บทสัมภาษณ์ Tim Cook : 25 ปีแห่งการเปลี่ยนแปลง อดีต ปัจจุบัน และอนาคตของ Apple

Tim Cook สะท้อนมุมมองเกี่ยวกับการทำงานอันยาวนานที่ Apple โดยพูดถึงการทำงานร่วมกันที่ Apple Park ความสำเร็จของผลิตภัณฑ์ ผลกระทบของ AI ในอนาคต และความผูกพันอันยาวนานที่มีต่อ Steve Jobs

Highlights

🎤 Tim Cook ย้อนความทรงจำถึงการทำงานที่ Apple ตั้งแต่ปี 1998 และความผูกพันอย่างลึกซึ้งที่มีต่อบริษัท

🏢 Cook พูดถึงสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการทำงานร่วมกันที่ Apple Park และผลกระทบของการออกแบบที่มีต่อการทำงานเป็นทีม

🎬 เขาย้อนรำลึกถึง Steve Jobs Theater และการเปลี่ยนแปลงไปสู่การเปิดตัวผลิตภัณฑ์แบบบันทึกเทปล่วงหน้าเพื่อเข้าถึงผู้ชมในวงกว้าง

🎶 Cook แบ่งปันข้อคิดเห็นของ Stevie Wonder เกี่ยวกับ Vision Pro ซึ่งตอกย้ำความมุ่งมั่นของ Apple ในด้านการเข้าถึง

📱 Tim Cook ระลึกถึงผลิตภัณฑ์สำคัญที่หล่อหลอมประวัติศาสตร์ของ Apple รวมถึง iMac, iPod และ iPhone และผลกระทบที่มีต่อตลาด

🤖 เขาแสดงความตื่นเต้นเกี่ยวกับศักยภาพของ AI ในการปฏิวัติผลิตภัณฑ์ของ Apple โดยเปรียบเทียบกับการปฏิวัติ ระบบ multi-touch

🕰️ Cook เปิดเผยความรักที่มีต่อ Apple และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับบทบาทในอนาคตของเขา พร้อมเน้นย้ำถึงความผูกพันกับสำนักงานของ Steve Jobs ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เพื่อเป็นแรงบันดาลใจ

Key Insights

🍏 ความผูกพันอันลึกซึ้งของ Tim Cook กับ Apple
Tim Cook สะท้อนถึงการทำงานอันยาวนานที่ Apple โดยเน้นว่าชีวิตของเขาผูกพันกับบริษัทมาตั้งแต่ปี 1998 ความผูกพันอันลึกซึ้งนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นต่อภารกิจและคุณค่าของ Apple และชี้ให้เห็นว่าเป้าหมายร่วมกันสามารถขับเคลื่อนความเป็นผู้นำได้อย่างไร

🏢 ผลกระทบของ Apple Park ต่อการทำงานร่วมกัน
Apple Park ได้รับการออกแบบมาเพื่อส่งเสริมการทำงานร่วมกันระหว่างพนักงาน เอื้อให้เกิดการพบปะที่ไม่ได้คาดหมายซึ่งกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ Cook เน้นย้ำความสำคัญของสภาพแวดล้อมการทำงานที่ส่งเสริมการทำงานร่วมกันแบบทันทีทันใด ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ Steve Jobs เกี่ยวกับพื้นที่ทำงานที่เป็นหนึ่งเดียวกัน

🎥 การเปลี่ยนผ่านจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์สดเป็นแบบบันทึกเทปล่วงหน้า
Cook พูดถึงการเปลี่ยนแปลงจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์แบบสดเป็นการนำเสนอแบบบันทึกเทปล่วงหน้า โดยอ้างถึงความจำเป็นในการเข้าถึงผู้ชมออนไลน์ในวงกว้าง สิ่งนี้สะท้อนถึงการตอบสนองเชิงกลยุทธ์ต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค และเน้นย้ำถึงความสามารถในการปรับตัวของ Apple ในโลกดิจิทัล

การเข้าถึงในฐานะหลักการออกแบบหลัก
การเข้าถึงถูกผนวกเข้าไปในกระบวนการออกแบบผลิตภัณฑ์ของ Apple แทนที่จะเป็นเพียงความคิดที่เพิ่มเติมภายหลัง ความเห็นของ Cook เกี่ยวกับข้อเสนอแนะจากบุคคลสำคัญอย่าง Stevie Wonder แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Apple ในด้านการมีส่วนร่วม ตอกย้ำแนวคิดที่ว่าเทคโนโลยีควรเข้าถึงได้สำหรับทุกคน

📱 วิวัฒนาการของผลิตภัณฑ์ Apple
Cook เล่าถึงความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของผลิตภัณฑ์หลักของ Apple โดยสังเกตว่าแต่ละผลิตภัณฑ์มีส่วนช่วยในการอยู่รอดและการเติบโตของบริษัทอย่างไร สิ่งนี้เน้นย้ำถึงวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของ Apple และความสามารถในการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคตลอดกาล

🤖 AI ในฐานะตัวเปลี่ยนเกม
Tim Cook มอง AI ว่าเป็นพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงที่จะกำหนดใหม่ว่าผู้ใช้จะมีปฏิสัมพันธ์กับผลิตภัณฑ์ของ Apple อย่างไร ความกระตือรือร้นของเขาเกี่ยวกับ AI บ่งชี้ว่า Apple กำลังอยู่ในจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ ที่อาจยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้และผสานเทคโนโลยีเข้ากับชีวิตประจำวันมากขึ้น

🌟 การรักษามรดกของ Steve Jobs
Cook ยังคงให้เกียรติความทรงจำของ Steve Jobs ด้วยการอนุรักษ์สำนักงานของเขาไว้เป็นสถานที่เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความเคารพอย่างลึกซึ้งต่อประวัติศาสตร์และคุณค่าของบริษัท ชี้ให้เห็นว่าความเข้าใจในอดีตมีความสำคัญต่อการชี้นำทิศทางในอนาคตของ Apple

Opinion

เอาจริง ๆ บทสัมภาษณ์ของ Tim Cook สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนผ่านที่น่าสนใจของ Apple จากยุคของ Steve Jobs สู่ปัจจุบันและอนาคต การที่ Cook ยังคงรักษาสำนักงานของ Jobs ไว้เป็นแรงบันดาลใจ แสดงให้เห็นถึงความเคารพต่อรากฐานและคุณค่าดั้งเดิมของบริษัท ขณะเดียวกันวิสัยทัศน์ของเขาเกี่ยวกับ AI และเทคโนโลยีใหม่ๆ ก็แสดงให้เห็นว่า Apple พร้อมที่จะก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

การออกแบบ Apple Park ที่เน้นการทำงานร่วมกันและความคิดสร้างสรรค์ สะท้อนถึงวัฒนธรรมองค์กรที่ให้ความสำคัญกับนวัตกรรมและการทำงานเป็นทีม ขณะที่การให้ความสำคัญกับการเข้าถึงเทคโนโลยีสำหรับทุกคน ผ่านการรับฟังความคิดเห็นจากผู้ใช้หลากหลายกลุ่ม แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะสร้างผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ทุกระดับ

25 ปีของ Tim Cook ที่ Apple ไม่เพียงแต่เป็นการเดินทางของสุดยอดผู้บริหารคนหนึ่ง แต่ยังเป็นบทเรียนสำคัญของการรักษาสมดุลระหว่างการเคารพมรดกในอดีตและการขับเคลื่อนองค์กรสู่อนาคต

การที่ Apple ยังคงเป็นบริษัทชั้นนำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีของโลกมาจวบจนถึงทุกวันนี้ แสดงให้เห็นว่าวิธีคิดและการบริหารงานแบบฉบับ Cook ประสบความสำเร็จในการพา Apple ก้าวผ่านความท้าทายต่างๆ มาได้อย่างแข็งแกร่ง

ในขณะที่โลกเทคโนโลยีกำลังก้าวเข้าสู่ยุค AI อย่างเต็มตัว ดูเหมือน Cook ก็ยังมีความตื่นเต้นและยังคงไม่หมดไฟ โดยเฉพาะกับศักยภาพของ AI ในการปฏิวัติผลิตภัณฑ์ของ Apple ซึ่งแน่นอนว่าทำให้พวกเราอดใจรอไม่ได้ที่จะได้เห็นนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ และวิธีที่ Apple จะผสานเทคโนโลยี AI เข้ากับผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อยกระดับประสบการณ์การใช้งานของผู้บริโภคให้ก้าวล้ำไปอีกขั้นนั่นเองครับผม

References :
Tim Cook Discusses The Past, Present, and Future of Apple | WIRED
https://youtu.be/CMLiMsjwBWI?si=ZDVYyugkbE8wZkvG

เส้นทางชีวิตที่ไม่ธรรมดาของ Tim Cook : เมื่อความสำเร็จไม่ได้มาจากการวางแผน แต่มาจากการกล้าคว้าโอกาส

เป็นอีกหนึ่งบทสัมภาษณ์ที่น่าสนใจจาก WSJ ที่ได้สัมภาษณ์ Tim Cook และได้เปิดเผยเรื่องราวชีวิตอันน่าทึ่งของเขา เริ่มต้นจากเด็กหนุ่มที่ต้องตื่นตีสามเพื่อส่งหนังสือพิมพ์ จนก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเทคโนโลยีที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก

จุดเริ่มต้นของเขาไม่ได้แตกต่างจากเด็กทั่วไปในครอบครัวชนชั้นแรงงาน ด้วยความที่ครอบครัวปลูกฝังให้ทุกคนต้องทำงาน Tim จึงเริ่มทำงานตั้งแต่อายุ 12 ปี ด้วยการเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์ ซึ่งต้องตื่นแต่เช้ามืดเพื่อไปรับหนังสือพิมพ์กองใหญ่มาส่งให้ลูกค้า ก่อนจะกลับมางีบหลับสักเล็กน้อยและไปโรงเรียน

ความถนัดแรกที่ Tim ค้นพบในตัวเองคือวิชาคณิตศาสตร์ เขาเป็นนักเรียนที่เรียนเก่งและชื่นชอบการแก้โจทย์สมการที่ซับซ้อน ด้วยความฝันที่อยากเป็นวิศวกร ทำให้เขาเลือกเรียนต่อด้านวิศวกรรมศาสตร์ในมหาวิทยาลัย

การเป็นคนแรกในครอบครัวที่ได้เรียนมหาวิทยาลัยถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง เงินที่ได้จากการส่งหนังสือพิมพ์ช่วยให้เขาสามารถเข้าเรียนที่ Auburn University ได้ Tim ตระหนักดีว่านี่เป็นโอกาสครั้งสำคัญที่จะต้องไม่ปล่อยให้สูญเปล่า เพราะการศึกษาคือประตูสู่อนาคตที่ดีกว่า

หลังจบการศึกษา Tim เริ่มต้นชีวิตการทำงานที่ IBM ในเดือนมกราคม ปี 1983 ด้วยการขับรถพร้อมข้าวของเท่าที่มีไปเช่าอพาร์ตเมนต์หลังแรกในชีวิต แม้จะต้องนอนกับพื้นในช่วงแรกเพราะยังไม่มีเงินซื้อเตียง แต่ IBM ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเพราะที่นั่นเต็มไปด้วยคนฉลาดจากทั่วโลก

จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตมาถึงเมื่อ Steve Jobs ชวนให้เขาไปร่วมงานที่ Apple ในช่วงที่บริษัทกำลังประสบปัญหาหนัก หลายคนพยายามทัดทานไม่ให้ Tim ไปร่วมงานกับ Apple เพราะเชื่อว่าบริษัทกำลังจะล้มละลาย แต่สิ่งที่ Tim เห็นคือประกายในดวงตาของ Steve และวิสัยทัศน์ที่แตกต่าง

Steve มีความเชื่อมั่นว่าทีมขนาดเล็กสามารถสร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่ได้ และต้องการปรับทิศทางของ Apple ให้โฟกัสที่ผู้บริโภคมากขึ้น ซึ่งในขณะนั้นเป็นแนวคิดที่แหวกแนวมาก เพราะทุกคนเชื่อว่าการทำธุรกิจกับองค์กรเท่านั้นที่จะทำกำไรได้

บทเรียนสำคัญที่ Tim ได้เรียนรู้จาก Steve คือการให้คุณค่ากับนวัตกรรมและการกล้าที่จะคิดต่าง การรู้จักรวมตัวคนเก่งที่มีทักษะแตกต่างกันเข้ามาทำงานร่วมกัน และที่สำคัญคือการไม่ยึดติดกับความคิดเดิมๆ พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงเมื่อมีข้อมูลหรือมุมมองใหม่ที่ดีกว่า

ปัจจุบัน Tim ยังคงรักษาความกระตือรือร้นในการทำงาน เขาตื่นแต่เช้าเพื่ออ่านอีเมลจากลูกค้าทั้งคำชมและคำติชม ซึ่งช่วยให้เขารับรู้ถึงสถานการณ์ของบริษัท Tim มองว่าการรับฟังคำวิจารณ์อย่างเปิดใจและพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเป็นสิ่งสำคัญ แทนที่จะรีบปกป้องตัวเองหรือปฏิเสธความคิดเห็นของผู้อื่น

แม้จะประสบความสำเร็จอย่างสูง แต่ Tim ยังคงรักษาความถ่อมตนและความสนุกในการทำงาน เขามองว่างานของเขายอดเยี่ยมมาก ในขณะที่ CEO คนอื่นๆ มักบ่นว่างานของพวกเขาแย่แค่ไหน

Tim เชื่อว่าความสำเร็จไม่ได้มาจากการวางแผนอย่างเดียว แต่อยู่ที่การรู้จักคว้าโอกาสเมื่อประตูเปิด และกล้าที่จะก้าวเดินผ่านประตูบานนั้น เพราะชีวิตมักจะพาเราไปไกลเกินกว่าแผนที่วางไว้เสมอ

References :
Apple CEO Tim Cook on How Steve Jobs Recruited Him and More | The Job Interview
https://youtu.be/m4RVTK7iU1c?si=KyWLy2TA4Ss9cOtU

สรุปเนื้อหา : บทสัมภาษณ์ Mark Zuckerberg กับโลกใหม่ของ Meta เมื่อ AR และ AI มาบรรจบกัน

Mark Zuckerberg ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่ออย่าง The Verge ถึงวิวัฒนาการของแว่นตา AR (Augmented Reality) ศักยภาพในการแทนที่สมาร์ทโฟน และการผสานรวมกับเทคโนโลยี AI (ปัญญาประดิษฐ์) โดยพี่ Mark ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการสร้างแว่นตาที่มีความเป็นแฟชั่น และต้องให้ประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดี รวมถึงการยอมรับของผู้บริโภคในอนาคต

Highlights

🕶️ Mark Zuckerberg ได้พูดถึงวิวัฒนาการของแพลตฟอร์มมือถือและการเปลี่ยนผ่านสู่แว่นตา AR โดยชี้ให้เห็นถึงข้อจำกัดของสมาร์ทโฟน

🎯 เป้าหมายของโครงการ Orion คือการสร้างแว่นตาที่มีดูดีเหมือนแว่นตาทั่วไป แต่สามารถผสานโฮโลแกรมและ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการมีปฏิสัมพันธ์ในโลกแห่งความเป็นจริง

🤝 ความร่วมมือระหว่าง Meta กับ Luxottica มุ่งพัฒนาแว่นตาที่ทั้งสวยงามและใช้งานได้จริง สามารถบันทึกเนื้อหาและเข้าถึงฟีเจอร์ AI ในราคาที่จับต้องได้

📈 Zuckerberg กล่าวถึงการลงทุนอย่างมหาศาลใน Reality Labs โดยระบุว่าใช้เงินไปกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ในการพัฒนา Orion และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง

📉 Orion เวอร์ชันแรกที่จะวางจำหน่ายคาดว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับนักพัฒนา โดยมีแผนที่จะพัฒนาเวอร์ชันสำหรับผู้บริโภคทั่วไปในอนาคต

📲 Zuckerberg มองภาพอนาคตที่แว่นตาจะค่อยๆ กลายเป็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์หลัก ลดการพึ่งพาสมาร์ทโฟนลงเรื่อยๆ ตามกาลเวลา

🌍 การผสานเทคโนโลยี AI เข้ากับสื่อสังคมออนไลน์จะยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้ ช่วยให้สามารถสร้างเนื้อหาที่เฉพาะเจาะจงและปรับปรุงการมีปฏิสัมพันธ์บนแพลตฟอร์มต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น

Key Insights

📱 วิวัฒนาการจากมือถือสู่แว่นตา AR
Mark Zuckerberg ได้ร่ายยาวถึงการเปลี่ยนผ่านจากคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะสู่อุปกรณ์พกพาอย่างมือถือสมาร์ทโฟน และมองเห็นการเปลี่ยนแปลงในลักษณะเดียวกันกับแว่นตา AR (Augmented Reality)

เขาเชื่อว่าแม้สมาร์ทโฟนจะครองความเป็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์หลักมาอย่างยาวนาน แต่แว่นตา AR จะกลายเป็นแพลตฟอร์มสำคัญลำดับถัดไป ที่จะช่วยให้การมีปฏิสัมพันธ์และประสบการณ์ในชีวิตประจำวันเป็นไปอย่างราบรื่น วิสัยทัศน์นี้ได้ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของวิธีที่ผู้ใช้จะมีส่วนร่วมกับเทคโนโลยีในอนาคต

🤖 การผสานเทคโนโลยี AI ในแว่นตา AR
Zuckerberg เน้นย้ำถึงข้อได้เปรียบของแว่นตา AR สำหรับการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) แว่นตาสามารถสร้างเนื้อหาที่เฉพาะเจาะจงแก่ผู้ใช้ได้โดยตรง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการมีปฏิสัมพันธ์แบบเรียลไทม์โดยไม่รบกวนสภาพแวดล้อมรอบตัว

ส่วนผสมที่ลงตัวนี้บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงสู่เทคโนโลยีที่ใช้งานง่ายและเข้าถึงได้มากขึ้น โดย AI จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันอย่างแท้จริง แทนที่จะเป็นเพียงส่วนที่แยกต่างหากเหมือนที่เราเห็นในปัจจุบัน

🛠️ ความคาดหวังของผู้บริโภคและความท้าทายในการพัฒนา
การพัฒนาโครงการ Orion ซึ่งเป็นแว่นตา AR ต้องเผชิญกับอุปสรรคในแง่ของขนาด ราคา และฟังก์ชันการใช้งาน Zuckerberg ชี้ให้เห็นว่าแม้เทคโนโลยีจะก้าวหน้าไปอย่างมาก แต่การสร้างผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความคาดหวังของผู้บริโภค ในขณะที่ยังคงความทันสมัยและราคาไม่แพงเกินไปนั้นเป็นสิ่งสำคัญ

ประเด็นนี้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในการสร้างสมดุลระหว่างเทคโนโลยีล้ำสมัยกับความต้องการใช้งานจริงของผู้บริโภคและความสวยงามในการออกแบบ

🤝 พันธมิตรเชิงกลยุทธ์เพื่อนวัตกรรม
การร่วมมือกับ Luxottica และการโฟกัสการพัฒนาแว่นตาอัจฉริยะหลากหลายรูปแบบ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Zuckerberg ในการสร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่งรอบเทคโนโลยี AR

การร่วมมือกับผู้ผลิตแว่นตาที่มีชื่อเสียง Meta มุ่งหวังที่จะใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญในการออกแบบและการผลิตของพวกเขา ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการนำแว่นตา AR ที่ดึงดูดใจและใช้งานได้จริงสู่ตลาด

🌐 การเปลี่ยนแปลงการมีส่วนร่วมทางสังคม
Zuckerberg สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในการมีปฏิสัมพันธ์บนสื่อสังคมออนไลน์ โดยมุ่งไปสู่การสนทนาแบบส่วนตัวและการค้นพบเนื้อหาใหม่ๆ มากกว่าการถกเถียงแบบเอาเป็นเอาตายเหมือนในแพลตฟอร์มอย่าง X

วิวัฒนาการนี้เป็นตัวบ่งชี้ว่าแพลตฟอร์มอย่าง Threads ถูกออกแบบมาเพื่อส่งเสริมชุมชนและสร้างการเชื่อมต่อที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ซึ่งอาจลดความโดดเด่นของการถกเถียงทางการเมืองและช่วยส่งเสริมสภาพแวดล้อมออนไลน์ที่เป็นบวกมากขึ้น

บทบาทของ AI ในการสร้างเนื้อหา
การนำ AI มาช่วยผู้สร้างสรรค์ในการสร้างเนื้อหาที่เฉพาะเจาะจงบ่งบอกถึงแนวทางที่เปลี่ยนแปลงสื่อสังคมออนไลน์ Zuckerberg เชื่อว่าการช่วยให้ผู้ใช้สามารถทำงานร่วมกับ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการสร้างสรรค์ของพวกเขา ซึ่งจะนำไปสู่การมีส่วนร่วมที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และอาจปรับเปลี่ยนวิธีการบริโภคและแชร์เนื้อหาบนแพลตฟอร์มอย่าง Instagram และ Threads

🕊️ กลยุทธ์การฟื้นฟูแบรนด์ในระยะยาว
Zuckerberg ยอมรับว่าการกู้ชื่อเสียงของ Meta ขึ้นมาใหม่หลังจากผ่านวิกฤติหนักในปี 2016 จะเป็นเรื่องในระยะยาว เขาตระหนักถึงผลกระทบที่ยังคงอยู่จากข้อถกเถียงในอดีต และเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการใช้แนวทางเชิงกลยุทธ์ที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดเพื่อให้สาธารณชนกลับมาไว้วางใจในแพลตฟอร์มเครือ Meta อีกครั้ง

ข้อมูลเชิงลึกนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจที่มากขึ้นของตัว Zuckerberg เองเกี่ยวกับความรับผิดชอบขององค์กรและความท้าทายในการนำทางผ่านภูมิทัศน์ทางสังคมที่ซับซ้อนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี

Opinion

แม้ว่าวิสัยทัศน์ของ Zuckerberg จะดูน่าตื่นเต้นและมีศักยภาพสูง แต่ก็ยังมีคำถามและความท้าทายมากมายที่ Meta ต้องเผชิญ :

  1. การยอมรับของผู้บริโภค: จะต้องใช้เวลาและการปรับตัวอย่างมากสำหรับผู้คนที่จะเปลี่ยนจากสมาร์ทโฟนมาใช้แว่นตา AR เป็นอุปกรณ์หลัก
  2. ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย: การใช้แว่นตา AR ที่มีกล้องและ AI อาจสร้างความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวและเรื่องการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล
  3. ผลกระทบทางสังคม: การเปลี่ยนแปลงวิธีที่เรามีปฏิสัมพันธ์กับโลกรอบตัวอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางสังคมและพฤติกรรมของมนุษย์ ซึ่งอาจจะเป็นอีกปัญหาในระยะยาวที่ Meta จะโดนเพ่งเล็งอีกครั้ง
  4. การแข่งขันในตลาด: Meta ไม่ใช่บริษัทเดียวที่พัฒนาเทคโนโลยี AR การแข่งขันกับบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อื่นๆ จะเป็นปัจจัยสำคัญในความสำเร็จของโครงการนี้
  5. ความยั่งยืนทางธุรกิจ: การลงทุนมหาศาลในเทคโนโลยีที่ยังไม่พิสูจน์ตัวเองในตลาดอาจเป็นความเสี่ยงทางธุรกิจที่สำคัญ เพราะดูเหมือน AR จะมีมานานแล้วแต่ยังไม่สามารถแจ้งเกิดได้แบบเต็มตัวเสียที

สรุปแล้ว วิสัยทัศน์ของ Zuckerberg แสดงให้เห็นถึงอนาคตที่น่าตื่นเต้นของเทคโนโลยี AR และ AI แต่การที่จะทำให้วิสัยทัศน์นี้กลายเป็นความจริงและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางยังต้องอาศัยเวลา การพัฒนาเทคโนโลยี และการแก้ไขความท้าทายต่างๆ อีกมาก อย่างไรก็ตาม การลงทุนและความมุ่งมั่นของ Meta ในโครงการนี้แสดงให้เห็นว่าเราอาจได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวิธีที่เราใช้เทคโนโลยีในอนาคตอันใกล้นี้

References :
Why Mark Zuckerberg thinks AR glasses will replace your phone
https://youtu.be/8dVba_xm4MQ?si=eos-FWQx4_dagk-w

Elon Musk on xAI : กับบทสัมภาษณ์เบื้องหลังการสร้าง AI สุดล้ำที่มาพร้อมกับความท้าทายและโอกาส

เรียกได้ว่าตอนนี้ Elon Musk กำลังทุ่มเทพลังเกือบทั้งหมดไปยังธุรกิจแห่งอนาคตอย่าง AI ที่ดูเหมือน Musk จะไม่ยอมแพ้เด็ดขาดในสิ่งที่เขาแทบจะเป็นคนคิดริเริ่มตั้งแต่ต้น ๆ แต่สุดท้ายก็โดนบีบให้ออกจาก openAI และยังมีการปะทะคารมกันอีกหลายครั้งกับ Sam Altman

จะเห็นได้ว่าสถานการณ์ในบริษัทอื่น ๆ ของ Musk ในตอนนี้ เรียกได้ว่าเหมือนถูกทิ้ง ทั้ง Tesla เอยที่ถูกเปลี่ยนกลยุทธ์จากเดิมที่จะสร้างรถไฟฟ้าราคาย่อมเยาว์เพื่อมาต่อกรกับแบรนด์จีน แต่สถานการณ์พลิกผัน ตอนนี้ Musk เตรียมลุย AI เพื่อผลักดันรถยนต์ Autonomous แบบเต็มสูบ

เป็นบทสัมภาษณ์ครั้งล่าสุดในหัวข้อ xAI ที่น่าสนใจในช่อง Lex Clips โดย Lex Fridman Podcast ที่ Elon Musk เองได้มาร่ายยาวถึงบริษัทที่เขาเดิมพันแบบเต็มสูบ และทุ่มสรรพกำลังไปกับบริษัทนี้แทบจะหมดหน้าตักในตอนนี้

Musk มองว่าความพยายามในการพัฒนา AI ขั้นสูงนั้นเปรียบเสมือนการแข่งขันระดับโลก ที่ต้องอาศัยทั้งทรัพยากร ความเชี่ยวชาญ และวิสัยทัศน์อันยิ่งใหญ่

xAI กำลังทุ่มเทอย่างหนักในการสร้างระบบ AI ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยมุ่งหวังที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำในการพัฒนา AGI (Artificial General Intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป

คำถามก็คือ อะไรคือสิ่งที่จำเป็นในการสร้าง AI ที่มีศักยภาพเหนือกว่ามนุษย์? เรียกได้ว่าคำตอบนั้นทั้งซับซ้อนและหลากหลาย แต่หัวใจสำคัญ Musk มองว่าอยู่ที่พลังการประมวลผล ข้อมูลคุณภาพสูง และอัลกอริทึมการเรียนรู้ที่ล้ำสมัย

การสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์คลัสเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงเป็นก้าวแรกที่สำคัญ ระบบเหล่านี้ต้องมีพลังการประมวลผลมหาศาลเพื่อฝึกฝนโมเดล AI ขนาดใหญ่ แต่การสร้างระบบเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ความท้าทายด้านวิศวกรรมมีมากมาย ตั้งแต่การจัดการกับความผันผวนของพลังงาน ไปจนถึงการออกแบบระบบระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์จำนวนมหาศาลเข้าด้วยกันเพื่อให้ทำงานเสมือนเป็นสมองเดียวกันนั้น เป็นงานที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง ต้องอาศัยการเดินสายใยแก้วนำแสงที่ซับซ้อน และการออกแบบระบบเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อให้ GPU แต่ละตัวสามารถสื่อสารกันได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

Musk ได้กล่าวว่า เพียงแค่ฮาร์ดแวร์ที่ทรงพลังเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ การพัฒนา AI ที่มีความสามารถสูงยังต้องอาศัยข้อมูลคุณภาพสูงจำนวนมหาศาล ซึ่งเป็นความท้าทายอีกประการหนึ่ง

ในยุคที่ข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตเต็มไปด้วยเนื้อหาที่สร้างโดย AI และข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือ การคัดกรองและเลือกข้อมูลที่มีคุณภาพจึงเป็นงานที่ยากลำบากและสำคัญอย่างยิ่ง

เมื่อพูดถึงการดึงแหล่งข้อมูลทั้งจาก X หรือแม้กระทั่ง Tesla ที่สามารถดึงข้อมูลวีดีโอแบบเรียลไทม์ที่มาจากรถยนต์หลายล้านคัน แต่มันเทียบไม่ได้กับสิ่งที่ Musk มองว่าจะได้จาก Optimus

Musk มองว่าแหล่งข้อมูลที่มีคุณภาพและหลากหลายที่สุดอาจมาจากหุ่นยนต์ AI เอง เช่น Optimus ที่สามารถเรียนรู้และรวบรวมข้อมูลจากโลกแห่งความเป็นจริงได้อย่างมหาศาล ซึ่งอาจเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนา AI ที่มีความเข้าใจโลกอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น

มนุษย์เราสามารถสะสมข้อมูลได้เพียงน้อยนิด มีโทเค็นที่ใช้งานได้เพียงไม่กี่ล้านที่มนุษย์สร้างขึ้นมา หากไม่นับพวกสแปมและเนื้อหาที่มีความซ้ำซ้อนกัน Musk มองว่ามันไม่ใช่ตัวเลขที่เยอะมากอย่างที่หลายคนคิด และมันแทบจะถูกโมเดลดัง ๆ สูบข้อมูลไปหมดแล้ว

Musk กล่าวว่า Optimus คือของจริง สามารถไปได้ทุกที่ หากเทียบกับ Tesla ที่ต้องอยู่บนท้องถนนเพียงเท่านั้น แต่หุ่นยนต์ Optimus สามารถไปได้ทุกที่ มันมีข้อมูลอีกมากมายที่อยู่นอกถนน

ท่ามกลางการแข่งขันเพื่อสร้าง AI ที่ทรงพลังที่สุด Musk มองว่าเราต้องไม่ลืมคำนึงถึงจริยธรรมและความรับผิดชอบ การสร้าง AI ที่มีความสามารถเหนือมนุษย์นั้นมาพร้อมกับความเสี่ยงมหาศาล หากไม่ได้รับการออกแบบและควบคุมอย่างเหมาะสม

หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ต้องคำนึงถึงคือ การสร้าง AI ที่ยึดมั่นในความจริง ไม่ว่าความจริงนั้นจะสอดคล้องกับอุดมการณ์ทางการเมืองหรือความเชื่อส่วนบุคคลหรือไม่ก็ตาม การบังคับให้ AI โกหกหรือบิดเบือนความจริง แม้จะด้วยเจตนาดี ก็อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิดและอันตรายได้

Musk ชี้ให้เห็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือกรณีของ AI บางระบบ (Musk อ้างถึง ChatGPT และ Gemini) ที่ถูกโปรแกรมให้แสดงภาพหรือให้ข้อมูลที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงทางประวัติศาสตร์ แม้ว่าเจตนาเบื้องหลังอาจจะดี แต่การบิดเบือนความจริงเช่นนี้อาจนำไปสู่ปัญหาที่ร้ายแรงกว่าเมื่อ AI มีความสามารถสูงขึ้น

การสร้าง AI ที่มีความสามารถสูงจึงไม่ใช่เพียงแค่การพัฒนาเทคโนโลยี แต่ยังเป็นการตั้งคำถามเชิงปรัชญาและต้องคิดคำนึงถึงจริยธรรม

Musk มองว่าต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบว่าต้องการให้ AI มีคุณสมบัติและค่านิยมแบบใด และจะสร้างระบบที่ปลอดภัยและเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติได้อย่างไร

การมุ่งมั่นสู่ความจริงและความถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ แต่ก็ต้องตระหนักด้วยว่าความจริงนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย บ่อยครั้งที่มีความซับซ้อนและมีหลายแง่มุม การสร้าง AI ที่สามารถเข้าใจและนำเสนอความจริงในลักษณะที่ครอบคลุมและสมดุล โดยไม่หลงไปในความเชื่อที่ผิดหรืออคติ จึงเป็นความท้าทายอันยิ่งใหญ่

นอกจากนี้ Musk ยังให้แง่คิดว่าควรที่จะคำนึงถึงผลกระทบระยะยาวของการใช้ AI อย่างแพร่หลายในสังคม การที่ AI มีบทบาทมากขึ้นในการตัดสินใจและการให้ข้อมูล อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อวิธีคิดและพฤติกรรมของมนุษย์ ดังนั้น การออกแบบ AI ที่ส่งเสริมการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการตัดสินใจที่รอบคอบจึงเป็นสิ่งสำคัญ

ในท้ายที่สุด การพัฒนา AI ที่มีความสามารถสูงเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ของยุคสมัย ซึ่งต้องอาศัยทั้งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ความรอบคอบทางจริยธรรม และวิสัยทัศน์ที่มองการณ์ไกล ซึ่งต้องมีการสร้างสมดุลระหว่างการผลักดันขีดความสามารถของ AI ให้ก้าวหน้า กับการรับประกันว่าเทคโนโลยีนี้จะเป็นประโยชน์และปลอดภัยสำหรับมนุษยชาติ

เส้นทางการเดินทางสู่การสร้าง AGI นั้นเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและความเสี่ยง แต่ก็มาพร้อมกับโอกาสอันยิ่งใหญ่ในการยกระดับความเป็นอยู่ของมนุษย์ ซึ่ง Elon Musk มองว่าเราอาจสามารถสร้าง AI ที่ไม่เพียงแต่มีความสามารถเหนือมนุษย์ แต่ยังเป็นพันธมิตรที่เชื่อถือได้ในการแก้ปัญหาที่ท้าทายที่สุดของโลก เหมือนที่มนุษย์อย่างเขาพยายามที่จะทำมาเป็นเวลาหลายปีมาแล้วนั่นเองครับผม

References :
Elon Musk on xAI: We will win | Lex Fridman Podcast
https://youtu.be/tRsxLLghL1k?si=mD9Ep3PLu3wv_uv-

iPhone 16 รอดหรือร่วง? : ศึกสองด้านทั้ง AI และตลาดจีน Apple พร้อมรบแล้วหรือยัง?

ในวันจันทร์ที่ผ่านมา Apple ได้เปิดตัว iPhone 16 รุ่นล่าสุดของผลิตภัณฑ์เรือธงอันเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก หลังจากที่ประสบปัญหาด้านยอดขายมาระยะหนึ่ง Apple หวังว่าฟีเจอร์ Generative AI ทั้ง Siri ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ ฟีเจอร์แต่งภาพอัจฉริยะ เครื่องมือที่ใช้ในการช่วยเขียน และการเข้าถึง ChatGPT ฟรี จะเพียงพอที่จะทำให้ iPhone กลับมาครองความเป็นผู้นำในตลาดสมาร์ทโฟนอีกครั้ง

แต่ก่อนที่เราจะไปถึงจุดนั้น เรามาย้อนกลับไปดูที่มาที่ไปของสถานการณ์ในปัจจุบันกันก่อน

iPhone ยังคงเป็นสมาร์ทโฟนที่ขายดีและทำกำไรสูงสุดในโลกอย่างไม่มีคู่แข่ง แต่ในช่วงปีที่ผ่านมา ยอดขายกลับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือในไตรมาสแรกของปี 2024 Apple ส่งมอบ iPhone ได้เพียง 50 ล้านเครื่องเศษ ซึ่งลดลงถึง 10% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้เกือบ 2 ล้านเครื่อง

สาเหตุหลักของปัญหานี้มีสองประการ ประการแรก Apple และ iPhone กำลังสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในจีน ซึ่งเป็นตลาดสำคัญที่มีสัดส่วนประมาณ 20% ของยอดขาย iPhone ทั้งหมดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ในช่วงสองเดือนแรกของปี 2024 ยอดขายในจีนกลับลดลงเกือบ 40% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

สถานการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับ Apple เท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นกับบริษัทตะวันตกหลายแห่งที่เคยครองความยิ่งใหญ่ในจีนมาเป็นเวลานาน ไม่ว่าจะเป็นในอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟน รถยนต์ไฟฟ้า หรือแฟชั่น ต่างก็ประสบปัญหาในการแข่งขันกับคู่แข่งท้องถิ่นที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

นอกจากนี้ สงครามการค้าระหว่างจีนกับชาติตะวันตกที่ทวีความรุนแรงขึ้น ยังกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกชาตินิยมทางเศรษฐกิจในหมู่ผู้บริโภคชาวจีน ทำให้พวกเขามีแนวโน้มที่จะเลือกซื้อสินค้าที่ผลิตในประเทศมากขึ้น

Apple พยายามตอบสนองต่อสถานการณ์นี้ด้วยการลดราคาอย่างรุนแรง ซึ่งช่วยกระตุ้นยอดขายได้ชั่วคราว แต่นี่ไม่ใช่กลยุทธ์ระยะยาวที่ยั่งยืน

ปัญหาประการที่สองคือ ผู้ใช้ iPhone ไม่ค่อยอัพเกรดหรือเปลี่ยนโทรศัพท์บ่อยเหมือนแต่ก่อน สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากวิกฤตค่าครองชีพที่สูงขึ้นทั่วโลก ทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น แต่อีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ iPhone ในปัจจุบันมีความอึดมากกว่าในอดีตเป็นอย่างมาก

ตั้งแต่รุ่น iPhone 7 เป็นต้นมา Apple ได้เพิ่มคุณสมบัติกันน้ำและกันฝุ่นให้กับ iPhone ทุกรุ่น โดย iPhone 11 และรุ่นต่อๆ มาสามารถทนต่อความลึกสูงสุด 6 เมตรได้นานถึง 30 นาที

แม้สิ่งนี้จะเป็นข่าวดีสำหรับผู้บริโภค แต่ก็หมายถึงยอดขายที่ลดลงสำหรับ Apple เพราะผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนโทรศัพท์บ่อยๆ เมื่อเครื่องเก่ายังใช้งานได้ดี

อย่างไรก็ตาม สาเหตุหลักที่ทำให้ผู้คนไม่รู้สึกอยากได้ iPhone รุ่นใหม่ล่าสุดเหมือนแต่ก่อน น่าจะมาจากการที่ iPhone รุ่นใหม่ๆ มักไม่ได้แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้ามากนัก ในอดีตจนถึงประมาณ iPhone X ทุกรุ่นของ iPhone มักมีเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ล้ำสมัยซึ่งรู้สึกได้ว่าเป็นก้าวกระโดดจากรุ่นก่อนหน้า แต่ปัจจุบันไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว

ยกตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนแปลงหลักของ iPhone 15 คือการใช้พอร์ตชาร์จแบบ USB-C ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ถูกบังคับโดยกฎระเบียบของสหภาพยุโรปมากกว่าเป็นนวัตกรรมของ Apple เอง นอกจากนี้ยังมีการนำปุ่มปิดเสียงออก ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ได้สร้างความรู้สึกว่าคุ้มค่าแก่การอัพเกรดสำหรับผู้ใช้ส่วนใหญ่

ปัญหาเหล่านี้เป็นสิ่งที่น่ากังวลเป็นพิเศษสำหรับ Apple เพราะ iPhone เป็นรากฐานสำคัญของการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของบริษัท และยังคงเป็นสินค้าขายดีที่สุดของพวกเขาอย่างไม่มีคู่แข่ง ด้วยเหตุนี้ Apple จึงหวังว่า iPhone 16 จะเป็นรุ่นที่สามารถชักจูงให้ผู้ใช้ iPhone รุ่นเก่าตัดสินใจอัพเกรดได้

เพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ Apple ได้เพิ่มการอัพเกรดฮาร์ดแวร์ที่เห็นได้ชัดเจนกว่ารุ่นก่อนๆ โดย iPhone 16 รุ่นพื้นฐานมีปุ่มใหม่สองปุ่ม ได้แก่ “ปุ่ม Action” ซึ่งมีอยู่ใน iPhone 15 Pro ปีที่แล้ว อยู่ที่ด้านข้างของโทรศัพท์เหนือปุ่มปรับระดับเสียง แทนที่สวิตช์ปิดเสียง และปุ่มควบคุมกล้องใหม่ซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งและทำหน้าที่คล้ายๆ กับแทร็กแพด

ปุ่ม Action เป็นวิธีใหม่ในการเข้าถึงทางลัดต่างๆ บนโทรศัพท์ได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่ปุ่มควบคุมกล้องช่วยให้ผู้ใช้สามารถควบคุมฟังก์ชันต่างๆ ของกล้องได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น โดยเฉพาะในโหมดถ่ายภาพแนวนอน

อย่างไรก็ตาม เหตุผลหลักที่ Apple หวังว่า iPhone 16 จะเป็นรุ่นที่ผู้ใช้ปัจจุบันจะตัดสินใจอัพเกรด ก็เพราะมันถูกโฆษณาว่าเป็น “iPhone แห่งยุค AI” หรืออย่างน้อยนั่นก็เป็นวิธีที่ Apple กำลังคุยโวไว้

ในช่วงการนำเสนอ iPhone ในงานเปิดตัวเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ประมาณครึ่งหนึ่งของเวลาถูกใช้ไปกับฮาร์ดแวร์ใหม่ของ iPhone 16 และอีกครึ่งหนึ่งถูกใช้ไปกับฟีเจอร์ AI ใหม่ของ Apple ใน iOS 18 ภายใต้ชื่อ “Apple Intelligence”

ฟีเจอร์เหล่านี้รวมถึง Siri ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ให้ฉลาดขึ้นและตอบสนองได้เร็วขึ้น ฟีเจอร์ประเมินเสียงที่สามารถวิเคราะห์น้ำเสียงและอารมณ์ของผู้พูดได้ การแต่งภาพด้วยพลัง AI จากโมเดลของ Apple เองที่สามารถแก้ไขและปรับแต่งภาพได้อย่างซับซ้อน รวมถึงความร่วมมือกับ OpenAI ที่ให้ผู้ใช้เข้าถึง ChatGPT ได้ฟรี ซึ่งสามารถช่วยในการเขียน การวิเคราะห์ข้อมูล และการตอบคำถามต่างๆ ได้อย่างชาญฉลาด

Apple Intelligence ถูกประกาศครั้งแรกโดย Tim Cook ตั้งแต่เดือนมิถุนายน และช่วยกระตุ้นให้ราคาหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นถึง 20% ซึ่งแสดงให้เห็นว่านักลงทุนมีความเชื่อมั่นในทิศทางนี้ของ Apple

ด้วยการนำเสนอ iPhone 16 ควบคู่กับ Apple Intelligence นี้ Apple พยายามขาย iPhone 16 ในฐานะ “AI iPhone” อย่างชัดเจน ในข่าวประชาสัมพันธ์ของพวกเขา

เรียกได้ว่า Apple กำลังเชื่อมโยงกับสิ่งนี้โดยตรง โดยอ้างในประโยคแรกว่า iPhone 16 “ถูกสร้างขึ้นเพื่อ Apple Intelligence ด้วยชิป A18 ที่ใหม่ล่าสุด” และมันเป็น “จุดเริ่มต้นของยุคใหม่สำหรับ iPhone โดย Apple Intelligence จะมอบประสบการณ์ที่ทรงพลัง เป็นส่วนตัว และเป็นความลับให้กับผู้ใช้ของเรา”

ต้องยอมรับว่านี่ไม่ใช่กลยุทธ์ที่แย่ เพราะการเปลี่ยนแปลงฮาร์ดแวร์เพียงเล็กน้อยไม่เคยเพียงพอที่จะชักจูงให้ผู้ใช้ iPhone อัพเกรดในอดีต และ AI อาจเป็นเทคโนโลยีที่น่าตื่นเต้นเพียงพอที่จะทำให้เกิดสิ่งนี้ได้ แต่อย่างไรก็ตาม มีข้อควรพิจารณาบางอย่างที่อาจส่งผลต่อความสำเร็จของกลยุทธ์นี้

ประการแรก แม้จะเป็นความจริงที่ว่าชิป A18 ใหม่มีความสามารถในการรองรับการประมวลผล AI ได้ดีกว่าชิปรุ่นก่อนๆ อย่างมาก แต่ฟีเจอร์ Apple Intelligence บางอย่างจะสามารถใช้งานได้บนโทรศัพท์รุ่นที่รองรับการอัพเดต iOS 18 ที่กำลังจะมาถึงด้วยเช่นกัน นั่นหมายความว่าผู้ใช้ iPhone รุ่นเก่าอาจไม่จำเป็นต้องอัพเกรดเครื่องใหม่เพื่อใช้งานฟีเจอร์ AI บางอย่างได้

ประการที่สอง และอาจเป็นประเด็นสำคัญที่สุด เมื่อ iPhone 16 วางจำหน่ายในวันที่ 20 กันยายน มันจะไม่มีฟีเจอร์ Apple Intelligence ติดตั้งมาด้วย อาจฟังดูแปลกประหลาด แต่ “AI iPhone” จะไม่มี AI จริงๆ อย่างน้อยก็ในช่วงแรกของการวางจำหน่าย

ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้มที่เกิดขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว ฟีเจอร์ AI ของ Apple มักจะมีความล่าช้าอย่างต่อเนื่อง โดยฟีเจอร์ AI แบบ generative รุ่นแรกๆ เช่น การผสานรวม ChatGPT และอิโมจิที่สร้างโดย AI จะเริ่มทยอยมาถึงในช่วงปลายปีนี้ ในขณะที่ฟีเจอร์ที่ครอบคลุมกว่านี้จะมาถึงในช่วงครึ่งแรกของปี 2025

ความจริงที่ว่า iPhone ใหม่จะไม่มาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่เหล่านี้ อาจทำให้ความกระตือรือร้นของสาวก Apple ในการเปิดตัว iPhone 16 ลดลงไปบ้าง และนี่เป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้ปฏิกิริยาของตลาดต่อการเปิดตัวเมื่อวันจันทร์ค่อนข้างเงียบเหงา ไม่คึกคักอย่างที่ Apple อาจคาดหวังไว้

ประการที่สาม ฟีเจอร์ AI หลายอย่างจะไม่สามารถใช้งานได้ทั่วโลก ฟีเจอร์ที่เกี่ยวข้องกับภาษาหรือการพูดจะใช้ได้เฉพาะภาษาอังกฤษในช่วงแรก โดยจะค่อยๆ รองรับภาษาอื่นๆ ในภายหลัง และที่น่าสนใจคือ บางฟีเจอร์ถูกเลื่อนการเปิดตัวชั่วคราวในยุโรป โดย Apple อ้างว่าเป็นเพราะความไม่แน่นอนที่มาจากกฎการแข่งขันใหม่ของสหภาพยุโรป

สิ่งนี้ได้จำกัดความต้องการของผู้ใช้สำหรับฟีเจอร์ใหม่เหล่านี้อย่างชัดเจน และอาจหมายความว่า Apple Intelligence จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาของ Apple ในประเทศจีนที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้ได้มากนัก เนื่องจากผู้ใช้ในประเทศจีนอาจไม่ได้รับประโยชน์จากฟีเจอร์ AI เหล่านี้อย่างเต็มที่ในระยะแรก

ในท้ายที่สุดแล้ว การที่ iPhone 16 จะสามารถพลิกฟื้นคืนชีพผลิตภัณฑ์เรือธงของ Apple ได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับคำถามสองข้อหลัก

ข้อแรก Apple จะสามารถโน้มน้าวผู้ใช้ให้เชื่อว่านี่คือ “AI iPhone” ที่คุ้มค่าแก่การอัพเกรดได้หรือไม่ แม้ว่ามันจะไม่มีฟีเจอร์ Apple Intelligence ที่โฆษณาไว้อย่างมากมายในช่วงแรกก็ตาม นี่เป็นความท้าทายด้านการตลาดและการสื่อสารที่สำคัญสำหรับ Apple

ข้อที่สอง พวกเขาจะสามารถโน้มน้าวผู้ใช้ได้หรือไม่ว่า Apple Intelligence นั้นคุ้มค่าพอที่จะจ่ายเงินหลายร้อยดอลลาร์เพื่ออัพเกรดเครื่องใหม่ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาว่าฟีเจอร์บางอย่างอาจใช้งานได้บนเครื่องรุ่นเก่าที่รองรับ iOS 18 เช่นกัน

ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับแนวโน้มโดยรวมของ AI ในอนาคตอันใกล้ด้วย หาก ChatGPT พัฒนาขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและกลายเป็นเครื่องมือที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน iPhone ก็สามารถอาศัยความสำเร็จนั้นเพื่อดึงดูดผู้ใช้ให้อัพเกรดได้

แต่ถ้าความสามารถของ AI หยุดชะงักและกลายเป็นเพียงเทคโนโลยีที่น่าสนใจแต่ไม่ได้มีประโยชน์จริงๆ ในชีวิตประจำวัน กลยุทธ์ใหม่ของ Apple ก็อาจไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่คาดหวังไว้

อย่างไรก็ตาม เราต้องไม่ลืมว่า Apple มีประวัติอันยาวนานในการสร้างนวัตกรรมและปฏิวัติวงการเทคโนโลยี พวกเขาอาจมีไพ่เด็ดที่ยังไม่ได้เปิดเผยออกมา หรืออาจมีแผนระยะยาวที่จะพัฒนา Apple Intelligence ให้กลายเป็นระบบ AI ที่ทรงพลังและใช้งานง่ายสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ซึ่งอาจเปลี่ยนวิธีที่เราใช้สมาร์ทโฟนไปอย่างสิ้นเชิง

ในฐานะผู้บริโภค เราอาจต้องรอดูว่า Apple Intelligence จะสามารถทำให้ iPhone กลับมาเป็นสมาร์ทโฟนที่น่าตื่นเต้นและจำเป็นต้องมีอีกครั้งได้หรือไม่ หรือว่านี่จะเป็นเพียงความพยายามครั้งล่าสุดของ Apple ในการรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดเท่านั้น

ซึ่งไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาอย่างไร สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ การแข่งขันในตลาดสมาร์ทโฟนกำลังจะทวีความเข้มข้นขึ้นอีกครั้ง และผู้บริโภคอย่างเราอาจได้เห็นนวัตกรรมใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้นในอนาคตอันใกล้นี้อย่างแน่นอน