ไทย x มณฑลไท่กั๋ว เมื่อจีนรุกฆาตในขณะที่ชนชั้นสูงของไทยยังคงหลับใหล

ต้องบอกว่าในทุกวันนี้ทุนจากจีนกำลังรุกหนักประเทศไทยแบบสุดโหด เริ่มต้นจากแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ถล่มตลาดด้วยสินค้าราคาถูก ทำลายเศรษฐกิจรากหญ้าของไทยมาหลายปี

ปีนี้เราเห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่อร้านค้าออฟไลน์ของจีนเริ่มบุกเข้ามาถล่มซ้ำ แต่สิ่งที่น่าตกใจก็คือแทบไม่มีหน่วยงานไหนเข้าไปจัดการได้เลย

เรื่องแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในประเทศไทยเท่านั้น ผมตั้งชื่อบทความนี้โดยเลียนแบบมาจากหนังสือ “Stealth War: How China Took Over While America’s Elite Slept” โดย Robert Spalding

เพราะมันฉายภาพซ้ำกับที่เคยเกิดขึ้นในอเมริกาแล้ว กว่าพวกเขาจะรู้ตัว ก็มาถึงยุค Donald Trump ที่เริ่มสร้างสงครามการค้าแบบโครตโหด แบนทุกอย่าง กีดกันจีนเต็มที่

มันเป็นเรื่องตลกร้ายที่เหตุการณ์เหล่านี้เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า มองไปที่เพื่อนบ้านอย่างลาวหรือกัมพูชา พวกเขาแทบกลายเป็นมณฑลหนึ่งของจีนไปแล้ว สิ้นซากอธิปไตยทางเศรษฐกิจ

หนังสือ Stealth War มีเนื้อหาที่น่าสนใจมากๆ ที่พูดถึงยุทธศาสตร์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนกับรูปแบบของ Unrestricted Warfare ยุคนี้การพิชิตประเทศไม่จำเป็นต้องใช้กองทัพใหญ่เหมือนในอดีต

กำลังทหารเป็นเพียงหนึ่งในการแสดงความก้าวร้าว สไตล์จีนเลือกใช้อำนาจทางเศรษฐกิจแทน มันสร้างอิทธิพลและโน้มน้าวผู้นำการเมืองได้ ปิดปากคนได้ ซื้อหรือขโมยเทคโนโลยีได้

และที่เทพสุดๆ คือการผลิตสินค้าราคาถูกแล้วขับไล่คู่แข่งออกจากธุรกิจ ทำให้เศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ อ่อนแอลง

นี่คือสิ่งที่จีนพยายามแทรกซึมอเมริกาผ่านวิธีการต่างๆ การถล่มด้วยสินค้าราคาถูกผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยมียุทธศาสตร์ที่คิดมาอย่างดี เช่น การเจรจากับไปรษณีย์อเมริกาให้สินค้าที่สั่งในปริมาณไม่มากแทบไม่ต้องเสียภาษี

เคสคลาสสิกในอเมริกาคือเรื่องของ AJ Khubani ชายผู้มีความฝันแบบอเมริกันดรีม เขาสร้างธุรกิจด้วยหยาดเหงื่อแรงกาย มุมานะทำงานหนัก

Khubani เก็บหอมรอมริบเริ่มต้นธุรกิจด้วยทุนเพียง 20,000 ดอลลาร์ พัฒนาและจดสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์ในนาม “As Seen on TV” จนสร้างยอดขายกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ต่อปี

แต่แล้วในปี 1990 Khubani สังเกตเห็นว่าบริษัทของเขากลายเป็นเป้าของเหล่านักลอกเลียนแบบชาวจีน ความฝันของเขาเริ่มดิ่งลงเหว

“ถ้าคุณไปที่ supermarket คุณจะพบสินค้าเราเป็นของปลอม ทุกอย่างเหมือนกันหมด แพ็คเกจเหมือนกัน ยี่ห้อเดียวกัน” Khubani กล่าวอย่างระทมทุกข์

และเมื่อ ecommerce บูมขึ้น การปลอมแปลงเหล่านี้ก็ทวีคูณ สินค้าเลียนแบบของเขาถูกขายผ่าน Amazon เต็มไปหมด

“พวกเขาใช้เครื่องหมายการค้าของเรา ผลิตภัณฑ์ที่จดสิทธิบัตรของเรา ใช้รูปถ่ายของเรา ใช้วีดีโอของเรา ใช้ทุกอย่างของเรา” เขาเล่าถึงความแสบของพวกนั้น

เมื่อ Khubani แจ้งไปทาง Amazon คำตอบที่ได้ยิ่งทำให้เจ็บปวดรวดร้าว Amazon ตอบว่าพวกเขาไม่สามารถระบุได้ว่าสินค้าชิ้นไหนเป็นของปลอม

เบื้องหลังคือ Amazon ทำเงินมหาศาลจากสินค้าลอกเลียนแบบเหล่านี้ ยังแอบสนับสนุนการขายของปลอมเพราะมันทำให้พวกเขารวยขึ้น

Amazon ไม่ใช่ตัวร้ายเพียงเจ้าเดียว ไปรษณีย์สหรัฐฯ ก็ทำข้อตกลงกับจีนเสนอส่วนลดมากมายสำหรับพัสดุจากจีนที่มีน้ำหนักน้อยกว่า 2 กิโลกรัม

ตัวอย่างที่น่าสนใจก็คือ การส่งพัสดุหนัก 1.3 กิโลกรัมระยะทาง 3.7 กิโลเมตรในวอชิงตัน มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการส่งของประเภทเดียวกันจากปักกิ่งมาทำเนียบขาวระยะ 11,000 กิโลเมตร

ภาพนี้ดูคุ้นตาใช่ไหม? เหมือนกับที่ประเทศไทยเรา ที่ยุคนึงสินค้าจีนราคาไม่เกิน 1,500 บาทแทบไม่ต้องเสียภาษี

การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทั้งรถไฟความเร็วสูงหรือถนนหนทางเพื่อจัดส่งสินค้าได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในเอเชียที่สินค้าจีนกินเรียบตั้งแต่สากเบือยันรถไฟฟ้า EV

ที่น่าห่วงยิ่งกว่าคือการโจมตีด้วยอาวุธออนไลน์ที่ทั้งเร็วและแรง ถีบพ่อค้าแม่ค้าไทยล้มระเนระนาด บังคับให้ขายของราคาถูกที่สุด ใครขายแพงก็โดนปิดการมองเห็น

และสิ่งที่น่าสนใจมาก ๆ ก็คือคำค้นหายอดฮิตในแพลตฟอร์ม ecommerce จีนที่ยึดครองอาเซียนแบบเบ็ดเสร็จ คือคำว่า “สินค้า xxx ราคา 1 บาท” แล้วใครจะไปสู้ราคากับพวกพี่ ๆ เขาได้

มันเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อสุดๆ ที่ขายของราคาต่ำขนาดนี้แล้วยังอยู่ได้ คนไทยไม่มีทางสู้พี่จีนได้ถ้าขายราคาแบบนี้ แถมส่งไวเหมือนมีโกดังล้อมรอบประเทศไทยไปแล้ว

การบุกรุกยังไม่จบ เราเห็นเฟรนไชส์น้ำมะนาว ไอศครีม ไก่ทอด แพร่พันธุ์ไวยิ่งกว่าไฮดร้า ร้านอาหารจีนรุมถล่มกระจายทั่วทุกมุมเมือง

คำว่า “มณฑลไท่กั๋ว” แปลว่าไทยเป็นมณฑลหนึ่งของจีน กลายเป็นเรื่องตลกร้ายที่ไม่ควรมองข้าม ในวันที่การรุกคืบของทุนจีนมาในทุกรูปแบบ

แน่นอนว่านี่จะสร้างปัญหาต่อเศรษฐกิจและสังคมไทยในอนาคตอย่างรุนแรง ถ้าเหล่าผู้นำชนชั้นสูงของไทยยังคงหลับใหลอยู่เหมือนตอนนี้ ในขณะที่ชะตาของประเทศกำลังถูกขีดเขียนขึ้นโดยคนอื่น

References :
หนังสือ Stealth War: How China Took Over While America’s Elite Slept  โดย Robert Spalding

เมื่อ Warren Buffett กำลังเข้ามาเขย่าตลาดหุ้นในดินแดนอาทิตย์อุทัย

หุ้นในกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ที่สุด 3 ใน 5 แห่งของญี่ปุ่นได้แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจาก Warren Buffett ประกาศว่าเขาจะเข้าไปถือหุ้นมากขึ้น 

เป็นข่าวดีล่าสุดสำหรับบริษัทอย่าง Itochu, Marubeni, Mitsui, Mitsubishi และ Sumitomo Corporation มีมูลค่าเพิ่มขึ้นนับตั้งแต่ Berkshire Hathaway บริษัทการลงทุนของ Buffett ได้ประกาศการซื้อหุ้นครั้งแรกในวันเกิดครบรอบ 90 ปีของเขาในปี 2020 ตั้งแต่นั้นราคาหุ้นของพวกเขาก็เพิ่มขึ้น 64% ถึง 202% เลยทีเดียว

ในบางแง่ ญี่ปุ่นและ Buffett เป็นการจับคู่ที่เหมือนพรหมลิขิต Buffett มีชื่อเสียงจากการให้ความสำคัญกับปัจจัยพื้นฐานทางธุรกิจอย่างไม่ผิดพลาด แม้ว่าเพิ่งจะมีการเทขายหุ้นบริษัทของอเมริกาเมื่อเร็วๆ นี้

ต้องบอกว่าตลาดหุ้นในโตเกียวยังถูกกว่ามาก P/E ratio อยู่ที่ประมาณ 13 เทียบกับ 18 ในอเมริกา บริษัทที่ Berkshire Hathaway ลงทุน จะเป็นกลุ่มธุรกิจด้านการค้าที่รู้จักกันในชื่อ sogo shosha ซึ่งมักถูกมองว่ามีความแข็งแกร่งทางธุรกิจและเชื่อถือได้ โดยมี P/E ratio ต่ำกว่า 10 และมีการจ่ายเงินปันผลที่ดี

มันแสดงให้เห็นว่าเหตุใดประเทศญี่ปุ่นจึงกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจมากขึ้นสำหรับนักลงทุนชาวอเมริกันรายอื่น เมื่อวันที่ 14 เมษายน Berkshire Hathaway ได้ออกพันธบัตรสกุลเงินเยนมูลค่าประมาณ 1.2 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมเป็น 7.8 พันล้านดอลลาร์ที่มีการออกมาตั้งแต่ปี 2019 ถึง 2022

ปัจจุบันญี่ปุ่นเป็นสถานที่ลงทุนที่ใหญ่เป็นอันดับสองของ Berkshire Hathaway เงินเยนยังเป็นแหล่งเงินทุนที่ใหญ่เป็นอันดับสอง โดยหนี้สินเกือบหนึ่งในห้าของ Berkshire Hathaway คิดเป็นสกุลเงินเยน

การกู้ยืมและการซื้อด้วยสกุลเงินเยนจะช่วยปกป้อง Buffett จากการตกลงของค่าเงิน และผลจากความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยระหว่างอเมริกาและญี่ปุ่น

เขาสามารถจัดหาเงินลงทุนโดยใช้เงินกู้ระยะยาวซึ่งคิดดอกเบี้ยน้อยกว่า 2% ต่อปี ในขณะที่เก็บเงินสดสำรองไว้เพื่อลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลซึ่งมีผลตอบแทนสูงถึงเกือบ 5% 

Buffett เองก็เคยตั้งคำถามเกี่ยวกับข้อดีของการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินในอดีต การกู้ยืมเงินในสกุลเงินเยนมีราคาถูกมากเมื่อเทียบกับการกู้ยืมเงินในสกุลเงินดอลลาร์ ซึ่งแน่นอนว่าการซื้อขายนั้นไม่ใช่เรื่องยากสำหรับนักลงทุนที่มีความสนใจในหุ้นญี่ปุ่น

ปัจจุบันเงินเยนซื้อขายกันที่ 134 ต่อดอลลาร์ แต่ในตลาดฟิวเจอร์สที่จะครบกำหนดในเดือนมีนาคมปีหน้า นักลงทุนมีโอกาสจะขายที่ 127 ต่อดอลลาร์ และสามารถล็อคผลตอบแทน 5% ในช่วงเวลาที่น้อยกว่าหนึ่งปี 

ในปีที่ผ่านมา ดัชนี MSCI USA ให้ผลตอบแทนสุทธิ ซึ่งรวมถึงกำไรจากการขายหุ้นและเงินปันผลที่ -5% ดัชนี MSCI Japan ให้ผลตอบแทน 1% ในขณะที่ดัชนี MSCI Japan Hedged ที่เน้นป้องกันค่าเงินเสียมูลค่า เป็นการลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นพร้อมกับเลี่ยงความผันผวนของค่าเงินเยนและดอลลาร์ ซึ่งมีทั้งหุ้นที่เน้นการเติบโตและเน้นมูลค่า เพิ่มขึ้นสูงถึง 12% ในช่วงเวลาเดียวกัน

นั่นทำให้เริ่มเห็นชื่อบริษัทลงทุนยักษ์ใหญ่จากอเมริกาที่เริ่มหันมามองดินแดนอาทิตย์อุทัยมากขึ้น โดย Elliott Management ที่เข้าซื้อหุ้นของ Dai Nippon Printing บริษัทซัพพลายเออร์ชิ้นส่วนแบตเตอรี่รถยนต์ของญี่ปุ่น หุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้น 46% ในปีนี้ ในขณะเดียวกัน Citadel ซึ่งเป็นกองทุนเฮดจ์ฟันด์สัญชาติอเมริกัน กำลังที่จะกลับมาเปิดสำนักงานในโตเกียวอีกครั้ง หลังจากห่างหายไปนานถึง 15 ปี 

References :
https://www.economist.com/finance-and-economics/2023/04/20/warren-buffett-is-shaking-japans-magic-money-tree
https://asia.nikkei.com/Business/Business-Spotlight/Warren-Buffett-s-Japan-trade-The-changing-world-of-sogo-shosha
https://www.poems.in.th/learning_detail.aspx?id=404&%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%203%20ETFs%20%E0%B8%8D%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9B%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99%20%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%20%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7
https://www.cnbc.com/2023/04/13/warren-buffetts-trip-tokyo-jesper-koll.html

มนุษย์ทองคำแห่ง Wallstreet เมื่อ Goldman Sachs เปิดศึกกับพนักงานที่คิดดึงเคล็ดลับทำเงินไปให้กับคู่แข่ง

ภายในทีม Trader ของ Goldman Sachs Group Inc. ที่แสนร่ำรวยและน่าอิจฉา มีกลุ่มพนักงานที่รายได้อู้ฟู่ กำลังท้าทายหนึ่งกองทุนยักษ์ใหญ่ของโลก ด้วยการย้ายงานไปร่วมกับคู่แข่ง

Jon “JP” Paul และ Sina Lashgari โดนเฉดหัวออกจาก Goldman Sachs เนื่องจากกุมความลับบางอย่าง แถมยังถูกหมายหัวโดยปักธงแดงให้กับทั้งคู่สำหรับนายจ้างที่จะคิดจ้างพวกเขาในอนาคต

สิ่งที่เป็นความลับนั่นก็คือสุดยอดโค้ดลับในการทำเงินหลายร้อยล้านดอลาร์ พวกเขาทั้งคู่เป็นโปรแกรมเมอร์ยอดอัจฉริยะที่กำลังจะไปสร้างความมั่งคั่งให้กับคู่แข่งของ Goldman Sachs

แม้เรื่องดังกล่าวมันไม่สามารถที่จะพิสูจน์ได้ง่าย ๆ เหมือน Programmer ทุกคนที่ต้องย้ายงาน โดยเฉพาะการไปร่วมกับคู่แข่ง ซึ่งส่วนใหญ่จะมีสัญญาผูกมัดไว้ไม่ให้ไปทำงานกับคู่แข่งในระยะเวลาหนึ่ง

“เราแทบไม่ได้ใช้โค้ดจาก Goldman Sachs เลยแม้แต่บรรทัดเดียว” Paul กล่าว

“ผมทำงานหนักเพื่อสร้างอาชีพและชื่อเสียงของผม Goldman ไม่สามารถที่จะพรากผมไปจากสิ่งนั้น”

Paul เป็นยอดโปรแกรมเมอร์ ที่ทำงานหนัก 10-12 ชั่วโมงต่อวัน เป็นเวลากว่า 6 ปีที่ Goldman Sachs แต่ตอนนี้เขาได้ตกเป็นเหยื่อของสงครามการแย่งชิงตัวเหล่าโปรแกรมเมอร์มากความสามารถที่โลดแล่นอยู่ใน Wallstreet

ภายในโต๊ะซื้อขายหลักทรัพย์ของ Goldman Sachs มียอดมนุษย์ทองคำราว ๆ 20 คน สร้างอัลกอริธึมเพื่อใช่วยในการเดิมพันเงินสดของ Goldman Sachs สามารถทำกำไรจากการคาดการณ์ล่วงหน้าและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในดัชนีหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ต้องบอกว่า ธนาคารอย่าง Goldman Sachs หรือกองทุนเฮดฟันด์อย่าง Millennium Management สามารถพัฒนาระบบที่คาดการณ์ว่าหุ้นตัวใดพร้อมสำหรับการเข้าช้อนซื้อ พวกเขาสามารถวางตำแหน่งตัวเองเพื่อทำกำไรได้อย่างมหาศาล

ยิ่งบริษัททำนายได้ถูกเร็วเท่าใด โอกาสที่บริษัทจะลงทุนก็จะดียิ่งขึ้นเท่านั้น ซึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมา Goldman Sachs ได้มอบหมายให้เทรดเดอร์และโปรแกรมเมอร์ทำงานร่วมกันและช่วยพัฒนาแบบจำลองทางคณิตศาสตร์รวมถึงเครื่องมือด้านซอฟต์แวร์ขึ้นมา

ซึ่งตามการประมาณการจากผู้สังเกตการณ์ในอุตสาหกรรมนี้ Goldman Sachs สามารถทำเงินได้อย่างน้อย 700 ล้านดอลลาร์ในช่วงสองปีที่ผ่านมา

Paul และ Lashgari ที่ทำเงินให้กับ Goldman Sachs กว่าหลายร้อยล้านดอลลาร์ (CR:Bloomberg)
Paul และ Lashgari ที่ทำเงินให้กับ Goldman Sachs กว่าหลายร้อยล้านดอลลาร์ (CR:Bloomberg)

Pual เกิดในปี 1993 นอกเมือง Port-au-Prince ของเฮติ และมาเติบโตที่เมืองฟิลาเดลเฟีย ที่ซึ่งพ่อของเขาขับแท็กซี่และแม่ของเขาทำงานเป็นพยาบาล Paul ได้เข้าศึกษาด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์และเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย

ส่วน Lashgari เกิดในปี 1987 ในจังหวัด Kurdistan ในอิหร่านที่อยู่ติดกับอิรัก เขาสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนชั้นนำแห่งหนึ่งของประเทศด้านวิศวกรรมไฟฟ้า จากนนั้นย้ายไปเรียนปริญญาเอกที่ Cornell University เกี่ยวกับคณิตศาสตร์ด้านการสื่อสารผ่านดาวเทียม

หลังจากฝึกงานที่ Goldman พวกเขาทั้งคู่ก็ได้เข้าร่วมทีม Trader ของ Goldman Sachs ในปี 2016

มนุษย์ทองคำอย่าง Paul และ Lashgari นั้นเป็นทรัพยากรที่ Goldman หวงแหนเป็นอย่างมาก และไม่อยากสูญเสียกลุ่มบุคคลากรเหล่านี้ให้กับคู่แข่ง เพราะพวกเขาต้องลงทุนอย่างสูงเพื่อให้ได้มาซึ่งความได้เปรียบทางเทคโนโลยี และต้องปกป้องมันไว้อย่างถึงที่สุด

Paul กล่าวว่า ในวันที่เขายื่นใบลาออก ผู้จัดการคนหนึ่งบอกเขาว่า Goldman ไม่ชอบเมื่อพนังานออกจากงานพร้อม ๆ กัน โดยเตือนว่า “นี่ถือเป็นการดูถูกบริษัทและบริษัทไม่ปล่อยเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ง่าย ๆ อย่างแน่นอน”

“หลังจากทำกำไรหลายร้อยล้านดอลลาร์ให้กับ Goldman คงจะดีสำหรับทั้ง Paul และ Lashgari ที่จะได้รับคำขอบคุณจาก Goldman” Pechman ทนายความของทั้งคู่กล่าว

แต่ Goldman มองว่าการจากไปของทั้ง Pual และ Lashgari นั้นเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง และถือเป็นการทรยศครั้งใหญ่ต่อบริษัทในการนำเอาเคล็ดลับการทำเงินไปให้กับคู่แข่งของพวกเขานั่นเอง

References :
https://bloom.bg/3OYNYn2
https://bit.ly/3Q7xme6
https://bloom.bg/3p5Z1jD

นักลงทุน vs นักเก็งกำไร กับภาพสะท้อนจากผลประกอบการ Bitkub

เรียกได้ว่าเป็นการประกาศผลประกอบการที่น่าทึ่งอีกครั้งหนึ่งนะครับ สำหรับแพล็ตฟอร์มแลกเปลี่ยนสกุลเงินคริปโตอันดับหนึ่งของไทย ที่ประกาศรายได้ กว่า 5 พันล้าน และ กำไรในระดับ 2,545 ล้านบาท

มันคงมีเพียงไม่กี่ธุรกิจนะครับ ที่จะสามารถทำกำไรได้ขนาดนี้ ประสิทธิภาพในการทำกำไรของ Bitkub นี่ สามารถสู้แพลตฟอร์มระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น facebook หรือ google ได้เลย (เทียบจากอัตราส่วนในการทำกำไรจากรายได้)

มันคือเครื่องจักรทำเงินดี ๆ นี่เองนะครับ ที่ bitkub สามารถใช้เงินกำไรเหล่านี้ ไปสร้างนวัตกรรม รวมถึงการ PR ประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างฐานลูกค้า ได้อีกมากมายในอนาคต

แน่นอนว่า ตอนนี้มันได้กลายกระแสการลงทุนโดยเฉพาะ สำหรับคนรุ่นใหม่ที่หันมาลงทุนในโลกคริปโตกันมากขึ้น เพราะมันดูเร้าใจกว่า เมื่อเทียบกับตลาดอื่น ๆ

คำถามคือ แล้วคนส่วนใหญ่ที่เข้าไปนั้น เป็นการเข้าไปเพื่อลงทุน หรือ เก็งกำไร กันแน่ ซึ่งจากตัวเลขผลประกอบการมันก็ค่อนข้างจะบอกชัดเจนว่า คนส่วนใหญ่เข้าไปเพื่อการเก็งกำไร

ยิ่งมีการโหมโฆษณา ด้วยการใช้เงินลงทุนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น 10 บาทยังลงทุนได้ ทำให้การเข้าถึงแพลตฟอร์ม Bitkub นั้นง่ายดายยิ่งขึ้น และคนอายุน้อย ๆ เริ่มเข้ามาลงทุนมากยิ่งขึ้น

จากข้อมูลที่น่าสนใจโดยลงทุนแมน ที่ค่าธรรมเนียม 0.25% หมายความว่าปีที่แล้วมีคนซื้อ-ขายในแพล็ตฟอร์ม bitkub ประมาณ 2,000,000,000,000 หรือ สองล้านล้านบาท

มันฉายภาพชัดเจนนะครับ ว่า ส่วนใหญ่เป็นการเข้าไปเพื่อเก็งกำไร เพราะมีความถี่ในการซื้อ-ขายสูงมาก ๆ แน่นอนว่าต้องมีคนได้ ซึ่งอาจจะรวยกลายเป็นสุลต่านหากเหรียญ to da moon แต่ส่วนใหญ่ ซึ่งน่าจะเป็นอัตรา rate เดียวกับตลาดอื่น ๆ ที่กว่า 90% ของนักเก็งกำไรเหล่านี้จะขาดทุน

ส่วนตัวผมเองก็อาศัยอยู่กลุ่ม facebook หลาย ๆ กลุ่มของการลงทุน ทั้ง forex , crypto หรือ การลงทุนในหุ้น ลองไล่อ่านคอมเม้นต์ก็จะพอเห็นภาพสิ่งที่เกิดขึ้นกับการลงทุนสกุลเงินคริปโตในประเทศไทย

ความผันผวนที่รุนแรง ผมมองว่า ตลาด crypto นั้น แทบไม่ต่างจากตลาด forex เลย ซึ่งยากมากในการเก็งกำไร โดยเฉพาะการเก็งกำไรระยะสั้น ผ่านรูปแบบการเทรดแบบเทคนิค โดยใช้ indicator ต่าง ๆ

โดยส่วนใหญ่แล้ว ตลาดที่ผันผวนสูงมาก ๆ อย่าง crypto หรือ forex นั้น แหกทุกกฏของการเล่นเชิงเทคนิค อยู่แล้ว มันเป็นเรื่องยากมากที่จะทำกำไรได้จากตลาด แต่คริปโตก็ยังมีข้อดีกว่าตลาด forex ในเรื่องการทำ Staking เพื่อรับเงินปันผลได้

ต้องบอกว่าแม้ bitkub ไม่ใช่แพล็ตฟอร์มที่มีค่าธรรมเนียมที่ถูกที่สุดเมื่อเทียบกับแพล็ตฟอร์มต่างชาติยักษ์ใหญ่ตัวอย่างเช่น binance แต่ผมมองว่าอย่างน้อยก็เป็นของคนไทยแท้ ๆ และมีการเสียภาษีเข้ารัฐแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย และเงินก็หมุนเวียนอยู่ในเศรษฐกิจของประเทศเราดีกว่าไปให้ต่างชาติดูดเงินไปเหมือนในแพล็ตฟอร์มยักษ์ใหญ่อื่น ๆ เหมือนในอดีตที่ผ่านมานั่นเองครับผม

Credit : https://www.facebook.com/longtunman/posts/1295148024351136

Screens At Home กับแนวทางแก้ปัญหา Covid19 ของ Wallstreet

ด้วยสถานการณ์ของไวรัส Covid19 ทำให้บางส่วนของสถาบันการเงินข้ามชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งรวมถึง Goldman Sachs, JPMorgan และบาร์เคลย์ การทำงานจากที่บ้านของพนักงานที่จะช่วยให้ธุรกิจของพวกเขาไปในขณะที่การระบาดของโรค coronavirus

โดย Financial Times ได้รายงานว่า บางคนถึงกับช่วยคนงานติดตั้งหน้าจอขนาดใหญ่ที่บ้านของพวกเขาเพื่อเปลี่ยนเป็นพื้นที่การค้าระยะไกล จากที่บ้านของพนักงาน เพราะดูเหมือนสถานการณ์ Covid19 จะไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่าย ๆ

JPMorgan คือมีโอกาสที่จะทดสอบวิธีการที่เกี่ยวข้องกับการทำงานจากที่บ้านของพนักงานซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทดสอบความยืดหยุ่นของมันมีชื่อรหัสว่า“ Project Kennedy ” 

และบาร์เคลย์ตัดสินใจที่จะแยกชั้นซื้อขายในหลาย ๆ ไซต์ทั่วลอนดอนด้วยส่วนที่สามารถทำงานได้จากระยะไกลนั่นเอง

ต้องบอกว่าปัญหาการแพร่ระบาดของ Covid19 เป็นเรื่องที่สำคัญ ซึ่งเป็นผลมาจากความไม่แน่นอนโดยรอบการระบาดของโรคไวรัส Covid19 โดยผู้เชี่ยวชาญเตือนว่ามันอาจจะทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ในประเทศที่พบการระบาดหนัก

การป้องกันไม่ง่ายนัก ไม่เพียงแค่ส่งพนักงานไปทำงานที่บ้านเท่านั้น จะต้องเอาชนะอุปสรรคด้านกฎข้อบังคับ ยกตัวอย่างเช่นในยุโรปมีความต้องการเกี่ยวกับวิธีการสื่อสารผ่านทางโทรศัพท์และออนไลน์ที่ต้องมีการตรวจสอบมากยิ่งขึ้น

ไม่เพียง แต่ธนาคารเท่านั้น ยังมีกลุ่มบริษัทด้านเทคโนโลยีจำนวนมากส่งพนักงานกลับไปทำงานที่บ้าน ตัวอย่างเช่นบริษัทเครือข่ายสังคมออนไลน์ยักษ์ใหญ่อย่าง Twitter นั้น สนับสนุนอย่างมาก  ที่จะให้พนักงานจากทั่วโลกทำงานจากที่บ้าน“ หากพวกเขาสามารถทำได้” รวมถึงยักษ์ใหญ่ทางด้านค้าปลีกอย่าง Amazon ก็ทำในลักษณะเดียวกัน

References : https://futurism.com/neoscope/bankers-screens-home-keep-wall-street-running