The Ghost Firewall เมื่อผู้พิทักษ์เสรีภาพกลายร่างเป็นผู้ล่วงละเมิดความเป็นส่วนตัวของคุณ

เราอาจเคยคิดว่าประเทศที่พัฒนาแล้วและยึดมั่นในหลักประชาธิปไตยจะเป็นแหล่งพำนักที่ปลอดภัยและเคารพสิทธิส่วนบุคคลของพลเมือง แต่เรื่องราวที่ถูกเปิดเผยโดย Edward Snowden ในหนังสือ Permanent Record ได้ทำให้เราต้องตั้งคำถามกับความเชื่อนี้อย่างจริงจัง

Snowden ได้เล่าถึงประสบการณ์การทำงานในหน่วยงานข่าวกรองของสหรัฐอเมริกา และเปิดโปงระบบการสอดแนมขนาดใหญ่ที่รัฐบาลสหรัฐฯ ใช้เพื่อติดตามและเก็บข้อมูลของประชาชนทั้งในและนอกประเทศ ซึ่งนับเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอย่างร้ายแรง

ความน่าตกใจของเรื่องนี้อยู่ที่การดำเนินการอย่างลับ ๆ โดยที่ประชาชนแทบไม่รู้ตัว ต่างจากกรณีของจีนที่มี “The Great Firewall” ซึ่งเป็นที่รู้กันทั่วไปว่ารัฐบาลควบคุมการเข้าถึงข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต แต่สำหรับสหรัฐฯ แล้ว ระบบที่ Snowden เรียกว่า “The Ghost Firewall” นั้นแทบไม่มีใครล่วงรู้ ทั้งที่มันละเมิดรัฐธรรมนูญของประเทศอย่างชัดเจน

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการข่าวกรองของสหรัฐฯ ที่ Snowden ได้มีส่วนร่วมนั้น คือการเปลี่ยนจากการสอดแนมเป้าหมายเฉพาะบุคคล มาเป็นการเก็บข้อมูลของประชากรทั้งประเทศ และขยายไปสู่การรวบรวมข้อมูลการสื่อสารทางดิจิทัลทั่วโลก โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงหลังเหตุการณ์ 9/11

ระบบการเฝ้าระวังนี้ถูกสร้างขึ้นโดยไม่ได้รับความยินยอมจากประชาชน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเสื่อมถอยของระบอบประชาธิปไตยที่กำลังคล้ายคลึงกับระบอบเผด็จการมากขึ้นทุกที

นี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้สหรัฐฯ มีท่าทีระแวงสงสัยต่อเทคโนโลยีจากประเทศอื่น โดยเฉพาะจากจีน อย่างกรณีของ Huawei หรือแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียจากจีน เพราะพวกเขาอาจคาดเดาได้ว่าประเทศอื่นก็อาจใช้วิธีการเดียวกันกับที่พวกเขาทำอยู่

โครงการ PRISM ที่ Snowden เปิดเผยนั้น เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการสอดแนมขนาดใหญ่ โดยสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ (NSA) ได้ร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่หลายแห่ง เช่น Microsoft, Yahoo, Google, Facebook, Skype และ YouTube ในการเก็บข้อมูลผู้ใช้อินเทอร์เน็ตนับล้าน ๆ คน

แม้ว่าบริษัทเหล่านี้จะปฏิเสธการมีส่วนร่วมในโครงการดังกล่าว แต่หลักฐานที่ Snowden นำเสนอก็ทำให้เห็นภาพที่ชัดเจนว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ได้ละเมิดความเป็นส่วนตัวของประชาชนอย่างกว้างขวาง

การสอดแนมนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประชาชนชาวอเมริกันเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้ใช้งานแพลตฟอร์มเหล่านี้ทั่วโลก ซึ่งหมายความว่าแม้แต่คนที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ ก็อาจตกเป็นเป้าหมายของการสอดแนมได้เช่นกัน

นอกจากประเด็นด้านความมั่นคงแล้ว การสอดแนมในลักษณะนี้ยังอาจนำไปสู่ความได้เปรียบทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล การเข้าถึงข้อมูลภายในของบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลก รวมถึงพฤติกรรมการใช้งานโซเชียลมีเดียและอีคอมเมิร์ซ สามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันระดับโลกให้กับประเทศที่ควบคุมข้อมูลเหล่านี้ได้

การเปิดเผยของ Snowden อาจถือเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่แห่งการตระหนักรู้เกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวในโลกดิจิทัล และอาจนำไปสู่การเรียกร้องให้มีการปฏิรูปกฎหมายและนโยบายเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในระดับโลก

ในขณะที่เราก้าวเข้าสู่ยุคที่ข้อมูลกลายเป็นทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุด เราจำเป็นต้องตั้งคำถามว่าเราต้องการให้สังคมของเราเป็นอย่างไร เราจะสามารถรักษาสมดุลระหว่างความมั่นคงของชาติและสิทธิส่วนบุคคลได้อย่างไร และเราจะสร้างระบบที่โปร่งใสและตรวจสอบได้เพื่อป้องกันการใช้อำนาจในทางที่ผิดได้อย่างไร

การเปิดเผยของ Snowden ไม่เพียงแต่ทำให้เราต้องทบทวนความเชื่อมั่นในระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย แต่ยังท้าทายให้เราต้องคิดใหม่เกี่ยวกับความหมายของเสรีภาพและความเป็นส่วนตัวในยุคดิจิทัล เราต้องตระหนักว่าเทคโนโลยีเป็นดาบสองคม ในขณะที่มันมอบความสะดวกสบายและโอกาสมากมาย มันก็สามารถกลายเป็นเครื่องมือในการควบคุมและจำกัดเสรีภาพได้เช่นกัน

ในอนาคต เราอาจต้องพิจารณาการสร้างระบบอินเทอร์เน็ตรูปแบบใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวมากขึ้น อาจมีการพัฒนาเทคโนโลยีเข้ารหัสที่แข็งแกร่งขึ้น หรือสร้างเครือข่ายการสื่อสารที่กระจายศูนย์มากขึ้นเพื่อลดการควบคุมจากศูนย์กลาง

ในฐานะพลเมืองยุคดิจิทัล เราทุกคนมีหน้าที่ในการเรียนรู้และทำความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิความเป็นส่วนตัวของเรา รวมถึงวิธีการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล เราควรสนับสนุนนโยบายและกฎหมายที่ส่งเสริมความโปร่งใสและความรับผิดชอบในการใช้ข้อมูล และต้องไม่ลืมว่าการแลกเปลี่ยนข้อมูลส่วนตัวเพื่อความสะดวกสบายนั้นอาจมีราคาที่ต้องจ่ายในระยะยาว

เรื่องราวของ Snowden เป็นบทเรียนสำคัญที่เตือนใจเราว่า ประชาธิปไตยและเสรีภาพไม่ใช่สิ่งที่ได้มาโดยง่ายและไม่ใช่สิ่งที่จะคงอยู่ตลอดไปโดยไม่ต้องปกป้องรักษา เราต้องตื่นตัวและพร้อมที่จะปกป้องสิทธิของเราอยู่เสมอ แม้ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าและซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ นั่นเองครับผม
References Image : 
https://www.theguardian.com/us-news/ng-interactive/2019/sep/13/edward-snowden-interview-whistleblowing-russia-ai-permanent-record

Zuckaissance เมื่อเจ้าพ่อ Facebook เตรียมผงาดขึ้นอีกครั้งในยุคของเทคโนโลยี AI

“Zuckaissance” หรือ “ยุคการฟื้นฟูของ Zuck” เป็นคำศัพท์ที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ในแวดวงเทคโนโลยี แต่มันสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้ง Facebook และ CEO ของ Meta ที่กำลังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเรา

เป็นบทสัมภาษณ์ที่น่าสนใจมาก ๆ ที่เพิ่งมีการปล่อยออกมาทางรายการ The Circuit ช่อง Bloomberg Originals โดย Emily Chang ในหัวข้อ Inside Mark Zuckerberg’s AI Era ที่มาสัมภาษณ์เจาะลึกพี่ Mark Zuckerberg ในเวอร์ชั่นที่เติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

Zuckerberg ได้อยู่ภายใต้แสงสปอตไลท์มาตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ทั้งในด้านบวกจากความสำเร็จในการซื้อกิจการ Instagram, WhatsApp และ Oculus และในด้านลบจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายเกี่ยวกับผลกระทบทางสังคม การเมือง และธุรกิจของอาณาจักร Meta ที่กำลังขยายตัว แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ Zuckerberg ทั้งในแง่ของภาพลักษณ์และวิสัยทัศน์ทางธุรกิจ

การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน แต่เป็นผลมาจากการเรียนรู้และปรับตัวอย่างต่อเนื่อง Zuckerberg เองก็ยอมรับว่า “เมื่อผมอายุมากขึ้น ผมก็แค่คิดว่า ‘ช่างมันเถอะ มันไม่สำคัญหรอก’ ใช่ไหม มันก็แค่พยายามเป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่ผมรู้สึกสบายใจที่จะเป็น” คำพูดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจและความเป็นผู้ใหญ่ที่มากขึ้นของ Zuckerberg

โปรเจกต์ใหม่ล่าสุดของ Meta ที่น่าสนใจคือการเปิดเผยซอร์สโค้ด AI ครั้งใหญ่ ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากคู่แข่งอย่าง OpenAI และ Google ที่ยังคงปิดซอร์สโค้ดของตัวเอง

Zuckerberg มองว่าโมเดล AI ล่าสุดของบริษัทจะส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ธุรกิจ และอาจรวมถึงโลกใบนี้ด้วย

แนวคิดเรื่องโอเพนซอร์สนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับ Zuckerberg เลย ย้อนกลับไปเมื่อปี 2003 ตอนที่เขายังเป็นนักศึกษา เขาได้พูดถึงความสำคัญของโอเพนซอร์สไว้ในบทความของ “The Harvard Crimson” ว่า “มันเป็นส่วนสำคัญของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ผมหมายถึง คุณคงไม่สามารถสร้างเวอร์ชันแรกๆ ของ Facebook ได้โดยไม่มีมัน”

Zuckerberg อธิบายต่อว่า “ตอนนั้นผมเป็นนักศึกษา ผมไม่มีเงินทุนมากมาย มันเป็นแนวคิดแบบแฮกเกอร์ที่คุณแค่เอาโค้ดมาใช้สำหรับสิ่งที่คุณต้องการ มันมีประสิทธิภาพด้านต้นทุนมากกว่า และผมหมายถึง นั่นคือวิธีที่คุณสามารถเริ่มต้นอะไรแบบนี้ในหอพักได้”

แม้ว่าหลายคนอาจมองว่า Zuckerberg เป็นผู้สนับสนุนโอเพนซอร์สที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ในปัจจุบัน แต่เขากลับมองว่า Meta เป็นผู้สนับสนุนโอเพนซอร์สมานานแล้ว “มันเป็นสูตรที่ดีมากสำหรับเรา” เขากล่าว “ย้อนกลับไปถึงวิธีที่เราออกแบบเซิร์ฟเวอร์ วิธีที่เราออกแบบศูนย์ข้อมูลของเรา เรามีโครงการ Open Compute ทั้งหมดที่ทำให้โครงสร้างพื้นฐานส่วนใหญ่ของอุตสาหกรรมเป็นมาตรฐาน และสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นกับ AI ด้วย”

การเปิดเผยซอร์สโค้ด AI ของ Meta ไม่ได้เป็นเพียงกลยุทธ์ทางธุรกิจเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของ Zuckerberg ในการสร้างอนาคตของเทคโนโลยี AI เขาอธิบายว่า “เราเติบโตขึ้นมาในช่วง 10-15 ปีที่ผ่านมาด้วยการสร้างแอปของเราผ่านแพลตฟอร์มโทรศัพท์ที่คู่แข่งของเราควบคุมอยู่ ดังนั้นมันค่อนข้างทำลายจิตวิญญาณที่จะไปสร้างบางสิ่งที่คุณคิดว่าจะดี แล้วก็แค่ถูกบอกโดย Apple ว่าคุณไม่สามารถส่งมันออกไปได้เพราะพวกเขาต้องการจะจำกัดเราไว้เพราะพวกเขามองว่าเราเป็นคู่แข่ง”

Zuckerberg เชื่อว่าการควบคุมชะตากรรมของตัวเองในเรื่อง AI เป็นสิ่งสำคัญ “ตอนนี้เราเป็นบริษัทที่ใหญ่พอแล้ว” เขากล่าว “หนึ่งในสิ่งที่ผมตัดสินใจคือสำหรับเทคโนโลยีรุ่นถัดไป ผมต้องการให้เราสร้างและมีการควบคุมด้วยพวกเราเองมากขึ้น”

Meta กำลังพัฒนา Meta AI อย่างต่อเนื่องในผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของบริษัท นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะเปิดตัวความสามารถใหม่ๆ เช่น การสร้างภาพแบบเรียลไทม์ขณะที่ผู้ใช้พิมพ์

Zuckerberg มีเป้าหมายที่ท้าทายสำหรับ Meta AI โดยกล่าวว่า “เป้าหมายของผมสำหรับการเปิดตัว Meta AI ซึ่งผมหมายถึง มันเพิ่งเปิดตัวมาแค่ไม่กี่เดือน แต่แผนภายในสิ้นปีนี้ เขาอยากให้ Meta AI เป็นผู้ช่วย AI ที่มีการใช้งานมากที่สุดในโลก และผมคิดว่าเราอยู่ในเส้นทางนั้นแล้ว”

นอกจากนี้ Meta ยังกำลังเปิดตัว Llama 3.1 ซึ่งเป็นโมเดลโอเพนซอร์สที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา ด้วยขนาด 405 พันล้านพารามิเตอร์ Zuckerberg อธิบายว่าสิ่งนี้จะเปิดโอกาสให้ผู้คนสามารถใช้มันเพื่อฝึกโมเดลที่เล็กกว่าสำหรับแอปพลิเคชั่นต่างๆ

Zuckerberg มีวิสัยทัศน์ที่น่าสนใจเกี่ยวกับอนาคตของ AI เขาไม่เชื่อว่าจะมี AI หนึ่งเดียวที่ครอบงำทุกอย่าง แต่เขามองว่าจะมีโมเดลที่แตกต่างกันนับล้านหรือพันล้านโมเดล “ผมอยากทำให้ทุกคนสามารถฝึกเวอร์ชัน AI ของตัวเองได้อย่างง่ายดาย” เขากล่าว “พวกเขาสามารถทำให้มันเป็นแบบที่พวกเขาต้องการ ดังนั้นมันเกือบเหมือนเป็นผลงานศิลปะชิ้นหนึ่งที่พวกเขาสร้างขึ้นสำหรับชุมชนของตัวเอง”

แม้ว่า Zuckerberg จะมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับอนาคตของ AI แต่เขาก็ตระหนักดีถึงความท้าทายที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของความปลอดภัยและจริยธรรม เมื่อถูกถามว่าทำไมเราควรไว้วางใจเขากับ AI เขาตอบว่า “ผมให้ความสำคัญกับบทบาทของเราในเรื่องทั้งหมดนี้อย่างจริงจัง และผมคิดว่าเราพยายามจัดการกับทุกอย่างนี้ให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”

Zuckerberg ยังกล่าวถึงความสำคัญของการตรวจสอบและความโปร่งใสในการพัฒนา AI “สิ่งที่สำคัญของโอเพนซอร์สก็คือใครก็สามารถตรวจสอบมันได้ และผมคิดว่ามันสร้างแรงกดดันอย่างมากที่ต้องทำให้แน่ใจว่ามันจะช่วยให้คุณภาพของงานที่พวกคุณกำลังทำมันดีขึ้นอย่างรวดเร็ว”

ในขณะที่ Zuckerberg มุ่งมั่นที่จะพัฒนา AI และเทคโนโลยีอื่นๆ เขาก็ยังคงเห็นคุณค่าของโลกแห่งความเป็นจริงและความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ เมื่อถูกถามว่าเขากำลังต่อสู้กับความทะเยอทะยานในการสร้างโลกเสมือน

ในขณะที่ Zuckerberg มุ่งมั่นที่จะพัฒนา AI และเทคโนโลยีอื่นๆ เขาก็ยังคงเห็นคุณค่าของโลกแห่งความเป็นจริงและความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ เมื่อถูกถามว่าเขาต่อสู้กับความทะเยอทะยานในการสร้างโลกเสมือนและความรักที่เขามีต่อโลกแห่งความเป็นจริงอย่างไร Zuckerberg ตอบว่า “ผมไม่รู้ว่าสองสิ่งนี้มันขัดแย้งกัน”

เขาอธิบายต่อว่า “มีคนจำนวนมากในชุมชนเทคโนโลยีที่คิดว่า ‘โอ้ เราแค่จะแยกจิตสำนึกและสติปัญญาของเราออกมาและอัปโหลดมันขึ้นคลาวด์’ และผมก็คิดว่า ‘นั่นฟังดูไร้สาระสำหรับผม’ สำหรับผมแล้ว ผมคิดว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้คุณเป็นคนคือคุณมีชีวิตชีวาและมีพลัง ใช่ไหม เราไม่ได้เป็นแค่จิตใจ ผมคิดว่าพลังงานและความรักและสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดน่าจะเป็นรากฐานของสิ่งที่ทำให้คุณเป็นคนเช่นกัน”

แม้ว่า Zuckerberg จะเป็นที่รู้จักในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยี แต่เขาก็ยังคงเห็นคุณค่าของการใช้เวลาในโลกแห่งความเป็นจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับครอบครัวของเขา เขาเล่าถึงความสุขที่ได้ใช้เวลากับลูกๆ ในช่วงฤดูร้อน “มันดีที่ได้ใช้เวลาที่นี่ในช่วงฤดูร้อนและคุณรู้ไหม พาลูกๆ ออกไปที่ทะเลสาบและสอนพวกเขากีฬาต่างๆ และผมคิดว่าทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่ดี”

เมื่อถูกถามว่าเด็กๆ ควรเรียนรู้อะไรในทุกวันนี้ Zuckerberg ตอบว่า “ผมคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือการเรียนรู้วิธีคิดอย่างมีวิจารณญาณและการเรียนรู้คุณค่าต่างๆ ตั้งแต่ยังเด็ก” เขายังเล่าถึงลูกสาวคนหนึ่งของเขาที่มีความคิดสร้างสรรค์มาก โดยเธอกำลังเขียนโครงร่างนิยายที่มีความยาวถึง 40 หน้า ซึ่งเขาใช้ Meta AI เพื่อช่วยสร้างภาพประกอบสำหรับเรื่องราวของเธอ

Zuckerberg ยังแบ่งปันปรัชญาในการจ้างงานของเขา โดยกล่าวว่า “ถ้ามีกลุ่มผู้คนที่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาสามารถลงลึกและทำหนึ่งสิ่งได้ดีมาก แสดงว่าพวกเขาน่าจะมีประสบการณ์ในการเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างและนำผลักดันมันไปสู่ระดับที่ยอดเยี่ยม ซึ่งโดยทั่วไปแล้วสามารถประยุกต์ใช้กับสิ่งอื่นๆ ได้ค่อนข้างดี”

การบริหารเวลาเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ Zuckerberg ให้ความสำคัญ เมื่อถูกถามว่าเขาจัดการเวลาสำหรับทุกอย่างได้อย่างไร ทั้งกีฬา งานอดิเรก การเป็น CEO และการเป็นพ่อ เขาตอบว่า “ผมคิดว่าการมีความสมดุลระหว่างสิ่งต่างๆ ที่คุณทำช่วยให้คุณทำทุกอย่างได้ดีขึ้น” เขายอมรับว่าตัวเองเป็นคนที่ค่อนข้างบ้างาน แต่ก็พยายามทำความเข้าใจคนที่เขาทำงานด้วยและไม่มุ่งความสนใจมากเกินไปกับโปรเจ็กต์ใดโปรเจ็กต์หนึ่ง

Zuckerberg ยังแสดงความสนใจในประเด็นระดับโลก เช่น การแข่งขันด้าน AI ระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน เขามองว่าการปิดกั้นทั้งหมดเป็นแนวทางที่ผิด และเชื่อว่าสหรัฐฯ เจริญรุ่งเรืองจากนวัตกรรมที่เปิดกว้างและกระจายอำนาจ อย่างไรก็ตาม เขาเสนอว่าบริษัทชั้นนำควรทำงานร่วมกับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อให้แน่ใจว่าประเทศมีความได้เปรียบในเทคโนโลยีชั้นนำของโลกอยู่เสมอ

เมื่อมองไปถึงอนาคต Zuckerberg มีมุมมองที่น่าสนใจ เขากล่าวว่า “ผมคิดถึงสิ่งที่ผมกำลังสร้าง ซึ่งผมคิดว่า AI จะใช้เวลา 10 หรือ 15 ปีในการเป็นรูปเป็นร่างอย่างเต็มที่ เช่นเดียวกับงานทั้งหมดในแพลตฟอร์มการคำนวณรุ่นต่อไปที่เรากำลังทำ และการคาดเดาของผมก็คือในช่วงเวลานั้น นวัตกรรมชิ้นต่อไปจะปรากฏขึ้น”

แม้ว่าหลายคนอาจมองว่าเทคโนโลยีกำลังนำเราไปสู่การทดลองครั้งใหญ่กับตัวเอง แต่ Zuckerberg กลับมองในแง่บวก เขาเชื่อว่า AI ไม่ได้ลดความคิดสร้างสรรค์ของพวกเรา แต่มันจะช่วยให้พวกเราสามารถแสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์ได้ง่ายขึ้น

Zuckerberg ยอมรับว่ามีความท้าทายมากมายที่เราจะต้องเผชิญในอนาคต แต่เขายังคงมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับโอกาสอีกมากมายของเทคโนโลยี เขาเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงจะนำมาซึ่งโอกาสใหม่ๆ และความก้าวหน้าที่น่าตื่นเต้น

ในท้ายที่สุด Zuckaissance ไม่ใช่แค่การฟื้นฟูของ Mark Zuckerberg เท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการเทคโนโลยีและสังคมของเรา การผสมผสานระหว่างความทะเยอทะยานทางเทคโนโลยีและการตระหนักถึงคุณค่าของความเป็นมนุษย์อาจเป็นกุญแจสำคัญในการนำพาเราไปสู่อนาคตที่สมดุลและยั่งยืนมากขึ้น

References :
แปลและเรียบเรียงจาก Inside Mark Zuckerberg’s AI Era | The Circuit ช่อง Bloomberg Originals
https://youtu.be/YuIc4mq7zMU?si=HY5HAm9HkSVq4cZW

Alien Species Ecommerce บริษัทที่ชั่วร้ายที่สุดที่กำลังเข้ายึดครองสหรัฐอเมริกา

ในขณะที่ประเทศไทยเรากำลังต่อสู้กับปลาหมอสีคางดำ ปลาเอเลี่ยนสปีชีส์ (Alien Species) ที่กำลังบุกรุกทำลายล้างระบบนิเวศน์ทางทะเลของประเทศเราอย่างหนัก ในอีกฟากมุมหนึ่งของโลก สหรัฐอเมริกาก็กำลังถูก บริษัทอีคอมเมิร์ซสัญชาติจีนที่มองแล้วไม่น่าจะต่างจาก Alien Species สักเท่าไหร่

และอย่าเพิ่งตกใจกับชื่อพาดหัวของบทความนี้ เพราะผมให้เกียรติทางต้นฉบับที่ผมนำมาเรียบเรียง ซึ่งเขาก็ขึ้นพาดหัววีดีโอนี้ไว้อย่างน่าสนใจก็คือ The Most Evil Company That Took Over The USA

ในโลกของการช้อปปิ้งออนไลน์ที่เต็มไปด้วยตัวเลือกมากมาย ในขณะนี้มีชื่อหนึ่งที่กำลังสร้างความฮือฮาและเปลี่ยนแปลงวงการไปอย่างรวดเร็ว นั่นคือ Temu แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสัญชาติจีนที่กำลังเป็นที่พูดถึงทั่วโลก

แม้จะเพิ่งเปิดตัวในปี 2022 แต่ Temu ก็ได้ขยายธุรกิจไปแล้วกว่า 50 ประเทศ และกลายเป็นแอปพลิเคชันยอดนิยมอันดับหนึ่งในสหรัฐอเมริกาในปี 2023 ด้วยผู้ใช้งานรายเดือนมากกว่า 50 ล้านคน

ความสำเร็จของ Temu ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น พวกเขายังก้าวขึ้นเป็นเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซอันดับสองของโลกที่มีผู้เข้าชมมากที่สุด และในเดือนมกราคม 2024 ยอดขายของพวกเขาพุ่งทะยานขึ้นกว่า 800% เทียบกับปีก่อนหน้า ตัวเลขเหล่านี้ทำให้หลายคนต้องตั้งคำถามว่า อะไรคือกุญแจสำคัญที่ทำให้ Temu ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วเช่นนี้

จุดกำเนิดของ Temu: บทเรียนจาก Pinduoduo

Temu เป็นผลผลิตของบริษัท PDD Holdings (เดิมชื่อ Pinduoduo) ซึ่งเป็นบริษัทอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ของจีนที่เริ่มต้นธุรกิจด้วยความเชี่ยวชาญในการขายสินค้าเกษตรแบบขายส่งผ่านระบบการซื้อร่วมกันระหว่างเพื่อนและคนแปลกหน้า โมเดลธุรกิจนี้เติบโตอย่างมากในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะในเมืองเล็กๆ ของจีนที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน

การร่วมมือกันซื้อสินค้าของผู้บริโภคช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่นและยังเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรให้สามารถประกอบอาชีพต่อไปได้ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ความสำเร็จนี้ทำให้ PDD Holdings มองเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจไปยังตลาดต่างประเทศ จึงได้พัฒนา Temu ขึ้นมาเพื่อรองรับผู้ใช้ชาวตะวันตกโดยเฉพาะ

กลยุทธ์การตลาดที่แยบยล

หากเป็นผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตของสหรัฐอเมริกาในช่วงนี้ ก็ต้องเคยเห็นโฆษณาของ Temu ปรากฏขึ้นในหลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น Google, Facebook, Instagram หรือ TikTok ซึ่ง Temu ได้ลงทุนมหาศาลกับการโฆษณา โดยเฉพาะอย่างยิ่งโฆษณาอันโด่งดังในช่วง Super Bowl ซึ่งเป็นเป็นสุดยอดเกมการแข่งขันอเมริกันฟุตบอลที่มีผู้ชมนับร้อยล้านคนทั่วโลก

นอกจากการโฆษณาแล้ว Temu ยังได้รับการบอกต่อปากต่อปากอย่างรวดเร็ว เนื่องจากสินค้าบนแพลตฟอร์มมีราคาที่ถูกมาก ยกตัวอย่างเช่น รองเท้าราคาเพียง 20 ดอลลาร์ นาฬิกาอัจฉริยะคล้าย Apple Watch ในราคา 20 ดอลลาร์ และเสื้อเชิ้ตราคาต่ำกว่า 5 ดอลลาร์ ราคาที่ต่ำอย่างไม่น่าเชื่อนี้ทำให้ผู้บริโภคเกิดความสนใจและอยากลองใช้บริการ

โมเดลธุรกิจที่แตกต่าง

สิ่งที่ทำให้ Temu แตกต่างจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซทั่วไปคือ วิธีการจัดการห่วงโซ่อุปทาน แทนที่จะใช้รูปแบบดั้งเดิมที่มีหลายขั้นตอน เช่น โรงงาน – คลังสินค้า – หน้าร้าน – ผู้ซื้อ Temu เลือกที่จะตัดส่วนกลางออกและขายตรงจากโรงงานสู่ผู้บริโภค

วิธีการนี้มีข้อดีคือ ด้วยการร่วมมือกับซัพพลายเออร์มากกว่า 100,000 รายในประเทศจีน ซึ่งเป็นฐานการผลิตที่ใหญ่ที่สุดในโลก Temu สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายบนแพลตฟอร์มของตน ตั้งแต่ของเล่นแมวไปจนถึงเครื่องมือช่างและสินค้าอื่นๆ อีกมากมาย

นอกจากนี้ โมเดลธุรกิจของ Temu ยังช่วยแก้ปัญหาสำคัญของผู้ผลิต นั่นคือการคาดการณ์ความต้องการของตลาด แทนที่จะต้องพยายามทำนายว่าสินค้าชิ้นไหนจะขายดีและผลิตให้พอดีกับความต้องการ ซึ่งหากผลิตมากเกินไปก็จะเกิดต้นทุนในการเก็บรักษาสินค้า หรือหากผลิตน้อยเกินไปก็จะเสียโอกาสในการทำกำไร Temu เปิดโอกาสให้ผู้ผลิตนำสินค้าทุกรูปแบบขึ้นบนแพลตฟอร์มและดูว่าชิ้นไหนได้รับความนิยม

ลองนึกภาพว่าผู้ผลิตของเล่นมีสินค้า 8 แบบที่ต้องการจะขายในช่วงเทศกาลคริสต์มาส แทนที่จะต้องคาดเดาว่าของเล่นชิ้นไหนจะขายดีและผลิตล่วงหน้า พวกเขาสามารถนำสินค้าทั้งหมดขึ้นบน Temu และดูว่าชิ้นไหนได้รับความสนใจมากกว่ากัน วิธีนี้ช่วยลดต้นทุนในการเก็บรักษา การจัดการ และการทำตลาดของผู้ค้าปลีกแบบดั้งเดิมได้อย่างมาก

อย่างไรก็ตาม ข้อเสียของวิธีนี้คือ การจัดส่งสินค้าจะใช้เวลานานกว่าปกติ เนื่องจาก Temu ไม่ได้เก็บสต็อกสินค้าไว้ล่วงหน้า ทำให้ต้องใช้เวลาในการผลิตและจัดส่งจากต้นทาง

โดยทั่วไปแล้ว Temu ใช้เวลาประมาณ 15 วันทำการในการจัดส่งสินค้าถึงหน้าประตูบ้านลูกค้า ซึ่งนานกว่า Amazon ที่ใช้เวลาเพียง 2 วัน แต่ในมุมมองของ Temu การรอคอยที่นานขึ้นนี้แลกมาด้วยข้อมูลการตลาดที่มีค่า เพราะทุกการสั่งซื้อคือการสำรวจตลาดขนาดเล็กที่ช่วยให้พวกเขาเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น

การสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่น่าตื่นเต้น

Temu ไม่ได้เพียงแค่นำเสนอสินค้าราคาถูกเท่านั้น แต่ยังสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่น่าตื่นเต้นและสนุกสนานให้กับผู้ใช้งาน พวกเขาได้นำเอาองค์ประกอบของเกม (Gamification) มาผสมผสานเข้ากับการช้อปปิ้ง ทำให้การซื้อของบน Temu เหมือนกับการเล่นสล็อตแมชชีน

ผู้ใช้สามารถหมุนวงล้อเพื่อลุ้นรับส่วนลดพิเศษสำหรับตะกร้าสินค้าของตน มีการนับถอยหลังเพื่อสร้างความเร่งด่วนในการตัดสินใจซื้อ นอกจากนี้ Temu ยังเสนอทางเลือกในการแบ่งชำระเงินออกเป็น 4 งวด แม้ว่าสินค้านั้นจะมีราคาถูกมากก็ตาม และยังมีเกมให้อาหารปลาเสมือนจริงเพื่อรับเครดิตสำหรับการซื้อสินค้าเพิ่มเติม

การผสมผสานระหว่างการช้อปปิ้งและความบันเทิงนี้ทำให้ประสบการณ์การใช้งาน Temu คล้ายกับการเดินเล่นในร้านขายของมือสองที่ผสมผสานกับบรรยากาศของคาสิโน ซึ่งกลยุทธ์นี้ดูเหมือนจะได้ผลเป็นอย่างดี

ในปี 2023 ยอดขายของ Temu ในสหรัฐอเมริกาทะลุ 5 พันล้านดอลลาร์ ทราฟฟิกเพิ่มขึ้นเกือบ 85% ในวัน Black Friday และรายได้เพิ่มขึ้นเกือบสามเท่าในระยะเวลาเพียงหนึ่งปีเพียงเท่านั้น

แม้ว่า Temu จะประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว แต่ก็มีความท้าทายและข้อกังวลหลายประการที่ต้องเผชิญ PDD Holdings ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Temu ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าขาดความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจ บริษัทมีพนักงานเพียงประมาณ 13,000 คน ซึ่งถือว่าน้อยมากสำหรับบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงขนาดนี้

นอกจากนี้ยังมีการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการจ่ายเงินและงบการเงินที่ค่อนข้างคลุมเครือ ทำให้ยากที่จะแยกแยะระหว่างมูลค่าของ Temu และ Pinduoduo จากข้อมูลที่เปิดเผยออกมา

ปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่งของ Temu คือคุณภาพของสินค้าที่จำหน่ายบนแพลตฟอร์ม หลายครั้งที่ลูกค้าพบว่าสินค้าที่ได้รับไม่ตรงตามคำอธิบาย บางครั้งเป็นของปลอมราคาถูกของแบรนด์ที่มีชื่อเสียง หรือแย่กว่านั้นคือไม่ปลอดภัยเกินกว่าจะใช้งาน

ปัญหานี้ส่งผลให้อัตราการรักษาลูกค้า (customer retention rate) ของ Temu อยู่ที่เพียงประมาณ 30% เท่านั้น เทียบกับ Amazon Prime ที่มีอัตราการรักษาลูกค้าสูงถึง 90%

และยังมีข้อกล่าวหาว่า Temu อาจเกี่ยวข้องกับการใช้แรงงานทาสในห่วงโซ่อุปทานของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคซินเจียงของจีน ซึ่งมีรายงานว่ามีชาวอุยกูร์เกือบ 2 ล้านคนถูกกักขังในค่ายกักกันและถูกบังคับให้ทำงาน

แม้ว่า Temu จะปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้ แต่การตรวจสอบอิสระจาก Ultra Information Solutions พบว่ามีผลิตภัณฑ์อย่างน้อย 10 รายการบน Temu ที่อาจเชื่อมโยงกับการใช้แรงงานทาสนี้

นอกจากนี้ การผลิตสินค้าราคาถูกจำนวนมากยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการใช้ปิโตรเคมีในการผลิตสินค้าพลาสติกและเสื้อผ้าราคาถูก ซึ่งทำให้ความต้องการน้ำมันยังคงสูงอยู่

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ

การเติบโตอย่างรวดเร็วของ Temu และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซจากจีนอื่นๆ ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา

หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Temu สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วคือการใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ทางกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพดานมูลค่า de minimis ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งกำหนดว่าสินค้านำเข้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 800 ดอลลาร์ไม่ต้องเสียภาษีศุลกากร ทำให้ Temu สามารถนำเข้าสินค้าจำนวนมากโดยไม่ต้องเสียภาษี ในขณะที่บริษัทอเมริกันต้องจ่ายภาษีศุลกากรมหาศาล

ช่องโหว่ทางกฎหมายนี้ทำให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมระหว่างบริษัทอเมริกันและผู้ขายจากจีน ในปี 2022 บริษัทเสื้อผ้ายักษ์ใหญ่อย่าง Gap ต้องจ่ายภาษีศุลกากรประมาณ 700 ล้านดอลลาร์ H&M จ่าย 200 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่ Temu และ Shein แทบไม่ต้องจ่ายภาษีเลย

การนำเข้าสินค้าราคาถูกจำนวนมากจากจีนส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิตในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งต้องแข่งขันกับสินค้าที่มีราคาต่ำกว่าอย่างมาก

อนาคตของ Temu และอีคอมเมิร์ซจากจีน

แม้ว่า Temu จะประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วในช่วงแรก แต่อนาคตของบริษัทยังไม่แน่นอน มีหลายปัจจัยที่อาจส่งผลต่อการเติบโตในระยะยาวของ Temu และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซจากจีนอื่นๆ

1. การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ

มีแนวโน้มที่สหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ อาจพิจารณาปรับเปลี่ยนกฎระเบียบเพื่อปิดช่องโหว่ทางกฎหมายที่ Temu และบริษัทอื่นๆ ใช้ประโยชน์อยู่ เช่น การลดเพดานมูลค่า de minimis หรือการเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบสินค้านำเข้า ซึ่งตัวอย่างในประเทศไทยเราก็เริ่มปรับกฎหมายรูปแบบคล้ายกันนี้แล้ว

2. การแข่งขันที่เพิ่มขึ้น

บริษัทอีคอมเมิร์ซรายใหญ่อย่าง Amazon หรือ eBay อาจปรับกลยุทธ์เพื่อแข่งขันกับ Temu มากขึ้น โดยอาจเน้นการนำเสนอสินค้าราคาประหยัดหรือปรับปรุงประสบการณ์การช้อปปิ้งให้น่าสนใจยิ่งขึ้น

3. การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค

ในระยะยาว ผู้บริโภคอาจให้ความสำคัญกับคุณภาพของสินค้าและความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความนิยมในสินค้าราคาถูกจาก Temu

4. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ความตึงเครียดทางการเมืองและการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทจีนในตลาดอเมริกัน รวมถึง Temu ด้วย

บทสรุป

Temu เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจของการปฏิวัติในวงการอีคอมเมิร์ซ ด้วยโมเดลธุรกิจที่ผสมผสานระหว่างการตัดคนกลาง การทดสอบตลาดแบบเรียลไทม์ และการสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่น่าตื่นเต้น Temu สามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดดในเวลาอันสั้น

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จนี้มาพร้อมกับความท้าทายและข้อกังวลมากมาย ทั้งในแง่ของคุณภาพสินค้า ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ

ในอนาคต Temu และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซจากจีนอื่นๆ จะต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของกฎระเบียบ การแข่งขันที่เพิ่มขึ้น และความคาดหวังของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ความสำเร็จในระยะยาวของพวกเขาจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการสร้างสมดุลระหว่างการนำเสนอสินค้าราคาประหยัดและการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ

สำหรับผู้บริโภคชาวไทย การเข้าใจถึงโมเดลธุรกิจและผลกระทบของแพลตฟอร์มอย่าง Temu ถือเป็นโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยได้เรียนรู้และปรับตัวเพื่อรับมือกับการแข่งขันในยุคดิจิทัลที่มีความท้าทายมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่า Temu ก็คงจะบุกมายังประเทศไทยในเร็ววันนี้

ในขณะเดียวกัน ภาครัฐของไทยควรพิจารณาถึงผลกระทบของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซต่างชาติต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมภายในประเทศ เพื่อกำหนดนโยบายและมาตรการที่เหมาะสมในการส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรมและปกป้องผลประโยชน์ของผู้บริโภคและผู้ประกอบการไทย

ท้ายที่สุด การเติบโตของ Temu และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอื่นๆ จากจีนเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการเปลี่ยนแปลงในภูมิทัศน์การค้าโลก ซึ่งทำให้เส้นแบ่งระหว่างตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศเลือนรางลง ความท้าทายสำหรับทุกฝ่ายคือการปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงนี้ โดยไม่ละเลยประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืนและความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อสร้างระบบการค้าที่เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่ายในระยะยาวได้นั่นเองครับผม

References :
แปลและเรียบเรียงจาก VDO : The Most Evil Company That Took Over The USA ช่อง Youtube : hoser
https://youtu.be/ZvC_QLrBfUM?si=Ym_GD6iOgOlPUndl

เสียงที่สั่นสะเทือนเศรษฐกิจโลก: เมื่อประธานาธิบดีอาร์เจนตินาเปิดโปงความจริงที่หลายคนไม่กล้าพูด!

ณ เวที World Economic Forum 2024 ประธานาธิบดี Javier Milei แห่งอาร์เจนตินาได้กล่าวสุนทรพจน์อันทรงพลังที่สุดครั้งหนึ่งในงานใหญ่นี้ ซึ่งได้เปิดเผยมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของโลกตะวันตก

เขาเริ่มต้นด้วยการเตือนถึงภัยคุกคามที่โลกตะวันตกกำลังเผชิญหน้า – ไม่ใช่ภัยจากภายนอก แต่เป็นภัยที่เกิดจากภายในสังคมของเราเอง

“โลกตะวันตกกำลังตกอยู่ในอันตราย” Milei กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อันตรายนี้เกิดขึ้นเพราะผู้ที่ควรจะปกป้องคุณค่าของโลกตะวันตกกลับถูกครอบงำด้วยวิสัยทัศน์ที่นำไปสู่ลัทธิสังคมนิยมและความยากจนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”

คำพูดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลอย่างลึกซึ้งของ Milei ต่อแนวโน้มที่เขามองว่ากำลังบ่อนทำลายรากฐานของความมั่งคั่งและเสรีภาพในโลกตะวันตก เขาชี้ให้เห็นว่าในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ผู้นำของโลกตะวันตกได้ค่อยๆ ละทิ้งหลักการของเสรีนิยม และหันเหไปสู่รูปแบบต่างๆ ของ “Collectivism (แนวความคิดคติรวมหมู่)” แทน

Milei อธิบายว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากแรงผลักดันของคนสองกลุ่ม: กลุ่มแรกคือผู้ที่มีเจตนาดีต้องการช่วยเหลือผู้อื่น ส่วนกลุ่มที่สองคือผู้ที่ปรารถนาจะเป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นพิเศษ แม้เจตนาของทั้งสองกลุ่มจะแตกต่างกัน แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกลับคล้ายคลึงกัน นั่นคือการลดทอนเสรีภาพทางเศรษฐกิจและส่วนบุคคลลงไปเรื่อยๆ

“เราอยู่ที่นี่เพื่อบอกกับท่านว่า การทดลองใช้แนวความคิด Collectivism ไม่ใช่ทางออกสำหรับปัญหาที่ประชาชนทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่” Milei กล่าวด้วยความมั่นใจ “แต่มันกลับเป็นรากเหง้าของปัญหาเหล่านั้น”

เพื่อสนับสนุนแนวคิดนี้ Milei จึงได้พูดถึงประสบการณ์ของประเทศบ้านเกิดของเขาเป็นตัวอย่าง อาร์เจนตินาเคยเป็นหนึ่งในประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลกเมื่อร้อยปีก่อน แต่การเปลี่ยนแปลงนโยบายทางเศรษฐกิจได้นำพาประเทศไปสู่วงจรแห่งความยากจนและความถดถอย

“เมื่อเรานำแบบจำลองเสรีนิยมมาใช้ในปี 1860 ภายในเวลาเพียง 35 ปี เราก็กลายเป็นมหาอำนาจระดับโลก” Milei กล่าว “แต่เมื่อเราหันไปสู่แนวความคิด Collectivism ในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา เราก็ได้เห็นว่าประชาชนของเราเริ่มยากจนลงอย่างเป็นระบบ และเราตกลงไปอยู่ในอันดับที่ 140 ของโลก”

ประสบการณ์ของอาร์เจนตินาไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์จากการละทิ้งหลักการของเสรีนิยมทางเศรษฐกิจ Milei ชี้ให้เห็นว่าประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่าระบบทุนนิยมเสรีเป็นเครื่องมือเดียวที่สามารถยกระดับประชากรส่วนใหญ่ของโลกให้พ้นจากความยากจนได้

“หากเรามองย้อนไปในประวัติศาสตร์ของความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ” Milei อธิบาย “เราจะเห็นว่าระหว่างปี ค.ศ. 0 ถึงปี ค.ศ. 1800 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัวของโลกแทบไม่เปลี่ยนแปลงเลย” แต่หลังจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมและการนำระบบทุนนิยมเสรีมาใช้ โลกก็ได้เห็นการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดด

Milei ได้ยกตัวเลขมาสนับสนุนแนวคิดของเขา: “ในปี ค.ศ. 1800 ประชากรโลกประมาณ 95% อยู่ในความยากจนขั้นรุนแรง และตัวเลขนี้ลดลงเหลือ 5% ในปี ค.ศ. 2020 ก่อนที่จะเกิดการระบาดใหญ่” นี่คือความสำเร็จที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ และเป็นผลมาจากการใช้ระบบทุนนิยมเสรีนั่นเอง

แต่ทำไมระบบที่ประสบความสำเร็จเช่นนี้ถึงถูกโจมตีและถูกละทิ้งในหลายประเทศ? Milei ได้นำเสนอคำอธิบายที่น่าสนใจ เขาชี้ให้เห็นว่าปัญหาส่วนหนึ่งมาจากความเข้าใจผิดในทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย

“ปัญหาของนักเศรษฐศาสตร์นีโอคลาสสิก (neoclassical economic theory) คือ แบบจำลองที่พวกเขาเชิดชูนั้นไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง” Milei วิจารณ์ “ดังนั้นพวกเขาจึงโทษความผิดพลาดของตนให้กับสิ่งที่เรียกว่า ‘ความล้มเหลวของตลาด (market failures)’ แทนที่จะทบทวนข้อสันนิษฐานของแบบจำลอง”

การเชื่อในแนวคิดเรื่อง “ความล้มเหลวของตลาด” นำไปสู่การแทรกแซงของรัฐที่มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่ง Milei มองว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เขาเชื่อว่าการแทรกแซงเหล่านี้ไม่ได้แก้ไขปัญหา แต่กลับสร้างปัญหาใหม่และบิดเบือนกลไกตลาดที่ควรจะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

“ตลาดไม่ใช่เพียงแค่กราฟที่อธิบายเส้นโค้งของอุปสงค์และอุปทาน” Milei อธิบาย “ตลาดคือกลไกของความร่วมมือทางสังคม ที่คุณแลกเปลี่ยนสิทธิในการเป็นเจ้าของโดยสมัครใจ” ด้วยมุมมองนี้ Milei จึงเชื่อว่าไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “ความล้มเหลวของตลาด” อย่างแท้จริง หากการแลกเปลี่ยนนั้นเกิดขึ้นโดยสมัครใจ

นอกจากความเข้าใจผิดในทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แล้ว Milei ยังชี้ให้เห็นถึงอันตรายของแนวคิดแบบสังคมนิยมสมัยใหม่ที่แฝงตัวอยู่ในสังคม เขาวิพากษ์วิจารณ์ว่าแนวคิดเหล่านี้ได้ครอบงำสถาบันสำคัญๆ ในสังคม ไม่ว่าจะเป็นสื่อ วงการศึกษา และองค์กรระหว่างประเทศ

“พวกนีโอมาร์กซิสต์ได้ครอบงำสามัญสำนึกของโลกตะวันตก” Milei กล่าวอย่างเด็ดขาด “และพวกเขาประสบความสำเร็จในการทำเช่นนี้โดยการยึดครองสื่อ วัฒนธรรม มหาวิทยาลัย และองค์กรระหว่างประเทศ”

แม้จะวาดภาพที่น่าวิตกกังวล แต่ Milei ก็ไม่ได้สิ้นหวัง เขาเชื่อว่ายังมีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงทิศทางและนำพาโลกกลับสู่เส้นทางแห่งเสรีภาพและความรุ่งเรือง

“เรามาที่นี่วันนี้เพื่อเชิญชวนประเทศอื่นๆ ในโลกตะวันตกให้กลับสู่เส้นทางแห่งความรุ่งเรือง” Milei กล่าวด้วยความหวัง “เสรีภาพทางเศรษฐกิจ รัฐบาลที่จำกัด และการเคารพทรัพย์สินส่วนบุคคลอย่างไม่มีข้อจำกัดเป็นองค์ประกอบที่จำเป็นสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ”

Milei ปิดท้ายสุนทรพจน์ด้วยการส่งข้อความถึงนักธุรกิจและผู้ประกอบการทั่วโลก เขาเรียกร้องให้พวกเขากล้าที่จะยืนหยัดต่อสู้กับแนวคิดที่จะบั่นทอนเสรีภาพทางเศรษฐกิจ

“อย่าหวาดกลัวไม่ว่าจะเป็นชนชั้นนำทางการเมืองหรือปรสิตที่คอยแทรกซึมอยู่ภายในรัฐ” Milei กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “อย่ายอมจำนนต่อชนชั้นทางการเมืองที่ต้องการเพียงแค่รักษาอำนาจและรักษาสิทธิพิเศษของพวกเขา”

ในมุมมองของ Milei นักธุรกิจและผู้ประกอบการไม่ใช่ตัวร้ายในสังคม แต่เป็นวีรบุรุษผู้สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับโลก เขากล่าวย้ำว่า “พวกคุณคือผู้มีพระคุณต่อสังคม พวกคุณคือวีรบุรุษ พวกคุณคือผู้สร้างช่วงเวลาแห่งความรุ่งเรืองที่น่าทึ่งที่สุดที่เราเคยเห็น”

Milei พยายามปลุกจิตวิญญาณของการเป็นผู้ประกอบการ โดยเน้นย้ำว่าความทะเยอทะยานและความปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จไม่ใช่สิ่งที่ผิดศีลธรรม แต่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่นำมาซึ่งนวัตกรรมและการพัฒนา “ถ้าคุณทำเงินได้ นั่นเป็นเพราะคุณเสนอผลิตภัณฑ์ที่ดีกว่าในราคาที่ดีกว่า ซึ่งมีส่วนช่วยในการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีโดยรวม” เขากล่าว

ในช่วงท้ายของสุนทรพจน์ Milei ได้ส่งสารที่ทรงพลังและท้าทาย เขาเรียกร้องให้ทุกคนต่อต้านการขยายอำนาจของรัฐที่มากเกินไป “อย่ายอมแพ้ต่อการรุกคืบของรัฐ” เขากล่าวอย่างแข็งกร้าว “รัฐไม่ใช่ทางออก รัฐคือตัวปัญหาเอง”

Milei ปิดท้ายด้วยการประกาศจุดยืนของอาร์เจนตินาในเวทีโลก เขากล่าวว่า “เชื่อมั่นเถอะว่านับจากวันนี้ อาร์เจนตินาจะเป็นพันธมิตรที่ไม่มีเงื่อนไขของคุณ” นี่เป็นการส่งสัญญาณว่าภายใต้การนำของเขา อาร์เจนตินาจะเป็นประเทศที่เปิดกว้างสำหรับการลงทุนและการค้าเสรี

สุนทรพจน์ของ Milei จบลงด้วยประโยคอันทรงพลัง “ขอให้เสรีภาพจงเจริญ” ท่ามกลางเสียงปรบมือกึกก้องจากผู้ฟัง

การกล่าวสุนทรพจน์ครั้งนี้ของประธานาธิบดี Milei ไม่เพียงแต่เป็นการนำเสนอวิสัยทัศน์ทางเศรษฐกิจของเขาเท่านั้น แต่ยังเป็นการท้าทายกระแสความคิดหลักในโลกตะวันตกอีกด้วย เขาได้นำเสนอมุมมองที่แตกต่างและท้าทายต่อแนวคิดทางเศรษฐกิจและสังคมที่กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าแนวคิดของ Milei จะได้รับการตอบรับอย่างท่วมท้นจากบางส่วนของสังคม แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามันยังคงเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง หลายคนอาจไม่เห็นด้วยกับการวิเคราะห์ของเขาเกี่ยวกับสาเหตุของปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม และอาจมองว่าวิธีการแก้ปัญหาที่เขาเสนอนั้นดูมันจะง่ายเกินไปสำหรับโลกที่มีความซับซ้อนสูงในยุคปัจจุบัน

นักวิชาการและนักเศรษฐศาสตร์บางคนอาจโต้แย้งว่าการมองว่าตลาดเสรีเป็นทางออกเดียวสำหรับทุกปัญหาเป็นมุมมองที่แคบเกินไป พวกเขาอาจชี้ให้เห็นว่าประเทศที่ประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจหลายแห่งใช้นโยบายผสมผสานระหว่างกลไกตลาดและการแทรกแซงของรัฐในระดับที่เหมาะสม

นอกจากนี้ ประเด็นเรื่องความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมที่เพิ่มขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก แม้ในช่วงที่เศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว ก็เป็นอีกหนึ่งข้อโต้แย้งที่ผู้วิจารณ์แนวคิดของ Milei อาจหยิบยกขึ้นมา พวกเขาอาจเสนอว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียวไม่ได้รับประกันว่าทุกคนในสังคมจะได้รับประโยชน์อย่างเท่าเทียมกัน

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับ Milei สุนทรพจน์ของเขาก็ได้จุดประกายการถกเถียงที่สำคัญเกี่ยวกับทิศทางทางเศรษฐกิจและสังคมของโลกตะวันตก มันท้าทายให้เราต้องพิจารณาอย่างจริงจังว่าเราควรจัดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ ตลาด และประชาชนอย่างไรเพื่อสร้างสังคมที่เจริญรุ่งเรืองและเป็นธรรมสำหรับทุกคน

ในท้ายที่สุด สุนทรพจน์ของ Milei เป็นการเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวิธีคิดและวิธีการจัดการเศรษฐกิจของโลกตะวันตก เขาเชื่อว่าการกลับไปสู่หลักการของเสรีนิยมทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริงคือหนทางเดียวที่จะนำพาโลกไปสู่ความรุ่งเรืองและเสรีภาพที่แท้จริง แม้ว่าวิสัยทัศน์ของเขาอาจจะดูเป็นเรื่องอุดมคติหรือท้าทายเกินไปสำหรับบางคน แต่มันก็เป็นเสียงเรียกร้องที่ทรงพลังให้เราทบทวนและตั้งคำถามกับสถานะปัจจุบันของสังคมและเศรษฐกิจโลก

ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร สุนทรพจน์ของ Milei จะถูกจดจำว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการถกเถียงเกี่ยวกับอนาคตของระบบเศรษฐกิจโลก และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในวิธีที่เรามองและจัดการกับความท้าทายทางเศรษฐกิจและสังคมในศตวรรษที่ 21

References :
อ้างอิง Collectivism แนวความคิดคติรวมหมู่ จาก https://www.psy.chula.ac.th/th/feature-articles/individualism-collectivism/

“แนวคิดคติรวมหมู่” หมายถึง แนวคิดที่บุคคลให้ความสำคัญกับเป้าหมายของกลุ่มมากกว่าเป้าหมายของตัวเอง บุคคลจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยกันและกัน ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ของสมาชิกในกลุ่ม และประพฤติตนสอดคล้องกับบรรทัดฐานที่กลุ่มกำหนดไว้
https://www.youtube.com/live/Pfcd0gWNIog?si=UpllfMq1ClRgWFbI
https://www.usatoday.com/story/news/world/2024/05/10/argentinas-economy-javier-milei-inflation/73624401007/

อิตาลี vs ไทย : บทเรียนการเติบโตแบบ Old Economy ในยุค Digital Disruption

ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวล้ำไปอย่างรวดเร็ว หลายคนอาจสงสัยว่าประเทศไทยจำเป็นต้องเร่งพัฒนาด้านเทคโนโลยีเพื่อความอยู่รอดหรือไม่ เราต้องมี unicorn เยอะ ๆ จริงหรือ? แล้วประเทศพัฒนาแล้วประเทศอื่นล่ะ พวกเขาจำเป็นต้องมีบริษัททางด้านเทคโนโลยีเพื่อผลักดันประเทศให้กลายเป็นประเทศพัฒนาแล้วจริงหรือไม่

ในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม หลายคนอาจคิดว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจต้องพึ่งพาธุรกิจเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ความจริงแล้ว มีหลายประเทศที่ประสบความสำเร็จโดยไม่จำเป็นต้องมีบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ อิตาลีเป็นตัวอย่างที่ดีของประเทศที่เติบโตด้วยจุดแข็งดั้งเดิมของตน

ภูมิหลัง: อิตาลี – แบบอย่างของการเติบโตแบบ Old Economy

ดร.วิทย์ สิทธิเวคิน จาก 8 Minute History มีการเทียบไทยกับอิตาลีในแง่วัฒนธรรมและลักษณะนิสัยของผู้คนได้อย่างน่าสนใจ ทั้งสองประเทศมีวิถีชีวิตที่มีความ “ชิลล์” คล้ายคลึงกัน แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้อิตาลีจะไม่มีบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก แต่กลับสามารถเติบโตจนมี GDP เป็นอันดับ 9 ของโลก และถือเป็นประเทศพัฒนาแล้วที่มีรายได้ต่อหัวสูง

เมื่อพิจารณาบริษัทที่มีมูลค่าตลาด (Market Cap) สูงสุดในอิตาลี เราจะเห็นภาพที่น่าสนใจ:

  1. Ferrari – ผู้ผลิตรถยนต์หรู
  2. Enel – บริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่
  3. Intesa Sanpaolo – สถาบันการเงินชั้นนำ
  4. UniCredit – ธนาคาร
  5. ENI – บริษัทน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ
  6. Generali – บริษัทประกันภัย

จะเห็นได้ว่า บริษัทชั้นนำของอิตาลีล้วนเป็นธุรกิจแบบดั้งเดิมหรือ Old Economy ทั้งสิ้น ไม่มีบริษัทเทคโนโลยีปรากฏในอันดับต้น ๆ เลย

เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศไทย เราจะเห็นภาพที่คล้ายคลึงกัน:

  1. Delta Electronics – ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และระบบจัดการพลังงาน
  2. PTT – บริษัทพลังงานแห่งชาติ
  3. AOT – ผู้บริหารสนามบินหลักของประเทศ
  4. AIS – ผู้ให้บริการโทรคมนาคมชั้นนำ
  5. PTTEP – บริษัทสำรวจและผลิตปิโตรเลียม
  6. Gulf – ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่
  7. CP All – ผู้นำด้านธุรกิจค้าปลีก

แม้ว่า Delta Electronics จะเป็นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี แต่ก็ไม่ได้เป็นบริษัทเทคโนโลยีล้วน ๆ เหมือนกับ Google หรือ Facebook แต่เป็นบริษัทที่ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และระบบจัดการพลังงาน ซึ่งก็ยังคงมีลักษณะของธุรกิจการผลิตแบบดั้งเดิมอยู่มาก

เมื่อเทียบจำนวนบริษัท Unicorn ข้อมูลจาก tracxn พบว่า Italy มี 4 บริษัท ส่วนไทยมี 5 บริษัท ซึ่งถือว่ามีจำนวนค่อนข้างสูสีกับเลยทีเดียว

บ่อยครั้งที่เรามักจะได้ยินเสียงเชียร์ให้ประเทศไทยพัฒนาไปสู่การเป็น “Silicon Valley แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” หรือผลักดันให้เกิด “Unicorn” (บริษัท Startup ที่มีมูลค่าเกิน 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เยอะ ๆ ซึ่งในมุมกลับกันเราก็ควรที่จะตั้งคำถามได้เช่นกันว่า เส้นทางเหล่านี้เป็นเส้นทางที่เหมาะสมกับประเทศไทยจริงหรือ?

การมุ่งเน้นพัฒนาธุรกิจเทคโนโลยีอย่างเดียวอาจทำให้เราละเลยศักยภาพที่แท้จริงของประเทศ เราควรพิจารณาว่าอะไรคือจุดแข็งของไทย และควรส่งเสริมอุตสาหกรรมใดที่สอดคล้องกับทรัพยากรและทักษะของคนไทย

บทสรุป: เส้นทางการพัฒนาที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทย

แทนที่จะพยายามเป็นสิ่งที่เราไม่ได้ถนัด ประเทศไทยควรมุ่งเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เรามีความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว เช่น:

  1. การท่องเที่ยวและการบริการ: ไทยมีชื่อเสียงด้านการต้อนรับและวัฒนธรรมที่เป็นมิตร
  2. อุตสาหกรรมอาหาร: เรามีความเชี่ยวชาญในการผลิตอาหารคุณภาพสูง
  3. การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ: ไทยมีความได้เปรียบด้านความหลากหลายทางชีวภาพ
  4. อุตสาหกรรมยานยนต์: เรามีฐานการผลิตที่แข็งแกร่งและเครือข่าย supply chain ที่ครบวงจร และพร้อมที่จะมุ่งไปสู่ยานยนต์แห่งอนาคตอย่างรถไฟฟ้า ที่เริ่มมีหลายแบรนด์เข้ามาลงทุนตั้งฐานการผลิตกันแล้ว

การผลักดันธุรกิจเหล่านี้ให้เติบโตและขยายไปสู่ตลาดต่างประเทศ เช่น การเข้าไปลงทุนในเวียดนามของบริษัทยักษ์ใหญ่หลาย ๆ บริษัทในประเทศไทย อาจเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพมากกว่า

ท้ายที่สุด เราควรตระหนักว่าประเทศไทยมีจุดแข็งและเอกลักษณ์เฉพาะตัว การพัฒนาประเทศไม่จำเป็นต้องเดินตามรอยใคร แต่ควรเป็นเส้นทางที่สอดคล้องกับศักยภาพและวัฒนธรรมของเรา การผสมผสานระหว่างการพัฒนาอุตสาหกรรมดั้งเดิมและการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้อย่างชาญฉลาดอาจเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในระยะยาวของประเทศไทย

การมองเห็นคุณค่าในสิ่งที่เรามีและพัฒนาต่อยอดจากจุดแข็งเหล่านั้น อาจเป็นเส้นทางที่ยั่งยืนกว่าการพยายามเปลี่ยนแปลงทั้งหมดเพื่อไล่ตามกระแสโลก เราควรภูมิใจในรากเหง้าและวัฒนธรรมของเรา พร้อมกับเปิดรับนวัตกรรมที่จะช่วยยกระดับสิ่งที่เรามีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น

ในท้ายที่สุด การพัฒนาประเทศไม่ใช่การแข่งขันว่าใครจะมีบริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุด แต่เป็นการสร้างความเจริญที่ยั่งยืนและคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน ประเทศไทยมีศักยภาพมากมายที่รอการพัฒนาและต่อยอด เราเพียงแต่ต้องมองเห็นคุณค่าในสิ่งที่เรามี และใช้มันให้เกิดประโยชน์สูงสุด

References :
https://tracxn.com/d/unicorns/unicorns-in-thailand/__hz_aW4kKQWJ9rbPLD4BlDvPWeoXqfX7pq_q9RhkgqCA
https://tracxn.com/d/unicorns/unicorns-in-italy/__KHa0o50NZX-ONw7JrgYYD6rLUmfZbg6TCWGX8eCemN0
https://companiesmarketcap.com/italy/largest-companies-in-italy-by-market-cap/
https://companiesmarketcap.com/thailand/largest-companies-in-thailand-by-market-cap/