3 กุญแจสู่ชีวิตที่มีความหมาย : เคล็ดลับสร้างแรงบันดาลใจจาก The Motivation Manifesto โดย Brendon Burchard

ในโลกที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและความไม่แน่นอน การค้นหาแรงบันดาลใจและแรงจูงใจเพื่อก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงนั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง

หนังสือ “The Motivation Manifesto” ของ Brendon Burchard นำเสนอมุมมองที่น่าสนใจและเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการค้นพบพลังภายในตัวเราและใช้ชีวิตอย่างมีเป้าหมาย

การตระหนักถึงพลังแห่งการเลือก

เมื่อเราตกอยู่ในภาวะขาดแรงจูงใจ สิ่งสำคัญที่เรามักจะลืมไปก็คือ เรามีพลังในการเลือก Burchard ชี้ให้เห็นว่า เราอาจถูกชักจูงด้วยความกลัว ความอยาก และเรื่องราวของผู้อื่นจนลืมไปว่าเราสามารถกำหนดทิศทางชีวิตของตัวเองได้

การตระหนักถึงพลังแห่งการเลือกนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง เมื่อเราเลือกที่จะเป็น มี หรือทำบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ขึ้นในชีวิต และเชื่อว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะความสามารถในการเรียนรู้และเติบโตที่มีอยู่ในตัวเรา เราจะปลุกพลังภายในอันทรงพลังขึ้นมา

“ทันทีที่คุณเลือกที่จะเชื่อว่ามีสิ่งยิ่งใหญ่รออยู่เบื้องหน้า คุณสามารถเลือกที่จะเชื่อมโยงทุกสิ่งเข้ากับวิสัยทัศน์ของคุณ”

การมองทุกสิ่งในชีวิตให้เชื่อมโยงกับเป้าหมายใหญ่ของเรา จะช่วยเปลี่ยนมุมมองต่อกิจวัตรประจำวันให้มีความหมายมากขึ้น เช่น:

  • การจัดระเบียบบ้านกลายเป็นโอกาสในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อความคิดสร้างสรรค์
  • การทำอาหารเย็นกลายเป็นการดูแลสุขภาพเพื่อให้มีพลังในการไล่ตามความฝัน
  • งานที่ได้รับมอบหมายกลายเป็นโอกาสในการพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับอนาคต

การสร้างแรงบันดาลใจสู่ความยิ่งใหญ่

Burchard เชื่อว่าทุกคนมีความยิ่งใหญ่อยู่ภายในตัว เพียงแต่รอการจุดประกาย การสร้างแรงบันดาลใจสู่ความยิ่งใหญ่นั้นเริ่มต้นจากการเข้าใจว่าความยิ่งใหญ่ประกอบด้วยคุณสมบัติพื้นฐานสองประการ:

  1. ความสม่ำเสมอ: การยึดมั่นในค่านิยมหลักของตนเองอย่างไม่ลดละ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ ความเป็นเลิศ หรือความซื่อสัตย์ และทำให้ทุกการกระทำและการตัดสินใจสอดคล้องกับค่านิยมเหล่านั้น
  2. ความกล้าหาญ: การกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความท้าทายและความเสี่ยง รวมถึงการกล้ารับผิดชอบต่อผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น

การพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องและการฝึกฝนความเชี่ยวชาญในสิ่งที่เราทำเป็นส่วนสำคัญของการก้าวสู่ความยิ่งใหญ่ แม้ในวันที่เราไม่รู้สึกอยากทำ การฝืนตัวเองให้ลงมือทำก็เป็นการแสดงออกถึงความมุ่งมั่นและวินัยที่จำเป็นสำหรับการประสบความสำเร็จ

“จงมีความกล้าที่จะไม่สนใจว่าผู้อื่นจะคิดอย่างไรกับคุณ ตราบใดที่คุณกระทำตามค่านิยมของคุณ”

Kobe Bryant อดีตนักบาสเก็ตบอลระดับตำนานเคยกล่าวไว้ว่า “ผมมุ่งมั่นที่จะเป็นหนึ่งในผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดมาก จนผมแทบจะไม่ได้ยินว่าคนอื่นพูดอะไร” คำพูดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและการไม่ยอมให้เสียงวิพากษ์วิจารณ์มาขัดขวางการไล่ตามความฝันของเขา

การสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเองนั้น เราสามารถเริ่มต้นได้จากการมองหาบุคคลต้นแบบที่สร้างแรงบันดาลใจให้เรา วิเคราะห์ว่าอะไรในตัวพวกเขาที่ทำให้เราประทับใจ และพยายามพัฒนาคุณสมบัติเหล่านั้นในตัวเราเอง เช่น หากเราประทับใจครูที่สามารถอธิบายเรื่องซับซ้อนให้เข้าใจง่าย เราก็อาจมุ่งมั่นที่จะพัฒนาทักษะการสื่อสารของเราให้ชัดเจนและเข้าถึงง่ายสำหรับผู้อื่น

การชะลอเวลาและการอยู่กับปัจจุบัน

ในยุคที่ทุกอย่างเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว การเรียนรู้ที่จะชะลอเวลาและอยู่กับปัจจุบันเป็นทักษะที่มีค่าอย่างยิ่ง Burchard เสนอว่าการใช้ชีวิตโดยไม่ตระหนักรู้ถึงปัจจุบันขณะ เปรียบเสมือนการอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีออกซิเจนต่ำ ซึ่งทำให้เรารู้สึกอ่อนแอและขาดแรงจูงใจ

การฝึกอยู่กับปัจจุบันสามารถทำได้ด้วยวิธีง่ายๆ คือการ “ยืดเวลา” ให้กับแต่ละช่วงเวลา Burchard แนะนำให้เราลองทำสิ่งต่างๆ ให้ช้าลงสองจังหวะ:

  • สูดอากาศเข้านานขึ้นสองจังหวะ
  • จ้องตาคู่สนทนานานขึ้นสองจังหวะ
  • ลิ้มรสอาหารแต่ละคำนานขึ้นสองจังหวะ

การเพิ่มความตระหนักรู้ให้กับประสาทสัมผัสของ จะช่วยให้เรายืดเวลาที่อยู่ในปัจจุบันให้ยาวนานขึ้น ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูแรงจูงใจและความรักในชีวิตของเรา

“การตระหนักรู้คืออาวุธที่ดีที่สุดของมนุษยชาติในการต่อสู้กับเวลา”

การนำแนวคิดไปปฏิบัติ: สามคำประกาศประจำวัน

Burchard เสนอให้เราเริ่มต้นแต่ละวันด้วยการประกาศสามสิ่งเพื่อกระตุ้นแรงจูงใจของเรา:

  1. วันนี้ ฉันจะเลือกสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า: เป็นการยืนยันถึงพลังในการเลือกของเรา และการมุ่งมั่นที่จะทำสิ่งที่มีความหมายและสร้างผลกระทบอย่างแท้จริง
  1. วันนี้ ฉันจะสร้างแรงบันดาลใจสู่ความยิ่งใหญ่: เป็นการเตือนใจให้เราแสดงออกถึงความสม่ำเสมอและความกล้าหาญในทุกการกระทำ
  2. วันนี้ ฉันจะชะลอเวลา: เป็นการกระตุ้นให้เราอยู่กับปัจจุบันและซึมซับประสบการณ์แต่ละขณะอย่างเต็มที่

การเริ่มต้นวันด้วยคำประกาศเหล่านี้จะช่วยปรับมุมมองและทัศนคติของเราให้พร้อมรับมือกับความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นตลอดทั้งวัน

การประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน

แนวคิดจาก “The Motivation Manifesto” สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้หลากหลายรูปแบบ ดังนี้:

  1. การตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย: แทนที่จะตั้งเป้าหมายแบบ “ปลอดภัย” ลองตั้งเป้าหมายที่ท้าทายความสามารถของเรา และเชื่อว่าเราสามารถทำได้
  2. การทบทวนค่านิยมหลัก: สำรวจว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเรา และพยายามทำให้การตัดสินใจในชีวิตประจำวันสอดคล้องกับค่านิยมเหล่านั้น
  3. การฝึกสติ: เริ่มต้นด้วยการฝึกสติในกิจวัตรประจำวัน เช่น การรับประทานอาหาร การเดิน หรือการฟังเพลง โดยให้ความสนใจกับรายละเอียดและความรู้สึกในขณะนั้น
  4. การจดบันทึกความสำเร็จ: ทุกคืนก่อนนอน บันทึกสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในวันนั้น แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย เพื่อสร้างความรู้สึกขอบคุณและเห็นคุณค่าในชีวิต
  5. การเรียนรู้จากความผิดพลาด: แทนที่จะกลัวความล้มเหลว มองว่ามันเป็นโอกาสในการเรียนรู้และเติบโต วิเคราะห์ว่าอะไรที่ไม่เป็นไปตามแผน และวางแผนที่จะทำให้ดีขึ้นในครั้งต่อไป
  6. การสร้างเครือข่ายสนับสนุน: รายล้อมตัวเองด้วยคนที่สร้างแรงบันดาลใจและสนับสนุนเป้าหมายของเรา การมี community ที่เข้าใจและให้กำลังใจจะช่วยเสริมแรงจูงใจของเรา
  7. การท้าทายตัวเองอย่างสม่ำเสมอ: หาโอกาสที่จะก้าวออกจาก comfort zone ของเรา ไม่ว่าจะเป็นการลองทำอะไรใหม่ๆ หรือการพูดในที่สาธารณะ การเผชิญหน้ากับความกลัวจะช่วยสร้างความมั่นใจและขยายขอบเขตความสามารถของเรา

บทสรุป: การสร้างชีวิตที่มีแรงบันดาลใจ

แนวคิดจาก “The Motivation Manifesto” ของ Brendon Burchard เป็นเครื่องมือทรงพลังในการปลุกพลังภายในและสร้างชีวิตที่มีความหมาย การตระหนักถึงพลังแห่งการเลือก การมุ่งมั่นสู่ความยิ่งใหญ่ และการอยู่กับปัจจุบันอย่างเต็มที่ ล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างแรงบันดาลใจและแรงจูงใจที่ยั่งยืน

การนำแนวคิดเหล่านี้มาปฏิบัติในชีวิตประจำวันอาจต้องใช้เวลาและความพยายาม แต่ผลลัพธ์ที่ได้จะคุ้มค่าอย่างยิ่ง เมื่อเราเริ่มมองเห็นศักยภาพที่แท้จริงของตัวเอง และกล้าที่จะไล่ตามความฝันอย่างไม่ย่อท้อ เราจะพบว่าชีวิตเต็มไปด้วยโอกาสและความเป็นไปได้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด

ท้ายที่สุด การสร้างชีวิตที่มีแรงบันดาลใจไม่ได้หมายความว่าทุกวันจะต้องสมบูรณ์แบบ แต่หมายถึงการเลือกที่จะเติบโต เรียนรู้ และก้าวไปข้างหน้าแม้ในวันที่ยากลำบาก เมื่อเราฝึกฝนการใช้พลังแห่งการเลือก การสร้างแรงบันดาลใจ และการอยู่กับปัจจุบัน เราจะพบว่าชีวิตของเรามีความหมายและเต็มไปด้วยโอกาสมากขึ้นเรื่อยๆ

References :
หนังสือ The Motivation Manifesto: 9 Declarations to Claim Your Personal Power โดย Brendon Burchard

อัปเกรดระบบปฏิบัติการสมอง : จาก ‘คิดไม่ออก’ สู่ ‘ไอเดียล้นทะลัก’ ด้วยวิธีง่าย ๆ ที่ใคร ๆ ก็ทำได้

ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เราคุ้นเคยกับการอัปเดตแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน การอัปเกรดโปรแกรมป้องกันไวรัส และการปรับปรุงระบบปฏิบัติการของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ แต่เราเคยคิดถึงการอัปเกรด “ระบบปฏิบัติการสมอง” ของเราบ้างหรือไม่? เราใช้เวลาคิดเกี่ยวกับวิธีที่เราคิดมากแค่ไหน? ทั้ง ๆ ที่เราคิดอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งในยามหลับเราก็ยังฝัน

เป็นอีกหนึ่งข้อมูลที่น่าสนใจจากเวที Ted Talks โดย Chris Thomason นักออกแบบ วิศวกร นักคิด และนักเขียน ที่ได้ทำการศึกษาแนวคิด Freaky Thinking ซึ่งเป็นแนวทางใหม่ในการคิดในที่ทำงานเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่มีการพัฒนาการระดมความคิดเมื่อ 70 ปีก่อน

Thomason ได้แนะนำวิธีการอัปเกรดระบบปฏิบัติการสมองแบบใหม่ ที่จะช่วยปฏิวัติวิธีคิดของเราซึ่งเปรียบเสมือนการติดตั้งซอฟต์แวร์ใหม่ให้กับสมองของเรา ที่จะช่วยให้เรามองโลกในมุมมองที่แตกต่างและสร้างสรรค์ยิ่งขึ้น

Thomason เริ่มต้นด้วยการให้ลองสำรวจตัวเอง โดยให้ลองนึกย้อนไปถึงช่วงเวลาที่เรารู้สึกว่าความคิดของเราแล่นฉิวและมีประสิทธิภาพมากที่สุด เราอยู่ที่ไหน? กำลังทำอะไร?

จากการสำรวจความคิดเห็นของพนักงานในธนาคารยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งของสหราชอาณาจักร พบว่าคำตอบส่วนใหญ่มักเป็นช่วงเวลาที่พวกเขาอยู่นอกที่ทำงาน เช่น ตอนอาบน้ำ เดินเล่นกับสุนัข ออกกำลังกายที่ยิม หรือขับรถ น่าแปลกใจที่แทบไม่มีใครตอบว่าพวกเขาเกิดไอเดียดี ๆ ตอนอยู่ที่ทำงาน และไม่มีใครเลยที่บอกว่าได้ความคิดที่ดีที่สุดในระหว่างการประชุมระดมสมอง

ความจริงที่น่าสนใจนี้ได้รับการยืนยันจากงานวิจัยในปี 2012 โดยมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ที่ศึกษาเกี่ยวกับเทคนิคการคิดที่แปลกใหม่ โดยให้ผู้เข้าร่วมคิดหาวิธีใช้งานที่แหวกแนวสำหรับสิ่งของในชีวิตประจำวัน เช่น ไม้จิ้มฟัน ยางรัดของ หรือคลิปหนีบกระดาษ ภายในเวลาจำกัด

ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มที่ได้ทำกิจกรรมที่ไม่ต้องใช้ความคิดมากในช่วงพัก เช่น การดูตัวเลขบนจอแล้วบอกว่าเป็นเลขคู่หรือคี่ สามารถคิดไอเดียใหม่ ๆ ได้ดีขึ้นถึง 40% ในการทดสอบครั้งที่สอง ซึ่งดีกว่ากลุ่มอื่น ๆ อย่างมีนัยสำคัญ

สิ่งนี้สอดคล้องกับประสบการณ์ส่วนตัวของเราที่มักจะเกิดไอเดียดี ๆ ในขณะทำกิจวัตรประจำวันที่ไม่ต้องใช้ความคิดมาก เช่น อาบน้ำ เดินเล่น หรือขับรถบนถนนที่คุ้นเคย แต่ถ้าเราต้องขับรถในเมืองที่พลุกพล่าน เราจะต้องใช้สมาธิทั้งหมดไปกับการขับรถ ไม่มีพื้นที่ให้ความคิดสร้างสรรค์ได้ทำงาน

จากข้อมูลนี้ เราสามารถสรุปได้ว่าการคิดที่มีประสิทธิภาพมักเกิดขึ้นควบคู่ไปกับการทำกิจกรรมที่ไม่ต้องใช้ความคิดมากนัก ดังนั้นหากเราต้องการแก้ปัญหาสำคัญหรือต้องการความคิดสร้างสรรค์ เราควรจัดสรรเวลาและสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับการคิด

แต่ทำไมเราถึงยังคงใช้วิธีการระดมสมองในที่ทำงาน ทั้ง ๆ ที่มันอาจไม่ใช่วิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุด? การระดมสมองเป็นเครื่องมือที่ถูกคิดค้นขึ้นโดย Alex Osborne ผู้บริหารด้านการโฆษณาในปี 1953 และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าจะมีอายุมากกว่า 70 ปีแล้ว แต่เรายังคงใช้มันเมื่อต้องการแก้ปัญหาใหญ่หรือพัฒนาโอกาสใหม่ ๆ

อย่างไรก็ตาม งานวิจัยล่าสุดโดย Keith Sawyer นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ได้ทำการวิเคราะห์เกี่ยวกับการระดมสมอง โดยศึกษาผลงานวิจัยหลายร้อยชิ้น ข้อสรุปของเขาคือ “งานวิจัยหลายทศวรรษเกี่ยวกับการระดมสมองได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า กลุ่มที่ระดมสมองคิดไอเดียได้น้อยกว่าการให้แต่ละคนคิดคนเดียวแล้วนำไอเดียมารวมกันในภายหลัง”

แล้วเราจะปรับปรุงวิธีการคิดในที่ทำงานอย่างไร? Daniel Kahneman นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลได้เสนอแนวคิดการคิดสองระบบในหนังสือ “Thinking, Fast and Slow” ของเขา

ระบบ 1 เป็นการคิดแบบรวดเร็ว เหมาะสำหรับการตอบคำถามในเกมตอบปัญหา แต่ไม่เหมาะกับการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนในที่ทำงาน ส่วนระบบ 2 เป็นการคิดที่รอบคอบ เหมาะสำหรับการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนและต้องการความคิดสร้างสรรค์

ในที่ทำงาน เรามักจะเจอกับ นักคิดที่พยายามตอบคำถามยาก ๆ ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยใช้การคิดแบบระบบ 1 กับคำถามที่ต้องการการคิดแบบระบบ 2

วิธีแก้ปัญหานี้คือการใช้เทคนิค “10 วินาทีแห่งความเงียบ” เมื่อคุณถามคำถามสำคัญที่ต้องใช้ความคิด ให้ขอให้ทุกคนใช้เวลาเงียบ ๆ คิด 10 วินาทีก่อนที่จะพูด วิธีนี้จะช่วยให้ผู้เข้าร่วมประชุมมีเวลาคิดไตร่ตรองมากขึ้น และอาจนำไปสู่ไอเดียที่ดีกว่า

นอกจากนี้ เราสามารถใช้วิธี “proactive procrastination” ได้ แทนที่จะทำการระดมสมองในที่ประชุม ให้แจ้งหัวข้อหรือคำถามสำคัญที่ต้องการคำตอบล่วงหน้า และขอให้ทุกคนคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ในช่วงเวลาจนถึงการประชุมครั้งหน้า วิธีนี้จะช่วยให้ทุกคนมีเวลาคิดในสถานที่และเวลาที่เหมาะสมกับตนเอง ซึ่งอาจเป็นช่วงเวลาที่พวกเขาคิดได้ดีที่สุด

ในยุคที่การทำงานแบบไฮบริดกำลังเป็นที่นิยม เราสามารถใช้ประโยชน์จากเวลาที่อยู่ที่บ้านในการคิดสร้างสรรค์ได้ ลองใช้เวลาครึ่งชั่วโมงพาสุนัขไปเดินเล่น หรือแม้แต่พาตัวเองไปเดินเล่น พร้อมกับนำประเด็นที่ต้องคิดติดตัวไปด้วย เพราะนั่นอาจเป็นช่วงเวลาที่คุณคิดได้ดีที่สุด

เมื่อถึงการประชุมครั้งต่อไป แทนที่จะเริ่มต้นด้วยการระดมสมอง ให้แต่ละคนนำเสนอไอเดียที่ได้คิดมาล่วงหน้า จากนั้นจึงอภิปรายและพัฒนาต่อยอดร่วมกัน วิธีนี้จะช่วยให้การประชุมมีประสิทธิภาพมากขึ้น และได้ไอเดียที่ผ่านการกลั่นกรองมาแล้วในระดับหนึ่ง

การอัปเกรดระบบปฏิบัติการสมองของเราไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องอาศัยความตั้งใจและการฝึกฝน เมื่อคุณเริ่มนำวิธีการเหล่านี้ไปใช้ คุณจะพบว่าตัวเองสามารถจัดการกับคำถามที่ท้าทายและซับซ้อนได้ดีขึ้น คุณจะสามารถมองเห็นมุมมองใหม่ ๆ ที่ไม่เคยนึกถึงมาก่อน และสร้างสรรค์ไอเดียที่แปลกใหม่ได้มากขึ้น

ลองนึกถึงนักคิดและนวัตกรที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ เช่น Leonardo da Vinci, Albert Einstein, หรือ Steve Jobs พวกเขาไม่ได้คิดตามกรอบเดิม ๆ แต่กล้าที่จะมองโลกในมุมที่แตกต่าง และนั่นคือสิ่งที่ทำให้พวกเขาสามารถสร้างสรรค์สิ่งที่เปลี่ยนแปลงโลกได้

การปฏิวัติความคิดของคุณอาจเริ่มต้นจากเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น การแก้ปัญหาในที่ทำงาน การปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือการคิดค้นผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ ๆ แต่เมื่อคุณฝึกฝนและพัฒนาทักษะการคิดนอกกรอบอย่างต่อเนื่อง คุณอาจพบว่าตัวเองสามารถสร้างนวัตกรรมที่ส่งผลกระทบในวงกว้างได้

นอกจากนี้ การปรับเปลี่ยนวิธีคิดยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นทางความคิด (cognitive flexibility) ซึ่งเป็นทักษะสำคัญในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นทุกวันนี้ เมื่อเราฝึกมองปัญหาจากหลาย ๆ มุม เราจะสามารถปรับตัวกับสถานการณ์ใหม่ ๆ ได้ดีขึ้น และพร้อมรับมือกับความท้าทายที่ไม่คาดคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การอัปเกรดระบบปฏิบัติการสมองของเรายังช่วยเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ (creativity) ซึ่งเป็นทักษะที่มีความต้องการสูงในตลาดแรงงานปัจจุบัน องค์กรต่าง ๆ กำลังมองหาบุคลากรที่สามารถคิดนอกกรอบและสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ ๆ เพื่อแก้ปัญหาที่ซับซ้อนและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน การฝึกฝนทักษะการคิดแบบใหม่จึงไม่เพียงแต่จะช่วยพัฒนาตัวเราเอง แต่ยังเพิ่มมูลค่าให้กับตัวเราในฐานะมืออาชีพอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงวิธีคิดไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ในชั่วข้ามคืน มันต้องอาศัยความพยายามและความอดทน ซึ่งเราอาจพบว่าในช่วงแรก การคิดนอกกรอบเป็นเรื่องที่ท้าทายและอึดอัด เพราะสมองของเรามักจะชอบอยู่ในพื้นที่ที่คุ้นเคยและปลอดภัย แต่เมื่อเราฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง ก็จะพบว่าการคิดนอกกรอบกลายเป็นธรรมชาติมากขึ้นเรื่อย ๆ

หนึ่งในวิธีที่จะช่วยพัฒนาทักษะการคิดนอกกรอบคือการเปิดรับประสบการณ์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ ลองทำสิ่งที่เราไม่เคยทำมาก่อน เช่น เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ อ่านหนังสือในหมวดหมู่ที่เราอาจจะไม่เคยสนใจ หรือพูดคุยกับผู้คนที่มีภูมิหลังแตกต่างจากเรา การเปิดรับประสบการณ์ใหม่ ๆ จะช่วยเพิ่มมุมมองและกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ของเรา

นอกจากนี้ การฝึกสติ (mindfulness) ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยพัฒนาทักษะการคิดของเรา การฝึกสติจะช่วยให้เราตระหนักถึงความคิดของตัวเองมากขึ้น ทำให้เราสามารถสังเกตเห็นรูปแบบความคิดที่เป็นอุปสรรคต่อความคิดสร้างสรรค์ และฝึกปล่อยวางความคิดเหล่านั้นได้

การจดบันทึกความคิด (journaling) ก็เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการพัฒนาทักษะการคิด การเขียนความคิดของเราลงบนกระดาษจะช่วยให้เราเห็นภาพรวมของความคิดได้ชัดเจนขึ้น และอาจทำให้เราเห็นความเชื่อมโยงระหว่างไอเดียต่าง ๆ ที่เราอาจจะไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน

ท้ายที่สุด การแบ่งปันความคิดของเรากับผู้อื่นก็เป็นวิธีที่ดีในการพัฒนาทักษะการคิด การพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้อื่นจะช่วยให้เราได้รับมุมมองใหม่ ๆ และอาจนำไปสู่การต่อยอดไอเดียที่เราไม่เคยนึกถึงมาก่อน

การอัปเกรดระบบปฏิบัติการสมองของเราไม่ใช่จุดหมายปลายทาง แต่เป็นการเดินทางที่ไม่มีวันสิ้นสุด เมื่อเราเริ่มต้นการเดินทางนี้ ก็จะพบว่าโลกรอบตัวเราเต็มไปด้วยโอกาสและความเป็นไปได้ที่รอให้เราค้นพบ เราจะมองเห็นปัญหาเป็นความท้าทายที่น่าตื่นเต้น และเราจะพบว่าตัวเองมีพลังที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงในทางที่เราไม่เคยคิดว่าเป็นไปได้มาก่อน

ดังนั้น จงเริ่มต้นการปฏิวัติความคิดของคุณตั้งแต่วันนี้ ให้ความสำคัญกับช่วงเวลาที่คุณคิดได้ดีที่สุด ท้าทายตัวเองให้มองปัญหาจากมุมมองที่แตกต่าง และอย่ากลัวที่จะคิดนอกกรอบ เพราะนั่นคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่

การปฏิวัติความคิดของคุณอาจเริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามง่าย ๆ กับตัวเอง เช่น “มีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้หรือไม่?” “ถ้าเราลองทำแบบนี้ล่ะ?” หรือ “เราจะแก้ปัญหานี้อย่างไรถ้าเรามีทรัพยากรไม่จำกัด?” คำถามเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นให้สมองของคุณคิดนอกกรอบและมองหาโอกาสใหม่ ๆ ที่คุณอาจไม่เคยนึกถึงมาก่อน

เมื่อคุณเริ่มปฏิบัติตามแนวคิดเหล่านี้ คุณจะพบว่าความคิดของคุณมีพลังมากขึ้น คุณจะสามารถแก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างสรรค์นวัตกรรมที่น่าตื่นเต้น และมีส่วนร่วมในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับโลกรอบตัวคุณ

จงจำไว้ว่า การเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นจากความคิดเพียงหนึ่งเดียว และความคิดนั้นอาจมาจากคุณ ดังนั้น จงเริ่มต้นอัปเกรดระบบปฏิบัติการสมองของคุณตั้งแต่วันนี้ และเตรียมพร้อมที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงอันน่าอัศจรรย์ที่จะเกิดขึ้นในชีวิตของคุณและโลกรอบตัวคุณ

References :
How to think better at work | Chris Thomason | TEDxReigate
https://youtu.be/1cjtYJLL81Y?si=dHulGQD9XFQrhu2t

The Champion’s Mind : วิธีปั้นใจให้แข็งแกร่ง เคล็ดลับความสำเร็จจากนักจิตวิทยากีฬาระดับโลก

ในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นในวงการกีฬา ธุรกิจ หรือแม้แต่ในชีวิตประจำวัน เราทุกคนต่างปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จและเป็นผู้ชนะ แต่อะไรคือสิ่งที่แยกผู้ชนะออกจากคนธรรมดาทั่วไป? คำตอบอยู่ที่จิตใจ

หนังสือ “The Champion’s Mind” โดย Jim Afremow นักจิตวิทยาการกีฬาผู้มีประสบการณ์ในการช่วยเหลือนักกีฬาระดับโอลิมปิก ได้เปิดเผยให้เห็นถึงความลับของจิตใจแห่งผู้ชนะ

Afremow เชื่อว่าความแตกต่างระหว่างการแสดงผลงานธรรมดากับผลงานที่ยอดเยี่ยมนั้น เริ่มต้นและจบลงด้วยสภาพจิตใจของเรา การมีทัศนคติของผู้ชนะจะช่วยให้เราแสดงศักยภาพสูงสุดและประสบความสำเร็จในเวลาที่สำคัญที่สุด

แต่จิตใจของผู้ชนะนั้นประกอบด้วยอะไรบ้าง? Afremow ได้สรุปองค์ประกอบสำคัญไว้ 4 ประการ โดยใช้คำย่อว่า BEST ซึ่งย่อมาจาก Belief (ความเชื่อ), Enjoyment (ความสนุกสนาน), Self-talk (การพูดกับตัวเอง) และ Toughness (ความแข็งแกร่ง)

เริ่มจาก Belief หรือความเชื่อ ผู้ชนะทุกคนมีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่าพวกเขาจะประสบความสำเร็จ แต่ความเชื่อมั่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ มันเกิดจากการเตรียมตัวอย่างหนัก

Afremow ยกตัวอย่างเรื่องเล่าของนายพลชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งที่โยนเหรียญก่อนการสู้รบ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับทหารของเขา แม้ว่าเหรียญนั้นจะมีหัวทั้งสองด้าน แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือทหารเหล่านั้นเข้าสู่สนามรบด้วยความมั่นใจว่าพวกเขาจะเป็นผู้ชนะ

เรื่องราวนี้สะท้อนให้เห็นว่า ความเชื่อมั่นนั้นสามารถสร้างขึ้นได้ และเมื่อเรามีความเชื่อมั่น มันจะส่งผลต่อการกระทำของเรา

Afremow แนะนำว่า เราควร “ฝึกซ้อมเหมือนเราเป็นอันดับสอง แต่แข่งขันเหมือนเราเป็นอันดับหนึ่ง” นี่คือคำพูดของ Merlene Ottey นักวิ่งระดับโลก ความหมายก็คือ เราควรฝึกซ้อมอย่างหนักราวกับว่าเราเพิ่งพลาดชัยชนะไปนิดเดียว แต่เมื่อถึงเวลาแข่งขันจริง เราต้องเชื่อมั่นว่าเราคือผู้ชนะ

ต่อมาคือ Enjoyment หรือความสนุกสนาน Afremow เชื่อว่าผู้ชนะทุกคนสามารถสนุกกับสิ่งที่พวกเขาทำ แม้ในสถานการณ์ที่กดดันที่สุด

Jesse Owens นักกรีฑาในตำนานผู้คว้าเหรียญทองสี่เหรียญในการแข่งขันโอลิมปิกปี 1936 ที่เบอร์ลิน เคยกล่าวไว้ว่า “จงหาสิ่งดีๆ มันอยู่รอบตัวคุณ” คำพูดนี้สะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติที่ผู้ชนะมักจะมี พวกเขามองว่าตนเองโชคดีที่ได้มีโอกาสแข่งขันในระดับสูงสุด

แต่บางครั้ง ความกดดันก็มากเกินจนเรารับกับสถานการณ์เหล่านี้ไม่ค่อยได้ Afremow แนะนำให้ใช้อารมณ์ขัน การหัวเราะสามารถลดความเครียดและเพิ่มประสิทธิภาพได้ นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมบุคลากรทางทหารและนักดับเพลิงมักจะมีอารมณ์ขันที่ดี

ตัวอย่างเช่น Lieutenant General Chesty Puller นาวิกโยธินผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์มากที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา เคยพูดกับทหารของเขาในสถานการณ์คับขันว่า “เราถูกล้อมแล้ว ดี นั่นทำให้ปัญหาง่ายขึ้น” คำพูดนี้แสดงให้เห็นถึงการใช้อารมณ์ขันเพื่อจัดการกับความเครียดในสถานการณ์ที่ยากลำบาก

องค์ประกอบที่สามคือ Self-talk หรือการพูดกับตัวเอง Dr. Daniel Amen นักประสาทวิทยาและผู้เขียนหนังสือขายดี “Change Your Brain, Change Your Life” ได้คิดค้นแนวคิดเรื่อง ANT หรือ Automatic Negative Thoughts (ความคิดด้านลบอัตโนมัติ) ขึ้นมา เขาเปรียบเทียบความคิดด้านลบเหล่านี้กับมดที่รุกรานห้องครัวของเขา เช่นเดียวกับที่เราต้องกำจัดมดออกจากบ้าน เราก็ต้องกำจัดความคิดด้านลบออกจากจิตใจของเราด้วย

ความคิดด้านลบเหล่านี้มักจะปรากฏในรูปแบบของประโยคเช่น “อย่าทำพลาด” หรือ “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าฉัน…” ตามด้วยจินตนาการถึงความล้มเหลว ความคิดเหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำให้เราเครียด แต่ยังเพิ่มโอกาสที่เราจะทำพลาดอีกด้วย เหมือนกับนักกอล์ฟที่คิดว่า “อย่าตีลงน้ำ” แล้วก็จบลงด้วยการตีลูกลงน้ำจริงๆ

แทนที่จะปล่อยให้ความคิดด้านลบครอบงำ ผู้ชนะเรียนรู้ที่จะใช้การพูดกับตัวเองในเชิงบวก พวกเขาอาจพูดกับตัวเองว่า “ตรงนี้ ตอนนี้” เพื่อให้จดจ่ออยู่กับปัจจุบัน ซึ่ง Afremow แนะนำให้เตือนตัวเองให้โฟกัสกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ตรงหน้าเพียงเท่านั้น

ตัวอย่างที่น่าสนใจคือ Sean Green นักเบสบอลอาชีพ ที่ทำสถิติตีลูกได้ 6 ครั้งจาก 6 ครั้งที่เข้าตี และตีโฮมรันได้ 4 ครั้งในเกมเดียว โดยเขาท่องในใจว่า “ตัดไม้ แบกน้ำ” ซ้ำๆ ตลอดเกม คำพูดนี้ช่วยให้เขาจดจ่ออยู่กับปัจจุบันและทำตามหลักพื้นฐานของการตีเบสบอล

องค์ประกอบสุดท้ายคือ Toughness หรือความแข็งแกร่ง Afremow อธิบายว่า ความแข็งแกร่งทางจิตใจไม่ได้หมายถึงการต้องฝืนทน แต่หมายถึงความสามารถในการรักษาความคิดเชิงบวกและเชิงรุกในสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุด

ในวงการกอล์ฟอาชีพ มีการติดตามสถิติที่เรียกว่า “bounce back” ซึ่งวัดความสามารถของนักกอล์ฟในการฟื้นตัวกลับมาแสดงผลงานที่ดีหลังจากการเล่นหลุมที่แย่ นักกอล์ฟระดับโลกมักจะมีสถิติ bounce back ที่ดีมาก นั่นแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทางจิตใจของพวกเขา

Afremow แนะนำให้เราพยายามเพิ่มสถิติ bounce back ของตัวเองในชีวิต โดยมองทุกอุปสรรคเป็นโอกาสสำหรับการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ เมื่อเผชิญกับความล้มเหลว เราควรเตือนตัวเองถึงการเตรียมตัวที่ดี ใช้อารมณ์ขันเพื่อผ่อนคลายความเครียด และใช้การพูดกับตัวเองเชิงบวกเพื่อกลับมาโฟกัสกับงานที่อยู่ตรงหน้า

นอกจากนี้ Afremow ยังแนะนำให้เราจดบันทึกคะแนน (ทางจิตใจ) สำหรับทุกการแสดงผลงานของเรา โดยให้คะแนนตัวเองในสเกล 1 ถึง 5 ในแต่ละด้านของ BEST ได้แก่ ความเชื่อ ความสนุกสนาน การพูดกับตัวเอง และความแข็งแกร่ง การทำเช่นนี้จะช่วยให้เราเห็นพัฒนาการของตัวเองและรู้ว่าเราควรปรับปรุงด้านไหนเพิ่มเติม

แนวคิดของ Afremow ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในวงการกีฬาเท่านั้น แต่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในทุกด้านของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การเรียน หรือแม้แต่การจัดการกับความท้าทายในชีวิตประจำวัน การพัฒนาจิตใจของผู้ชนะจะช่วยให้เราสามารถรับมือกับความกดดันและความท้าทายต่างๆ ได้ดีขึ้น

ลองนึกถึงสถานการณ์ที่คุณต้องนำเสนองานสำคัญต่อหน้าผู้บริหารระดับสูง หากคุณใช้หลัก BEST คุณจะเริ่มด้วยการสร้างความเชื่อมั่นในตัวเองจากการเตรียมตัวอย่างดี คุณจะพยายามสนุกกับประสบการณ์นี้ด้วยการมองว่ามันเป็นโอกาสที่ดีในการแสดงความสามารถ คุณจะใช้การพูดกับตัวเองในเชิงบวกเพื่อควบคุมความคิดและอารมณ์ และหากมีอะไรผิดพลาด คุณจะใช้ความแข็งแกร่งทางจิตใจเพื่อฟื้นตัวและดำเนินการต่อไปอย่างมั่นใจ

อย่างไรก็ตาม Afremow เตือนว่าการมีจิตใจของผู้ชนะไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่มีวันล้มเหลว แต่หมายถึงการที่เราสามารถรับมือกับความล้มเหลวได้อย่างมีประสิทธิภาพ เรียนรู้จากมัน และใช้มันเป็นแรงผลักดันให้เราก้าวไปข้างหน้า ผู้ชนะที่แท้จริงไม่ได้วัดกันที่จำนวนครั้งที่พวกเขาประสบความสำเร็จ แต่วัดที่ความสามารถในการลุกขึ้นมาใหม่หลังจากล้มลง

ในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การมีจิตใจของผู้ชนะจึงเป็นทักษะที่สำคัญอย่างยิ่ง มันไม่เพียงแต่จะช่วยให้เราประสบความสำเร็จในสิ่งที่เราทำเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เรามีความสุขและพึงพอใจในชีวิตมากขึ้นด้วย เพราะเมื่อเรามีความเชื่อมั่น สนุกกับสิ่งที่ทำ มีการพูดกับตัวเองในเชิงบวก และมีความแข็งแกร่งทางจิตใจ เราก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความท้าทายใดๆ ที่ชีวิตจะนำมา

การพัฒนาจิตใจของผู้ชนะไม่ใช่เรื่องของการเอาชนะผู้อื่น แต่เป็นเรื่องของการเอาชนะตัวเอง การก้าวข้ามข้อจำกัดของตัวเอง และการเติบโตเป็นเวอร์ชันที่ดีที่สุดของตัวเรา เมื่อเราทำเช่นนี้ได้ ความสำเร็จก็จะตามมาเอง

ในท้ายที่สุด Afremow เน้นย้ำว่า การมีจิตใจของผู้ชนะไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องเคร่งเครียดหรือจริงจังกับชีวิตตลอดเวลา แต่หมายถึงการมีความสมดุลระหว่างความมุ่งมั่นและการผ่อนคลาย การรู้จักเวลาที่จะพุ่งชน และเวลาที่จะปล่อยวาง การมีความยืดหยุ่นทางจิตใจที่จะปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆ

หนังสือ “The Champion’s Mind” ของ Jim Afremow เปรียบเสมือนคู่มือสำหรับทุกคนที่ต้องการพัฒนาตนเองและก้าวสู่ความสำเร็จ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักกีฬา นักธุรกิจ นักเรียน หรือใครก็ตาม หลักการ BEST ที่ Afremow นำเสนอสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในทุกด้านของชีวิต เพื่อช่วยให้คุณก้าวข้ามอุปสรรค เอาชนะความท้าทาย และบรรลุเป้าหมายที่คุณตั้งไว้

การพัฒนาจิตใจของผู้ชนะเป็นการเดินทางที่ไม่มีวันสิ้นสุด แต่เป็นการเดินทางที่คุ้มค่า เพราะมันไม่เพียงแต่จะนำพาเราไปสู่ความสำเร็จเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เราเติบโตเป็นบุคคลที่ดีขึ้น แข็งแกร่งขึ้น และมีความสุขมากขึ้นในทุกๆ วัน ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะกำลังเผชิญกับความท้าทายใดในชีวิต จงจำไว้ว่า ชัยชนะเริ่มต้นจากภายในตัวคุณเอง จากจิตใจของผู้ชนะที่คุณสร้างขึ้นและพัฒนามันอย่างต่อเนื่อง

References :
หนังสือ The Champion’s Mind: How Great Athletes Think, Train, and Thrive โดย Jim Afremow PhD

เปิดโมเดลธุรกิจ 5-25-30 : จาก 0 ถึง 1 ล้านดอลลาร์ ใน 1 ปี วิธีสร้างแบรนด์แบบ Ryan Moran

ในโลกธุรกิจที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน การสร้างธุรกิจให้เติบโตจนมีมูลค่าถึงหลักล้านดอลลาร์ภายในเวลาเพียงหนึ่งปีอาจฟังดูเป็นเรื่องเพ้อฝัน แต่ Ryan Moran ผู้เขียนหนังสือ “12 Months to 1 Million” เชื่อว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ และได้วางแผนกลยุทธ์ที่ชัดเจนเพื่อบรรลุเป้าหมายนี้

แนวคิดจากหนังสือของ Moran มีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก ซึ่งเราสามารถนําหลักการเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดดโดยอาจจะใช้เวลาเพียงแค่ 1 ปีเพียงเท่านั้น

เริ่มต้นด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน

ให้ลองจินตนาการภาพนี้: คุณเพิ่งเปิดตัวผลิตภัณฑ์แรกในฐานะผู้ประกอบการหน้าใหม่ ในวันแรกคุณขายได้เพียง 5 ชิ้น แต่แล้วคําวิจารณ์ในแง่บวกก็เริ่มทยอยเข้ามา ทําให้ยอดขายของคุณพุ่งขึ้นเป็น 25 ชิ้นต่อวันอย่างรวดเร็ว

ความสําเร็จเบื้องต้นนี้ทําให้คุณเริ่มคิดถึงความเป็นไปได้ใหม่ๆ คุณเริ่มมองเห็นโอกาสในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมอีก 4 รายการที่จะตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบถ้วน

คุณนําบทเรียนและกําไรจากความสําเร็จครั้งแรกมาต่อยอด และเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สองออกสู่ตลาด ซึ่งสามารถทํายอดขายได้ถึง 25 ชิ้นต่อวันเร็วกว่าผลิตภัณฑ์แรกมาก ก่อนสิ้นปี คุณสามารถเปิดตัวผลิตภัณฑ์ได้ครบทั้ง 5 รายการ โดยมีราคาเฉลี่ยชิ้นละ 30 ดอลลาร์ และแต่ละผลิตภัณฑ์สามารถทํายอดขายได้เฉลี่ย 25 ชิ้นต่อวัน

นั่นหมายความว่าคุณประสบความสําเร็จแล้ว! เพราะคุณสามารถสร้างธุรกิจและแบรนด์ที่สร้างรายได้มากกว่า 1 ล้านดอลลาร์ต่อปี นี่คือพลังของการทําตามแนวทาง 5-25-30:

  • 5 ผลิตภัณฑ์
  • ขายได้ 25 ชิ้นต่อวัน
  • ราคาเฉลี่ย 30 ดอลลาร์ต่อชิ้น (ประมาณ 1,000 บาท)

แม้ว่าเป้าหมายนี้อาจดูเหมือนความฝันที่ไกลเกินเอื้อม แต่ Moran เชื่อว่าทุกคนสามารถทําได้โดยเริ่มจากจุดเล็กๆ และมุ่งเน้นการตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าหลักอย่างแม่นยํา

กําหนดกลุ่มลูกค้าหลักของคุณ

ก้าวแรกสู่ความสําเร็จคือการระบุกลุ่มลูกค้าหลักของคุณให้ชัดเจน Moran แนะนําให้คิดถึงคนที่มีความหลงใหลในสิ่งที่พวกเขาสนใจ และยินดีจ่ายเงินเพื่อสิ่งนั้น อาจเป็นคนที่เรารู้จักเป็นการส่วนตัว เช่น เพื่อน สมาชิกในครอบครัว

ยกตัวอย่างเช่น:

  • คนรักสุขภาพวัย 30 ปี ที่ชื่นชอบการออกกําลังกายและพร้อมลงทุนกับอาหารเสริมคุณภาพสูงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการออกกําลังกาย
  • คุณแม่วัย 40 ปี ที่เพิ่งเริ่มสนใจการฝึกโยคะ และต้องการอุปกรณ์คุณภาพดีที่ช่วยให้รู้สึกมั่นใจระหว่างการฝึก
  • คอกาแฟวัย 35 ปี ที่หลงใหลในการชงกาแฟแบบ specialty และชอบทดลองวิธีการชงแบบต่างๆ

สิ่งที่น่าสนใจคือลูกค้าเหล่านี้มักไม่ได้ซื้อเพียงผลิตภัณฑ์เดียว แต่มีแนวโน้มที่จะซื้อหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกัน เช่น คอกาแฟอาจลงทุนซื้อทั้งเมล็ดกาแฟคุณภาพสูง เครื่องบดกาแฟ อุปกรณ์ชงแบบ pour-over และเครื่องชงกาแฟพกพาสำหรับเดินทาง ในขณะที่คนรักการออกกําลังกายอาจซื้อทั้งโปรตีนผง อาหารเสริมก่อนออกกําลังกาย และชุดออกกําลังกายที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ

หน้าที่ของเราคือการระบุความสนใจเฉพาะด้านที่ลูกค้าพร้อมจะจ่ายเงินซื้อผลิตภัณฑ์ 3-5 รายการ ด้วยแนวคิด “ตะกร้าสินค้าในฝัน” ที่มี 3-5 ผลิตภัณฑ์ของลูกค้าจะช่วยให้เราเข้าใจความต้องการและคุณค่าที่ลูกค้าให้ความสําคัญได้อย่างลึกซึ้ง และสามารถกําหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

การคิดผลิตภัณฑ์ 3-5 รายการที่เราต้องการขายยังช่วยให้กําหนดแนวทางของแบรนด์ได้ชัดเจนขึ้นด้วย ผู้คนมักซื้อแบรนด์ที่พวกเขารู้สึกมีความเชื่อมโยง และยินดีจ่ายเงินเพิ่มสําหรับผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับแบรนด์นั้น

ตัวอย่างที่น่าสนใจคือ Bulletproof Coffee ของ Dave Asprey แม้จะเข้าสู่ตลาดกาแฟที่มีการแข่งขันสูงอยู่แล้ว แต่ Bulletproof Coffee ก็ประสบความสําเร็จอย่างมาก เพราะพวกเขาไม่ได้ขายแค่กาแฟ แต่ขายไลฟ์สไตล์และแนวคิดเรื่องสุขภาพทั้งหมด ลูกค้าซื้อเพราะพวกเขาชื่นชอบแนวคิดและภาพลักษณ์ของแบรนด์

กรอบความคิดแบบล้านดอลลาร์

Moran เน้นย้ำว่าการคิดถึงแบรนด์ควรมาก่อนการคิดถึงตัวผลิตภัณฑ์ หากเราสามารถสร้างแบรนด์ที่ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ 3-5 รายการที่มีคนประมาณ 1,000 คนรักมาก และรู้สึกว่าแบรนด์ของเราสร้างมาเพื่อพวกเขาโดยเฉพาะ พวกเขาจะไม่เพียงแค่ซื้อผลิตภัณฑ์ของเราเท่านั้น แต่จะกลายเป็นแฟนพันธุ์แท้ที่ช่วยบอกต่อและแนะนําผลิตภัณฑ์ของเราให้คนอื่นๆ รู้จัก

นอกจากนี้ โอกาสที่หนึ่งในลูกค้าหลัก 1,000 คนนั้นจะเป็น influencer ที่มีผู้ติดตามในโซเชียลมีเดียจํานวนมาก หรือมีเครือข่ายที่แข็งแกร่งซึ่งสามารถแนะนําแบรนด์ของเราให้กลุ่มคนที่กว้างขึ้นก็มีสูง

ให้ทุ่มเทความพยายามทั้งหมดในการสื่อสารและให้บริการลูกค้าหลัก 1,000 คนแรกอย่างดีที่สุด และพวกเขาจะช่วยดูแลการเติบโตของคุณเอง ลูกค้าหลัก 1,000 คนนี้มีความสําคัญต่อความสําเร็จของเรามาก Moran แนะนําให้เริ่มดึงดูดพวกเขาซักระยะเวลาหนึ่งก่อนที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์แรก

ในความเป็นจริง เมื่อเราพร้อมที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ เราก็ควรมีผู้ติดตามในโซเชียลมีเดียอย่างน้อย 1,000 คน หรือมีรายชื่ออีเมลผู้รับข่าวสาร (Mailing list) 1,000 รายชื่อที่ชื่นชอบแนวคิดและภาพลักษณ์ของแบรนด์เรา

วิธีรวบรวมผู้ติดตาม 1,000 คนแรก

การสร้างฐานผู้ติดตาม 1,000 คนแรกอาจดูเป็นงานที่ยาก แต่ Moran มีกลยุทธ์ที่น่าสนใจดังนี้:

  1. สร้างตัวตนบนโซเชียลมีเดีย: เลือกแพลตฟอร์มที่กลุ่มเป้าหมายของเราใช้งานบ่อย อาจเป็น Facebook, Instagram, TikTok หรือ YouTube ขึ้นอยู่กับลักษณะของธุรกิจและกลุ่มลูกค้าของเรา
  2. แจกคอนเทนต์ที่มีประโยชน์ฟรี: สร้างคู่มือ แนวทางปฏิบัติ หรือเคล็ดลับที่เกี่ยวข้องกับความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย เช่น “คู่มือโยคะสําหรับผู้เริ่มต้น” หรือ “รายการอุปกรณ์กาแฟที่ต้องมีสําหรับการชงกาแฟที่บ้าน” การให้ข้อมูลที่มีคุณค่าโดยไม่คิดเงินจะช่วยสร้างความไว้วางใจและดึงดูดผู้ติดตามที่สนใจจริงๆ
  3. แบ่งปันเรื่องราวการเรียนรู้และพัฒนา: เล่าถึงกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาความเข้าใจของเราในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ การแสดงให้เห็นว่าตัวเราเองก็เป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิตจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและความเชื่อมั่นในตัวเรา

Moran ยกตัวอย่างว่าเขาสามารถดึงดูดผู้ติดตามหลายพันคนมายังเพจ Facebook “I Love Yoga” ของเขาโดยใช้งบโฆษณา Facebook เพียงวันละ 300 บาท จากนั้นเขาใช้เพจนี้เป็นพื้นที่บันทึกการเดินทางสู่การสร้างผลิตภัณฑ์โยคะชิ้นแรก โดยโพสต์รูปภาพ แสดงขั้นตอนการทําต้นแบบ และนําความคิดเห็นที่ได้รับจากคนในกลุ่ม Facebook มาปรับปรุงผลิตภัณฑ์

ตัวอย่างเช่น เมื่อมีคนแสดงความเห็นว่าอยากได้เสื่อโยคาที่มีสายรัดหนาขึ้น เขาก็นําข้อมูลนี้ไปปรับปรุงผลิตภัณฑ์ทันที การทําเช่นนี้ไม่เพียงช่วยให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ตรงใจลูกค้ามากขึ้น แต่ยังทําให้ผู้ติดตามรู้สึกมีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วย

เลือกผลิตภัณฑ์แรก

ในขณะที่เรากําลังสร้างกลุ่มผู้ติดตามที่อาจเป็นลูกค้าหลัก Moran แนะนําให้เราตัดสินใจว่าผลิตภัณฑ์ 3-5 รายการที่พวกเขาอาจซื้อคืออะไร จากนั้นพิจารณาว่าอะไรควรจะเป็น “ผลิตภัณฑ์เริ่มต้น (Gateway product)”

ผลิตภัณฑ์เริ่มต้นคือสิ่งที่ลูกค้ามีแนวโน้มจะซื้อก่อน และอาจนําไปสู่การซื้อผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่เราวางแผนไว้ในอนาคต ยกตัวอย่างเช่น สําหรับคนรักการออกกําลังกาย อาจเป็นอาหารเสริมก่อนออกกําลังกายที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและกระตุ้นให้พวกเขาออกกําลังกายอย่างต่อเนื่อง

เมื่อเรามีไอเดียผลิตภัณฑ์เริ่มต้นแล้ว Moran แนะนําให้ทําการวิจัยตลาดอย่างละเอียด โดยมองหาเวอร์ชันที่ขายดีที่สุดของผลิตภัณฑ์นั้นบน e-commerce platform ยอดนิยม ถ้าเป็นในประเทศไทยก็เช่น Shopee หรือ Lazada ที่มีรีวิวแบบละเอียด จากนั้นพิจารณาว่าผลิตภัณฑ์ขายดีเหล่านั้นยังไม่ตอบโจทย์ลูกค้าของเราตรงจุดไหนบ้าง

ให้ความสนใจเป็นพิเศษกับข้อร้องเรียนที่พบบ่อยที่สุด แล้วระดมความคิดหาวิธีปรับปรุงผลิตภัณฑ์ขายดีในตลาดของเรา เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องเหล่านั้นและเพิ่มความแตกต่างที่สําคัญอย่างน้อยหนึ่งอย่าง

Moran ยกตัวอย่างจากประสบการณ์ของตัวเอง เมื่อเขากําลังคิดผลิตภัณฑ์แรกสําหรับธุรกิจอาหารเสริม Sheer Strength ของเขา เขาได้ตัดสินใจเพิ่มส่วนผสมพิเศษอีกหนึ่งอย่างคือสารสกัดจากบีทรูทลงในอาหารเสริมก่อนออกกําลังกายทั่วไป ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและกลายเป็นจุดขายสําคัญที่ทําให้ผลิตภัณฑ์ของเขาโดดเด่นในตลาด ความแตกต่างเพียงเล็กน้อยนี้กลายเป็นรากฐานของธุรกิจที่เขาสามารถขายได้ในราคา 300 ล้านบาทในเวลาต่อมา

การพัฒนาผลิตภัณฑ์

เมื่อเรารู้แล้วว่าต้องการปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่อย่างไร ขั้นตอนต่อไปคือการหาผู้ผลิตที่สามารถทําตามแนวคิดของเราได้ Moran แนะนําให้ค้นหาผู้ผลิต OEM บนแพลตฟอร์มอย่าง Alibaba ที่สามารถทำวิศวกรรมย้อนกลับ  (Reverse Engineering) และปรับแต่งผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ได้

ในบริบทของประเทศไทย อาจพิจารณาหาผู้ผลิตในประเทศหรือในภูมิภาคอาเซียนเพื่อลดต้นทุนการขนส่งและภาษีนําเข้า นอกจากนี้การทํางานกับผู้ผลิตในพื้นที่ใกล้เคียงยังช่วยให้การสื่อสารและการแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

พูดคุยกับผู้ผลิตที่เราเลือกและปรับปรุงจนได้ต้นแบบผลิตภัณฑ์ที่เราคิดว่าลูกค้าจะชอบ Moran แนะนําให้สั่งผลิตในจํานวนน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในครั้งแรก หากรุ่นแรกยังไม่ดีพอที่จะขาย ให้ส่งออกไปเป็นตัวอย่างให้ลูกค้าที่มีศักยภาพและขอคําติชมเฉพาะเจาะจงเพื่อปรับปรุงการผลิตครั้งต่อไป

การทําเช่นนี้ไม่เพียงช่วยให้เราได้ผลิตภัณฑ์ที่ตรงใจลูกค้ามากขึ้น แต่ยังเป็นการสร้างความผูกพันกับลูกค้าตั้งแต่ก่อนที่ผลิตภัณฑ์จะวางจําหน่ายจริง ทําให้พวกเขารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการพัฒนาและมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนผลิตภัณฑ์ของเราเมื่อวางจําหน่ายจริง

เตรียมพร้อมสําหรับวันเปิดตัว

เมื่อเรามีผลิตภัณฑ์เริ่มต้นที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแล้ว Moran แนะนําให้สร้างความตื่นเต้นสําหรับวันเปิดตัวโดยให้ผู้ติดตามได้เห็นตัวอย่างก่อนใคร และมอบสิทธิพิเศษสําหรับผู้ซื้อก่อน

ในบริบทของประเทศไทย อาจพิจารณาทําแคมเปญพรีออเดอร์พร้อมส่วนลดพิเศษ หรือของแถมสําหรับ 100 คนแรกที่สั่งซื้อ การสร้างความรู้สึกเร่งด่วนและการมีของจํากัดเช่นนี้มักได้ผลดีในการกระตุ้นยอดขายช่วงเปิดตัว

Moran เชื่อว่าเมื่อเรามีผู้ติดตามในโซเชียลมีเดียมากกว่า 1,000 คน หรือมีรายชื่ออีเมลมากกว่า 1,000 รายชื่อ ยอดขายจะเริ่มทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เมื่อเป็นเช่นนั้น อย่าลังเลที่จะขอรีวิวจากลูกค้า ซึ่งเราต้องมีการสร้าง social proof เพื่อให้ผู้ติดตามคนอื่นๆ กล้าตัดสินใจซื้อ

ในประเทศไทย การใช้รีวิวจากลูกค้าจริงและการร่วมมือกับ micro-influencer ในช่วงแรกอาจช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและกระตุ้นยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ขยายธุรกิจ

เมื่อยอดขายเริ่มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง Moran แนะนำให้ใช้กำไรส่วนหนึ่งมาลงทุนในการโฆษณาและการทำการตลาดเพื่อขยายฐานลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาแนะนำให้จ่ายค่าโฆษณาให้กับเหล่า micro-influencers ที่พูดถึงกลุ่มเป้าหมายของเรา เพื่อแนะนำผลิตภัณฑ์ของเราให้กับผู้ติดตามของพวกเขา

Moran เน้นย้ำให้มุ่งเป้าไปที่ influencer ที่มีผู้ติดตามระหว่าง 10,000 ถึง 30,000 คน เหตุผลก็คือ influencer เหล่านี้มักมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับผู้ชมของพวกเขา และการรับรองของพวกเขาสามารถสร้างผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายในการทำงานร่วมกับ micro-influencers มักจะต่ำกว่าการจ้าง macro-influencers ที่มีผู้ติดตามหลายแสนหรือหลายล้านคน

ในบริบทของประเทศไทย อาจพิจารณาใช้แพลตฟอร์มอย่าง Instagram, TikTok หรือ YouTube ซึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่มผู้บริโภคชาวไทย การทำงานร่วมกับ micro-influencers ท้องถิ่นที่มีความเชี่ยวชาญหรือความสนใจตรงกับผลิตภัณฑ์ของเราอาจให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนกับดาราหรือคนดังระดับประเทศ

นอกจากนี้ การใช้กลยุทธ์การตลาดแบบปากต่อปาก (word-of-mouth marketing) ก็เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในสังคมไทย อาจพิจารณาสร้างโปรแกรมแนะนำเพื่อน (referral program) ที่ให้ส่วนลดหรือของรางวัลแก่ลูกค้าที่แนะนำเพื่อนมาซื้อผลิตภัณฑ์ของเรา

Moran แนะนำให้ปฏิบัติตามแผนการนี้อย่างต่อเนื่อง และตรวจสอบให้แน่ใจเสมอว่ามีสินค้าคงคลังเพียงพอที่จะรองรับยอดขายที่เพิ่มขึ้น หากทำได้ตามนี้ เราจะสามารถบรรลุเป้าหมายยอดขาย 25 ชิ้นต่อวันสำหรับผลิตภัณฑ์แรกของเราได้อย่างแน่นอน

เมื่อถึงจุดนี้ Moran แนะนำให้เริ่มพัฒนาผลิตภัณฑ์ถัดไป โดยใช้สูตรเดียวกับที่เราใช้กับผลิตภัณฑ์แรก เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ถัดไปสามารถทำยอดขายได้ 25 ชิ้นต่อวันเช่นกัน

ซึ่งเราอาจพบว่าการบรรลุเป้าหมายนั้นง่ายขึ้นมากในครั้งที่สอง เพราะเรามีฐานลูกค้าหลัก รายชื่ออีเมล และความสัมพันธ์กับ influencer อยู่แล้ว นอกจากนี้ ลูกค้าหลักของเราจะช่วยให้เราสามารถสร้างต้นแบบและปรับปรุงผลิตภัณฑ์ได้เร็วขึ้น และเกือบจะรับประกันได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่พวกเขาชื่นชอบ

ในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่แต่ละครั้ง เราจะสามารถต่อยอดความสำเร็จจากการเปิดตัวครั้งก่อน และค่อยๆ สร้างแบรนด์มูลค่าหนึ่งล้านดอลลาร์ได้อย่างมั่นคง สิ่งนี้เกิดขึ้นได้เพราะเรามุ่งเน้นการให้บริการลูกค้าหลักแบบเฉพาะเจาะจงตั้งแต่เริ่มต้น

ดังที่ Moran กล่าวไว้ว่า “กุญแจสำคัญสู่การเติบโตอย่างรวดเร็วคือการเจาะจงกลุ่มเป้าหมายให้แคบลงอย่างมาก ยิ่งคุณสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้เฉพาะเจาะจงมากเท่าไหร่ คุณก็จะเติบโตได้เร็วขึ้นเท่านั้น”

บทสรุป

แนวคิดของ Ryan Moran ใน “12 Months to 1 Million” นำเสนอแนวทางที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการสร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างรวดเร็ว แม้ว่าการสร้างธุรกิจมูลค่าล้านดอลลาร์ภายใน 12 เดือนอาจเป็นเป้าหมายที่ท้าทายสำหรับผู้ประกอบการส่วนใหญ่ แต่หลักการพื้นฐานที่ Moran นำเสนอสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้กับธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สิ่งสำคัญที่สุดคือการโฟกัสที่กลุ่มลูกค้าเฉพาะเจาะจง สร้างผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของพวกเขาอย่างแท้จริง และสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับลูกค้าหลักของเรา การทำเช่นนี้จะช่วยให้เราสามารถสร้างฐานลูกค้าที่ภักดีและพร้อมจะสนับสนุนธุรกิจของเราในระยะยาว

นอกจากนี้ การใช้กลยุทธ์การตลาดดิจิทัลและการทำงานร่วมกับ micro-influencers ก็เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการขยายฐานลูกค้าโดยไม่ต้องใช้งบประมาณมหาศาล ซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการรายใหม่ที่อาจมีทรัพยากรจำกัด

แม้ว่าเส้นทางสู่ความสำเร็จอาจไม่ได้ราบรื่นเสมอไป แต่ด้วยความมุ่งมั่น การวางแผนที่ดี และการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง เราก็สามารถนำแนวคิดเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้เพื่อสร้างธุรกิจที่ประสบความสำเร็จและเติบโตอย่างยั่งยืนได้ในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

References :
หนังสือ 12 Months to $1 Million: How to Pick a Winning Product, Build a Real Business, and Become a Seven-Figure Entrepreneur โดย Ryan Daniel Moran

กล้ามเนื้อแห่ง empathy : กับอีกหนึ่งทักษะสำคัญที่โรงเรียนไม่เคยสอน แต่เป็นสิ่งที่ชีวิตเราต้องการ

ในยุคปัจจุบันคำว่า “empathy” หรือ ความเห็นอกเห็นใจ ความเข้าใจในความคิดและความรู้สึกของผู้อื่นกลายเป็นทักษะที่สำคัญยิ่งต่อการอยู่ร่วมกันในสังคม แต่การจะเข้าใจจิตใจของคนอื่นนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

เมื่อลองคิดว่าสมองของมนุษย์มีเซลล์ประสาทที่เชื่อมโยงกันมากกว่า 100 พันล้านเซลล์ ที่สามารถทำงานร่วมกันได้ในรูปแบบที่ซับซ้อนเกินกว่าจะจินตนาการ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่บางครั้งเราอาจรู้สึกว่ามันยากเหลือเกินที่จะเข้าใจกันและกัน

แต่ถึงแม้ความเห็นอกเห็นใจจะเป็นเรื่องท้าทาย หลายคนก็ยังมองว่ามันเป็นสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ โดยเฉพาะในคนที่มีจิตใจดี แต่ผลการวิจัยล่าสุดกลับชี้ให้เห็นว่า ความเห็นอกเห็นใจนั้นต้องอาศัยความพยายามอย่างมาก

เป็นข้อมูลที่น่าสนใจจากเวที Ted Talks ล่าสุดที่เพิ่งมีการปล่อยออกมาโดย Alison Jane Martingano (Ph.D.) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-กรีนเบย์ (UWGB) การวิจัยเกี่ยวกับความเห็นอกเห็นใจของเธอได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการต่างๆ และเธอยังแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกทางจิตวิทยากับสาธารณชนทั่วไปเป็นประจำผ่านบล็อก Psychology Today และพอดแคสต์ Psychology & Stuff

Alison Jane ได้ทำการทดลองโดยขอให้อาสาสมัครแสดงความเห็นอกเห็นใจ แล้วพยายามทำให้มันยากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ผลปรากฏว่าแม้แต่งานง่าย ๆ อย่างการรับรู้อารมณ์ของคนอื่นก็ยังต้องใช้ความพยายาม ส่วนงานที่ซับซ้อนมากขึ้นก็ยิ่งต้องใช้ความคิดอย่างมหาศาล

ตัวอย่างเช่น การจะเข้าใจมุมมองของใครสักคนในขณะที่เรากำลังวอกแวกนั้นเป็นเรื่องยาก และเมื่อเราต้องทำงานหลายอย่างพร้อมกัน ความห่วงใยเห็นอกเห็นใจผู้อื่นก็มักจะลดน้อยลง ที่น่าสนใจคือหากมีทางเลือกคนส่วนใหญ่มักจะหลีกเลี่ยงการแสดงความเห็นอกเห็นใจโดยสิ้นเชิง

ในการทดลองหนึ่ง นักวิจัยขอให้ผู้เข้าร่วมดูรูปภาพของคนอื่น แล้วให้เลือกว่าจะแสดงความเห็นอกเห็นใจกับคนในภาพ หรือจะแค่อธิบายลักษณะทางกายภาพของพวกเขา ผลปรากฏว่าผู้เข้าร่วมเลือกที่จะอธิบายลักษณะทางกายภาพถึง 65% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเมื่อมีทางเลือก เรามักจะหลีกเลี่ยงการแสดงความเห็นอกเห็นใจ

Alison Jane เล่าประสบการณ์ส่วนตัวเมื่อย้ายจากอังกฤษมาอยู่ที่สหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรก เธอคิดว่าเธอพูดภาษาเดียวกับชาวอเมริกัน แต่การใช้คำเดียวกันจริง ๆ แล้วทำให้เกิดความมั่นใจที่ผิด ๆ เธอคิดว่าเข้าใจสิ่งที่คนอื่นพูด แต่ความเป็นจริงแล้วเธอคิดผิดอย่างมาก

ตัวอย่างเช่น ครั้งหนึ่งเธอกำลังขับรถไปงานครอบครัวกับคู่หมั้น และคู่หมั้นบอกว่ากับเธอ “quite pretty” ซึ่งทำให้เธอรู้สึกไม่พอใจ เพราะในอังกฤษ คำว่า “quite” เป็นคำที่เหมือนกับคำว่า “ค่อนข้าง” หรือ “พอสมควร” แต่ในอเมริกา คำว่า “quite” จริง ๆ แล้วเหมือนกับคำว่า “มาก” หรือ “อย่างยิ่ง” ปัญหาคือเธอไม่ได้พยายามที่จะเข้าใจว่าคู่หมั้นหมายความว่าอย่างไร เธอยุ่งอยู่กับการรู้สึกไม่พอใจมากเกินไปจนไม่ได้มองจากมุมมองของอีกฝ่าย

เหตุการณ์นี้ทำให้เธอตระหนักว่า เมื่อเราเจอสถานการณ์ที่คนอื่นไม่คิดเหมือนเรา และเราต้องพยายามเล็กน้อยเพื่อทำความเข้าใจว่าพวกเขากำลังพยายามจะพูดอะไรหรือพวกเขารู้สึกอย่างไร นั่นคือโอกาสในการฝึกฝนความเห็นอกเห็นใจ และความเห็นอกเห็นใจก็เหมือนกล้ามเนื้อ มันพัฒนาขึ้นได้ด้วยการฝึกฝน

มีประสบการณ์ในชีวิตประจำวันมากมายที่ให้โอกาสเราในการฝึกฝนความเห็นอกเห็นใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีปฏิสัมพันธ์กับคนที่เราไม่เห็นด้วย ในการแลกเปลี่ยนที่ท้าทายเหล่านี้ ที่เราต้องพยายามมากขึ้นเพื่อเข้าใจมุมมองของพวกเขา

กล้ามเนื้อแห่งความเห็นอกเห็นใจของเราจะได้รับการทดสอบและพัฒนาอย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้ Alison Jane จึงสนับสนุนให้เราแสวงหาประสบการณ์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว การเข้าเรียนในวิทยาลัย หรือแค่ก้าวออกจาก Comfort Zone ของเราชั่วคราวเพื่อฝึกฝนความเห็นอกเห็นใจ

แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือเราไม่จำเป็นต้องพูดคุยกับคนอื่นจริง ๆ เพื่อฝึกฝนความเห็นอกเห็นใจ จริง ๆ แล้วมีสิ่งอื่น ๆ ที่เราสามารถทำได้เพื่อฝึกฝนทักษะนี้เช่นเดียวกัน

งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าสิ่งหนึ่งที่เราสามารถทำได้คือการแอบฟังการสนทนาของคนอื่น ลองจินตนาการว่าเราอยู่ในร้านกาแฟและกำลังฟังการสนทนาของคู่รักที่นั่งข้าง ๆ พวกเขากำลังมีความเข้าใจผิดกัน ฝ่ายหนึ่งคิดว่าพวกเขากำลังพูดถึงเรื่องหนึ่ง ในขณะที่อีกฝ่ายคิดว่าพวกเขากำลังพูดถึงอีกเรื่องหนึ่งที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

เราในฐานะผู้สังเกตการณ์สามารถใช้โอกาสนี้ในการพยายามทำความเข้าใจว่าแต่ละคนกำลังพยายามจะสื่อสารอะไร ซึ่งการแอบฟังการสนทนาของพวกเขาเป็นโอกาสในการฝึกฝนความเห็นอกเห็นใจในสถานการณ์ที่เราสามารถมีความเป็นกลางและไม่ลำเอียงได้มากขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ต้องระมัดระวังไม่ให้เป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้อื่นจนเกินไป

นอกจากนี้ เรายังสามารถฝึกฝนความเห็นอกเห็นใจกับสัตว์เลี้ยงของเราได้ด้วย ซึ่งแน่นนอนว่ามันอาจจะเป็นเรื่องยากที่จะรู้ว่าแมวของเรากำลังคิดอะไร แต่อาจจะง่ายกว่ากับสุนัข เจ้าของสัตว์เลี้ยงสามารถฝึกฝนความเห็นอกเห็นใจโดยพยายามเข้าใจว่าสัตว์เลี้ยงของพวกเขากำลังคิดหรือรู้สึกอย่างไร ซึ่งอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมเจ้าของสัตว์เลี้ยงโดยเฉลี่ยจึงมีความเห็นอกเห็นใจมากกว่าคนที่ไม่มีสัตว์เลี้ยง เพราะพวกเขาได้ฝึกฝนกับสัตว์เลี้ยงของตนทุกวัน

แต่ไม่ใช่แค่สัตว์จริง ๆ และมนุษย์จริง ๆ เท่านั้นที่เราสามารถฝึกฝนความเห็นอกเห็นใจได้ ตัวละครในนิยายก็เป็นโอกาสที่ดีในการฝึกฝนความเห็นอกเห็นใจเช่นกัน

โดยเราสามารถพยายามเข้าใจแรงจูงใจและอารมณ์ของตัวละคร งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าการอ่านนวนิยายเป็นการฝึกฝนความเห็นอกเห็นใจที่ยอดเยี่ยม และไม่ใช่แค่หนังสือเท่านั้น เพราะสามารถใช้ได้ทั้งในรูปแบบของภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์

อย่างไรก็ตาม เราควรระมัดระวังไม่ให้ตกหลุมพรางของการด่วนสรุปหรือเหมารวมตัวละครจากลักษณะภายนอกเพียงอย่างเดียว เช่น การคิดว่าตัวร้ายต้องสวมเสื้อผ้าสีเข้มและยืนอยู่ในเงามืดเสมอ แม้ว่าตัวร้ายแบบนี้จะสร้างความบันเทิงได้ง่าย แต่พวกเขาไม่ได้ท้าทายความสามารถในการเห็นอกเห็นใจของเรามากนัก

งานวิจัยชี้ให้เห็นว่าหากเราต้องการฝึกฝนความเห็นอกเห็นใจที่มีประสิทธิภาพ เราต้องพยายามมากขึ้นเพื่อเข้าใจสภาวะจิตใจของตัวละครที่ซับซ้อนและคลุมเครือมากขึ้น

ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ รายการโทรทัศน์ ละครเวที หรืองานศิลปะที่มองเห็นได้ เช่น ภาพ Mona Lisa ที่ลึกลับ สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดสามารถเป็นโอกาสในการฝึกฝนความเห็นอกเห็นใจ เราสามารถตั้งคำถามกับตัวเองว่า “เธอกำลังรู้สึกเศร้าหรือมีความสุขกันแน่?”

เราสามารถมองสถานการณ์เหล่านี้เป็นเหมือนโรงยิมไว้คอยฝึกฝนความเห็นอกเห็นใจในโลกแห่งจินตนาการของเรา เป็นโอกาสในการฝึกฝนความเห็นอกเห็นใจในสภาพแวดล้อมที่เป็นเรื่องแต่งขึ้น ซึ่งเราไม่เสี่ยงที่จะทำให้ใครเสียความรู้สึก

และเหมือนกับโปรแกรมการออกกำลังกาย เราต้องเลือกการออกกำลังกายที่เหมาะกับเราที่สุด บางคนอาจไม่ชอบการอ่านหนังสือเหมือนกับที่บางคนเกลียดการวิ่งออกกำลังกาย ยังมีตัวเลือกอีกมากมายให้เราได้เลือกฝึกฝนความเห็นอกเห็นใจ

ในวงการวิจัยด้านความเห็นอกเห็นใจ มีการกล่าวอ้างมากมายเกี่ยวกับวิธีแก้ปัญหาอย่างรวดเร็วสำหรับความเห็นอกเห็นใจ เทคโนโลยี Virtual Reality เป็นหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมเมื่อเร็ว ๆ นี้ แนวคิดก็คือเราสามารถเข้าใจมุมมองของคนอื่นในโลกเสมือนจริงได้

บางทีเราอาจได้สัมผัสประสบการณ์ของการเป็นผู้ลี้ภัยหรือผู้ป่วยในโรงพยาบาล แต่งานวิจัยแสดงให้เห็นว่ามันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ถ้าเราพึ่งพาแค่ชุดหูฟังให้ทำงานแทนเรา และเราไม่ได้ทุ่มเทการทำงานหนักด้วยตัวเอง กล้ามเนื้อแห่งความเห็นอกเห็นใจของเราก็จะไม่มีวันเติบโต ถ้าเราต้องการการพัฒนาความเห็นอกเห็นใจในระยะยาว เราต้องทุ่มเทการทำงานอย่างจริงจัง

ในโลกที่มีความขัดแย้งและความเข้าใจผิดมากมาย การพัฒนาความเห็นอกเห็นใจของเราอาจเป็นหนึ่งในทักษะที่สำคัญที่สุดที่เราสามารถฝึกฝนได้ มันไม่เพียงแต่ช่วยให้เราเข้าใจผู้อื่นได้ดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เราเข้าใจตัวเองได้ดีขึ้นด้วย เมื่อเราฝึกฝนการมองโลกผ่านมุมมองของผู้อื่น เราก็เปิดโอกาสให้ตัวเองได้เติบโตและเรียนรู้ในแง่มุมที่เราอาจไม่เคยคิดมาก่อน

ในท้ายที่สุด การพัฒนาความเห็นอกเห็นใจไม่เพียงแต่ทำให้เราเป็นคนที่ดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังทำให้โลกของเราเป็นสถานที่ที่ดีขึ้นด้วย เมื่อเราสามารถเข้าใจและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นได้มากขึ้น เราก็สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมายมากขึ้น แก้ไขความขัดแย้งได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และสร้างสังคมที่เปี่ยมด้วยความเข้าใจและการยอมรับมากขึ้นได้ในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม

References :
How to train your empathy muscles | Alison Jane Martingano, Ph.D | TEDxUWGreenBay
https://youtu.be/MvSvdGArhxc?si=a1k51ImCuGYgzMc4