตกแต่งเสริมเอกลักษณ์ความสปอร์ตที่โดดเด่น รวมถึงเพิ่มอุปกรณ์และเทคโนโลยีมาอย่างครบครัน เพื่อมอบความคุ้มค่าและตอบโจทย์การใช้งานและไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ให้มากที่สุด

ทำให้ New Mazda CX-3 มีให้เลือกถึง 4 รุ่นย่อย และมาพร้อมสีภายนอกใหม่ล่าสุดกับ สีเทา แอโร เกรย์ ซึ่งเป็นสีที่ได้รับการพัฒนาตามแนวคิด โคโดะ ดีไซน์ ที่เรียบง่ายแต่งดงาม และเพิ่งเปิดตัวแนะนำเป็นครั้งแรกไปเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งสะท้อนถึงภาพลักษณ์ความสปอร์ตที่ตรงใจลูกค้าที่ชื่นชอบความสปอร์ตได้อย่างลงตัว มาสด้ามั่นใจว่ารถรุ่นนี้จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าชาวไทย กลายเป็นรถครอสโอเวอร์เอสยูวีคันแรกที่สามารถมอบความสุขและความสนุกสนานในการขับขี่ให้กับลูกค้าตลอดการเดินทาง

นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารอาวุโส บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การเปิดตัว New Mazda CX-3 ครั้งนี้ มาพร้อมแนวคิด “Never Settle for Less ความท้าทายใหม่ไม่รู้จบ” เป็นครอสโอเวอร์เอสยูวีคันแรกที่จะพาคุณออกไปเริ่มต้นประสบการณ์ใหม่ได้ไม่รู้จบ เพื่อจุดพลังความกล้าที่จะท้าทายจากสิ่งเดิมๆ ทำในสิ่งที่อยากทำ เติมเต็มชีวิตไปด้วยประสบการณ์ใหม่ที่น่าตื่นเต้นและน่าจดจำ ทำให้ทุกวันเป็นไปได้มากกว่าที่เคยเป็น

โดยกลุ่มเป้าหมายยังคงเป็นวัยเริ่มต้นทำงานที่มองหารถครอสโอเวอร์เอสยูวีคันแรก หรือลูกค้าที่ต้องการซื้อรถเพิ่มเติมเพื่อเติมเต็มชีวิตของครอบครัว ด้วยดีไซน์สปอร์ตพรีเมี่ยม และโดดเด่น มีความคุ้มค่า คุ้มราคา เพียบพร้อมไปด้วยเทคโนโลยีที่ช่วยให้การใช้งานในชีวิตประจำวันสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น จำหน่ายเริ่มต้นเพียง 770,000 บาท ซึ่งถูกลงกว่ารุ่นเดิมถึง 16,000 บาท ทำให้ New Mazda CX-3 ใหม่ กลายเป็นครอสโอเวอร์เอสยูวี ที่ให้ความคุ้มค่ามากที่สุดในตลาดเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีที่มาสด้าให้มาแบบเต็มคัน

กลุ่มลูกค้า New Mazda CX-3 ภายใต้แนวคิด “Never Settle for Less” จะให้ความสำคัญกับการค้นหาประสบการณ์เพื่อลงมือทำสิ่งใหม่ๆ ได้อย่างไร้ขีดจำกัด จุดพลังความกล้าที่จะท้าทายสิ่งเดิมๆ ทำในสิ่งที่อยากทำ เติมเต็มชีวิตไปด้วยประสบการณ์ใหม่ที่น่าตื่นเต้นและน่าจดจำ มีความมั่นใจ มีคติที่ต้องลงมือทำ

เพื่อให้ได้ผลลัพธ์หรือเติมเต็มความต้องการให้ชีวิต ต้องการที่จะก้าวไปอีกขั้นในทุกด้านๆ ทั้งการงาน การใช้ชีวิต  เพื่อใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า สนใจเทคโนโลยี ความทันสมัย มีไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายมิติ ทั้งออนไลน์และการออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน ชอบการพบปะสังสรรค์กับกลุ่มเพื่อน มองรถยนต์เป็นพาร์ทเนอร์ที่เดินทางไปสร้างประสบการณ์ด้วยกัน 

สมรรถนะความแรงกับเครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซินขนาด 2.0 ลิตร และ G-Vectoring Control

ในทุกรุ่นย่อยของ New Mazda CX-3 มาพร้อมเครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซิน ขนาด 2.0 ลิตร (SKYACTIV-G 2.0) ให้พละกำลังแรงม้าสูงสุดถึง 156 แรงม้า ประหยัดน้ำมันถึง 16.4 กม./ลิตร* และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมระบบควบคุมสมรรถนะการขับขี่อัจฉริยะ หรือ G-Vectoring Control (GVC) เทคโนโลยีเฉพาะของมาสด้าภายใต้ Skyactiv-Vehicle Dynamics ที่ช่วยควบคุมสมรรถนะการขับขี่ให้แม่นยำและสมดุล เพื่อให้ผู้ขับขี่สัมผัสถึงความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างคนกับรถได้อย่างสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น

* ผลการทดสอบตามมาตรฐาน UN101 Combine Mode

เติมเต็มด้วยอุปกรณ์มาตรฐานด้านความปลอดภัยที่ติดตั้งเพิ่มเติมมาอย่างครบครัน รวมถึงมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ปลอดภัยกว่าให้กับผู้ขับขี่ ด้วยระบบ i-Activsense ที่ช่วยลดโอกาสการเกิดอุบัติเหตุและช่วยให้การขับขี่ทำได้ง่ายยิ่งขึ้น ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติแบบ Advance (Advanced SCBS) ระบบช่วยหยุดรถขณะถอยหลัง (SCBS-R) ระบบเตือนการชนด้านหน้าและช่วยเบรกอัตโนมัติ (SBS) ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน (LDWS) ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (HBC) และติดตั้งระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ MRCC แบบ Stop & Go โดยระบบสามารถปรับความเร็วตามรถคันหน้าแบบอัตโนมัติได้จนถึงจุดหยุดนิ่ง

ยกระดับภาพลักษณ์สปอร์ตพรีเมี่ยม ด้วยดีไซน์ภายนอกและภายในใหม่

การออกแบบดีไซน์ของ New Mazda CX-3 ได้รับการยกระดับความสปอร์ตพรีเมี่ยม มีเอกลักษณ์ในสไตล์เฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ภายนอก ที่มาพร้อมกระจังหน้าสีดำ กระจกมองข้างสีดำ ซุ้มล้อสีดำเงา และหลังคาสีดำเงา และมาพร้อมล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ ขนาด 18 นิ้ว ในขณะที่ภายในห้องโดยสารก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์ด้วยความประณีต พิถีพิถันใส่ใจในทุกรายละเอียด และมาพร้อมความโดดเด่นไม่ซ้ำใคร ด้วยคอนโซลหน้าหุ้มด้วยหนังสีฟ้าเทา ตกแต่งด้วยด้ายสีคอปเปอร์ พร้อมกรอบช่องแอร์สีคอปเปอร์ ผสานกันอย่างลงตัวกับเบาะหนังสีดำและผ้า Grand Luxe Suede® พร้อมสีภายนอกใหม่ สีเทา แอโร เกรย์ ที่เสริมสร้างภาพลักษณ์ความสปอร์ตหรูไปอีกระดับ

ภายในห้องโดยสารของ New Mazda CX-3 ยังคงความสะดวกสบายครบครัน โดยได้รับการพัฒนาภายใต้คอนเซ็ปต์ HMI (Human-Machine Interface) ด้วยการออกแบบฟังก์ชั่นการใช้งานและจัดวางอุปกรณ์ต่างๆ ในตำแหน่งที่เหมาะสมโดยยึดหลักปรัชญามนุษย์เป็นศูนย์กลาง เพื่อให้ผู้ขับไม่ต้องละสายตาจากถนน มาพร้อมระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย Sports Paddle Shift ช่วยให้การขับขี่เป็นไปอย่างสนุกสนานเร้าใจ และช่วยให้เปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ ด้วยหลังคาซันรูฟแบบไฟฟ้า 

เทคโนโลยีการเชื่อมต่อไร้ขีดจำกัด Mazda Connect ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ได้อย่างลงตัว

New Mazda CX-3 ช่วยให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารสนุกสนานเพลิดเพลินกับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย และไม่พลาดทุกการติดต่อ ด้วยเทคโนโลยีการเชื่อมต่อไร้ขีดจำกัดกับ Mazda Connect ที่รองรับ Apple CarPlay® และ Android AutoTM โดยแสดงข้อมูลผ่านหน้าจอสี Center Display แบบทัชสกรีน ขนาด 7 นิ้ว มอบความสะดวกสบายด้วยอุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย Wireless Charger รวมถึงเบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมระบบบันทึกตำแหน่ง 2 ตำแหน่ง พนักพิงเบาะหลังสามารถแยกพับ 60:40 อิสระออกจากกัน พร้อมพนักวางแขนและที่วางแก้วแบบมีฝาปิด นอกจากนี้ ยังมอบความเหนือกว่าคู่แข่งในระดับเดียวกันด้วยระบบเสียง Bose® รอบทิศทาง พร้อมลำโพง 7 ตำแหน่ง เพิ่มสุนทรียภาพให้กับผู้ขับขี่และผู้โดยสารไปตลอดการเดินทาง

มอบความอุ่นใจให้กับทุกการขับขี่ ด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัย i-Activsense

New Mazda CX-3 ได้รับการติดตั้งอุปกรณ์มาตรฐานด้านความปลอดภัยเพิ่มเติมเข้ามา ด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยเชิงป้องกัน i-Activsense ที่ช่วยลดโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุและช่วยให้ขับขี่ได้อย่างสะดวกสะบายมากยิ่งขึ้น อาทิ

  • ระบบเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (ABSM)
  • ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน (LDWS) 
  • ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติขณะถอยหลัง (SCBS-R)
  • ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTA)
  • ระบบช่วยเตือนเมื่อผู้ขับเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (DAA)
  • ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (HBC)
  • ระบบเตือนการชนด้านหน้าและช่วยเบรกอัตโนมัติ (SBS)
  • ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติแบบ Advance (Advanced SCBS)
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ แบบ Stop & Go (MRCC with Stop & Go)

สีภายนอกมีให้เลือกทั้งหมด 7 สี รวมถึงสีใหม่ล่าสุด สีเทา แอโร เกรย์

  • สีแดง โซล เรด คริสตัล (Soul Red Crystal)
  • สีเทา แมชชีน เกรย์ (Machine Gray)
  • สีขาว สโนว์เฟลก ไวท์ เพิร์ล (Snowflake White Pearl)
  • สีเทา โพลีเมทัล เกรย์ (Polymetal Gray)
  • สีดำ เจ็ท แบล็ก (Jet Black)
  • สีบรอนซ์ แพลตทินั่ม ควอตซ์ (Platinum Quartz)
  • สีเทา แอโร เกรย์ (Aero Gray)* สีภายนอกใหม่

สำหรับรุ่น 2.0 Sport Luxe มีสีภายนอกให้เลือก 4 สี ได้แก่ สีเทา แอโร เกรย์, สีบรอนซ์ แพลตทินั่ม ควอตซ์, สีแดง โซล เรด คริสตัล และสีเทา โพลีเมทัล เกรย์

New Mazda3 มีให้เลือกทั้งหมด 4 รุ่นย่อย และมีราคาจำหน่ายดังต่อไปนี้

รายละเอียดรุ่นราคาจำหน่าย
รุ่น 2.0 Base770,000 บาท
รุ่น 2.0 Base Plus830,000 บาท
รุ่น 2.0 Comfort900,000 บาท
รุ่นย่อยใหม่รุ่น 2.0 Sport Luxe970,000 บาท

หมายเหตุ:

  • สีขาว Snowflake White Pearl เพิ่ม 7,000 บาท
  • สีเทา Machine Gray เพิ่ม 10,000 บาท
  • สีแดง Soul Red Crystal เพิ่ม 12,000 บาท 

พร้อมกันนี้ มาสด้ายังได้มอบข้อเสนอพิเศษช่วงเปิดตัวให้กับลูกค้าที่สนใจเป็นเจ้าของ ด้วยข้อเสนอดอกเบี้ย 1.79%1 และฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี2 ลูกค้าที่สนใจสามารถเข้ามาชมรถคันจริงพร้อมจองซื้อได้แล้วตั้งแต่วันนี้ที่งาน Big Motor Sale 2023 และที่โชว์รูมมาสด้าทั่วประเทศ หรือศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ www.mazda.co.th 

นอกจากมาสด้าจะเปิดตัวแนะนำรถครอสโอเวอร์เอสยูวี New Mazda CX-3 ในงาน Big Motor Sale 2023 และจัดแสดงให้เลือกสรรอย่างครบครันทั้ง 4 รุ่นย่อย แล้ว ยังได้ขนทัพรถมาสด้าอีกถึง 4 รุ่น มาจัดแสดงให้เลือกสรรในงานพร้อมมอบข้อเสนอพิเศษเมื่อออกรถทุกรุ่น ได้แก่

  • New Mazda2 ดอกเบี้ย 2.29%1 และฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี2 หรือ ดอกเบี้ย 1.59%1 และฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี2
  • New Mazda CX-3 ดอกเบี้ย 1.79%1 และฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี2
  • Mazda3 ดอกเบี้ย 2.29%1, ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี2, ฟรีค่าแรงเช็กระยะ 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร3 และขยายการรับประกันคุณภาพเป็น 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร4
  • Mazda CX-30 ดอกเบี้ย 2.29%1, ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี2, ฟรีค่าแรงเช็กระยะ 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร3 และขยายการรับประกันคุณภาพเป็น 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร4 หรือ ดอกเบี้ย 1.19%1 และฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี2

หมายเหตุ: 

1. Mazda2: ดาวน์ 25% ผ่อนนาน 72 เดือน, New Mazda2: ดอกเบี้ย 2.29% ดาวน์ 25% ผ่อนนาน 48 เดือน สำหรับ ทุกรุ่น และ ดอกเบี้ย 1.59% ดาวน์ 25% ผ่อนนาน 48 เดือน ยกเว้นรุ่น 1.3 C/C Sports ราคา 599,000 บาท, 1.3 Clap Pop Sports ราคา 647,000 บาท และ 1.3 Rookie Drive Sports ราคา 662,000 บาท, Mazda CX-3: ดอกเบี้ย 0% ดาวน์ 25% ผ่อนนาน 60 เดือน และ New Mazda CX-3 ดอกเบี้ย 1.79% ดาวน์ 25% ผ่อนนาน 48 เดือน, Mazda3: ดอกเบี้ย 2.29% ดาวน์ 25% ผ่อนนาน 48 เดือน, Mazda CX-30: ดอกเบี้ย 2.29% ดาวน์ 25% ผ่อนนาน 48 เดือน หรือ ดอกเบี้ย 1.19% ดาวน์ 25% ผ่อนนาน 48 เดือน

2. บริษัทประกันภัยที่ร่วมโครงการ ได้แก่ (1) บมจ. วิริยะประกันภัย (2) บมจ. ธนชาตประกันภัย (3) บมจ. ประกันภัยไทยวิวัฒน์  (4) บมจ. กรุงไทยพานิชประกันภัย 

3. ฟรีค่าแรงการบำรุงรักษา 5 ปี หรือ 10 ครั้ง ทุก 6 เดือน หรือ ทุก 10,000 กม. ตั้งแต่ 10,000 – 100,000 กม. (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)

4. ขยายการรับประกันคุณภาพเป็น 5 ปี หรือ 150,000 กม. (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) ตามเงื่อนไขโปรแกรม Mazda Added Protection

เงื่อนไขเพิ่มเติม: 

•เงื่อนไขการพิจารณาสินเชื่อเป็นไปตามข้อกำหนดของ บมจ. ธนาคารทิสโก้ และ ทีเอ็มบีธนชาต เท่านั้น

•ข้อเสนอดังกล่าวสำหรับผู้เช่าซื้อที่ผ่านการอนุมัติตามเงื่อนไขของ บมจ. ธนาคารทิสโก้ และ ทีเอ็มบีธนชาต ที่จองและออกรถภายในวันที่ 25 สิงหาคม 2566 – 30 กันยายน 2566 เท่านั้น

โปรดติดตามความเคลื่อนไหวและกิจกรรมของมาสด้าผ่านทางโซเชียลมีเดีย

เว็บไซต์ www.mazda.co.th และ MazdaThailandOfficial: Facebook/YouTube/Instagram/LINE