องค์กรใหญ่ VS ไอเดียใหม่ : ความลับของ Intrapreneur กับบทเรียนการสร้างธุรกิจในองค์กรขนาดใหญ่

การก้าวเข้าสู่เส้นทางการเป็นผู้ประกอบการภายในองค์กรหรือ Intrapreneur นั้นมักเกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดคิด เช่นเดียวกับประสบการณ์ของ Dave Raggio ในช่วงสองปีที่ผ่านมา

เป็นอีกหนึ่งข้อมูลที่น่าสนใจจากเวที Ted Talks โดย Dave Raggio ที่ได้มาแบ่งปันบทเรียนสามประการเกี่ยวกับการสร้างนวัตกรรมภายในองค์กรที่เขาเรียนรู้มาอย่างยากลำบาก

เมื่อ Raggio เริ่มต้นการทำงานที่ Intuit ในปี 2020 ในฐานะผู้ดูแลด้านการตลาดและโฆษณาสำหรับผลิตภัณฑ์อย่าง QuickBooks ไม่มีใครคาดคิดว่าบทบาทนี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ

จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเมื่อเขาได้มองเห็นโอกาสในการเชื่อมต่อธุรกิจขนาดเล็กที่เป็นลูกค้าของ Intuit กับผลิตภัณฑ์และบริการเสริมที่จะช่วยผลักดันให้พวกเขาเติบโตและประสบความสำเร็จ ซึ่งไม่เพียงแต่จะเป็นประโยชน์ต่อลูกค้าเท่านั้น แต่ยังสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับองค์กรด้วย

ความคิดนี้ฝังอยู่ในใจ Raggio แม้ว่าในตอนแรกเขาพยายามจะโฟกัสกับงานประจำที่รับผิดชอบอยู่ แต่แรงบันดาลใจนี้กลับเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดเขาก็ได้ตัดสินใจรวบรวมความคิดและข้อเสนอทั้งหมดนำเสนอต่อทีมผู้บริหาร

สิ่งที่ทำให้ Raggio ประหลาดใจคือการตอบรับอย่างเปิดกว้างจากพวกเขา (ทีมผู้บริหาร) ที่พูดว่า “ไปทำเลย” นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเดินทางที่เต็มไปด้วยความผิดพลาดและบทเรียนมากมาย ซึ่งสุดท้ายได้หล่อหลอมให้ Raggio เข้าใจถึงแก่นแท้ของการเป็น Intrapreneur ที่ประสบความสำเร็จ

บทเรียนแรกที่สำคัญคือเรื่องของการสื่อสาร โดยเฉพาะการสื่อสารวิสัยทัศน์ตั้งแต่เริ่มต้นและทำอย่างสม่ำเสมอ ในช่วงแรก Raggio มีความฝันที่จะสร้างสตาร์ทอัพแบบลับๆ ภายใน Intuit ด้วยการรวมทีมเล็กๆ และทำงานอย่างเงียบๆ โดยจำกัดการรับรู้เฉพาะกลุ่มคนที่จำเป็นเท่านั้น

ด้วยความเชื่อที่ว่ายิ่งมีคนเข้ามาเกี่ยวข้องมาก ก็จะยิ่งมีกระบวนการและระบบราชการที่ซับซ้อน รวมถึงความคิดเห็นที่หลากหลายที่อาจทำให้การทำงานช้าลง แม้ว่าวิธีนี้จะได้ผลในระยะสั้น แต่เมื่อโครงการเริ่มเติบโตและพัฒนาเป็นธุรกิจที่จริงจัง เขากลับพบว่าต้องการการสนับสนุนจากทีมอื่นๆ อีกมาก

ปัญหาที่เกิดขึ้นคือการขาดการสนับสนุนจากเพื่อนร่วมงาน การสนทนาที่ยากลำบากที่สุดคือการต้องเข้าไปขอความช่วยเหลือจากคนที่มีภาระงานล้นมืออยู่แล้ว โดยที่พวกเขาไม่เคยรับรู้ถึงสิ่งที่ Raggio กำลังทำ แล้วต้องขอให้พวกเขาแบ่งเวลามาช่วยสนับสนุนโครงการ

ช่วงเวลานั้น Raggio รู้สึกว่าตัวเองไม่เป็นที่ชื่นชอบนัก ความพยายามที่จะเร่งความเร็วในการทำงานกลับกลายเป็นการทำให้ทุกอย่างช้าลง เพราะทุกครั้งที่ต้องติดต่อกับทีมใหม่ เขาก็ต้องเริ่มต้นอธิบายและวาดภาพให้เห็นใหม่ทั้งหมด

จากประสบการณ์นี้ทำให้ Raggio ได้เรียนรู้ถึงคุณค่าของการสร้างความสัมพันธ์ผ่านการพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการ ไม่ว่าจะเป็นการนั่งดื่มกาแฟหรือการสังสรรค์เล็กๆ น้อยๆ เขาเริ่มเข้าใจว่าการสร้างความสัมพันธ์ในระดับมนุษย์สำคัญกว่าการติดต่อเชิงธุรกิจเพียงอย่างเดียว

การชวนเพื่อนร่วมงานไปดื่มเบียร์หรือกาแฟพูดคุยกันทำให้ Raggio ได้เรียนรู้เกี่ยวกับภาระงาน ข้อจำกัดด้านทรัพยากร และสิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับพวกเขา นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสที่ดีในการแบ่งปันวิสัยทัศน์และความตื่นเต้นของเขาเกี่ยวกับสิ่งที่สามารถทำเพื่อลูกค้าและองค์กร

การพูดคุยแบบไม่เป็นทางการช่วยสร้างความไว้วางใจและความเข้าใจระหว่างทีมได้ดีกว่าการประชุมทางการ เพราะทุกคนรู้สึกผ่อนคลายและกล้าที่จะแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมามากขึ้น

บทเรียนที่สองที่มีความสำคัญไม่แพ้กันคือการรับฟังอย่างตั้งใจและสม่ำเสมอ ด้วยประสบการณ์กว่า 20 ปีในวงการการตลาด ทั้งการทำโฆษณา Super Bowl และแคมเปญแบรนด์ระดับโลก ทำให้ต้วของ Raggio มั่นใจว่าตัวเองเข้าใจทุกแง่มุมของการตลาดและการโฆษณาเป็นอย่างดี

ความมั่นใจนี้ทำให้เขามีภาพที่ชัดเจนในหัวว่าต้องการให้ทุกส่วนของโครงการใหม่นี้ทำงานอย่างไร เมื่อมีคนแสดงความเห็นที่แตกต่างหรือบอกว่าบางอย่างเป็นไปไม่ได้ เขามักด่วนตัดสินว่าคนเหล่านี้เป็นผู้ขัดขวางความก้าวหน้า

แต่ความจริงแล้ว มันกลับกลายเป็นว่าตัวอของ Raggio กำลังมั่นใจในตัวเองมากจนเกินไป ความรู้ของเขาเกี่ยวกับหลักการบัญชีขององค์กรและกฎหมายความเป็นส่วนตัวนั้นมีจำกัด และคนที่เขาเคยมองว่าเป็น “ผู้ขัดขวาง” แท้จริงแล้วคือผู้ที่ทุ่มเทเพื่อความสำเร็จและพยายามป้องกันไม่ให้เขาทำผิดพลาดที่อาจนำไปสู่การยุติโครงการ

การรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างไม่ได้เป็นเพียงการแสดงความเคารพต่อประสบการณ์ของผู้อื่นเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดโอกาสให้เราได้เรียนรู้และพัฒนาความคิดของตัวเองให้รอบด้านมากขึ้น

ด้วยความช่วยเหลือของพวกเขา โครงการไม่เพียงแต่อยู่รอด แต่ยังเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง การรับฟังกลายเป็นหัวใจสำคัญของโครงการจน Raggio ได้ริเริ่ม “การประชุมด้วยคำถามโง่ๆ” ซึ่งเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่ไม่มีการตัดสิน ที่ทุกคนสามารถถามคำถามที่อาจจะกลัวที่จะถามในที่อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเพราะคิดว่าตัวเองควรรู้คำตอบแล้ว หรือเพราะเป็นเรื่องที่ชัดเจนสำหรับคนอื่นในองค์กร แต่ด้วยตำแหน่งหน้าที่ทำให้ไม่เคยได้สัมผัสกับเรื่องนั้นมาก่อน

การสร้างวัฒนธรรมที่เปิดกว้างต่อคำถามและการเรียนรู้ช่วยลดช่องว่างระหว่างทีมและสร้างความเข้าใจร่วมกันได้ดียิ่งขึ้น แม้ว่าบางครั้งคำถามอาจดูเหมือนเรื่องพื้นฐาน แต่การได้เข้าใจอย่างถ่องแท้จะช่วยให้การทำงานราบรื่นขึ้น

Raggio จำได้ดีถึงเหตุการณ์หนึ่งที่มีการใช้คำย่อในการประชุมมาหลายสัปดาห์ และเขาก็ไม่กล้าถามความหมายของมันตั้งแต่แรก เวลาผ่านไปจนเขารู้สึกว่าติดกับดัก ไม่กล้าที่จะถามในตอนนั้นและคิดว่าจะต้องอยู่กับความไม่รู้นี้ไปตลอด แต่ด้วยบรรยากาศของการประชุมคำถามโง่ๆ ที่ไม่มีการตัดสิน ทำให้ทุกคนกล้าที่จะถามและได้เติมเต็มความเข้าใจที่ขาดหายไป

การยอมรับในข้อจำกัดและความไม่รู้ของตัวเองเป็นก้าวแรกของการเรียนรู้และพัฒนา แม้ว่าบางครั้งอาจรู้สึกอึดอัดที่จะยอมรับ แต่การมีพื้นที่ปลอดภัยในการถามคำถามช่วยให้เราก้าวข้ามความกลัวนั้นได้

บทเรียนสุดท้ายที่ Raggio ได้เรียนรู้ และอาจเป็นบทเรียนที่สำคัญที่สุด คือเรื่องของความเสี่ยง ซึ่งอาจขัดกับความเข้าใจทั่วไป ในการเป็น Intrapreneur นั้น ระดับความเสี่ยงส่วนตัวของเราอาจไม่ได้สำคัญเท่ากับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับองค์กร

หากคุณออกไปเริ่มธุรกิจของตัวเองและล้มเหลว แม้จะไม่ใช่เรื่องดีและอาจสร้างความเครียดให้กับครอบครัวหรือมีผลกระทบทางการเงิน แต่บริษัทอย่าง Intuit ได้วางระบบเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายในวงกว้าง

แต่หากการตัดสินใจของคุณส่งผลกระทบต่อความไว้วางใจของลูกค้าที่มีต่อผลิตภัณฑ์และแบรนด์ หรือสร้างประสบการณ์ที่ไม่ดีให้กับผู้ใช้ QuickBooks ผลกระทบอาจลุกลามไปในวงกว้าง กระทบต่อธุรกิจขนาดเล็กจำนวนมาก

ดังนั้นคุณไม่สามารถทำงานแบบลวกๆ ได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณต้องทำงานด้วยความกลัว เพียงแต่ต้องคิดให้รอบคอบถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการตัดสินใจและการกระทำของคุณที่อาจส่งผลต่อองค์กรในภาพรวม

การตระหนักถึงความรับผิดชอบที่มากขึ้นในฐานะ Intrapreneur ไม่ควรเป็นตัวฉุดรั้งความคิดสร้างสรรค์ แต่ควรเป็นแรงผลักดันให้เราทำงานอย่างรอบคอบและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

สำหรับผู้ที่มีไอเดียและความฝันที่อยากสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ จากภายในองค์กร Raggio สนับสนุนให้คุณทำงานร่วมกับระบบที่มีอยู่ เพราะองค์กรขนาดใหญ่มีทรัพยากรและศักยภาพมหาศาลที่รอการนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ จงเรียนรู้และพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ แม้ว่าบางครั้งอาจต้องชะลอความเร็วลงบ้าง หรือต้องประนีประนอมในบางเรื่องที่เราไม่อยากทำ แต่ท้ายที่สุดแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้จะดีขึ้นอย่างแน่นอน และนั่นคือเป้าหมายที่แท้จริงและปัจจัยสำคัญสู่ความสำเร็จ

เพราะการเป็น Intrapreneur ไม่ใช่เพียงการนำเสนอไอเดียใหม่ๆ แต่เป็นการผสมผสานระหว่างความคิดสร้างสรรค์ การทำงานร่วมกับผู้อื่น และการเข้าใจระบบขององค์กรเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนนั่นเองครับผม

References :
Ask Dumb Questions, Embrace Mistakes — and Other Lessons on Innovation | Dave Raggio | TED
https://youtu.be/Nh1QvWm0BrQ?si=PZetQZGQ0B-P2K4F

เส้นทางชีวิตที่ไม่ธรรมดาของ Tim Cook : เมื่อความสำเร็จไม่ได้มาจากการวางแผน แต่มาจากการกล้าคว้าโอกาส

เป็นอีกหนึ่งบทสัมภาษณ์ที่น่าสนใจจาก WSJ ที่ได้สัมภาษณ์ Tim Cook และได้เปิดเผยเรื่องราวชีวิตอันน่าทึ่งของเขา เริ่มต้นจากเด็กหนุ่มที่ต้องตื่นตีสามเพื่อส่งหนังสือพิมพ์ จนก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเทคโนโลยีที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก

จุดเริ่มต้นของเขาไม่ได้แตกต่างจากเด็กทั่วไปในครอบครัวชนชั้นแรงงาน ด้วยความที่ครอบครัวปลูกฝังให้ทุกคนต้องทำงาน Tim จึงเริ่มทำงานตั้งแต่อายุ 12 ปี ด้วยการเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์ ซึ่งต้องตื่นแต่เช้ามืดเพื่อไปรับหนังสือพิมพ์กองใหญ่มาส่งให้ลูกค้า ก่อนจะกลับมางีบหลับสักเล็กน้อยและไปโรงเรียน

ความถนัดแรกที่ Tim ค้นพบในตัวเองคือวิชาคณิตศาสตร์ เขาเป็นนักเรียนที่เรียนเก่งและชื่นชอบการแก้โจทย์สมการที่ซับซ้อน ด้วยความฝันที่อยากเป็นวิศวกร ทำให้เขาเลือกเรียนต่อด้านวิศวกรรมศาสตร์ในมหาวิทยาลัย

การเป็นคนแรกในครอบครัวที่ได้เรียนมหาวิทยาลัยถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง เงินที่ได้จากการส่งหนังสือพิมพ์ช่วยให้เขาสามารถเข้าเรียนที่ Auburn University ได้ Tim ตระหนักดีว่านี่เป็นโอกาสครั้งสำคัญที่จะต้องไม่ปล่อยให้สูญเปล่า เพราะการศึกษาคือประตูสู่อนาคตที่ดีกว่า

หลังจบการศึกษา Tim เริ่มต้นชีวิตการทำงานที่ IBM ในเดือนมกราคม ปี 1983 ด้วยการขับรถพร้อมข้าวของเท่าที่มีไปเช่าอพาร์ตเมนต์หลังแรกในชีวิต แม้จะต้องนอนกับพื้นในช่วงแรกเพราะยังไม่มีเงินซื้อเตียง แต่ IBM ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเพราะที่นั่นเต็มไปด้วยคนฉลาดจากทั่วโลก

จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตมาถึงเมื่อ Steve Jobs ชวนให้เขาไปร่วมงานที่ Apple ในช่วงที่บริษัทกำลังประสบปัญหาหนัก หลายคนพยายามทัดทานไม่ให้ Tim ไปร่วมงานกับ Apple เพราะเชื่อว่าบริษัทกำลังจะล้มละลาย แต่สิ่งที่ Tim เห็นคือประกายในดวงตาของ Steve และวิสัยทัศน์ที่แตกต่าง

Steve มีความเชื่อมั่นว่าทีมขนาดเล็กสามารถสร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่ได้ และต้องการปรับทิศทางของ Apple ให้โฟกัสที่ผู้บริโภคมากขึ้น ซึ่งในขณะนั้นเป็นแนวคิดที่แหวกแนวมาก เพราะทุกคนเชื่อว่าการทำธุรกิจกับองค์กรเท่านั้นที่จะทำกำไรได้

บทเรียนสำคัญที่ Tim ได้เรียนรู้จาก Steve คือการให้คุณค่ากับนวัตกรรมและการกล้าที่จะคิดต่าง การรู้จักรวมตัวคนเก่งที่มีทักษะแตกต่างกันเข้ามาทำงานร่วมกัน และที่สำคัญคือการไม่ยึดติดกับความคิดเดิมๆ พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงเมื่อมีข้อมูลหรือมุมมองใหม่ที่ดีกว่า

ปัจจุบัน Tim ยังคงรักษาความกระตือรือร้นในการทำงาน เขาตื่นแต่เช้าเพื่ออ่านอีเมลจากลูกค้าทั้งคำชมและคำติชม ซึ่งช่วยให้เขารับรู้ถึงสถานการณ์ของบริษัท Tim มองว่าการรับฟังคำวิจารณ์อย่างเปิดใจและพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเป็นสิ่งสำคัญ แทนที่จะรีบปกป้องตัวเองหรือปฏิเสธความคิดเห็นของผู้อื่น

แม้จะประสบความสำเร็จอย่างสูง แต่ Tim ยังคงรักษาความถ่อมตนและความสนุกในการทำงาน เขามองว่างานของเขายอดเยี่ยมมาก ในขณะที่ CEO คนอื่นๆ มักบ่นว่างานของพวกเขาแย่แค่ไหน

Tim เชื่อว่าความสำเร็จไม่ได้มาจากการวางแผนอย่างเดียว แต่อยู่ที่การรู้จักคว้าโอกาสเมื่อประตูเปิด และกล้าที่จะก้าวเดินผ่านประตูบานนั้น เพราะชีวิตมักจะพาเราไปไกลเกินกว่าแผนที่วางไว้เสมอ

References :
Apple CEO Tim Cook on How Steve Jobs Recruited Him and More | The Job Interview
https://youtu.be/m4RVTK7iU1c?si=KyWLy2TA4Ss9cOtU

Hardcore Style แบบ Elon Musk : กับวิธีบริหารสุดโหด ทำยังไงให้พนักงานทำงาน 100 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

ในโลกของการบริหารธุรกิจ มีผู้นำเพียงไม่กี่คนที่สร้างความเปลี่ยนแปลงและความสำเร็จได้อย่างโดดเด่นเทียบเท่ากับ Elon Musk หนึ่งในผู้บริหารที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในโลกเทคโนโลยี การบริหารงานของเขามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่เรียกว่า “hardcore” ซึ่งเน้นการทำงานหนักและทุ่มเทอย่างเต็มที่

เมื่อย้อนกลับไปในปี 2008 Musk เข้ามาบริหาร Tesla ในช่วงวิกฤต ด้วยวิสัยทัศน์ที่จะปฏิวัติอุตสาหกรรมยานยนต์ให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ปัจจุบันเขากำลังใช้แนวทางการบริหารแบบเดียวกันนี้ในการปรับเปลี่ยน Twitter ให้เป็นไปตามวิสัยทัศน์ของเขา

สำหรับผู้ที่เคยร่วมงานกับ Musk การประชุมมักจะเกิดขึ้นในเวลาที่ไม่ปกติ ไม่ว่าจะเป็นการรับข้อความตอนตีสอง หรือการประชุมทางโทรศัพท์ตอนหกโมงเช้า การนำเสนองานต่อหน้าเขาต้องกระชับและตรงประเด็น โดยมีเวลาเพียง 30 วินาทีในการอธิบายแนวคิดของตน

พนักงานหลายคนเล่าว่าพวกเขาต้องดื่มกาแฟเอสเพรสโซอย่างน้อยสองแก้วก่อนเข้าประชุมกับ Musk เพื่อให้พร้อมรับมือกับการประชุมที่เข้มข้น การทำงานภายใต้การนำของเขาเรียกร้องความทุ่มเทอย่างสูง โดยพนักงานต้องทำงาน 80-100 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

Carl Medlock อดีตพนักงาน Tesla ที่ร่วมงานในปี 2009 เล่าถึงประสบการณ์ว่าทุกคนในทีมมีความกระตือรือร้นกับแบรนด์อย่างมาก แม้จะแทบไม่มีเวลาให้กับครอบครัวและงานอดิเรก แต่พวกเขารักในสิ่งที่ทำ

Medlock ปัจจุบันเปิดร้านซ่อมรถยนต์ไฟฟ้าของตัวเองที่เมือง Seattle หลังจากถูกเลิกจ้างในปี 2013 เนื่องจากความเข้าใจผิดกับหัวหน้างาน

เช่นเดียวกับ Garrett Reisman ที่เข้าร่วมงานกับ SpaceX ในปี 2011 ด้วยแรงบันดาลใจจากพันธกิจของบริษัทที่ต้องการพามนุษย์ไปอยู่บนดาวอังคาร แม้จะเป็นสภาพแวดล้อมที่โหดเหี้ยม แต่ไม่ได้มาจากการบังคับ หากแต่เป็นแรงขับเคลื่อนภายในของทุกคนที่ต้องการมีส่วนร่วมในการสร้างประวัติศาสตร์

Reisman ลาออกในปี 2018 เพื่อไปสอนที่ University of Southern California หลังจากต้องการหาที่ทำงานที่มีความกดดันน้อยลง

การบริหารงานของ Musk มักจะเริ่มต้นด้วยการสร้างวิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่และชัดเจน เพื่อดึงดูดคนที่มีความสามารถและพร้อมทุ่มเทเพื่อความสำเร็จ

อย่างไรก็ตาม ที่ Twitter (X) สถานการณ์อาจแตกต่างออกไป Tim Higgins นักข่าวจาก Wall Street Journal และผู้เขียนหนังสือ “Power Play” มองว่าพันธกิจของ Twitter ในการปกป้องเสรีภาพในการแสดงออกอาจไม่ได้สร้างแรงบันดาลใจเท่ากับการพามนุษย์ไปดาวอังคาร

นอกจากการทำงานหนัก Musk ยังเป็นแบบอย่างให้กับพนักงานด้วยการทุ่มเททั้งเวลาและเงินทุนส่วนตัว เขามักจะนอนที่สำนักงาน ไม่ว่าจะเป็นบนโซฟาหรือแม้แต่บนพื้น ในช่วงวิกฤตของ Tesla ปี 2008 เขาถึงขั้นนำเงินส่วนตัวล้านสุดท้ายมาลงทุนในบริษัท

การบริหารงานแบบ hardcore ของ Musk นั้นได้ผลลัพธ์ที่น่าประทับใจ แต่ก็มีผลกระทบต่อพนักงานไม่น้อย หลายคนรู้สึกเหนื่อยล้าและทนกับอารมณ์ที่แปรปรวนของเขาไม่ไหว นำไปสู่การลาออกของพนักงานจำนวนมาก โดยเฉพาะที่ Twitter ที่มีการปลดพนักงานถึง 50% ภายในสัปดาห์แรกที่เข้าควบคุม

แม้จะมีข้อกล่าวหาเรื่องการประพฤติมิชอบในบริษัท แต่ Musk ก็ยังคงยึดมั่นในวิธีการบริหารของตน เขาเชื่อในการจ้างเฉพาะคนที่เก่งที่สุดและให้พวกเขาทำงานกับปัญหาที่ท้าทายที่สุด โดยหลีกเลี่ยงระบบราชการแบบเดิมๆ

สิ่งที่น่าสนใจคือ Musk มักจะสื่อสารกับพนักงานโดยตรง ไม่ผ่านลำดับชั้นการบริหารที่ซับซ้อน ทำให้การตัดสินใจและการแก้ปัญหาเป็นไปอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ เขายังใช้แรงจูงใจทางการเงินในการกระตุ้นให้พนักงานทำงานหนักขึ้น

ปัจจุบัน X (Twitter เดิม) กำลังเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับที่ Tesla เคยเผชิญในช่วง Great Recession Musk ต้องหาวิธีสร้างรายได้ท่ามกลางตลาดโฆษณาที่หดตัวและภาระหนี้สินมหาศาล

สำหรับผู้ที่กำลังทำงานภายใต้การนำของ Musk คำแนะนำจากอดีตพนักงานคือให้ทำงานไปเรื่อยๆ และพยายามอย่าไปดึงดูดความสนใจจาก Musk มากจนเกินไป เพราะการทำงานกับ Musk นั้นอาจเป็นดาบสองคม ในด้านหนึ่งอาจนำไปสู่ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แต่อีกด้านหนึ่งก็อาจสร้างความกดดันที่มากเกินกว่ามนุษย์ทำงานทั่วไปจะรับได้นั่นเองครับผม

References :
Working for Elon Musk: Ex-Employees Reveal His Management Strategy | WSJ
https://youtu.be/JEikQP8-es0?si=cGqPOJuxWTZrsmId