ทำไม Elon Musk ถึงไม่เอา SpaceX เข้าตลาดหุ้น? ล้มเหลว 3 ครั้ง สำเร็จครั้งเดียว เมื่อบริษัทเอกชนเปลี่ยนเกมอวกาศทั้งหมด

ผมว่าหลายคนอาจจะสงสัยว่าบริษัทเอกชนที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกตอนนี้คือใคร? ไม่ใช่ Apple หรือ Microsoft แต่เป็น SpaceX บริษัทอวกาศของ Elon Musk ที่มีมูลค่าพุ่งทะยานถึง 350 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024

มูลค่าของ SpaceX สูงกว่า GDP ของประเทศฟินแลนด์หรือชิลีซะอีก แถมเรื่องที่น่าทึ่งคือนักลงทุนแทบไม่มีใครยอมขายหุ้นเลย พวกเขามั่นใจว่ามูลค่าจะพุ่งกระฉูดขึ้นไปอีก

ใครจะไปคิดว่าบริษัทที่เกือบล้มละลายเมื่อยี่สิบปีก่อน หลังจากความล้มเหลวในการปล่อยจรวดติดๆ กันหลายครั้ง จะกลายเป็นยักษ์ใหญ่แห่งวงการอวกาศที่ NASA ต้องพึ่งพา

เรื่องราวเริ่มต้นในวันหยุดสุดสัปดาห์วันแรงงานปี 2001 เมื่อ Elon Musk วัย 30 ปี เข้าเว็บไซต์ของ NASA เพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับแผนการเดินทางไปดาวอังคาร

Musk คิดว่าน่าจะมีแผนชัดเจนอยู่แล้ว เพราะมนุษย์ลงจอดบนดวงจันทร์ตั้งแต่ปี 1969 แต่เขาต้องอึ้งเมื่อพบว่าไม่มีแผนดังกล่าวเลย

การค้นหาต่อไปทำให้เขาพบข้อมูลเกี่ยวกับงานดินเนอร์ใน Silicon Valley ที่จัดโดยองค์กรชื่อ The Mars Society Musk และภรรยา Justine จึงซื้อตั๋วราคา 500 ดอลลาร์

นอกจากนี้ Musk ยังเขียนเช็คบริจาค 5,000 ดอลลาร์ให้กับองค์กร ซึ่งดึงดูดความสนใจของประธาน Robert Zubrin ที่จัดให้เขานั่งข้างผู้กำกับชื่อดัง James Cameron

ที่งานนี้ พวกเขาพูดคุยถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการตั้งอาณานิคมบนดาวอังคาร และความเสี่ยงต่อการดำรงอยู่ของมนุษยชาติหากไม่ดำเนินการ

นี่เป็นจุดพีคในชีวิตของ Musk เขาได้พบภารกิจที่ยิ่งใหญ่กว่าธุรกิจก่อนหน้านี้อย่าง PayPal ที่เขาร่วมก่อตั้ง ราวกับมีเวทมนตร์มาดลใจให้เขาเริ่มต้นสิ่งใหม่

เมื่อเขาแบ่งปันแผนการตั้งอาณานิคมบนดาวอังคารกับเพื่อนร่วมงานเก่า Reid Hoffman ในงานศิษย์เก่า PayPal คำถามแรกที่ได้รับคือ “นี่มันเป็นธุรกิจได้อย่างไร?”

แต่สำหรับ Musk แล้ว มันไม่เคยเกี่ยวกับเรื่องของเงิน แต่เกี่ยวกับเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่า เขามองว่าการตั้งอาณานิคมบนดาวอังคารมีความสำคัญต่อการอยู่รอดของมนุษยชาติ

Musk เคยกล่าวว่า “ดาวอังคารเป็นการมุ่งสู่อนาคตที่น่าตื่นเต้น ชีวิตไม่สามารถเป็นแค่การแก้ปัญหา ต้องมีสิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจให้คุณ”

แผนแรกของ Musk นั้นฟังดูง่ายๆ – ส่งหนูไปดาวอังคาร แต่ถ้าหนูไม่รอด? มันไม่ใช่ภารกิจที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้คนมากมายเท่าไรนัก

แผนที่สองเจ๋งกว่า คือการส่งเรือนกระจกขนาดเล็กไปดาวอังคารเพื่อแสดงให้เห็นว่าชีวิตสามารถเติบโตบนดาวเคราะห์อื่นได้ เขาประมาณการค่าใช้จ่ายที่ 30 ล้านดอลลาร์

จากการขาย PayPal ให้ eBay ทำให้ Musk ได้รับเงินมากโข 180 ล้านดอลลาร์ เงินก้อนนี้จะช่วยให้เขาเริ่มต้นธุรกิจอวกาศได้

Musk บินไปมอสโกเพื่อซื้อจรวดรัสเซีย แต่การเจรจากลับไม่ราบรื่น เมื่อชาวรัสเซียขึ้นราคาจรวดจาก 18 ล้านดอลลาร์เป็น 21 ล้านดอลลาร์ต่อลำ

พวกเขายังทะลึ่งถามว่า “โอ้ เด็กน้อย คุณไม่มีเงินหรือ?” นี่เป็นจุดที่ Musk ตะหงิดใจและตัดสินใจว่าถ้าซื้อจรวดไม่ได้ในราคาที่สมเหตุสมผล เขาจะสร้างของเขาเอง

Musk เริ่มพัฒนาสิ่งที่เขาเรียกว่า “ดัชนีคนโง่” (idiot index) วิธีวัดความไม่มีประสิทธิภาพโดยเปรียบเทียบต้นทุนของผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปกับต้นทุนวัตถุดิบ

เขาพบว่าจรวดสำเร็จรูปมีราคาสูงกว่าวัตถุดิบถึง 50 เท่า เขาตระหนักว่าสามารถสร้างจรวดที่มีประสิทธิภาพและราคาถูกกว่ามากได้

เพื่อนสนิทพยายามพูดให้เขาล้มเลิกความคิดบ้า ๆ ที่จะเริ่มธุรกิจจรวด คนหนึ่งถึงกับรวบรวมฟุตเทจความหายนะของจรวดมาให้ดู

แต่ Musk ยังคงมุ่งมั่น เขาบอกว่าให้โอกาสตัวเองประสบความสำเร็จเพียง 10% แต่ก็เต็มใจที่จะเสี่ยง “มีบางครั้งที่บางสิ่งมีความสำคัญมากพอจนคุณต้องทำมันแม้จะมีความกลัว” Musk กล่าว

ในเดือนพฤษภาคม 2002 Musk ก่อตั้ง Space Exploration Technologies หรือ SpaceX ขึ้นในโกดังเก่าใน Southern California พื้นที่ซึ่งมีวิศวกรอวกาศฝีมือเทพอยู่มากมาย

เป้าหมายแรกคือการปล่อยจรวดลำแรกภายในเดือนกันยายน 2003 และส่งภารกิจไร้คนขับไปดาวอังคารภายในปี 2010 เป็นกรอบเวลาที่ดูเพ้อฝันสุดๆ

ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ Musk และภรรยา Justine ต้องเผชิญกับโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ เมื่อลูกชายคนแรกของพวกเขา Nevada เสียชีวิตเมื่ออายุเพียง 10 สัปดาห์

Maye มารดาของ Musk เล่าว่า “เขาร้องไห้เหมือนคนบ้า” มันเป็นช่วงเวลาที่เจ็บปวดรวดร้าวอย่างยิ่ง หลังจากนั้น Musk ทุ่มเทให้กับงานมากขึ้นเพื่อรับมือกับความสูญเสีย

การตัดสินใจสำคัญของ Musk คือการจ้าง Tom Mueller วิศวกรผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องยนต์จาก TRW มาพัฒนาเครื่องยนต์ Merlin อันเป็นหัวใจของจรวด Falcon

เมื่อ Mueller กำหนดเวลาสำหรับการสร้างเครื่องยนต์ Musk ได้ยืนยันให้ลดเวลาลงครึ่งหนึ่ง แม้ Mueller จะคัดค้านว่าเป็นไปไม่ได้

Musk ยืนกรานว่า “เมื่อฉันขออะไร คุณต้องให้มันกับฉัน” แม้ว่าเครื่องยนต์จะไม่เสร็จตามกำหนด แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกเร่งด่วนของ Musk ที่จะไปถึงดาวอังคาร

อีกบุคคลสำคัญคือ Gwynne Shotwell ผู้เข้าร่วมบริษัทในตำแหน่งรองประธานฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บุคลิกที่เด็ดขาดแต่เป็นกันเองของเธอสร้างความสมดุลกับ Musk

Shotwell ช่วยให้ SpaceX ได้รับสัญญาสำคัญแรกกับกระทรวงกลาโหมในปี 2003 มูลค่า 3.5 ล้านดอลลาร์ เพื่อปล่อยดาวเทียมขนาดเล็ก

ถนนสู่ความสำเร็จของ SpaceX ไม่ได้ปูด้วยกลีบกุหลาบ แต่เต็มไปด้วยขวากหนาม การปล่อยจรวด Falcon 1 ครั้งแรกในวันที่ 24 มีนาคม 2006 จบลงด้วยความเละเทะ

เพียงไม่กี่วินาทีหลังจากทะยานขึ้น เกิดไฟไหม้ที่เครื่องยนต์ Merlin จากการรั่วไหลของน้ำมันผ่านนัตขนาดเล็กที่ยึดท่อน้ำมัน ภารกิจจบลงในไม่ถึงหนึ่งนาที

การปล่อยครั้งที่สองในเดือนมีนาคม 2007 ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่าอีกครั้ง เมื่อขั้นที่สองของจรวดเริ่มหมุนควบคุมไม่ได้เนื่องจากเชื้อเพลิงกระฉอก

ชะตาชีวิตของ SpaceX แขวนอยู่บนเส้นด้ายในช่วงการปล่อยครั้งที่สามในเดือนสิงหาคม 2008 เมื่อเงินกำลังจะหมด Musk บอกทีมว่าพวกเขามีเงินพอสำหรับการปล่อยอีกเพียงครั้งเดียว

ในขณะเดียวกัน Tesla ก็กำลังดิ่งลงเหว และ Musk เองก็กำลังผ่านการหย่าร้างที่ขมขื่น เรียกได้ว่าเป็นช่วงที่ชีวิตของเขากำลังวิกฤตเลยทีเดียว

การปล่อยครั้งที่สามดูเหมือนจะไปได้สวย จนกระทั่งขั้นแรกของจรวดชนกับขั้นที่สอง ทำให้ทั้งคู่ตกกลับสู่โลก สาเหตุเกิดจากระบบระบายความร้อนที่ออกแบบใหม่

ความผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำให้พนักงานหลายคนหมดกำลังใจ แต่ Musk ไม่ยอมแพ้ เขาบอกทีมว่า “สำหรับผม ผมจะไม่ยอมแพ้และผมหมายถึงไม่มีวันยอมแพ้”

“ถ้าคุณยังอยู่กับผม เราจะชนะ” คำพูดนี้สร้างแรงบันดาลใจให้ทีมงานลุกขึ้นสู้ต่อไป ในไม่กี่นาทีพลังงานของทั้งอาคารก็เปลี่ยนจากความสิ้นหวังเป็นความมุ่งมั่นฝ่าฟันต่อสู้

โชคดีที่ Peter Thiel และ Founders Fund ตัดสินใจอัดฉีดเงิน 20 ล้านดอลลาร์ หลังจากการปล่อยครั้งที่สามล้มเหลว ทำให้ SpaceX มีทุนสำหรับความพยายามครั้งที่สี่

ในวันที่ 28 กันยายน 2008 การปล่อยจรวด Falcon 1 ครั้งที่สี่ประสบความสำเร็จ ทำให้ SpaceX กลายเป็นบริษัทเอกชนรายแรกที่ส่งจรวดเข้าสู่วงโคจรโลกได้

Musk บอกกับพนักงานด้วยความภูมิใจว่า “นี่เป็นเพียงก้าวแรกของอีกหลายก้าว” เป็นคำพูดที่แสดงถึงวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของเขา

ความเจ๋งของ SpaceX ไม่ได้หยุดแค่นั้น สามเดือนต่อมา NASA มอบสัญญามูลค่า 1.6 พันล้านดอลลาร์ให้ SpaceX เพื่อเติมเสบียงให้สถานีอวกาศนานาชาติ

Musk ตื่นเต้นมากจนเปลี่ยนรหัสผ่านคอมพิวเตอร์เป็น “ilovenasa” สัญญานี้ส่งให้ SpaceX พัฒนาจรวด Falcon 9 ที่ใหญ่และทรงพลังกว่าเดิมมาก

ความสำเร็จของ SpaceX มาจากความสามารถในการสั่นคลอนอุตสาหกรรมอวกาศด้วยการลดต้นทุนอย่างมหาศาล พวกเขาผลิตชิ้นส่วนประมาณ 80% ภายในบริษัทเอง

Musk และทีมรังสรรค์วิธีประหยัดต้นทุนที่สร้างสรรค์แบบสุดมัน เช่น ใช้สลักประตูห้องน้ำที่ดัดแปลงแล้วแทนสลักราคาแพงของ NASA

วิธีนี้ลดค่าใช้จ่ายจาก 1,500 ดอลลาร์ต่อชิ้นเหลือเพียง 30 ดอลลาร์! เป็นตัวอย่างของการคิดนอกกรอบแบบที่บริษัทอวกาศดั้งเดิมไม่เคยทำ

อีกตัวอย่างคือการใช้เครื่องปรับอากาศบ้านราคา 6,000 ดอลลาร์ที่ดัดแปลงแล้ว แทนระบบระบายความร้อนมาตรฐานที่มีราคา 3 ล้านดอลลาร์

นวัตกรรมและการประหยัดต้นทุนทำให้ Falcon 9 มีค่าใช้จ่ายในการปล่อยประมาณ 50 ล้านดอลลาร์ต่อครั้ง เทียบกับกระสวยอวกาศที่แพงถึง 1.5 พันล้านดอลลาร์ต่อครั้ง

ประธานาธิบดี Obama เล็งเห็นประสิทธิภาพนี้ จึงตัดสินใจยุติแผนการของ NASA สำหรับผู้สืบทอดกระสวยอวกาศ Constellation และหันไปสนับสนุนบริษัทเอกชนแทน

วิสัยทัศน์สุดล้ำของ Musk คือการสร้าง Starship จรวดที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ทั้งหมด ซึ่งเป็นศูนย์กลางของภารกิจไปดาวอังคาร

Starship เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ SpaceX มีมูลค่าพุ่งทะยานสูงที่สุดในโลก บริษัทที่เป็นเนื้อหอมที่นักลงทุนหมายปอง แต่ Musk ไม่มีแผนที่จะนำเข้าตลาดหุ้นในเร็วๆ นี้

เขาอธิบายว่า “ดาวอังคารต้องใช้การพัฒนาเทคโนโลยีที่ซับซ้อนเป็นเวลากว่าทศวรรษ แต่ตลาดสนใจแค่ 3 เดือนข้างหน้า ทำให้เกิดลำดับความสำคัญที่ขัดแย้งกัน”

แต่ Starlink บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมของ SpaceX อาจมีโอกาสเข้าตลาดหุ้น บริการนี้เติบโตดังกระฉูดจาก 60,000 รายในปี 2021 เป็น 5 ล้านรายในปี 2024

Musk บอกว่าอาจนำ Starlink เข้าตลาดหุ้น “ในอีกหลายปีข้างหน้าเมื่อการเติบโตของรายได้ราบรื่นและคาดการณ์ได้” เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับภารกิจดาวอังคาร

จากบริษัทที่เกือบสิ้นไร้ไม้ตอกเมื่อยี่สิบปีก่อน SpaceX ได้ก่อร่างสร้างตัวจนกลายเป็นบริษัทเอกชนที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก

วิสัยทัศน์อันกว้างไกลของ Elon Musk ความมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้ต่อความล้มเหลว และนวัตกรรมที่ลดต้นทุนอย่างมหาศาล ทำให้ SpaceX เป็นที่เชิดหน้าชูตาในวงการอวกาศ

SpaceX ไม่เพียงปฏิวัติอุตสาหกรรมอวกาศ แต่ยังนำพามนุษยชาติใกล้ความฝันในการเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถอาศัยอยู่ได้บนหลายดาวเคราะห์

ความสำเร็จของ SpaceX ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของกำไรหรือมูลค่าตลาด แต่เป็นก้าวสำคัญของมนุษยชาติในการก้าวข้ามขีดจำกัดและมุ่งสู่การสำรวจที่ไม่เคยมีมาก่อน

ดังที่ Musk เคยกล่าวไว้ “ชีวิตต้องมีสิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจ” และสำหรับเขาและทีมงาน SpaceX นั่นคือการทำให้มนุษย์กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถเดินทางระหว่างดาวเคราะห์ได้

เรื่องราวของ SpaceX สอนเราว่าแม้จะล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตราบใดที่คุณไม่ยอมแพ้และมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน คุณสามารถเปลี่ยนความฝันลมๆ แล้งๆ ให้กลายเป็นความจริงได้

จาก ‘0’ สู่จักรวรรดิ ‘Visa’ ตำนานการถือกำเนิดบัตรเครดิตที่เปลี่ยนโลกการเงินไปตลอดกาล

ต้องบอกว่าในโลกการเงินสมัยใหม่ มีบริษัทหนึ่งที่ยืนหยัดเหนือคู่แข่งทั้งหมด ชื่อของพวกเขาคือ Visa บริษัทที่กำหนดการไหลเวียนของเงินทั่วโลกมาเกือบ 8 ทศวรรษ ด้วยส่วนแบ่งตลาดที่แทบไม่มีใครสู้ได้

ในอดีต ผู้นำวงการการเงินคือธนาคารยักษ์ใหญ่ที่มีเงินหมุนเวียนเป็นล้านล้าน แต่ตอนนี้สถานการณ์พลิกหน้ามือเป็นหลังมือแล้ว เมื่อไม่นานมานี้ Visa ซึ่งเป็นเพียงบริษัทประมวลผลการชำระเงิน กลับขึ้นแท่นเป็นบริษัทบริการทางการเงินที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก

ปี 2023 Visa ทำสถิติสุดเทพ ประมวลผลธุรกรรมมูลค่ารวมถึง 14.8 ล้านล้านดอลลาร์ในปีเดียว บริษัทที่ราวกับถูกเสกขึ้นมาโดยพ่อมดการเงินนี้ ไม่ได้ประสบความสำเร็จเพราะโชคช่วย แต่เป็นเพราะการกำจัดคู่แข่งอย่างโหดเหี้ยม จนสามารถครองบัลลังก์แห่งบัตรเครดิตได้สำเร็จ

เรื่องราวเริ่มต้นในปี 1928 เมื่อ Amadeo Giannini นายธนาคารผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในฝั่งตะวันตกของอเมริกา ทำธนาคารของเขา Bank of America ถึงเป้าหมายที่คนทั่วไปมองว่าเป็นเรื่องบ้าคลั่ง ด้วยการมีสินทรัพย์มูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์

ในขณะที่ฝั่งตะวันออกมีธนาคารชื่อดังอย่าง JP Morgan, Citibank และ Chase Bank ต่อสู้กันหัวฟัดหัวเหวี่ยง แต่ในฝั่งตะวันตก Bank of America กลับเป็นพี่ใหญ่ในตลาดที่เติบโตแบบฉุดไม่อยู่ ทั้งนี้เพราะคนอพยพเข้าแคลิฟอร์เนียกันอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

Giannini เป็นคนที่มีของมาตั้งแต่เริ่มต้น เขาเกิดในครอบครัวผู้อพยพชาวอิตาเลียนและสร้างตัวจนเป็นพ่อค้าขายของชำที่ประสบความสำเร็จ แต่เขารู้ลึกๆ ว่าความสำเร็จของเขาจะไร้สาระหากไม่ช่วยเหลือคนในชุมชนของเขา

ความเจ๋งของ Giannini คือการเข้าใจว่าผู้อพยพชาวอิตาเลียนถูกเลือกปฏิบัติและดูถูกอย่างไร เขาจึงยืนหยัดเคียงข้างพวกเขา ร่วมพัฒนาทั้งชุมชนอิตาเลียน-อเมริกันและรัฐแคลิฟอร์เนีย เขาเป็นหนึ่งในนายธนาคารคนแรกๆ ที่กล้าปล่อยกู้ให้คนชั้นกลางและผู้อพยพ

ไม่นานนัก Giannini ก็ตระหนักถึงความจริงสำคัญ การเปิดธนาคารของตัวเองจะช่วยให้เขาปล่อยกู้ให้คนในชุมชนได้มากขึ้น ในปี 1904 เขาก่อตั้ง Bank of Italy ในซานฟรานซิสโก การทำงานหนักและความเอื้อเฟื้อต่อชนชั้นแรงงานกลายเป็นรากฐานความสำเร็จของเขา

ธนาคารของเขาแตกต่างจากที่อื่นอย่างสิ้นเชิง ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเอื้อเฟื้อแบบจัดเต็ม แต่เหนือสิ่งอื่นใด คือวิสัยทัศน์ใหม่ที่พัฒนาขึ้นจากการติดต่อใกล้ชิดกับคนธรรมดา Giannini คว้าโอกาสทองในช่วงที่แคลิฟอร์เนียเข้าสู่ยุคเฟื่องฟูที่ไม่เคยมีมาก่อน

เศรษฐกิจแคลิฟอร์เนียเติบโตพุ่งกระฉูด ธนาคารของ Giannini ก็เติบโตตาม ปลายทศวรรษ 1920 ธนาคารของเขามีสินทรัพย์มากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ และผ่านการควบรวมกิจการหลายครั้ง จนได้ชื่อใหม่ว่า Bank of America

Giannini มีวิสัยทัศน์สุดล้ำ เขาต้องการให้ Bank of America เป็นซูเปอร์มาร์เก็ตทางการเงินที่ให้บริการทุกอย่างแก่ประชาชน ไม่ใช่แค่บัญชีออมทรัพย์และกระแสรายวัน แต่รวมถึงสินเชื่อจำนอง สินเชื่อรถยนต์ ประกันภัย และบริการด้านการลงทุน

ด้วยการปล่อยสินเชื่อให้ผู้บริโภคชั้นกลางที่กำลังเติบโต ธุรกิจของธนาคารก็พุ่งทะยาน ในทศวรรษถัดมา สินทรัพย์ของ Bank of America พุ่งสูงถึง 5 พันล้านดอลลาร์ กลายเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ปี 1954 S. Clark Beise ได้รับเลือกเป็นประธาน Bank of America Beise ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับ Giannini มาตลอด ช่วงกลางทศวรรษ 1950 ธนาคารแห่งนี้กลายเป็นหนึ่งในธนาคารใหญ่ที่สุดในอเมริกา ขยายบริการและสาขาไปทั่วประเทศ

Beise เป็นคนมีความคิดในเชิงปฏิบัติและมองการณ์ไกล แต่เงาของ Giannini ยังคงทอดยาว และเขามุ่งมั่นที่จะสร้างมรดกของตัวเอง ด้วยความรู้ด้านเทคโนโลยี Beise เริ่มสำรวจความเป็นไปได้ของธุรกิจรูปแบบใหม่

ทศวรรษ 1950 ในอเมริกาเป็นยุคทองหลังสงคราม ชนชั้นกลางเฟื่องฟู มีรายได้และกำลังซื้อสูงขึ้น ลัทธิบริโภคนิยมกำลังบูม เพราะตลาดที่อยู่อาศัยเติบโตและมีสินค้าใหม่ๆ อย่างรถยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านอย่างแพร่หลาย

ในช่วงนี้ สินเชื่อผู้บริโภคเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ปั๊มน้ำมันแนะนำบัตรน้ำมัน ช่วยให้ลูกค้าเติมน้ำมันด้วยเครดิต สายการบินก็เสนอบัตรของตัวเองเพื่อสร้างความสะดวกในการเดินทาง ร้านอย่าง Sears ก็ออกบัตรสำหรับซื้อของในร้าน

ในฐานะ CEO คนใหม่ของ Bank of America Beise ต้องการสร้างธุรกิจใหม่ให้ธนาคาร และ Joseph Williams หนึ่งในผู้จัดการของเขาก็มีแผนรังสรรค์วิสัยทัศน์นี้ให้เป็นจริง Williams เห็นความจำเป็นในการสร้างบัตรอเนกประสงค์ใบเดียวเพื่อทดแทนบัตรทั้งหมด

ก่อนมีบัตรเครดิต การขอสินเชื่อต้องพบเจ้าหน้าที่สินเชื่อโดยตรง ซึ่งกินเวลามากโข แต่ Williams มีไอเดียสุดแจ่ม เขามองเห็นบัตรที่มีวงเงิน 300 ดอลลาร์ และแจกฟรีให้ลูกค้าทุกคนของ Bank of America

แนวคิดเรื่องระยะเวลาผ่อนผัน 1 เดือนที่ลูกค้าชำระหนี้โดยไม่มีดอกเบี้ย และแนวคิดดอกเบี้ย 18% ต่อปีสำหรับเงินกู้บัตรเครดิต เกิดจากการวิจัยของ Williams ตัวเลขนี้คงอยู่อีก 30 ปีต่อมา แม้อัตราดอกเบี้ยอื่นๆ จะผันผวนก็ตาม

กันยายน 1958 Bank of America เริ่ม “Fresno Drop” แคมเปญส่งจดหมายขนาดใหญ่แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน นี่เป็นหนึ่งในเหตุการณ์บ้าบอที่สุดในวงการธนาคาร พวกเขาเลือกเมือง Fresno ในแคลิฟอร์เนีย และมอบบัตร “BankAmericard” ให้ทุกครัวเรือน

บัตรเครดิต Bank of America ประมาณ 60,000 ใบถูกส่งไปแบบไม่มีการร้องขอ เป็นการให้วงเงินสินเชื่อโดยไม่มีการสมัครหรืออนุมัติล่วงหน้าครั้งแรกในประวัติศาสตร์การธนาคาร บัตรมาพร้อมวงเงิน 300 ดอลลาร์ ผ่อนผัน 1 เดือน และดอกเบี้ย 18% ต่อปี

บัตรนี้ใช้ซื้อสินค้าได้หลากหลายจากร้านค้ามากมาย Williams มองว่าบัตรเครดิตใช้ได้สองทาง เป็นอุปกรณ์ที่ให้ความสะดวกสบายเหมือนบัตร Diners Club หรือเป็นอุปกรณ์ที่สร้างเงินกู้ส่วนบุคคลได้ทันที

เมื่อบัตรเครดิตปรากฏขึ้นราวกับมีเวทมนตร์ ลูกค้าก็ตาลุกวาวที่จะใช้จ่ายสิ่งที่ดูเหมือนเงินฟรี สัปดาห์แรก โครงการดูเหมือนจะประสบความสำเร็จ Bank of America รีบแจกบัตรเพิ่มไปยังเมืองอื่นในแคลิฟอร์เนีย หวังจะครองตลาดก่อนคู่แข่งตามทัน

ก่อนเปิดตัว Bank of America คาดว่าลูกค้าทั่วไปมีอัตราผิดนัดชำระหนี้ประมาณ 4% Williams ใช้ตัวเลขนี้เป็นสมมติฐานสำหรับผู้ถือบัตรใหม่ แต่สิ่งที่เขาไม่รู้คืออัตราการผิดนัดชำระหนี้จริงพุ่งถึง 20% ลูกค้าเกือบหนึ่งในห้าไม่ชำระเงินกู้ภายในสิ้นเดือน

ลูกค้าและร้านค้าหาช่องโหว่ในระบบอย่างรวดเร็ว ทั้งปลอมลายเซ็นและรายงานธุรกรรมปลอม ไม่นาน Bank of America ก็ขาดทุน 8.8 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงมากสำหรับธนาคารยุคปลายทศวรรษ 1950 ผลก็คือ Joseph Williams ถูกไล่ออก

การเปิดตัวครั้งแรกของ Bank of America เละเทะไม่เป็นท่า ธนาคารเริ่มเรียกคืนบัตรจากลูกค้าที่ผิดนัดชำระหนี้และจ้างบริษัททวงหนี้เพื่อติดตามหนี้สินและดอกเบี้ยค้างชำระ แม้การตลาดแบบ Fresno drop จะล้มเหลว แต่ก็พิสูจน์ว่าคนส่วนใหญ่ต้องการบัตรเครดิต

หนึ่งปีหลังเปิดตัว BankAmericard ค่อยๆ เริ่มชดเชยความสูญเสีย กลายเป็นกิจการที่ทำกำไร แต่ธนาคารก็ค้นพบวิธีปฏิวัติใหม่ในการทำเงินจากบัตรเครดิต กลางทศวรรษ 1960 BankAmericard ทำกำไรอย่างต่อเนื่อง ดึงดูดความสนใจจากธนาคารอื่นๆ

คู่แข่งหลายรายตระหนักว่าพวกเขามาช้าเกินไป ไม่มีทรัพยากรสร้างระบบบัตรเครดิตของตัวเอง หลังการเกษียณของ Beise ชายคนใหม่ที่เข้ามาบริหาร Rudolph A. Peterson เห็นว่านี่เป็นโอกาสทองสำหรับรูปแบบรายได้ใหม่

Peterson ตระหนักว่า Bank of America สามารถให้ธนาคารอื่นออกบัตรของตัวเองได้ โดยใช้โครงสร้างพื้นฐานของ Bank of America และเสียค่าธรรมเนียม ต้นทศวรรษ 1960 Bank of America เริ่มอนุญาตให้ธนาคารอื่นออกบัตรภายใต้โปรแกรม BankAmericard

รูปแบบการให้ใบอนุญาตนี้ประสบความสำเร็จเกินคาด ภายในไม่กี่ปี BankAmericard กลายเป็นหนึ่งในกิจการที่ทำกำไรมากที่สุดในอุตสาหกรรม แต่เมื่อมีธนาคารใช้และออกเครดิต BankAmericard มากขึ้น ปัญหาใหม่ก็เกิดขึ้น

หลังการเปิดตัวและความนิยมแบบดังกระฉูดของ BankAmericard อาชญากรก็หมายปอง แทนที่จะปล้นธนาคาร พวกเขาบุกคลังสินค้าและขโมยบัตร BankAmericards ที่ยังไม่ได้ส่งให้ลูกค้า

ในเวลานั้น ระบบติดตามและยกเลิกบัตรยังไม่ดีนัก บัตรที่ถูกขโมยยังไม่ได้ปั๊มนูน หมายความว่ายังไม่ได้กำหนดให้ผู้ถือบัญชีเฉพาะ อาชญากรพยายามขายบัตรที่ขโมยคืนให้ธนาคาร ทำให้ธนาคารตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก

ธนาคารกลัวว่าการใช้บัตรที่ถูกขโมยจะทำให้เสียมากกว่าจ่ายค่าไถ่ พวกเขาจึงซื้อบัตรคืนจากอาชญากรเพื่อป้องกันการใช้งานที่ไม่ถูกต้อง การฉ้อโกงเป็นเพียงส่วนเล็กของปัญหามากมายที่ BankAmericard และธนาคารพันธมิตรกำลังเผชิญ

ธุรกรรมบัตรเครดิตส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับธนาคารสองแห่ง ธนาคารของร้านค้าจ่ายเงินคืนร้านค้าสำหรับการขายด้วยบัตรเครดิต แล้วส่งใบบันทึกการขายไปยังธนาคารสมาชิกทั่วประเทศที่ลูกค้าทำการซื้อ ธนาคารของลูกค้าชำระเงินคืนธนาคารของร้านค้า หักส่วนแบ่งเล็กน้อย

ในขณะที่ธุรกรรมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ระบบก็ใกล้จะแตกหัก หาก Bank of America ไม่สามารถขยายขนาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ธุรกิจทั้งหมดอาจจบเห่ เพื่อแก้ไขวิกฤตนี้ ชายคนหนึ่งจากสถานที่ที่ไม่น่าเป็นไปได้ก้าวออกมาพร้อมวิธีแก้ปัญหาที่อาจเปลี่ยนทุกอย่าง

ชายที่มีความสามารถมากที่สุดในการแก้ปัญหาของ BankAmericard มาจากต้นกำเนิดที่ไม่น่าเป็นไปได้ที่สุด นั่นคือ Utah รัฐมอร์มอนของอเมริกา Dee Hock เติบโตในฟาร์ม วัยเด็กโดดเดี่ยวและรักธรรมชาติ ในฐานะชาวมอร์มอน Hock ตื่นเช้าและทำงานหนักตลอดชีวิต

Hock ไม่ชอบการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ เขาเป็นคนที่จะเปลี่ยนโลกรอบตัวแทนที่จะเปลี่ยนตัวเอง ผลก็คือ หลังเรียนจบ Hock ไม่สามารถที่จะรักษางานของตัวเองไว้ได้ แม้จะมีผลงานดี แต่เขาเกลียดโครงสร้างสำนักงานและมักขัดแย้งกับหัวหน้า นำไปสู่การถูกไล่ออก

ในที่สุดเขาก็ได้งานที่ National Bank of Commerce ไม่นานก็ได้รับมอบหมายให้ช่วยเปิดตัวธุรกิจบัตรเครดิตสำหรับธนาคาร แม้ว่า Hock จะเป็นคนประหยัดและไม่ชอบแนวคิดบัตรเครดิต แต่เขาก็ทุ่มเทให้กับงานนี้ มุ่งมั่นที่จะทำให้ดีที่สุด

ภายในปี 1967 ผ่านการให้ใบอนุญาตจาก Bank of America National Bank of Commerce ประสบความสำเร็จในการเปิดตัวโปรแกรมบัตรเครดิต ธุรกิจโตแบบกระฉูด และ Dee Hock ก็ได้เลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็วเป็นหัวหน้าฝ่ายบัตรเครดิต

ช่วงปลายทศวรรษ 1960 อุตสาหกรรมบัตรเครดิตบูม ขับเคลื่อนด้วยเศรษฐกิจอเมริกาที่เฟื่องฟู BankAmericard กลายเป็นบัตรเครดิตชั้นนำในฐานะผู้บุกเบิก แต่เมื่อธุรกิจโตขึ้น จุดอ่อนในระบบก็ปรากฏชัดขึ้น

แม้ Bank of America จะลดการฉ้อโกงได้ แต่ระบบการให้ใบอนุญาตกลับทำให้ป้องกันการฉ้อโกงยากขึ้นเรื่อยๆ ในทศวรรษ 1960 เทคโนโลยียังไม่ก้าวหน้าพอที่จะตรวจจับการฉ้อโกงในวงกว้าง ทำให้ยากมากที่จะจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นทุกที่

หาก BankAmericard ไม่แก้ไขปัญหานี้ คู่แข่งอาจใช้ประโยชน์จากมันด้วยระบบที่เจ๋งกว่า เพื่อป้องกันเหตุการณ์นั้น Bank of America ต้องการคนที่จะออกแบบระบบที่ทำให้บัตรเครดิตของพวกเขายังคงเป็นเบอร์หนึ่งต่อไป

ในฐานะผู้ได้รับใบอนุญาตจาก Bank of America และหัวหน้าฝ่ายบัตรเครดิตที่เพิ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่ง Dee Hock เสนอทันทีที่จะจัดตั้งคณะกรรมการที่ประกอบด้วยธนาคารสมาชิกทั้งหมดเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างเด็ดขาด จากนั้นเขาได้รับการแต่งตั้งเป็นประธาน

ในฐานะประธาน Hock มีภารกิจที่จะออกแบบระบบปฏิวัติที่ไม่เหมือนใครที่อเมริกาเคยเห็น เป็นโอกาสที่เขาจะได้ทำสิ่งต่างๆ ในแบบของเขาเสียที เขาเริ่มต้นด้วยการไตร่ตรองถึงวัยเด็กและบทเรียนจากธรรมชาติ

แนวคิดของ Hock นั้นสุดล้ำ เขามองเห็นระบบที่จัดการตัวเอง ทำงานด้วยตัวเอง และปกครองตัวเองแบบกระจายอำนาจ เขากำลังมองเห็นเครือข่ายกระจายอำนาจที่ไม่มีตัวกลางควบคุม เป็นเครือข่ายกระจายศูนย์ แต่ละโหนดต้องตกลงปฏิบัติตามหลักการและอัลกอริทึม

เพื่อปลดปล่อยพลังของการออกแบบอย่างเต็มที่ Dee Hock เสนอจัดตั้งองค์กรใหม่ที่เป็นอิสระจาก Bank of America เขาเรียกมันว่า National Bank AmeriCard Inc. (NBI) เครือข่ายบัตรเครดิตเป็นเพียงระบบการชำระเงิน ธนาคารต่างหากที่เป็นผู้ออกบัตรเครดิต

แม้แนวคิดของเขาจะเป็นนวัตกรรม แต่ Hock ยังไม่แน่ใจว่าธนาคารสมาชิกอื่นๆ จะเข้าร่วมหรือไม่ โดยเฉพาะ Bank of America พันธมิตรรายใหญ่ที่สุด ด้วยการสนับสนุนของ Bank of America Dee Hock ได้เป็นประธานองค์กรใหม่

แต่สิ่งที่ Hock ไม่รู้คือ Bank of America กำลังทำงานลับหลังกับ American Express เพื่อสร้างระบบใหม่ ซึ่งอาจบ่อนทำลายความพยายามทั้งหมดของเขา เรื่องนี้สร้างความเจ็บปวดให้กับ Hock โดยเฉพาะเมื่อ Bank of America เป็นสมาชิกสำคัญของ NBI

หาก Bank of America และ American Express สำเร็จกับระบบใหม่ของพวกเขา มันอาจทำให้ความพยายามของ Hock สูญเปล่า เหมือนการสร้างทางด่วนสองเส้นที่แข่งขันกัน ไม่ดีต่อสังคมและสิ้นเปลืองทรัพยากร

เพื่อตอบโต้ความท้าทายนี้ Hock และคณะกรรมการ NBI ตัดสินใจอย่างกล้าหาญ พวกเขาแยกตัวออกจากความพยายามของทั้งอุตสาหกรรมและสร้างระบบแข่งขันที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตัวเองสำหรับการอนุมัติทางอิเล็กทรอนิกส์และการชำระเงิน เรียกว่า Bank Authorization System Experimental Base 1

แต่สิ่งที่ Hock ไม่ตระหนักคือภัยคุกคามที่แท้จริงไม่ใช่ American Express ระบบเครดิตใหม่กำลังเติบโตขึ้น และมันกำลังมุ่งหน้าเข้าหาธุรกิจของเขา ช่วงกลางทศวรรษ 1970 มีความท้าทายทางเศรษฐกิจสำคัญ มีวิกฤตน้ำมัน เงินเฟ้อสูง และภาวะเศรษฐกิจชะงักงัน

แต่ท่ามกลางความยากลำบากเหล่านี้ อุตสาหกรรมบัตรเครดิตกลับเติบโตและพัฒนาอย่างรวดเร็ว ยุคนี้เป็นรากฐานสำหรับการยอมรับบัตรเครดิตอย่างแพร่หลาย ซึ่งกำหนดรูปแบบการเงินผู้บริโภคและแนวปฏิบัติด้านการธนาคารสมัยใหม่

การแนะนำ Base 1 ปฏิวัติการประมวลผลธุรกรรม ผลักดัน NBI ขึ้นสู่แนวหน้าของอุตสาหกรรมบริการทางการเงิน ส่วนหนึ่งเพราะชายคนหนึ่งนั่นคือ Dee Hock โมเดลธุรกิจนี้เป็นเหมือนเครื่องพิมพ์เงินของจริง มันสร้างรายได้ทุกครั้งที่มีคนใช้เครือข่ายในการชำระเงิน

แต่ความสำเร็จก่อให้เกิดการแข่งขัน และคู่แข่งก็ปรากฏตัวขึ้น พร้อมล้มล้างความสำเร็จทั้งหมดของ Dee Hock เมื่อเห็นความสำเร็จของ NBI และธนาคารสมาชิก ธนาคารอื่นๆ ในอุตสาหกรรมเริ่มก่อตั้งเครือข่ายบัตรเครดิตของตัวเอง

Master Charge ซึ่งต่อมารู้จักในชื่อ MasterCard เกิดจากความร่วมมือของสมาคมบัตรธนาคารระดับภูมิภาค โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างพลังแข่งขันในตลาดบัตรเครดิตที่กำลังเติบโต เพื่อท้าทาย Bank AmeriCard Master Charge มุ่งเน้นขยายเครือข่ายทั้งในและต่างประเทศ

หาก Master Charge ได้แรงผลักดันมากพอ มันมีศักยภาพที่จะแซงหน้า Bank AmeriCard ในฐานะระบบชำระเงินด้วยบัตรชั้นนำได้อย่างสมบูรณ์ ด้วยความสิ้นหวังที่จะปกป้องสิ่งที่เขาสร้างขึ้น Dee Hock ตัดสินใจอย่างยากลำบาก

เขาออกนโยบาย anti-duality policy ห้ามธนาคารสมาชิกของเขาใช้ Master Charge เขาหวังว่าข้อบังคับนี้จะป้องกันไม่ให้ธนาคารสมาชิกของเขารับ Master Charge แต่เขาไม่รู้เลยว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น

Worthen Bank ใน Little Rock รัฐ Arkansas สมาชิกรายเล็กของ NBI ได้เข้าเป็นสมาชิกของ Master Charge ด้วย พวกเขาขู่ว่าจะฟ้อง NBI หากมีการนำข้อบังคับมาใช้กับพวกเขา Hock บินไปพบพวกเขาแต่ไม่สามารถตกลงกันได้

Worthen Bank ฟ้องร้องทันที โดยกล่าวหาว่าละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดและขอคำสั่งห้ามบังคับใช้ข้อบังคับ ในที่สุด Worthen Bank ชนะคดี และ Dee Hock ถูกบังคับให้ยกเลิกการห้าม ธนาคารสมาชิกของเขาสามารถออกทั้งบัตร Bank AmeriCard และ Master Charge ได้อย่างอิสระ

แม้จะเผชิญกับความท้าทายทางกฎหมาย แต่ N.B.I. กำลังจะเข้าสู่หนึ่งในช่วงการเติบโตสูงสุดในประวัติศาสตร์ แม้ว่าทศวรรษ 1970 จะเป็นทศวรรษที่ยุ่งยากสำหรับสหรัฐอเมริกา แต่การเดินทางและการค้าระหว่างประเทศก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก

ด้วยการใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงสู่เศรษฐกิจไร้เงินสดและความต้องการความสะดวกสบายของผู้บริโภค Bank AmeriCard ได้กลายเป็นระบบการชำระเงินชั้นนำระดับโลก แต่ Dee Hock ตระหนักว่าเพื่อที่จะทำให้ธุรกิจระหว่างประเทศของบริษัทง่ายขึ้น จำเป็นต้องมีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง

ช่วงกลางทศวรรษ 1970 บริษัทจึงเปลี่ยนชื่อจาก Bank AmeriCard เป็น Visa ซึ่งเป็นคำที่คาดว่าจะเป็นที่ยอมรับอย่างเป็นสากล ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 แม้จะเผชิญกับการแข่งขันที่โหดเหี้ยม Visa ก็สามารถครองส่วนแบ่งการตลาดที่สำคัญได้ถึง 60%

ด้วยการแนะนำผลิตภัณฑ์อย่างเช็คเดินทาง Visa และคุณสมบัติด้านความปลอดภัยที่เป็นนวัตกรรมเช่นโฮโลแกรมบนบัตร ยอดการเรียกเก็บเงินของ Visa พุ่งทะยานถึง 59 พันล้านดอลลาร์ ผลที่ตามมาคือ Visa กลายเป็นหนึ่งในบริษัทที่ทรงพลังที่สุดในวงการการเงิน

ทฤษฎีของ Dee Hock ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าถูกต้อง เขาได้สร้าง Visa ให้เป็นองค์กรแบบกระจายอำนาจที่เติบโตอย่างรุ่งเรือง เขาเชื่อว่าภารกิจของเขาสำเร็จแล้ว จึงตัดสินใจเกษียณเพื่อพิสูจน์ว่า Visa เป็นองค์กรที่มีเอกลักษณ์ซึ่งสามารถทำได้ดีโดยไม่มีเขาเป็นผู้นำ

สิ่งที่ Hock ไม่รู้คือภายในเพียงทศวรรษเดียว Visa จะเติบโตกลายเป็นสัตว์ร้าย เป็นมหาอำนาจในอุตสาหกรรมที่จะท้าทายทุกสิ่งที่เขายืนหยัด อุตสาหกรรมบัตรเครดิตกำลังเติบโต ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 มันจัดการธุรกรรมมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์

เมื่อเห็นโอกาสที่น่าดึงดูดนี้ บริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งก็กระตือรือร้นที่จะฉวยโอกาส หนึ่งในนั้นคือ Phil Purcell แห่ง Discover บัตรเครดิตที่มุ่งเป้าไปที่นักช้อปชั้นกลาง ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 บัตร Discover มีมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์

เมื่อเห็นภัยคุกคามจาก Discover และบัตรเครดิตที่กำลังเติบโตอื่นๆ Visa และ MasterCard จึงจับมือกันและนำนโยบายมาใช้เพื่อป้องกันไม่ให้ธนาคารสมาชิกรับบัตรของคู่แข่ง เป็นกลยุทธ์ที่ Visa เคยลองใช้มาก่อนแล้ว

Phil Purcell มองว่าพวกเขาเป็นผู้รังแก และการกระทำของพวกเขาไม่ยุติธรรมอย่างร้ายแรง เขาจึงเข้าร่วมกับ American Express ในการฟ้องร้อง Visa และ MasterCard ต่อหน่วยงานกำกับดูแล หวังว่าพวกเขาจะถูกลงโทษด้วยค่าปรับจำนวนมหาศาล

การฟ้องร้องที่ยื่นโดยกระทรวงยุติธรรมกล่าวหาว่าพวกเขาจำกัดทางเลือกของผู้บริโภคและยับยั้งการแข่งขัน การฟ้องร้องนี้เป็นการโจมตีครั้งใหญ่ต่อธุรกิจของ Visa หากพวกเขาแพ้ พวกเขาอาจสูญเสียเงินหลายพันล้านดอลลาร์

ปัญหาของ Visa ไม่จบเพียงเท่านี้ ในช่วงต้นปี 2000 กลุ่มผู้ค้าปลีกนำโดย Walmart ยื่นฟ้องคดีแบบกลุ่มต่อ Visa กล่าวหาว่า Visa ใช้อำนาจเหนือตลาดในการบังคับใช้ค่าธรรมเนียมบัตรเดบิตที่สูงเกินไปและจำกัดไม่ให้ผู้ค้ายอมรับบัตรของคู่แข่ง

การต่อสู้ทางกฎหมายบังคับให้ Visa จ่ายเงินหลายพันล้านในการตกลงกับบริษัทต่างๆ ในไม่ช้า แม้จะเป็นเครื่องพิมพ์เงินย่อม ๆ แต่ Visa ก็ใกล้จะหมดเงินสดที่จะจ่าย สถานการณ์กำลังตกอยู่ในช่วงวิกฤต

ในมุมมองของผู้บริหาร Visa แล้ว มีเพียงทางออกเดียวเท่านั้น นั่นคือการทำ IPO ขายหุ้นสู่สาธารณะ ซึ่งการเสนอขายหุ้น IPO ของ Visa ในปี 2008 ระดมทุนได้กว่า 17 พันล้านดอลลาร์แม้จะมีวิกฤตการเงินที่กำลังจะมาถึง แต่นักลงทุนชอบบริษัทที่มีสถานะผูกขาด โมเดลธุรกิจของ Visa นั้นเจ๋งมาก และนักลงทุนสามารถมองข้ามความจริงที่ว่ามันถูกฟ้องร้องอย่างต่อเนื่อง

จากเครือข่ายการชำระเงินแบบกระจายอำนาจ Visa ได้กลายเป็นอำนาจที่ครอบงำในวงการการเงิน ในปี 2023 Visa มีรายได้ 33 พันล้านดอลลาร์และมีกำไรสุทธิ 17 พันล้านดอลลาร์ ทั้งสองตัวเลขเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี

ด้วยปริมาณการชำระเงินกว่า 12.3 ล้านล้านดอลลาร์ที่ผ่าน Visa ได้กลายเป็นราชาแห่งการชำระเงินอย่างไม่ต้องสงสัย หุ้นของ Visa แตะระดับสูงสุดตลอดกาลและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เรื่องราวของ Visa แสดงให้เห็นว่าความคิดที่ปฏิวัติวงการสามารถเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมและสังคมได้อย่างไร

แม้ว่าจะเริ่มต้นจากแนวคิดเรียบง่ายของการทำให้การชำระเงินสะดวกขึ้น แต่ Visa ได้กลายเป็นส่วนสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินระดับโลก ที่มีอิทธิพลต่อวิธีที่ผู้คนและธุรกิจทำธุรกรรมทั่วโลก ไม่มีสิ่งใดในความสำเร็จนี้จะเป็นไปได้หากไม่ใช่เพราะความเทพของชายคนหนึ่งที่กล้าฝันและกล้าทำ

การเดินทางของ Visa จากแนวคิดบ้าคลั่งของ Hock ไปสู่การเป็นบริษัทมหาชนที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ แสดงให้เห็นถึงพลังของนวัตกรรม ความยืดหยุ่น และความสามารถในการมองเห็นโอกาสในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง

จากการเป็นแค่ไอเดียเล็กๆ ในหัวของคนที่ไม่มีใครเชื่อมั่น Visa ได้ปลุกปั้นตัวเองขึ้นมาเป็นยักษ์ใหญ่ที่ไม่มีใครสามารถมองข้าม และนี่คือบทเรียนสำคัญสำหรับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ทุกคน ความฝันที่ยิ่งใหญ่ ความพยายามที่ไม่ลดละ และความกล้าที่จะแตกต่าง สามารถนำไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้

ในขณะที่เทคโนโลยีการเงินยังคงพัฒนาอย่างรวดเร็ว Visa ยังต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ จากสตาร์ทอัพ FinTech และระบบการชำระเงินดิจิทัลที่เกิดขึ้นทุกวัน แต่ด้วยรากฐานที่แข็งแกร่งและประวัติศาสตร์ของการเอาชนะอุปสรรค Visa น่าจะยังคงเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดนี้ไปอีกนาน

เรื่องราวของ Visa เป็นการเตือนใจว่าความสำเร็จที่แท้จริงไม่ใช่แค่การสร้างบริษัทที่ทำกำไรได้มหาศาล แต่เป็นการสร้างระบบที่เปลี่ยนแปลงวิธีที่ผู้คนใช้ชีวิตและทำธุรกิจ นี่คือมรดกที่แท้จริงของ Dee Hock และบริษัทที่เขารังสรรค์ขึ้นมา

จากเด็กหนุ่มฟาร์มในรัฐ Utah สู่ผู้สร้างบริษัทระดับโลก Dee Hock ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าคุณไม่จำเป็นต้องมาจากครอบครัวที่มั่งคั่งหรือมีเส้นสายทางธุรกิจเพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงโลก สิ่งที่คุณต้องมีคือวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและความกล้าที่จะติดตามมันไปจนถึงที่สุด

วันนี้ หากคุณหยิบบัตร Visa ขึ้นมาจากกระเป๋าสตางค์ คุณไม่ได้ถือแค่พลาสติกชิ้นหนึ่ง แต่คุณกำลังถือประวัติศาสตร์ของนวัตกรรม การต่อสู้ และชัยชนะที่ได้มาอย่างยากลำบาก นี่คือเรื่องราวของ Visa บริษัทที่ขีดชะตาชีวิตของตัวเองและเปลี่ยนแปลงโลกการเงินไปตลอดกาล

150 ล้านดอลลาร์ที่เปลี่ยนโลก เปิดตำนานความแค้น-มิตรภาพ ‘Jobs-Gates’ ที่ขีดชะตาโลกเทคโนโลยี

ความสัมพันธ์ระหว่าง Bill Gates และ Steve Jobs นั้นซับซ้อนและแปลกประหลาดมาก พวกเขาเริ่มต้นเป็นคู่แข่งที่ขับเคี่ยวกันในยุคแรกของการปฏิวัติคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล แทบจะเรียกได้ว่าเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันเลยทีเดียว

จุดแตกหักสำคัญของทั้งคู่เกิดขึ้นเมื่อ Bill Gates ถูกมองว่าลอกเลียนระบบปฏิบัติการ Macintosh ที่มี user interface แบบใหม่ในสมัยนั้น ไปพัฒนาเป็นระบบปฏิบัติการ Windows 1.x – 3.x ที่ต่อมาโด่งดังไปทั่วโลก

ในปี 1985 Steve Jobs วัยเพิ่งขึ้นเลขสาม ต้องเผชิญชะตากรรมอันโหดเหี้ยมเมื่อถูกไล่ออกจาก Apple บริษัทที่เขาร่วมก่อตั้งขึ้นมากับมือ

แต่เรื่องราวมันไม่ได้จบแค่นั้น หลังจากผ่านไป 10 ปี เมื่อ Jobs อายุครบ 40 ปีบริบูรณ์ในปี 1995 เขาได้กลับมาสู่บ้านหลังเดิมอีกครั้งเพื่อรังสรรค์ตำนานบทใหม่ให้กับ Apple

กาลเวลาที่ผ่านไปทำให้ Jobs เติบโตขึ้นอีกระดับ วุฒิภาวะทางอารมณ์ของเขาพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การกลับมาคุมบังเหียน Apple ในรอบที่สองนี้ สถานะของบริษัทไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

Apple ไม่ได้เป็นผู้นำในตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลอีกต่อไป สถานะทางการเงินก็ง่อนแง่นใกล้ล้มละลาย ถึงเวลาที่ Jobs ต้องหันไปพึ่งพา Bill Gates ศัตรูคู่อาฆาตในอดีตของเขา

หลังจาก Jobs ประกาศรับตำแหน่ง CEO อย่างเป็นทางการ มูลค่าหุ้นของ Apple พุ่งกระฉูดจาก 13 ดอลลาร์ ไปถึง 20 ดอลลาร์ภายในเดือนเดียว

การปรากฏตัวครั้งแรกต่อหน้าสาวกตัวจริงของ Apple คืองาน Macworld Boston ในเดือนสิงหาคมปี 1997 เหล่าสาวกกว่า 5,000 คนต่างถวิลหาการกลับมาของฮีโร่ของพวกเขา

เพียงแค่ Jobs ก้าวขึ้นเวที เสียงเชียร์ “สตีฟ สตีฟ สตีฟ” ก็ดังกระฉ่อนทั่วฮอลล์ เป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุด

Jobs นำเสนอวิสัยทัศน์ใหม่ของ Apple หลังจากที่ก่อนหน้านี้สถานการณ์กำลังดิ่งลงเหว ยอดขายลดฮวบไปกว่า 30% ภายในเพียง 2 ปี

เขามองว่าสิ่งที่ Apple ทำในช่วงที่เขาไม่อยู่เป็นการเดินทางที่ผิดพลาด ไม่มีนวัตกรรมใหม่ ๆ เลย บริษัทเน้นแค่ขาย ๆ ยัดเยียดสินค้าให้ลูกค้าโดยไม่สนใจว่าสาวก Apple ต้องการอะไร

ลูกค้าของ Apple มีความเป็นเอกลักษณ์ พวกเขาต้องการความแตกต่าง แต่ทิศทางของบริษัทก่อนหน้านี้กลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม ส่งผลให้ลูกค้าค่อย ๆ หายไป

Jobs ประกาศกร้าวบนเวทีว่า Apple ยุคใหม่จะต้องสร้างสิ่งที่เหล่าสาวกต้องการ ต้องเป็นสิ่งที่พิเศษกว่าที่มีอยู่ในตลาด และต้อง “คิดแตกต่าง” ตั้งแต่ต้นใหม่ทั้งหมด

แม้คำกล่าวของ Jobs จะเป็นเพียงการปลุกขวัญกำลังใจให้กับเหล่าสาวก Apple แต่มันมีความหมายกับพวกเขามากเหลือเกิน ระหว่างฟัง Jobs พูด หลายคนจับมือกัน บางคนถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เพราะฮีโร่ของพวกเขาพร้อมจะปลุก Apple ให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง

จุดพีคของงาน Macworld Boston ปี 1997 คือการประกาศว่า Microsoft จะมาเป็นพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจของ Apple ซึ่งทำเอาแฟน ๆ สาวก Apple อ้าปากค้างกันเลยทีเดียว

Apple และ Microsoft เป็นศัตรูกันมากว่าทศวรรษ มีการต่อสู้ทั้งในแง่ผลิตภัณฑ์และการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญามากมายในชั้นศาล

แม้ในสมัยที่ John Sculley เป็น CEO ของ Apple จะมีการเจรจายอมความให้ Microsoft ชดใช้ค่าเสียหายจากการลอกเลียน user interface แต่ท่าทีของสงครามระหว่างสองบริษัทยังไม่จบง่าย ๆ

การเป็นพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจระหว่างสองบริษัทดูเหมือนเรื่องเพ้อฝันในอดีต Microsoft แทบไม่พัฒนาผลิตภัณฑ์หลักอย่าง Microsoft Word หรือ Excel ให้กับระบบปฏิบัติการ Macintosh ของ Apple เลย

แม้จะมีความพยายามเจรจากันในยุคที่ Amelio เป็น CEO ของ Apple บ้าง แต่ด้วยเงื่อนไขธุรกิจที่ซับซ้อน ทำให้การเจรจาล่าช้าออกไปจนถึงการกลับมาของ Jobs รอบที่สอง

Jobs ต้องการให้ดีลทุกอย่างกับ Microsoft ง่ายขึ้น มีการนัดคุยกันที่บ้านของเขาเพื่อตัดปัญหาความยุ่งยากทั้งหมด คุยกันแบบเป็นกันเองกับ Gates และสุดท้ายทั้งคู่ก็ตกลงเป็นพาร์ทเนอร์ธุรกิจกัน

ในงาน Macworld ปีนั้น สิ่งที่เซอร์ไพรส์แฟน ๆ มากที่สุดคือการขึ้นจอภาพขนาดใหญ่และ Bill Gates ได้วิดีโอคอลผ่านระบบดาวเทียมเข้ามายังงาน

นี่เป็นการดีลกันทางธุรกิจล้วน ๆ เพื่อให้ Apple สามารถก้าวต่อไปได้ Jobs ต้องลดทิฐิตัวเองลงและหันไปจับมือกับ Microsoft โดย Microsoft จะนำผลิตภัณฑ์หลัก ไม่ว่าจะเป็น Word, Excel มาลงในระบบปฏิบัติการ Macintosh ตัวใหม่ของ Apple

และที่สำคัญคือ Microsoft ยังเข้ามาลงทุนใน Apple ซึ่งเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมาก ๆ ว่าศัตรูเก่าคู่อาฆาตอย่าง Microsoft จะลงทุนใน Apple ด้วยเงินมูลค่า 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเป็นหุ้นแบบไม่มีเสียงโหวตในคณะกรรมการบริษัท

ในช่วง 27 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี 1997 มูลค่าหุ้นของ Apple ได้พุ่งทะยานอย่างรวดเร็วทั้งในแง่มูลค่าผู้ถือหุ้น ภาพลักษณ์แบรนด์ และยังส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของโลกมากมาย

การถือกำเนิดของ iPod, iPhone, iPad และการเกิดใหม่ของ Apple ทำให้พวกเขากลายเป็นแบรนด์ที่มีคุณค่ามากที่สุดในโลก เปลี่ยนแปลงโลกเราอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

แน่นอนว่า Apple และ Microsoft ยังคงรักษาวัฒนธรรมที่แยกจากกันและมักจะแข่งขันกัน ทั้งสองบริษัทยังต่อสู้กันอย่างหนักหน่วง โดยเฉพาะกับแคมเปญ “Get a Mac” ของ Apple ที่เริ่มตั้งแต่ปี 2006 ถึง 2009

สำหรับการลงทุน 150 ล้านดอลลาร์นั้น Microsoft ขายหุ้นคืนให้ Apple ในปี 2003 ตามข้อตกลงที่ทำไว้ หากพวกเขายังเก็บการลงทุนนั้นไว้ ปัจจุบันจะมีมูลค่าประมาณ 52,600 ล้านดอลลาร์

แต่ต้องยอมรับว่าหากข้อตกลงกับ Microsoft ไม่เกิดขึ้นในปี 1997 Apple คงล้มละลายไปแล้ว และตำนานต่าง ๆ ที่ Steve Jobs สร้างไว้ในภายหลังคงไม่มีทางเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน

และตามที่ปกนิตยสาร Time ฉบับตำนานที่มีภาพ Jobs บนหน้าปก ซึ่งเป็นภาพที่เขากำลังบอกกับ Bill Gates ว่า “ขอบคุณนะ บิล โลกนี้น่าอยู่ขึ้น” สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันลึกซึ้งที่เปลี่ยนไปของทั้งคู่ กับการที่ศัตรูเก่าสามารถกลายเป็นมิตรที่ช่วยขีดเขียนประวัติศาสตร์ใหม่ให้กับโลกเราได้นั่นเองครับผม

ต้นกำเนิดโมเดล Freemium จากงานวิจัยมหาวิทยาลัยสู่เส้นทางธุรกิจพันล้านของ NetScape

เรื่องราวของ Netscape เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์อินเทอร์เน็ต การเปิดตัวในกลางเดือนตุลาคมเป็นช่วงเวลาที่มีความหมายอย่างมากสำหรับทีมงาน โดยพวกเขาได้ติดตั้งจอขนาดใหญ่ในห้องประชุมเพื่อติดตามข้อมูลการดาวน์โหลดแบบเรียลไทม์

ทันทีที่ถึงเที่ยงคืนฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ Netscape ก็เปิดให้ดาวน์โหลดอย่างเป็นทางการ และมีผู้ใช้จากญี่ปุ่นเป็นกลุ่มแรกที่ดาวน์โหลด เนื่องจากเป็นช่วงเวลาบ่ายในประเทศญี่ปุ่น

ทีมพัฒนามั่นใจในคุณภาพของผลิตภัณฑ์ เพราะ Netscape ทำงานได้เร็วกว่า Mosaic มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่รวดเร็วกว่า และมีฟีเจอร์ที่หลากหลายกว่า นับเป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญสู่ยุคใหม่ของ World Wide Web

สิ่งที่น่าสนใจคือ Netscape เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกโมเดลธุรกิจแบบ Freemium ในวงการเทคโนโลยี โดยแจกฟรีก่อนแล้วค่อยหารายได้ภายหลัง ซึ่งเป็นแนวคิดที่แปลกใหม่มากในยุคนั้น แม้จะเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ของ Marc Andreessen และ Jim Clark แต่พวกเขาเชื่อว่ารายได้จะตามมาเมื่อผู้ใช้พึงพอใจในผลิตภัณฑ์

ภายในเวลาเพียง 6 เดือนหลังก่อตั้ง มีผู้ดาวน์โหลด Netscape ไปแล้วกว่า 6 ล้านราย แม้ James Barksdale หนึ่งในผู้บริหารจะมองว่าการเข้าตลาดหลักทรัพย์เป็นความเสี่ยง เนื่องจากบริษัทยังแทบไม่มีกำไร แต่การที่ Spyglass ซึ่งเป็นคู่แข่งโดยตรงสามารถระดมทุนได้ 200 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้ Netscape ต้องเร่งเข้าสู่ IPO

ในวันที่ 9 สิงหาคม 1995 ก่อนเปิดตลาดไม่กี่ชั่วโมง ราคาหุ้น Netscape พุ่งสูงขึ้นกว่า 1 เท่าตัว สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับ Wall Street ทำให้ Netscape ที่แทบไม่มีโมเดลสร้างรายได้ระยะยาวและไม่มีกำไร กลายเป็นบริษัทมูลค่าตลาดกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ

Jim Clark สามารถสร้างบริษัทพันล้านเหรียญเป็นครั้งที่สองได้สำเร็จ โดยหุ้นที่เขาถืออยู่มีมูลค่าสูงถึง 663 ล้านเหรียญ ปรากฏการณ์นี้สร้างความประทับใจให้สื่อมวลชนอย่างมาก จนมีการพาดหัวใน New York Times ว่า “ด้วยกระแสของอินเทอร์เน็ต แม้จะไม่มีกำไร หุ้นของบริษัทใหม่ก็เป็นที่ต้องการของ Wall Street”

เมื่อสิ้นสุดวันแรกของการเปิดตลาด IPO ราคาหุ้น Netscape พุ่งสูงถึง 58.25 เหรียญ ทำให้พนักงานและผู้ก่อตั้งกลายเป็นเศรษฐีเงินล้านในชั่วข้ามคืน นับเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของยุคอินเทอร์เน็ตและรูปแบบธุรกิจเทคโนโลยีที่เรายังเห็นอิทธิพลของมันในปัจจุบัน

หลังจากความสำเร็จอย่างล้นหลามของ IPO การเติบโตของ Netscape ยังคงดำเนินต่อไปอย่างรวดเร็ว บริษัทกลายเป็นผู้นำในตลาดเว็บเบราว์เซอร์ โดยมีส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 80% ในช่วงปี 1995-1996 ความนิยมของ Netscape Navigator ทำให้บริษัทสามารถสร้างรายได้จากการขายซอฟต์แวร์เว็บเซิร์ฟเวอร์และโซลูชันสำหรับองค์กรธุรกิจ

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จนี้ไม่สามารถเล็ดลอดสายตาของยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft ไปได้ Bill Gates เริ่มตระหนักถึงความสำคัญของอินเทอร์เน็ตและมองว่า Netscape เป็นภัยคุกคามต่อ Windows ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์หลักของบริษัท

Microsoft เริ่มพัฒนา Internet Explorer และนำมาแจกฟรีพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Windows 95 นี่คือจุดเริ่มต้นของ “สงครามเบราว์เซอร์” ที่เป็นที่กล่าวขานในประวัติศาสตร์เทคโนโลยี Microsoft ใช้ข้อได้เปรียบจากการที่ Windows ครองตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลอยู่แล้ว ผนวกกับกลยุทธ์การให้ Internet Explorer ฟรีโดยไม่มีเงื่อนไข

การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์นี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อโมเดลธุรกิจของ Netscape ที่ไม่สามารถสร้างรายได้จากการขาย Navigator ให้กับผู้ใช้ทั่วไปได้อีกต่อไป ส่วนแบ่งตลาดของ Netscape เริ่มลดลงอย่างรวดเร็ว

ภายใต้แรงกดดันจากการแข่งขัน Netscape ตัดสินใจขายกิจการให้กับ America Online (AOL) ในปี 1998 ด้วยมูลค่า 4.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ แม้จะเป็นราคาที่สูง แต่ก็แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของอำนาจในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี

Marc Andreessen ผู้ร่วมก่อตั้งยังคงอยู่กับ AOL ในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยี (CTO) ชั่วคราว แต่ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ลาออกเพื่อไปทำธุรกิจใหม่

แม้ Netscape จะไม่สามารถยืนหยัดในฐานะบริษัทอิสระได้ในระยะยาว แต่มรดกที่ทิ้งไว้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อวงการเทคโนโลยี:

  1. การปฏิวัติการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต: Netscape ทำให้การใช้งานเว็บเป็นเรื่องง่ายสำหรับคนทั่วไป เร่งการเติบโตของอินเทอร์เน็ตในวงกว้าง
  2. การพัฒนา JavaScript: ภาษาโปรแกรมมิ่งที่กลายเป็นรากฐานสำคัญของเว็บไซต์สมัยใหม่ถูกพัฒนาขึ้นโดย Brendan Eich ที่ Netscape
  3. แนวคิดโมเดลธุรกิจแบบ Freemium: รูปแบบธุรกิจที่ Netscape บุกเบิกได้กลายเป็นโมเดลมาตรฐานสำหรับบริษัทเทคโนโลยีในปัจจุบัน
  4. โอเพนซอร์ส Mozilla: ก่อนที่จะถูกซื้อกิจการ Netscape ได้เปิดซอร์สโค้ดของเบราว์เซอร์ นำไปสู่การเกิดขึ้นของ Mozilla Foundation และ Firefox ในเวลาต่อมา
  5. การสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ประกอบการ: ความสำเร็จของ Netscape ในการระดมทุนผ่าน IPO เป็นแรงบันดาลใจให้กับบริษัทเทคโนโลยีรุ่นต่อมามากมาย

บทเรียนจาก Netscape

เรื่องราวของ Netscape ยังให้บทเรียนสำคัญเกี่ยวกับการแข่งขันในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี:

  • ความสำเร็จอาจดึงดูดคู่แข่งที่มีทรัพยากรมากกว่า
  • นวัตกรรมเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอในการรักษาความได้เปรียบในระยะยาว
  • โมเดลธุรกิจที่แข็งแกร่งมีความสำคัญพอๆ กับผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยม

ในปัจจุบัน Marc Andreessen ได้ก้าวขึ้นมาเป็นนักลงทุนที่มีอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งในซิลิคอนวัลเลย์ ผ่านบริษัท Andreessen Horowitz ที่เขาก่อตั้งร่วมกับ Ben Horowitz ในปี 2009 โดยใช้ประสบการณ์จาก Netscape ในการให้คำแนะนำและสนับสนุนสตาร์ทอัพรุ่นใหม่

แม้ Netscape จะไม่อยู่แล้ว แต่วิสัยทัศน์ของผู้ก่อตั้งเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตที่เข้าถึงได้สำหรับทุกคนยังคงมีชีวิตอยู่และช่วยหล่อหลอมโลกดิจิทัลที่เรารู้จักในทุกวันนี้นั่นเองครับผม