ทำไมรถไฟฟ้า(ยุคแรก)ถึงล้มเหลว? กว่า 200 ปี แห่งการพัฒนากับเรื่องราวของบรรพบุรุษ Tesla ที่ถูกลืม

ผมว่าต้องมีคนที่สงสัยกันว่าใครที่เป็นผู้คิดค้นรถยนต์ไฟฟ้าคนแรกของโลก? หลายคนอาจนึกถึง Elon Musk หรือบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง GM หรือ Toyota แต่ความจริงนั้นไม่ใช่กลุ่มคนเหล่านี้เลย

ยุคทองของยานพาหนะไฟฟ้าได้มาถึงและผ่านพ้นไปก่อนที่เราจะเกิดเสียอีก สิ่งที่เรากำลังเห็นในปัจจุบันเป็นเพียงการฟื้นคืนชีพของเทคโนโลยีที่เคยรุ่งเรืองมาแล้วในอดีตเพียงเท่านั้น

เรื่องที่น่าสนใจก็คือ ยานพาหนะไฟฟ้าถือกำเนิดขึ้นก่อนเครื่องยนต์สันดาปภายในที่ใช้น้ำมันเสียอีก

และไม่ใช่แค่มาก่อนธรรมดา แต่ในช่วงหนึ่งของประวัติศาสตร์ รถยนต์ไฟฟ้าเป็นยานพาหนะที่ได้รับความนิยมสำหรับทุกอย่างตั้งแต่รถพยาบาลและรถส่งนม ไปจนถึงยานพาหนะของชนชั้นสูง

ต้องย้อนกลับไปที่ต้นศตวรรษที่ 1800 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่และมอเตอร์อย่างก้าวกระโดด

นวัตกรรมเหล่านี้เป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้วิศวกรยานยนต์รุ่นแรกสามารถสร้างสรรค์ต้นแบบรถที่ขับเคลื่อนด้วยตัวเองได้อย่างน่าทึ่ง

ประเด็นที่ถกเถียงกันอยู่คือใครกันแน่ที่เป็นผู้ประดิษฐ์รถยนต์ไฟฟ้าคนแรกของโลก? มีชื่อผู้บุกเบิกหลายคนที่ควรกล่าวถึง

นักประดิษฐ์ชาวสกอตแลนด์ Robert Anderson มักได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้สร้างต้นแบบรถไฟฟ้าคันแรกราวปี 1832 ผลงานของเขานั้นเจ๋งมาก ๆ เพราะเขาคิดค้นเซลล์แบตเตอรี่แบบใช้ครั้งเดียวที่ใช้น้ำมันดิบในการผลิตไฟฟ้า

แม้ต้นแบบนี้จะสร้างกระแสได้ในยุคนั้น แต่ด้วยข้อจำกัดของแบตเตอรี่แบบใช้แล้วทิ้งและระยะทางที่จำกัด จึงยังห่างไกลจากการเป็นยานพาหนะที่ใช้งานได้จริง

Robert Davidson วิศวกรชาวสกอตแลนด์อีกคนก็มีผลงานเทพไม่แพ้กัน เขาสร้างหัวรถจักรไฟฟ้าเครื่องแรกในปี 1837 ต้นแบบของเขาวิ่งได้ประมาณหนึ่งไมล์ครึ่งด้วยความเร็ว 4 ไมล์ต่อชั่วโมง และลากน้ำหนักได้ถึง 6 ตัน

นวัตกรรมนี้มันเจ๋งมากจนทำให้คนงานรถไฟรู้สึกไม่พอใจ พวกเขาเกิดความกลัวว่าจะตกงาน จึงถึงขั้นเผาต้นแบบทิ้งเป็นการประท้วง แสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีใหม่นี้ถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามอย่างร้ายแรง

ฝั่งอเมริกาก็มีช่างตีเหล็กจากรัฐเวอร์มอนต์ชื่อ Thomas Davenport ซึ่งรังสรรค์ผลงานไม่แพ้ใคร เขาประดิษฐ์มอเตอร์เชิงพาณิชย์เครื่องแรกที่ขับเคลื่อนด้วยแม่เหล็กไฟฟ้าในปี 1835

เขานำการออกแบบมอเตอร์ของเขามาใช้สร้างรถขนาดเล็กที่สามารถวิ่งบนทางรถไฟขนาดจิ๋ว ซึ่งเป็นความก้าวหน้าที่น่าตื่นตาตื่นใจในเวลานั้น

ถึงแม้การออกแบบในช่วงทศวรรษ 1830 เหล่านี้จะเป็นการปฏิวัติวงการ แต่ทั้งหมดก็ประสบกับปัญหาเหมือนกันคือ แบตเตอรี่หมดเร็วและต้องเปลี่ยนใหม่ตลอด

จนกระทั่งปี 1859 นักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศส Gaston Planté ได้กลายมาเป็นฮีโร่ด้วยการประดิษฐ์แบตเตอรี่แบบชาร์จใหม่ได้เครื่องแรกของโลก โดยใช้เคมีแบบตะกั่ว-กรด ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานเดียวกับแบตเตอรี่รถยนต์ที่ใช้กันอยู่จนถึงปัจจุบัน

ต่อมาในปี 1881 Camille Alphonse Faure นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสอีกคนได้พัฒนาการออกแบบแบตเตอรี่ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างมาก โดยเพิ่มความจุและประสิทธิภาพจนสามารถผลิตในระดับอุตสาหกรรมได้

แม้จะแก้ปัญหาแบตเตอรี่ได้แล้ว แต่โลกต้องรอจนถึงปี 1887 กว่าจะเห็น EV ที่ใช้งานได้จริงเครื่องแรก ผลงานชิ้นนี้เกิดจากความเจ๋งของ William Morrison ชาวสกอตแลนด์ที่อพยพมาตั้งรกรากในเมือง Des Moines รัฐไอโอวา

Morrison เป็นนักเคมีที่มีชื่อเสียงโชกโชน เขาสร้างรถยนต์ไฟฟ้าจากรถม้าแบบดั้งเดิมที่นิยมในอเมริกาเหนือ ด้วยการดัดแปลงให้ติดตั้งแบตเตอรี่ชาร์จใหม่ได้ 24 ก้อน

ดีไซน์เฉพาะที่ Morrison คิดค้นขึ้นทำให้รถสามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ถึง 12 คน วิ่งด้วยความเร็วสูงสุด 20 ไมล์ต่อชั่วโมง และต้องชาร์จใหม่ทุก 50 ไมล์ ซึ่งถือว่าสุดล้ำในยุคนั้น

ยานพาหนะของ Morrison ยังมีปัญหาจุกจิกมากมาย ทั้งระบบบังคับเลี้ยวและเบรกที่ยังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างสมบูรณ์ แต่การสาธิตของเขากลับกลายเป็นที่สนใจและถูกเผยแพร่โดยสื่อระดับชาติ

ข่าวของรถยนต์ไฟฟ้าแพร่กระจายไปยังผู้คนนับพันทั่วสหรัฐอเมริกา ภายในปี 1893 รถของ Morrison กลายเป็นไฮไลท์ยอดนิยมที่งานแสดงสินค้าโลกที่ชิคาโก

ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 การปฏิวัติอุตสาหกรรมกำลังเฟื่องฟู ผู้คนที่มีฐานะดีทั่วโลกต่างต้องการที่จะเปลี่ยนจากรถม้ามาใช้ยานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์

ตลาดรถยนต์ที่กำลังเติบโตมีสามประเภทหลักคือ ไอน้ำ น้ำมัน และไฟฟ้า แต่ละแบบมีข้อดีข้อเสียต่างกันไป

ยานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยไอน้ำเริ่มเป็นที่รู้จักประมาณปี 1870 และมีข้อได้เปรียบในช่วงแรกมากพอที่จะครองส่วนแบ่งการตลาดผู้บริโภคถึง 40% ภายในปี 1900

รถยนต์ไฟฟ้าตามมาแบบไม่ห่างกันนักที่ 38% ในขณะที่เครื่องยนต์สันดาปภายในมีส่วนแบ่งเพียง 22% ของยานยนต์ในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น จะเห็นได้ว่ายุคนั้นรถไฟฟ้าเป็นที่นิยมมากๆ

ช่วงเวลานี้เอง พลังงานไอน้ำเริ่มเสื่อมความนิยมลง ส่วนใหญ่เป็นเพราะต้องใช้เวลาถึง 45 นาทีในการต้มน้ำให้เดือด และต้องเติมน้ำอย่างต่อเนื่อง ทำให้ระยะทางในการเดินทางถูกจำกัด

ไอน้ำยังคงถูกใช้ในการขับเคลื่อนโรงงานและหัวรถจักร แต่สำหรับตลาดรถยนต์ผู้บริโภค ทางเลือกอื่นที่สะดวกกว่าจะเป็นผู้ชนะ

ในส่วนของรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน Gottlieb Daimler และ Carl Benz พัฒนารถยนต์เครื่องยนต์สันดาปแรกของโลกในเยอรมนีปี 1886

แต่รถเครื่องยนต์สันดาปรุ่นแรกเหล่านี้ไม่ได้รับการยอมรับมากนักในหมู่ชนชั้นกลาง ผู้ที่มีกำลังซื้อรถยนต์เหล่านี้ได้คือชนชั้นสูงเท่านั้น และพวกเขาไม่ชอบที่จะเสียเวลากับเครื่องยนต์น้ำมันที่มีเสียงดัง มีกลิ่นเหม็น และมีควันขณะขับขี่

ในทางตรงกันข้าม ยานพาหนะไฟฟ้ากลับดูสง่างามและหรูหรา พร้อมขับขี่ทันทีด้วยการกดสวิตช์ ไม่มีเสียงดังรบกวนหรือมลพิษ และไม่จำเป็นต้องออกแรงในการเปลี่ยนเกียร์

นอกจากนี้ รถยนต์ไฟฟ้ายังเร็วว่ารถยนต์เครื่องยนต์น้ำมันในยุคนั้นอย่างที่ไม่น่าเชื่อ ยานพาหนะไฟฟ้าที่รู้จักกันในชื่อ Electrobat สามารถเอาชนะรถยนต์สันดาปในการแข่งขันวิ่ง 5 ไมล์เมื่อปี 1896 แสดงให้เห็นถึงความเร็วที่เหนือกว่าเป็นอย่างมาก

ในฤดูใบไม้ผลิปี 1899 Camille Jénatzy นักประดิษฐ์ชาวเบลเยียมซึ่งขณะนั้นกำลังสร้างรถยนต์ไฟฟ้าใกล้กับปารีส ตัดสินใจที่จะโชว์ให้โลกได้เห็นถึงประสิทธิภาพที่แท้จริงของยานยนต์ไฟฟ้า

เขาใช้รถแข่งไฟฟ้าพิเศษชื่อ La Jamais Contente ทำลายสถิติโลกด้วยการกลายเป็นคนแรกที่ทำความเร็วเกิน 60 ไมล์ต่อชั่วโมง

รถแข่งคันนี้ติดตั้งมอเตอร์ขนาด 25 กิโลวัตต์สองตัวที่ทำงานที่ 200 โวลต์ และดึงกระแสไฟฟ้า 124 แอมป์ต่อมอเตอร์ เทียบเท่ากับประมาณ 67 แรงม้า ขับเคลื่อนรถรูปทรงตอร์ปิโดซึ่งสร้างจากโลหะผสมอลูมิเนียมน้ำหนักเบาที่เรียกว่า Partinium และวิ่งบนยาง Michelin สุดยอดเทคโนโลยีในเวลานั้น

ความสำเร็จเหล่านี้ทำให้รถยนต์ไฟฟ้ากลายเป็นที่นิยมพุ่งกระฉูดในหมู่ผู้อยู่อาศัยในเมืองที่เข้าถึงไฟฟ้าได้ง่าย

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่อาศัยอยู่นอกเมืองในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ยังไม่สามารถเข้าถึงโครงข่ายไฟฟ้าได้ ทำให้เครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันสามารถตีตลาดในพื้นที่ชนบทได้

แต่ในเมืองใหญ่ ยานพาหนะไฟฟ้าเริ่มเข้ามาแทนที่รถม้าอย่างรวดเร็ว ในฐานะพาหนะหลักสำหรับการเดินทาง

ผู้สร้าง Electrobat และ Henry G. Morris เปิดให้บริการกองรถแท็กซี่ไฟฟ้าในนิวยอร์กซิตี้ และไม่นานธุรกิจนี้ก็ถูกซื้อกิจการโดย Isaac L. Rice ซึ่งก่อตั้งบริษัทยานพาหนะไฟฟ้า

Rice สามารถระดมทุนจากนักลงทุนรายใหญ่ได้อย่างล้นหลาม และในช่วงต้นยุค 1900 บริษัทมีรถแท็กซี่ไฟฟ้ามากกว่า 600 คันให้บริการบนท้องถนนในนิวยอร์ก รวมถึงกองรถขนาดเล็กที่ดำเนินการในบอสตัน บัลติมอร์ และเมืองทางตะวันออกอื่นๆ

ปัญหาเรื่องเวลาในการชาร์จไฟใหม่ที่นานของแบตเตอรี่ตะกั่ว-กรดในยุคนั้น ได้รับการแก้ไขด้วยสถานีสลับแบตเตอรี่

แท็กซี่จะเข้าไปในสถานีที่ดัดแปลงจากลานสเก็ตน้ำแข็ง เพื่อเปลี่ยนแบตเตอรี่ที่หมดแล้วเป็นแบตเตอรี่ใหม่ที่ชาร์จเต็ม และกลับไปให้บริการได้ทันที เรียกว่าแก้ปัญหาได้อย่างชาญฉลาด

รู้ไหมว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกที่ได้นั่งรถยนต์ไฟฟ้าคือ William McKinley? เขาถูกลอบยิงที่ Temple of Music ในงานแสดงสินค้า Pan-American ที่บัฟฟาโล และถูกนำส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วนด้วยรถพยาบาลไฟฟ้า

แม้ว่าเขาจะไม่รอดชีวิต แต่ผู้สืบทอดตำแหน่งของเขา Theodore Roosevelt ได้กลายเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ตั้งใจและเปิดเผยต่อสาธารณะในการนั่งรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น Columbia ในปี 1902 ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ ในประวัติศาสตร์รถยนต์ไฟฟ้า

นักประดิษฐ์ชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียงอีกคนหนึ่งที่เป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าคือ Thomas Edison ซึ่งมีรถ Studebaker ไฟฟ้าปี 1902

Edison เคยร่วมงานกับเพื่อนเก่าคือ Henry Ford เพื่อพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า พวกเขาสร้างต้นแบบเสร็จอย่างน้อยหนึ่งคัน ก่อนที่จะตัดสินใจว่าเครื่องยนต์น้ำมันมีอนาคตที่สดใสกว่า ซึ่งการคาดการณ์ของพวกเขาเป็นจริงในเวลาต่อมา

แม้ Ford จะเชื่อในอนาคตของเครื่องยนต์น้ำมัน แต่เขาต้องฝ่าฟันต่อสู้กับความท้าทายมากมาย Ford Model T รุ่นแรกวางจำหน่ายในปี 1908 ในราคาเพียง 850 ดอลลาร์

ราคานี้ต่ำกว่ารถไฟฟ้าส่วนใหญ่เกือบครึ่งหนึ่ง แต่เครื่องยนต์น้ำมันในยุคนั้นยังคงมีปัญหาทั้งเสียงดังและยากต่อการใช้งาน

แม้แต่ Clara Ford ภรรยาของ Henry Ford เองยังชื่นชอบรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า เธอมักบ่นว่าผลิตภัณฑ์ของสามีเธอสกปรกและมีเสียงดัง จึงมักจะขับรถไฟฟ้าของบริษัท Detroit Electric จนถึงปี 1914

ภายในกลางทศวรรษ 1910 รถยนต์ไฟฟ้าได้รับการพัฒนาด้วยแบตเตอรี่นิกเกิล-เหล็กของ Thomas Edison ซึ่งให้ระยะทางที่ไกลขึ้นและการชาร์จที่เร็วขึ้น

เมื่อไฟฟ้ามีให้ใช้ในวงกว้างมากขึ้น ห้างสรรพสินค้าในนิวยอร์กก็เริ่มติดตั้งสถานีชาร์จ EV เพื่อรองรับลูกค้าหญิงที่มีฐานะดี ซึ่งเป็นเรื่องที่ถือว่าล้ำยุคมาก

แต่ยุคทองของรถยนต์ไฟฟ้าในช่วงนั้นมีอายุสั้น และเหตุผลหนึ่งที่น่าประหลาดใจคือ มอเตอร์ไฟฟ้าเองกลับมีส่วนสำคัญในการ “ฆ่า” รถยนต์ไฟฟ้า

ในปี 1912 Cadillac แนะนำเครื่องยนต์น้ำมันรุ่นแรกที่มีสตาร์ทเตอร์ไฟฟ้า แทนที่จะต้องเสียบมือหมุนและออกแรงหมุนเครื่องยนต์ด้วยตัวเอง คนขับเพียงแค่บิดกุญแจก็สามารถสตาร์ทรถได้

เทคโนโลยีนี้ร่วมกับการแพร่หลายของหม้อพัก ได้ยกระดับความสะดวกสบายของการใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน ซึ่งเดิมเป็นจุดเด่นของรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น

ปัจจัยด้านราคามีความสำคัญมากเช่นกัน ในช่วงต้นทศวรรษ 1920 ราคาของ Ford Model T ลดหั่นแหลกลงเหลือประมาณ 300 ดอลลาร์ ในขณะที่ราคาของรถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่ยังสูงกว่าถึง 10 เท่า แค่แพ็คเกจอัพเกรดแบตเตอรี่ Edison อย่างเดียวก็มีมูลค่าถึง 600 ดอลลาร์

หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 และการค้นพบแหล่งน้ำมันในรัฐเท็กซัส ราคาน้ำมันเบนซินในสหรัฐอเมริกาลดฮวบลงอย่างรวดเร็ว ทำให้น้ำมันกลายเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ากว่ามาก

ปัจจัยนี้ร่วมกับความเร็วและประสิทธิภาพของสายการประกอบเคลื่อนที่ของ Henry Ford ทำให้น้ำมันกลายเป็นเชื้อเพลิงหลักของอเมริกาอย่างรวดเร็ว และ Model T กลายเป็น “รถยนต์สำหรับประชาชน” ที่แท้จริง

แม้แต่ผู้ที่อาศัยอยู่นอกเขตเมืองที่ไฟฟ้ายังคงเข้าถึงได้ยาก ก็สามารถเป็นเจ้าของรถยนต์ได้ เรียกได้ว่า Ford ได้กลายเป็นผู้ขีดชะตาชีวิตของรถยนต์ทั้งอุตสาหกรรมไปเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม รถยนต์ไฟฟ้าไม่ได้มลายหายไปหมดสิ้น พวกมันยังคงมีบทบาทในการใช้งานที่ต้องการความเร็วต่ำและระยะทางสั้นในเขตเมือง

ในประเทศอังกฤษมีการใช้รถตู้ไฟฟ้าสำหรับส่งนมถึงบ้านไปจนถึงทศวรรษ 1980

ส่วนในญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 การขาดแคลนน้ำมันเบนซินและน้ำมันดิบทำให้มีการผลิตยานพาหนะไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องตลอดกลางศตวรรษที่ 20

เป็นครั้งคราวที่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่จะพัฒนาต้นแบบรถยนต์ไฟฟ้า ส่วนใหญ่เพื่อทดสอบความเป็นไปได้ในการผลิตและเพื่อแสดงให้นักสิ่งแวดล้อมเห็นว่าการสร้างยานพาหนะที่ไม่ปล่อยมลพิษเป็นเรื่องยากและมีค่าใช้จ่ายสูงลิบลิ่ว

ตัวอย่างที่เจ๋งมากๆ คือ Electrovair ของ Chevrolet ที่พัฒนาในปี 1966 ใช้แบตเตอรี่ซิงค์-เงินแบบพิเศษที่ให้ไฟฟ้า 532 โวลต์ สำหรับมอเตอร์เหนี่ยวนำกระแสสลับขนาด 115 แรงม้า

ทำให้มันมีกำลังเทียบเท่ากับเครื่องยนต์ Chevrolet Flat 6 และให้ประสิทธิภาพคล้ายคลึงกับรถรุ่นเครื่องยนต์น้ำมัน เป็นนวัตกรรมที่น่าจับตามองในยุคนั้น

แต่ Electrovair ก็มีข้อเสียที่ทำให้แผนล้มเหลวโดยสิ้นเชิง แบตเตอรี่หนักถึง 800 ปอนด์ที่ติดตั้งใต้ฝากระโปรงส่งผลต่อการกระจายน้ำหนักของรถอย่างมาก

ความเร็วสูงสุดถูกจำกัดไว้ที่ 80 ไมล์ต่อชั่วโมงด้วยระยะทางระหว่าง 40 ถึง 80 ไมล์ ซึ่งแย่ลงไปอีกเนื่องจากแบตเตอรี่มีอายุการใช้งานเพียง 100 รอบการชาร์จเท่านั้น

ยังไม่รวมถึงค่าใช้จ่ายมหาศาลถึง 160,000 ดอลลาร์สำหรับแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นเงินจำนวนสูงมาก ๆ ในปี 1966 ที่คนธรรมดาไม่มีทางเอื้อมถึงได้

สิ่งที่น่าสนใจคือประวัติศาสตร์รถยนต์ไฟฟ้ามันมีความใกล้เคียงกับสถานการณ์ในปัจจุบันอย่างน่าประหลาดใจ เรื่องราวเดียวกันหลายอย่างยังคงเกิดขึ้นอีกครั้งในยุคปัจจุบัน ประวัติศาสตร์อาจไม่ได้ซ้ำรอยทุกประการ แต่มักจะมีรูปแบบที่คล้ายคลึงกัน

โชคดีที่ยุคฟื้นฟูของรถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบันกำลังดำเนินไปอย่างราบรื่นมากขึ้น เทคโนโลยีได้พัฒนาขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาที่เคยขัดขวางการยอมรับในอดีต

และในที่สุด ตัวเลือกที่สะดวก มีประสิทธิภาพ และคุ้มค่าที่สุดจะเป็นผู้ชนะอีกครั้ง เป็นกฎเหล็กของตลาดที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้

ในช่วงทศวรรษ 1990 เริ่มมีความพยายามผลักดันรถยนต์ไฟฟ้าอีกครั้ง โดย General Motors ได้เปิดตัว EV1 ซึ่งถือเป็นรถยนต์ไฟฟ้าสำหรับตลาด mass ยุคใหม่รุ่นแรก

แม้ว่าโมเดลแรกจะมีระยะทางเพียง 74 ไมล์ต่อการชาร์จ แต่เมื่อเปลี่ยนจากแบตเตอรี่ตะกั่ว-กรดเป็นนิกเกิล-เมทัลไฮไดรด์ ก็สามารถวิ่งได้ไกลขึ้น เป็นความก้าวหน้าที่น่าจับตา

ต่อมา Tesla Motors ก่อตั้งขึ้นในปี 2003 และเปิดตัว Roadster ในปี 2008 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า การมาของ Tesla ทำให้วงการรถยนต์ต้องตะลึงใจกับสมรรถนะที่ไม่เคยมีมาก่อน

ปัจจุบัน เราเห็นการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีแบตเตอรี่ ระบบชาร์จ และการออกแบบรถยนต์ไฟฟ้า ผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลกกำลังแข่งขันกันพัฒนารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ

พวกเขาจัดเต็มในการสร้างรถที่มีสมรรถนะสูงขึ้น ราคาถูกลง และระยะทางไกลขึ้น ค่ายรถยักษ์ใหญ่อย่าง GM, Nissan, Ford และอื่นๆ ต่างเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่จำนวนมาก

หลายประเทศมีนโยบายส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพื่อลดการปล่อยมลพิษและการพึ่งพาน้ำมัน เป็นการผลักดันอุตสาหกรรมนี้ให้เติบโตอย่างรวดเร็ว

แม้อาจต้องใช้เวลาอีกสักพัก แต่ศตวรรษที่ 21 อาจเป็นช่วงเวลาที่รถยนต์ไฟฟ้ากลับมาครองตลาดในที่สุด เหมือนที่เคยเป็นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20

เป็นการพิสูจน์ว่าบางครั้งเทคโนโลยีที่ดีอาจต้องใช้เวลาเพื่อค้นหาจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำตลาด และอาจต้องรอให้โลกพร้อมที่จะยอมรับนวัตกรรมที่มาก่อนกาลเวลา

เราอาจได้เห็นการกลับมาของยุคทองรถยนต์ไฟฟ้าอีกครั้ง ในรูปแบบที่ดีกว่า เร็วกว่า และเข้าถึงได้มากกว่า ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นและน่าติดตามว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรต่อไป

References: [caranddriver, wikipedia, energy .gov, tbauto, ni, energysavingtrust]

ทำไมรถยนต์ไฮโดรเจนถึงล้มเหลว? เมื่อเทคโนโลยีล้ำเกินไป จากความฝันที่กลายเป็นความจริงอันแสนเจ็บปวด

เคยมีช่วงหนึ่งที่วงการยานยนต์โลกต่างถวิลหาอนาคตสีเขียว และรถไฮโดรเจนถูกยกให้เป็นดาวรุ่งพุ่งแรงที่จะมาเปลี่ยนโลก

ภาพฝันนั้นสุดล้ำ รถที่วิ่งได้ไกล เติมเชื้อเพลิงเร็ว แถมยังปล่อยเพียงน้ำบริสุทธิ์ออกจากท่อไอเสีย ไม่มีมลพิษ ไม่มีควันดำ

แม้แต่ George W. Bush อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังตาลุกวาวกับเทคโนโลยีนี้ ถึงขั้นอัดฉีดเงินทุนมหาศาลถึง 1.3 พันล้านดอลลาร์ เพื่อผลักดันให้รถเหล่านี้วิ่งอยู่บนท้องถนนของสหรัฐอเมริกา

แต่อะไรเกิดขึ้น? ทำไมทุกวันนี้แทบไม่มีใครพูดถึงรถไฮโดรเจนอีกแล้ว? ทำไมความหวังนี้จึงค่อยๆ มลายหายไปหมดสิ้น?

ย้อนกลับไปปี 1966 โลกได้เห็นการเปิดตัวรถหรูรุ่นสุดเทพมากมาย ทั้ง Porsche 911 S, Lamborghini Mira และ Pontiac GTO

แต่น้อยคนรู้ว่าปีเดียวกันนั้นเอง รถเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนคันแรกของโลกก็ถือกำเนิดขึ้นด้วย แม้จะไม่ได้มีคนชายตามองมันมากนัก

รถไฮโดรเจนเป็นนวัตกรรมสุดล้ำที่ทำงานต่างจากรถทั่วไปโดยสิ้นเชิง เติมเชื้อเพลิงใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที เทียบเท่ารถน้ำมัน ไม่ต้องเสียเวลานั่งรอชาร์จนานเหมือนรถยนต์ไฟฟ้าที่บางครั้งอาจใช้เวลาเป็นชั่วโมง

จุดขายหลักคือการเป็นยานพาหนะที่มีการปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ มีเพียงน้ำบริสุทธิ์เท่านั้นที่ออกมาจากท่อไอเสีย สะอาดจนดื่มได้

มันเป็นภาพฝันที่สวยงามของโลกที่ปราศจากมลพิษ ทุกอย่างลงตัวเหมือนมันถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนาคตของวงการยานยนต์

แต่เมื่อต้องเผชิญกับความเป็นจริง รถไฮโดรเจนต้องพบกับอุปสรรคที่ทำให้ความฝันนั้นสั่นคลอน ปัญหาหลักมีห้าประการ: ราคา ความสะดวก สมรรถนะ สิ่งแวดล้อม และการแข่งขัน

เริ่มที่เรื่องราคา ปัจจุบันมีรถไฮโดรเจนวางขายเพียงสามรุ่น: Toyota Mirai, Hyundai Nexo และ Honda Clarity

Toyota Mirai รุ่นปี 2021 เป็นรุ่นที่ถูกที่สุดแต่ก็ยังราคาสูงถึง 50,000 ดอลลาร์ หรือราว 1.7 ล้านบาท ถ้าได้ส่วนลดและแรงจูงใจทางการเงินครบ ราคาอาจลดเหลือ 18,000 ดอลลาร์ หรือราว 6 แสนบาท ซึ่งก็ยังไม่ถูกนัก

แต่ราคารถเป็นแค่ส่วนเดียว ค่าเชื้อเพลิงนี่สิที่ทำให้กระเป๋าฉีก เฉลี่ยอยู่ที่ 16.50 ดอลลาร์ต่อกิโลกรัม

รถไฮโดรเจนบรรจุไฮโดรเจนประมาณ 5-6 กิโลกรัม วิ่งได้ไกล 400 ไมล์ หรือประมาณ 640 กิโลเมตรต่อการเติมหนึ่งครั้ง

เมื่อคำนวณแล้ว การเติมเต็มถังหนึ่งครั้งมีค่าใช้จ่ายโหดถึง 80 ดอลลาร์ หรือกว่า 2,800 บาท แพงลิบเมื่อเทียบกับทางเลือกอื่น

ความท้าทายเรื่องโครงสร้างพื้นฐานก็หนักหนาสาหัสไม่แพ้กัน สถานีเติมไฮโดรเจนในอเมริกามีเพียง 45 แห่ง ส่วนใหญ่อยู่ในแคลิฟอร์เนีย

ลองคิดดูว่าร้าน Red Lobster ในอเมริกายังมีมากกว่าสถานีเติมไฮโดรเจนถึง 16 เท่า ใครซื้อรถไฮโดรเจนต้องวางแผนเดินทางรอบๆ จุดเติมให้ดี

ไม่ใช่แค่จำนวนสถานีที่น้อย แต่ต้นทุนสร้างสถานีแต่ละแห่งยังสูงถึง 2 ล้านดอลลาร์ หรือราว 70 ล้านบาท สูงปรี๊ดกว่าสถานีน้ำมันหรือสถานีชาร์จไฟฟ้า

ผู้ผลิตอย่าง Toyota พยายามดึงดูดลูกค้าด้วยเครดิตค่าเชื้อเพลิง 15,000 ดอลลาร์ แต่ต้องใช้ภายในสามปีแรก หลังจากนั้นก็ต้องควักกระเป๋าจ่ายเอง

ถ้าพูดถึงสมรรถนะ หลายคนอาจคิดว่ารถไฮโดรเจนน่าจะทะยานได้เหมือนสายฟ้าแลบ แต่ Toyota Mirai ใช้เวลาถึง 9.1 วินาทีในการเร่งจาก 0 ถึง 60 ไมล์ต่อชั่วโมง

เมื่อเทียบกับ Tesla Model 3 ที่ทำเวลาได้เพียง 3.1 วินาที ต่างกันราวฟ้ากับเหว รถไฮโดรเจนเหมือนมวยวัดที่ขึ้นชกกับมวยอาชีพ

หัวใจของรถไฮโดรเจนคือการเป็นยานพาหนะเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่เมื่อขุดลึกลงไป ความจริงกลับไม่ได้สวยหรูอย่างที่โฆษณา

รถไฮโดรเจนทำงานผ่านกระบวนการซับซ้อน ไฮโดรเจนความดันสูงไหลผ่านท่อไปยังขั้วบวกในเซลล์เชื้อเพลิง ขณะที่ออกซิเจนจากอากาศไหลไปยังขั้วลบ

ที่ขั้วบวกซึ่งมีแพลทินัม อะตอมไฮโดรเจนแตกตัวเป็นไอออนไฮโดรเจน (โปรตอน) และอิเล็กตรอน

โปรตอนเคลื่อนผ่านอิเล็กโทรไลต์ไปขั้วลบ ส่วนอิเล็กตรอนไหลผ่านวงจรภายนอกไปยังมอเตอร์ไฟฟ้า ให้พลังงานขับเคลื่อนล้อรถ

เมื่อทั้งหมดรวมตัวกันที่ขั้วลบ จะทำปฏิกิริยากับออกซิเจนจากอากาศ กลายเป็นน้ำ (H2O) ที่ถูกปล่อยออกทางท่อไอเสีย ฟังดูสะอาดใช่ไหม?

แต่สิ่งที่หลายคนอาจจะยังไม่ทราบก็คือ ไฮโดรเจนไม่ได้มีอยู่บริสุทธิ์ในธรรมชาติ ต้องแยกจากโมเลกุลอื่นผ่านกระบวนการ “อิเล็กโทรไลซิส” ที่กินพลังงานมโหฬาร

การผลิตไฮโดรเจนต้องใช้ไฟฟ้าจำนวนมหาศาลในการแยกน้ำ ต้องบีบอัด ทำให้เย็น และขนส่ง ทุกขั้นตอนกินพลังงาน เมื่อเข้ารถก็ต้องเปลี่ยนกลับเป็นไฟฟ้าอีกที

เมื่อคำนวณประสิทธิภาพทั้งระบบ จากพลังงาน 100 วัตต์ที่ใช้ผลิตไฮโดรเจน จะเหลือแค่ 38 วัตต์ที่ได้ใช้จริงในการขับรถ

นั่นหมายความว่ารถไฮโดรเจนมีประสิทธิภาพแค่ 38% ต่ำกว่ารถไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพ 80% อย่างเห็นได้ชัด แม้จะยังดีกว่ารถน้ำมันที่อยู่ที่ 25-35%

ประสิทธิภาพที่ต่ำกว่ารถไฟฟ้าถึงสองเท่านี้ หมายความว่ารถไฮโดรเจนต้องการพลังงานมากกว่าที่รถไฟฟ้าต้องการถึงสองเท่า

ซ้ำร้าย หากไฮโดรเจนถูกผลิตจากเชื้อเพลิงฟอสซิล (ซึ่งถูกที่สุดในปัจจุบัน) จะปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่าการใช้น้ำมันโดยตรงในเครื่องยนต์ดั้งเดิม

ทางเลือกสีเขียวแท้จริงคือการผลิตไฮโดรเจนจากแหล่งพลังงานสะอาด เช่น แสงอาทิตย์หรือลม แต่นั่นก็ยิ่งทำให้ต้นทุนพุ่งกระฉูดขึ้นไปอีก

ในด้านการแข่งขันในตลาด รถไฮโดรเจนต้องต่อกรกับกระแสความนิยมของรถไฟฟ้าที่กำลังเติบโตแบบก้าวกระโดด

Tesla เข้าวงการพร้อมกับช่วงที่รถไฮโดรเจนเริ่มได้รับความสนใจ แต่ด้วยความสำเร็จของรถไฟฟ้า ทำให้รถไฮโดรเจนถูกลืม

ตลาดหันไปให้ความสนใจรถไฟฟ้าและแบตเตอรี่ลิเธียม เงินลงทุนและการวิจัยถูกถีบส่งไปพัฒนาแบตเตอรี่ ทิ้งให้ไฮโดรเจนตกม้าตาย

ไม่ต่างจากตอน Dreamcast เปิดตัวเครื่องเล่นเกมด้วยกราฟิกสุดเทพ แต่ไม่นานหลังจากนั้น PS2 และ Xbox ก็มาพร้อมกราฟิกที่เหนือชั้น ทำให้ Dreamcast จบเห่

รถไฮโดรเจนพยายามแก้ปัญหาที่ไม่จำเป็นต้องแก้ และไม่ได้แก้ปัญหาเหล่านั้นได้ดีพอตั้งแต่แรก จึงเป็น make sense ที่มันไม่ประสบความสำเร็จ

อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนไม่ได้ไร้ประโยชน์เสียทีเดียว ยังมีการนำไปใช้ในหลายอุตสาหกรรม

คลังสินค้าอย่าง Amazon ใช้รถยกไฮโดรเจนเคลื่อนย้ายสินค้า ซึ่งเข้าท่าสำหรับการใช้งานในอาคาร มีการพัฒนาเครื่องทำความร้อน รถบัส และแหล่งพลังงานสำรอง

แม้แต่ NASA ยังใช้เซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนเป็นแหล่งพลังงานสำหรับยานอวกาศ และมีการพัฒนารถบรรทุกขนาดใหญ่ขับเคลื่อนด้วยไฮโดรเจน

ในทางเทคนิค ไฮโดรเจนเหมาะกับยานพาหนะขนาดใหญ่ที่ต้องทำงานต่อเนื่องเป็นเวลานาน เช่น รถบรรทุก รถโดยสาร เพราะได้เปรียบด้านระยะทางและเวลาเติมเร็ว

บริษัทอย่าง Hyundai และ Toyota ยังลงทุนพัฒนารถบรรทุกไฮโดรเจน โดยหมายปองให้เป็นอนาคตของการขนส่งสินค้าระยะไกลที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

เรื่องราวของรถไฮโดรเจนเป็นบทเรียนสำคัญในโลกนวัตกรรม แม้จะมีแนวคิดเจ๋ง แต่ราคา ความสะดวก โครงสร้างพื้นฐาน และการแข่งขันคือตัวชี้ชะตาชีวิต

การที่รถไฮโดรเจนจะประสบความสำเร็จต้องการเงินลงทุนมหาศาล การสนับสนุนจากรัฐบาล และเวลานานมากในการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน

แต่ตอนนี้รถไฟฟ้าได้ขึ้นเป็นเจ้าตลาดยานยนต์พลังงานทางเลือกไปแล้ว ทำให้โอกาสของรถไฮโดรเจนดิ่งลงเหวทุกวัน

อย่างไรก็ตาม เราไม่ควรมองข้ามศักยภาพของเทคโนโลยีเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนในบริบทอื่น เช่น ยานพาหนะขนาดใหญ่ แหล่งพลังงานสำรอง

อนาคตอาจมีการค้นพบที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนของเทคโนโลยีนี้ เปิดโอกาสให้รถไฮโดรเจนได้กลับมาทวงบัลลังก์อีกครั้ง

ในที่สุด การเปลี่ยนแปลงสู่พลังงานสะอาดเป็นเป้าหมายที่ทุกฝ่ายต้องการ แต่เส้นทางสู่เป้าหมายนั้นอาจไม่เป็นอย่างที่เราฝันไว้

รถไฮโดรเจนอาจไม่ใช่คำตอบสำหรับรถส่วนตัวในตอนนี้ แต่บทเรียนและเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นยังคงมีคุณค่าและอาจนำไปสู่นวัตกรรมใหม่ในอนาคต

อย่างที่พูดกันว่า การล้มเหลวไม่ใช่การพ่ายแพ้ถ้าเรายังเรียนรู้จากมัน และบางที สักวันรถยนต์ Toyota Mirai ที่ถูกตำหนิว่าช้าอาจได้รับการปรับแต่งจนทำเวลา 0-60 ได้ในเพียง 3 วินาที และกลายเป็นที่เชิดชูของตลาดก็เป็นได้

References: [afdc .energy .gov, global .toyota, iea .org, epa .gov, cafcp .org]

เปิดตำนาน Tom Zhu ชายผู้พลิกโฉม Tesla จากทุ่งร้างสู่โรงงานที่แรงที่สุดในโลก

ผมว่าหลายคนคงแทบไม่เคยได้ยินชื่อชายที่มีชื่อว่า Tom Zhu เพราะเขาอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ Tesla มานาน แต่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงเขาเท่าไหร่

Tom Zhu คือหนึ่งในผู้บริหารระดับสูงที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดของ Tesla บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าเบอร์หนึ่งของโลก เขาเคยเป็นหัวหน้า Tesla ในจีนและทั่วเอเชีย

งานเอกของเขาคือการเป็นแม่ทัพสร้างและบริหาร Gigafactory Shanghai ซึ่งเป็นโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่สุดล้ำของ Tesla ความสามารถของเขาทำให้ Elon Musk ถึงกับยอมรับ

ในเดือนเมษายน 2023 Elon โปรโมตให้ Tom Zhu ก้าวขึ้นเป็นรองประธานอาวุโสฝ่ายยานยนต์ ทำให้เขากลายเป็นผู้บริหารที่ดูแลการดำเนินงานทั่วโลกของ Tesla

ตำแหน่งนี้ทำให้ Tom Zhu กลายเป็น “พี่ใหญ่” คนสำคัญอันดับสองรองจาก Elon Musk เท่านั้น

ตามรายงานของ Reuters ผู้บริหารระดับสูงที่ต้องรายงานตรงต่อ Tom Zhu มีทั้งผู้อำนวยการฝ่ายการผลิตที่ Giga Texas และผู้อำนวยการอาวุโสที่โรงงาน Fremont

นอกจากนี้ รองประธานที่ดูแลยุโรป ตะวันออกกลาง แอฟริกา และรองประธานฝ่ายขายในอเมริกาเหนือก็ต้องรายงานต่อเขาโดยตรง เรียกได้ว่าเขาเป็นหัวเรือใหญ่เลยทีเดียว

แล้ว Tom Zhu มาจากไหน? เขาเป็นชายวัย 43 ปีจากปักกิ่ง จบปริญญาตรีด้านพาณิชยศาสตร์ สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศจาก Auckland University of Technology ในนิวซีแลนด์

หลังเรียนจบ เขาไปทำงานที่บริษัทที่ปรึกษาวิศวกรรมชื่อ Kaibo Engineering ซึ่งก่อตั้งโดยเพื่อนร่วมชั้น MBA จาก Duke University ทำให้เขาได้รับประสบการณ์โชกโชนในสายงานที่ปรึกษา

บริษัท Kaibo เชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาผู้รับเหมาจีนที่ต้องการขยายโครงการไปต่างประเทศ ซึ่งต้องใช้ความรู้ด้านวิศวกรรมและการบริหารโครงการแบบเข้มข้น

จุดพีคในชีวิตของ Tom Zhu เกิดขึ้นตอนทำงานให้ Kaibo ในแอฟริกาเหนือ เขาได้พบกับ Cal Lankton ผู้อำนวยการโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จ EV ระดับโลกของ Tesla โดยบังเอิญ

Cal Lankton ประทับใจความสามารถของ Tom Zhu มาก จึงชวนให้เขาเข้าร่วมทีม Tesla ในปี 2014 เพื่อสร้างเครือข่าย Supercharging ในจีน

พอร่วมงานกับ Tesla, Tom Zhu ได้แสดงฝีมือในการบริหารงาน เขารับผิดชอบการเติบโตของบริษัทในจีนและเอเชีย โดยเฉพาะโครงการ Gigafactory Shanghai

Gigafactory Shanghai คือโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าขนาดยักษ์ของ Tesla ในประเทศจีน ที่เปลี่ยนจากพื้นที่ว่างเปล่าในเดือนมกราคม 2019 กลายเป็นโรงงานที่สร้างเสร็จภายในเก้าเดือน

ความเร็วในการก่อสร้างแบบนี้เรียกว่าโหดมาก ๆ โดยปกติการสร้างโรงงานขนาดนี้ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 ปี แต่ Tom Zhu จัดเต็มจนสร้างเสร็จได้ในเวลาไม่ถึงปี

ที่น่าทึ่งกว่านั้น โรงงานแห่งนี้ยังส่งมอบรถยนต์คันแรกได้ในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน นี่ไม่ใช่แค่สร้างโรงงานเสร็จ แต่สามารถผลิตรถได้จริงในปีเดียว!

แต่เส้นทางนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ระหว่างการก่อสร้าง Gigafactory Shanghai ต้องเจอกับพายุไต้ฝุ่นรุนแรงที่ทำให้ระบบระบายน้ำเละเทะไปหมด

Tom Zhu และพนักงาน Tesla ไม่ได้นั่งรอความช่วยเหลือจากใคร พวกเขาขึ้นไปบนหลังคาเพื่อตักน้ำระบายด้วยมือ ใช้ถังธรรมดาๆ ด้วยซ้ำในตอนนั้น

เหตุการณ์นี้ถูกบันทึกโดย Wu Wa Youtuber ที่ติดตามการพัฒนาโรงงาน Tesla ในเซี่ยงไฮ้ ทำให้โลกได้เห็นความทุ่มเทของทีมงาน

ความท้าทายใหญ่อีกครั้งคือตอนเกิด COVID-19 ในจีน การล็อกดาวน์ทำให้โรงงานทั่วประเทศต้องปิดตัว แต่ Tom Zhu กลับมีบทบาทสำคัญในการทำให้ Gigafactory Shanghai กลับมาผลิตได้อย่างรวดเร็วจนน่าทึ่ง

มีรายงานว่าในช่วงล็อกดาวน์สองเดือน Tom Zhu เลือกที่จะนอนในโรงงานตลอดเวลาเพื่อควบคุมงาน เพื่อรักษาโรงงานให้เดินหน้าต่อไปได้

ที่น่าทึ่งคือ Tom Zhu ใช้ชีวิตเรียบง่ายมาก ทั้งที่เป็นผู้บริหารระดับสูง เขาอาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์ธรรมดาแบบสองห้องนอน ห่างจาก Gigafactory Shanghai แค่ 10 นาที

ค่าเช่าที่พักนี้น้อยกว่า 2,000 หยวน หรือประมาณ 280 ดอลลาร์ต่อเดือนเท่านั้น ถูกมากสำหรับผู้บริหารระดับเขา แถมยังให้พ่อแม่มาอยู่ด้วย ไม่ได้หลงระเริงไปกับเรื่องเงินทองเลย

สิ่งที่น่าสนใจมากที่สุดก็คือ อพาร์ตเมนต์นี้เป็นที่อยู่ของพนักงาน Tesla คนอื่นๆ ด้วย เขาบอกว่าบรรยากาศแบบนี้ดีมาก ทุกคนช่วยเหลือกัน เป็นเหมือนครอบครัวเล็กๆ ที่ร่วมชายคาเดียวกัน

วันทำงานของ Tom Zhu เริ่มตั้งแต่ตี 6 หรือ 7 โมงเช้า เขาแชร์รถไปกับพนักงานคนอื่นๆ และทำงานจนถึงเที่ยงคืนหรือดึกกว่านั้น

เหตุผลที่ต้องเริ่มทำงานเช้ามากเพราะต้องติดต่อกับเพื่อนร่วมงานในอเมริกาเหนือก่อนที่พวกเขาจะเลิกงาน รวมถึงการสื่อสารโดยตรงกับ Elon Musk ด้วย

ในบัญชี Weibo เขาเคยโพสต์ว่า “ผมอยากนอนมาก แต่งานมันสนุกมากๆ” ประโยคสั้นๆ นี้สะท้อนถึงความหลงใหลในงานที่ทำ แม้จะเหนื่อยแทบขาดใจ แต่ก็ยังรู้สึกสนุกกับมัน

การทุ่มเทของ Tom Zhu สร้างผลลัพธ์ที่ทำให้คนทั่วโลกต้องตะลึง เขาพัฒนา Gigafactory Shanghai เป็นโรงงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุดของ Tesla จนเป็นที่เชิดหน้าชูตาของบริษัท

ปัจจุบัน โรงงานนี้มีกำลังการผลิตกว่า 750,000 คันต่อปี ซึ่งมากกว่าครึ่งหนึ่งของการผลิตทั่วโลกของ Tesla ที่ 1.37 ล้านคันในปี 2022

ที่สุดยอดคือ Gigafactory Shanghai ผลิตรถยนต์ได้ในเวลาน้อยกว่า 2 นาทีต่อคัน แต่ Tom Zhu ยังไม่พอใจ ตั้งเป้าต้องผลิตให้ได้ทุกๆ 45 วินาที

ความสำเร็จเกิดจากหลายปัจจัย ทั้งการออกแบบโรงงานแบบแนวตรง ทำให้วัสดุไหลผ่านการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ การมีทีมก่อสร้างภายในที่แกร่ง และวัฒนธรรมการทำงานหนักที่ Tom Zhu ปลุกปั้นขึ้นมา

เดือนพฤษภาคม 2023 Elon Musk มาเยี่ยมจีนครั้งแรกในรอบสามปี และไม่ลืมที่จะชื่นชม Gigafactory Shanghai ว่าไม่เพียงมีประสิทธิภาพสูงสุด แต่ยังผลิตรถคุณภาพดีที่สุดด้วย

ความสำเร็จของ Tesla ในจีนได้รับการสนับสนุนเข้มแข็งจากรัฐบาลจีน Tesla เป็นผู้ผลิตรถยนต์ต่างชาติรายแรกที่ได้เปิดโรงงานอิสระในจีน โดยไม่ต้องร่วมทุนกับบริษัทท้องถิ่น

โดยปกติแล้ว ผู้ผลิตรถยนต์ต่างชาติต้องร่วมมือกับพันธมิตรชาวจีน แต่ Tesla ได้สิทธิพิเศษ แม้จะมีความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับจีน Tom Zhu ก็มองว่าไม่น่ากังวลมากนัก

ภายใต้การนำของ Tom Zhu, Tesla เติบโตแบบพุ่งกระฉูด เขาเล่าให้ฟังว่า Tesla ใช้เวลา 12 ปีในการสร้างรถ 1 ล้านคัน แต่ใช้เวลาเพียง 7 เดือนในการสร้างรถล้านคันถัดไป

ในการสัมภาษณ์กับ Duke University เขาอธิบายตัวเองว่าเป็นคนที่มุ่งมั่น และความมุ่งมั่นนี้ทำให้เขาได้รับรางวัลคุ้มค่า เมื่อไม่นานนี้ เขาได้รับหุ้น TSLA เพิ่มอีก 339,060 หุ้น

หุ้นเหล่านี้มีมูลค่าสูงถึง 70 ล้านดอลลาร์ (ราคาหุ้น 214 ดอลลาร์ตอนที่มีรายงาน) แต่สำหรับ Tom Zhu แล้ว เงินไม่ใช่แรงจูงใจหลัก เขามุ่งมั่นในภารกิจที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น

เขาเคยพูดประโยคกินใจว่า “จนกว่ารถทุกคันบนท้องถนนจะเป็นรถไฟฟ้า เราจะไม่หยุดทำงาน” นี่คือสุดยอดวิสัยทัศน์ที่ขับเคลื่อนเขาให้ก้าวต่อไปข้างหน้าไม่หยุดยั้ง

ปัจจุบัน Tom Zhu ยังรังสรรค์ให้ Tesla เติบโตต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ในฐานะรองประธานอาวุโสฝ่ายยานยนต์ เขานำประสบการณ์จาก Gigafactory Shanghai ไปใช้กับโรงงานทั่วโลก

สไตล์การบริหารแบบลงมือทำจริงและความทุ่มเทกลายเป็นแบบอย่างให้ผู้บริหารทั่วโลก หลายคนเชื่อว่า Tom Zhu จะช่วยให้ Tesla บรรลุเป้าหมายผลิตรถ 20 ล้านคันต่อปีภายในปี 2030

เทคนิคการบริหารของ Tom Zhu มีอะไรพิเศษ? หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญคือการทำให้ทุกคนรู้สึกเป็นเจ้าของงาน ไม่ใช่แค่รับคำสั่ง ทำให้พนักงานรู้สึกว่าพวกเขากำลังสร้างประวัติศาสตร์

อีกเทคนิคคือการลงไปคลุกวงในกับปัญหาจริงๆ ไม่ใช่นั่งสั่งงานจากห้องแอร์เย็นๆ เขาไม่กลัวที่จะมือเปื้อน ไม่ว่าจะเป็นการระบายน้ำบนหลังคาหรือแก้ปัญหาในสายการผลิต

นอกจากนี้ เขายังใช้การสื่อสารแบบตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม ทำให้ทุกคนรู้ว่าเป้าหมายคืออะไร และจะไปถึงได้อย่างไร ทุกอย่างชัดเจน

ชีวิตของ Tom Zhu มีจุดเปลี่ยนตอนที่เขาได้พบกับ Cal Lankton ที่ชักชวนเขาเข้าสู่ Tesla ราวกับฟ้าลิขิตให้เขาได้พบกับงานที่เขารัก และทำให้เขากลายเป็นผู้บริหารระดับโลก

คนหลายคนถวิลหาความสำเร็จแบบ Tom Zhu แต่น้อยคนจะยอมทุ่มเทและเสียสละเหมือนที่เขาทำ เขาไม่เคยมีแค่เพียงความฝันลมๆ แล้งๆ แต่ลงมือทำจริงๆ จนฝันกลายเป็นจริง

ในโลกที่ทุกคนมักมองหาทางลัดสู่ความสำเร็จ Tom Zhu กลับสอนเราว่าไม่มีทางลัด มีแต่ความทุ่มเท ความอดทน และการไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคเท่านั้นที่จะนำไปสู่ความยิ่งใหญ่

Tom Zhu ยังคงเดินหน้าสร้างประวัติศาสตร์ให้กับวงการยานยนต์โลก และสยายปีกความสำเร็จอย่างไม่หยุดยั้ง ถ้ามีใครถามว่าใครคือตัวอย่างของคนที่ประสบความสำเร็จด้วยการทำงานหนัก Tom Zhu คือคำตอบที่ชัดเจน

ต่อให้เราไม่ได้ทำงานในวงการรถยนต์ไฟฟ้า แต่เราก็เรียนรู้จากแนวคิดและวิธีการทำงานของเขาได้ ไม่ว่าจะเป็นความทุ่มเท การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า หรือการมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน

ในขณะที่โลกกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า Tom Zhu และ Tesla กำลังอยู่ในจุดที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ และเราจะได้เห็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ขึ้นของพวกเขาในอนาคตอย่างแน่นอน

นี่คือเรื่องราวของ Tom Zhu ชายผู้ที่พิสูจน์ให้เห็นว่าด้วยความมุ่งมั่นและวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน คนธรรมดาก็สามารถสร้างสิ่งที่ไม่ธรรมดาได้ และเปลี่ยนโลกไปในทางที่ดีขึ้นได้จริงๆ

References: [bloomberg, reuters, cnbc, teslarati, businessinsider]

เมื่อ Iron Man แห่งวงการรถยนต์ Comeback Elon Musk จะพลิกวิกฤต Tesla ได้จริงหรือ?

แสงไฟในสำนักงานใหญ่ Tesla ที่ Austin เริ่มสว่างจ้าในยามค่ำคืนอีกครั้ง เมื่อ Elon Musk ลูกพี่ใหญ่ประกาศกลับมาทุ่มเทให้กับบริษัทรถไฟฟ้าของเขามากขึ้น หลังจากแบ่งเวลาไปให้กับธุรกิจอื่นๆ มากมายก่อนหน้านี้

ไม่ว่าจะเป็น SpaceX, X (Twitter เดิม), Neuralink และล่าสุดคืองานกับรัฐบาล การประกาศครั้งนี้มาได้ถูกเวลามาก เพราะ Tesla เพิ่งรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2025 ที่ค่อนข้างแย่

ในการประชุมนักวิเคราะห์หลังประกาศผลประกอบการ Musk เผยว่าเขาจะลดบทบาทในงานด้านรัฐบาลลง โดยเฉพาะหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจสำคัญกับ Department of Government Efficiency

พี่ใหญ่อย่าง Musk วางแผนจะกลับมาโฟกัสที่ Tesla อย่างจริงจังตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2025 เป็นต้นไป การปรับตารางเวลาครั้งนี้จะทำให้เขาใช้เวลากับงานรัฐบาลเพียงหนึ่งถึงสองวันต่อสัปดาห์เท่านั้น

ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะกลับมาผลักดันการเติบโตของ Tesla อีกครั้ง ในช่วงที่บริษัทกำลังเผชิญกับการแข่งขันที่โหดเหี้ยมและความท้าทายรอบด้าน

โดยเฉพาะจากคู่แข่งจากจีนและยุโรปที่กำลังพัฒนาเทคโนโลยีรถไฟฟ้าอย่างก้าวกระโดด ตัวเลขผลประกอบการไตรมาสแรกของ Tesla ส่งสัญญาณเตือนที่ชัดเจน

กำไรของบริษัทลดฮวบอย่างมากถึง 71% จาก 1.39 พันล้านดอลลาร์ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เหลือเพียง 409 ล้านดอลลาร์ ขณะที่รายได้ก็ลดลง 9% จะเห็นได้ว่าสถานการณ์ไม่ค่อยสู้ดีสักเท่าไหร่

ยิ่งไปกว่านั้น อัตรากำไรขั้นต้นยังลดลงจาก 17.4% เหลือ 16.3% ซึ่งเป็นสัญญาณว่าบริษัทกำลังต้องจัดการกับต้นทุนที่สูงขึ้น หรือราคาขายที่ต้องปรับลดลงเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาด

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นกลับมีปฏิกิริยาในเชิงบวกต่อการประกาศของ Musk โดยหุ้นของบริษัทพุ่งขึ้นถึง 5% ในการซื้อขายหลังเวลาทำการ

แม้ว่าในภาพรวมของปี 2025 ราคาหุ้น Tesla จะลดลงมากกว่า 40% แล้วก็ตาม นักลงทุนดูเหมือนจะให้ความเชื่อมั่นว่าการกลับมาของ Musk จะช่วยพลิกวิกฤตได้

เพื่อกู้สถานการณ์ Musk และทีมผู้บริหารของ Tesla ได้วางแผนกลยุทธ์สำคัญหลายประการ หนึ่งในนั้นคือการเปิดตัว Model Y รุ่นใหม่ที่มีราคาย่อมเยากว่าเดิม

ซึ่งเป็นการตอบสนองต่อความต้องการของตลาดที่ถวิลหารถยนต์ไฟฟ้าที่จับต้องได้มากขึ้น นอกจากนี้ Tesla ยังวางแผนที่จะเปิดตัวบริการ robotaxi แบบเสียค่าใช้จ่ายในเมือง Austin ภายในช่วงกลางปี 2025 นี้

และจะเป็นก้าวสำคัญในการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติสุดล้ำของบริษัท Musk ยังคงมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับอนาคตของยานยนต์ขับขี่อัตโนมัติ

โดยเขาเชื่อว่ารถยนต์ Tesla หลายล้านคันจะสามารถทำงานโดยอัตโนมัติได้ภายในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 และบริการรถยนต์ขับขี่อัตโนมัติอาจมีให้บริการในหลายเมืองของสหรัฐฯ ภายในสิ้นปีนี้

แม้ว่าวิสัยทัศน์ของ Musk จะฟังดูเจ๋งมาก ๆ และน่าตื่นเต้น แต่ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมหลายคนยังคงสงสัยเกี่ยวกับความพร้อมของเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติของ Tesla

นักวิเคราะห์จากบริษัทวิจัยชั้นนำได้เตือนว่าระบบ Full Self-Driving ของ Tesla ยังไม่พร้อมสำหรับการใช้งานโดยปราศจากการควบคุมจากมนุษย์ เพราะยังมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นบ่อยครั้ง

โดยเฉพาะในสภาวะทัศนวิสัยต่ำหรือในสถานการณ์การจราจรที่ซับซ้อน ระบบ Full Self-Driving ของ Tesla ยังอยู่ภายใต้การตรวจสอบอย่างเข้มงวดจาก National Highway Traffic Safety Administration (NHTSA)

การได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลเป็นอีกด่านสำคัญที่ Tesla จะต้องผ่านไปให้ได้ก่อนที่จะสามารถเปิดตัวบริการ robotaxi ได้อย่างเต็มรูปแบบ

ในขณะเดียวกัน Tesla กำลังเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน โดยเฉพาะ BYD ที่กำลังรังสรรค์แบตเตอรี่ที่ชาร์จได้เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น

รวมถึงผู้ผลิตรถยนต์จากยุโรปที่กำลังเร่งพัฒนารุ่นรถยนต์ไฟฟ้าที่ล้ำสมัยและมีดีไซน์ที่ดึงดูดใจ ยิ่งไปกว่านั้น จุดยืนทางการเมืองของ Musk ในช่วงที่ผ่านมาได้ส่งผลให้ลูกค้าชาวยุโรปบางส่วนรู้สึกห่างเหิน

และเลือกที่จะหันไปซื้อรถยนต์ไฟฟ้าจากแบรนด์อื่นแทน การที่ Musk หันมาให้ความสำคัญกับ Tesla อีกครั้งอาจช่วยลดผลกระทบจากประเด็นนี้ได้บ้าง แต่ก็ยังเป็นความท้าทายที่บริษัทจะต้องจัดการ

การกลับมาของ Musk ในครั้งนี้อาจต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่อาจลดน้อยลง ทั้งจากการแสดงจุดยืนทางการเมืองและการที่เขาแบ่งเวลาไปให้กับธุรกิจอื่นๆ มากเกินไป

อย่างไรก็ตาม ประวัติที่ผ่านมาของ Musk แสดงให้เห็นว่าเขามักจะทำงานได้ดีที่สุดเมื่ออยู่ภายใต้แรงกดดัน ราวกับมีเวทมนตร์บางอย่างช่วยให้เขาฝ่าฟันอุปสรรคไปได้เสมอ

Tesla ยังได้รับผลกระทบจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน โดยเฉพาะจากการเพิ่มขึ้นของภาษีนำเข้าวัสดุที่ใช้ในการผลิตและการนำเข้ารถยนต์บางรุ่น

การตอบโต้ทางการค้าระหว่างสองประเทศมหาอำนาจนี้ได้บังคับให้ Tesla ต้องระงับคำสั่งซื้อสำหรับรุ่นรถยนต์บางรุ่นในตลาดจีน ซึ่งเป็นตลาดที่มีความสำคัญอย่างมากสำหรับบริษัท

นอกจากนี้ การสร้างโรงงานใหม่ในต่างประเทศเพื่อลดผลกระทบจากภาษีนำเข้าก็มีต้นทุนที่สูงและใช้เวลาในการก่อสร้าง ซึ่งอาจทำให้แผนการขยายกำลังการผลิตของ Tesla ต้องชะงักในระยะสั้น

การดำเนินธุรกิจในสภาพแวดล้อมทางการค้าที่ผันผวนเช่นนี้ต้องอาศัยความยืดหยุ่นและการปรับตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่ง Musk เคยแสดงให้เห็นถึงความเทพในการนำ Tesla ผ่านพ้นวิกฤตมาแล้วหลายครั้ง

แม้จะมีความท้าทายมากมาย แต่ยังมีความหวังในผลประกอบการของ Tesla ที่ช่วยสร้างความหวังให้กับผู้ถือหุ้นและนักลงทุน นั่นคือการขายเครดิตภาษีตามกฎระเบียบให้กับผู้ผลิตยานยนต์รายอื่นและกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง

ในไตรมาสแรกของปี 2025 Tesla มีรายได้จากการขายเครดิตภาษีตามกฎระเบียบให้กับผู้ผลิตยานยนต์รายอื่นถึง 595 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจาก 442 ล้านดอลลาร์ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เครดิตเหล่านี้เป็นรายได้ที่มีอัตรากำไรสูง

และช่วยเสริมสร้างสถานะทางการเงินของบริษัท ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น Tesla สามารถสร้างกระแสเงินสดถึง 2.2 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งพุ่งทะยานจากเพียง 242 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว

การมีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งนี้ช่วยสร้างเสถียรภาพทางการเงินให้กับบริษัท และเพิ่มความยืดหยุ่นในการลงทุนในโครงการสำคัญต่างๆ

ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งแม้ในช่วงที่กำไรลดลงแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทางการเงินของ Tesla และเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม

แม้จะเผชิญกับความท้าทายมากมาย แต่ Tesla ยังคงมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับอนาคต โดยเฉพาะด้วยแผนการผลิตรถยนต์ที่มีราคาถูกลงและการพัฒนาเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติอย่างต่อเนื่อง

การกลับมาทุ่มเทของ Musk น่าจะส่งผลดีต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์และกลยุทธ์ทางการตลาดของ Tesla เขาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้นำที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลและมีความสามารถในการสร้างแรงบันดาลใจ

การมี Musk กลับมาอยู่ที่พวงมาลัยอย่างเต็มตัวอีกครั้งอาจเป็นสิ่งที่ Tesla ต้องการในช่วงเวลาวิกฤตนี้ ราวกับฟ้าลิขิตให้เขากลับมาในจังหวะที่เหมาะสม

การปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรและการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตน่าจะเป็นหนึ่งในเป้าหมายแรกๆ ที่ Musk จะให้ความสำคัญเมื่อเขากลับมาบริหาร Tesla อย่างเต็มที่

การลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตจะช่วยให้บริษัทสามารถแข่งขันกับคู่แข่งจากจีนและยุโรปได้ดียิ่งขึ้นในสงครามรถไฟฟ้าโลก

นอกจากนี้ การพัฒนาแบตเตอรี่รุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและมีต้นทุนต่ำลงก็เป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ Tesla สามารถรักษาความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าได้

บริษัทได้ลงทุนอย่างมากในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ และคาดว่าจะมีการประกาศความก้าวหน้าในด้านนี้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความมั่นใจให้กับนักลงทุน

แม้ว่า Tesla จะเผชิญกับความท้าทายในปัจจุบัน แต่ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่าเมื่อ Musk ให้ความสนใจอย่างเต็มที่กับบริษัทใด บริษัทนั้นมักจะประสบความสำเร็จในท้ายที่สุด

ด้วยกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งและแผนการพัฒนาเทคโนโลยีสุดเจ๋ง Tesla ยังคงอยู่ในตำแหน่งที่ดีในการแข่งขันในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีพลังงานสะอาดในระยะยาว

Tesla ยังคงมีโอกาสที่จะกลับมาเติบโตอีกครั้งและรักษาตำแหน่งผู้นำในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า และเทคโนโลยีพลังงานสะอาดได้ในระยะยาว หากฟ้าลิขิตให้ Musk ได้แสดงความเทพของเขาอีกครั้งนั่นเองครับผม

ปัญหา Tesla ใหญ่กว่าแค่เรื่อง Elon Musk? ยอดขายดิ่งลง รถถูกเผา เจาะลึกวิกฤตที่ไม่ใช่แค่เรื่องของการเมือง

ไม่นานมานี้ Elon Musk CEO ของ Tesla จัดประชุมพนักงานแบบฉุกเฉิน โดยเขาได้กล่าวปลุกใจพนักงานและให้คำมั่นสัญญาว่า “อนาคตของบริษัทจะสดใสและน่าตื่นเต้นอย่างเหลือเชื่อ”

แต่ทำไมเขาต้องรีบเร่งให้ความมั่นใจแบบนี้? คำตอบอยู่ที่สถานการณ์ของ Tesla ที่กำลังวิกฤต ราคาหุ้นดิ่งลงเหว ยอดขายลดฮวบ โดยเฉพาะในยุโรปที่ยอดขายตกอย่างหนัก

การประท้วงต่อต้านบริษัทขยายวงกว้างขึ้นทุกสัปดาห์ บริษัทที่เคยเป็นเรือธงแห่งอนาคตกลายเป็นเป้าของความโกรธแค้น จนมีเจ้าของรถ Tesla หลายคนตัดสินใจขายรถทิ้งแม้จะขาดทุนย่อยยับก็ตาม

พวกเขารู้สึกยี้กับกลยุทธ์ทางการเมืองของ Musk ที่เข้าไปสนับสนุนฝ่ายบริหารของ Trump สถานการณ์รุนแรงถึงขั้นมีรถ Tesla ถูกวางเพลิงทั่วประเทศ

รวมถึงการทำลายสถานีชาร์จไฟฟ้า จนประธานาธิบดี Trump ต้องออกมาแสดงความสนับสนุน Tesla แบบเปิดเผย และใช้กระทรวงยุติธรรมขู่ว่าจะจับผู้ทำลายทรัพย์สินของ Tesla ด้วยข้อหาการก่อการร้ายภายในประเทศ

เพื่อเข้าใจว่าอนาคตของ Tesla จะเป็นยังไง เราต้องวิเคราะห์ความท้าทาย 4 อย่างที่บริษัทกำลังเผชิญ: ยอดขายที่ดำดิ่ง, ไลน์ผลิตภัณฑ์ที่ล้าสมัย, อนาคตของ Robo Taxi และที่สำคัญคือ “ปัจจัย Elon” ที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของบริษัท

แล้วอนาคตของบริษัทจะเลวร้ายแค่ไหน?

จุดเริ่มต้นของปัญหาเกิดขึ้นในเดือนมกราคม 2024 เมื่อ Musk เตือนนักลงทุนว่า Tesla จะมี “การเติบโตของยอดขายที่ต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด”

เนื่องจากบริษัทมุ่งเน้นไปที่การพัฒนารถรุ่นใหม่ ซึ่งคาดว่าจะเป็น Model 2 ที่มีราคาถูกที่สุดเท่าที่ Tesla เคยผลิตมา ฟังดูเข้าท่าดี แต่ความจริงไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิด

ในปีเดียวกันนี้ Musk ตัดสินใจสนับสนุน Trump ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีแบบจัดหนัก โดยทุ่มเงินกว่า 200 ล้านดอลลาร์เพื่อช่วยให้เขาชนะการเลือกตั้ง

เมื่อ Trump ได้รับชัยชนะ ราคาหุ้น Tesla พุ่งกระฉูดแตะระดับสูงสุดใหม่ที่เกือบ 480 ดอลลาร์ต่อหุ้นในเดือนธันวาคม การเดิมพันครั้งใหญ่ของ Musk ดูเหมือนจะเป็นเรื่องคุ้มค่า

แต่หนึ่งเดือนต่อมา คำทำนายเรื่องยอดขายที่ลดลงก็เป็นจริง Tesla รายงานการลดลงของยอดขายประจำปีครั้งแรกในรอบกว่าทศวรรษ

ในขณะเดียวกัน Musk ก็ทำตัวฉาวโฉ่จากการทำท่าที่ดูคล้ายการเคารพแบบนาซีในพิธีสาบานตนของ Trump ต่อมา Musk ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้า DOGE (Department of Government Efficiency) และเริ่มนโยบายที่สร้างความแตกแยกอย่างรุนแรง

ผลกระทบเริ่มปรากฏชัดในแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของ Tesla ในสหรัฐฯ โดยยอดขายลดลง 12% ตลอดทั้งปี ในขณะที่ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าจากค่ายอื่นกลับพุ่งทะยาน

สถานการณ์ในยุโรปเลวร้ายยิ่งกว่า ในเดือนกุมภาพันธ์ ยอดขายของ Tesla ในฝรั่งเศสลดลง 45% ในโปรตุเกสลดลง 53% ในอิตาลีลดลง 55% และในเยอรมนีลดลงมากถึง 76% ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับการที่ Musk แทรกแซงการเมืองเยอรมันด้วยการสนับสนุนพรรค Alternative for Germany ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายขวาจัด

แม้แต่ในจีน ซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก Tesla ก็ประสบกับช่วงขาลงต่อเนื่องห้าเดือน ในขณะที่คู่แข่งอย่าง BYD และบริษัทจีนอื่นๆ กลับมียอดขายพุ่งทะยาน

ตำแหน่งลูกพี่ใหญ่ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าระดับโลกของ Tesla กำลังถูกท้าทายอย่างหนัก นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาแบบธรรมดา ๆ แต่เป็นการท้าทายจากคู่แข่งที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

หนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ยอดขายตกต่ำคือการที่รถ Tesla หลายรุ่นเริ่มมีอายุมากขึ้นโดยไม่ได้รับการปรับปรุงที่สำคัญ Model X จะมีอายุครบ 10 ปีในปีนี้ ขณะที่ Model S กำลังจะมีอายุถึง 15 ปี โดยทั้งสองรุ่นได้รับการอัปเดตเพียงนิดหน่อยนับตั้งแต่เปิดตัว

แม้ Model 3 และ Model Y ซึ่งเป็นรุ่นที่สร้างรายได้หลักจะได้รับการปรับปรุงเมื่อไม่นานมานี้ แต่ความล่าช้าในการพัฒนารุ่นใหม่ได้เปิดโอกาสให้คู่แข่งเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาด

ผู้บริโภคมีตัวเลือกมากขึ้นเมื่อรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่จาก Hyundai, Kia, Honda และ GM ทยอยเข้าสู่ตลาด ในขณะที่รุ่นใหม่เพียงรุ่นเดียวที่ Tesla เปิดตัวในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาคือ Cybertruck

ซึ่ง Cybertruck เองหลังจากเปิดตัวก็ประสบปัญหามากมาย ถูกเรียกคืนแล้ว 8 ครั้งนับตั้งแต่เปิดตัว ล่าสุดมีปัญหาแผ่นสแตนเลสสตีลที่ตกแต่งตัวรถหลุดลอยออกมา

ที่น่าสนใจคือ ในขณะที่ยอดขายของ Tesla ลดลง แต่ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในภาพรวมกลับเติบโตขึ้น ชาวอเมริกันซื้อรถยนต์ไฟฟ้าเป็นจำนวน 1.3 ล้านคันในปี 2024 เพิ่มขึ้น 7.3% จากปีก่อนหน้า

รถยนต์ไฟฟ้าครองส่วนแบ่งการตลาดรถยนต์ 8.1% ในสหรัฐฯ นี่แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคไม่ได้เบื่อรถยนต์ไฟฟ้า แต่พวกเขาอาจกำลังเบื่อ Tesla ที่ไม่มีอะไรใหม่ๆ มานำเสนอ

Musk เชื่อว่าความเสี่ยงทางการเมืองและความนิยมที่ลดลงคุ้มค่าที่จะเสี่ยง เพราะอนาคตที่แท้จริงของ Tesla อยู่ที่เทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติ, ปัญญาประดิษฐ์ และหุ่นยนต์

เขายืนยันมาตลอดเกือบทศวรรษว่า Tesla ใกล้จะแก้ไขปัญหาการขับขี่อัตโนมัติได้สำเร็จแล้ว โดย Tesla วางแผนจะเปิดตัว Robo Taxi ในรัฐเท็กซัสและแคลิฟอร์เนียในปีนี้ แต่บริษัทยังขาดใบอนุญาตหลายอย่างที่จำเป็นสำหรับการดำเนินการอย่างถูกกฎหมาย

และยังมีคำถามสำคัญว่าเทคโนโลยีของ Tesla นั้นเทพพอที่จะขับเคลื่อนยานพาหนะแบบไร้คนขับอย่างเต็มรูปแบบจริงหรือไม่ หรือเป็นแค่การเพ้อฝันของ Musk

แม้จะมีการเปิดตัวโครงการนำร่อง Robo Taxi แบบจำกัดในปีนี้ แต่ก็ยังห่างไกลจากคำสัญญาเดิมของ Musk ที่บอกว่ารถ Tesla ทุกคันที่ขายตั้งแต่ปี 2016 มีฮาร์ดแวร์ที่จำเป็นสำหรับการขับขี่อัตโนมัติแบบเต็มรูปแบบแล้ว

คำกล่าวอ้างนี้ถูกพิสูจน์ว่าเป็นการขายผ้าเอาหน้ารอด เมื่อ Musk ยอมรับเมื่อไม่นานมานี้ว่า Tesla จำเป็นต้องเปลี่ยนคอมพิวเตอร์ออนบอร์ดสำหรับลูกค้าบางรายที่ซื้อแพ็คเกจ Full Self-Driving (FSD)

สถานการณ์นี้นำไปสู่การฟ้องร้องแบบกลุ่มที่กล่าวหาว่า Tesla ได้หลอกลวงลูกค้า ทำให้ลูกค้าหลายคนรู้สึกเจ็บปวดกับคำสัญญาที่ไม่เป็นจริง

ประเด็นสุดท้ายแต่มีความสำคัญไม่แพ้กันคือ ตัว Elon Musk เอง บทบาทของเขาใน DOGE ท่าทีทางการเมืองที่สุดโต่ง และการแสดงออกที่ล้ำเส้น

ได้ทำให้แบรนด์ Tesla กลายเป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองที่สร้างความแตกแยก จากบริษัทที่เคยได้รับการเทิดทูน กลายเป็นบริษัทที่ถูกมองด้วยสายตาระแวง

สำหรับผู้ประท้วงหลายคน การต่อต้าน Tesla ไม่ใช่เพียงการต่อต้านบริษัทรถยนต์ แต่เป็นการต่อต้าน Musk และอำนาจที่มหาเศรษฐีที่ไม่ได้รับการเลือกตั้งรวบรวมไว้

โดยเฉพาะหลังจากที่เขามีบทบาทในการยกเลิกโครงการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการปลดพนักงานของรัฐจำนวนมาก กลุ่มคนที่ไม่พอใจต้องการโจมตีเขาในจุดที่เจ็บปวดที่สุด นั่นคือบริษัท Tesla

แม้การประท้วงส่วนใหญ่จะเป็นไปอย่างสงบ แต่ก็มีกรณีรุนแรงเกิดขึ้น ทั้งการวางเพลิงสถานีชาร์จ การยิงโชว์รูมในรัฐออริกอน ด้วยความโหดเหี้ยมที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

มีการจับกุมผู้หญิงคนหนึ่งในโคโลราโดที่ขว้างระเบิดขวดเพลิงใส่สถานที่ของ Tesla รถ Tesla ถูกพ่นสัญลักษณ์นาซีและถูกวางระเบิด

รวมถึง Cybertruck หลายคันที่ถูกเผาทำลายในซีแอตเทิล ความโกรธเกลียดต่อ Musk และ Tesla นั้นเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นจริงและบ้าคลั่ง จนไม่อาจยับยั้งได้

คำถามสำคัญคือ สถานการณ์จะเลวร้ายถึงขนาดที่ผู้ถือหุ้นของ Tesla จะเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนผู้นำหรือไม่? ดูเหมือนว่าโอกาสนั้นยังดูห่างไกล

โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาว่าผู้ถือหุ้นเคยลงมติอนุมัติแพ็คเกจค่าตอบแทนมูลค่า 56 พันล้านดอลลาร์สำหรับ Musk ถึงสองครั้ง

แต่การตัดสินใจเหล่านั้นเกิดขึ้นก่อนที่เขาจะมีบทบาทใน DOGE และก่อนที่ราคาหุ้นจะร่วงลงอย่างรุนแรง ทำให้สถานการณ์ปัจจุบันอาจต่างออกไป

มีสัญญาณบางอย่างที่แสดงถึงความกังวลในคณะกรรมการบริษัทของ Tesla กรรมการหลายคนรวมถึงประธานได้ขายหุ้น Tesla ไปแล้วมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์นับตั้งแต่ต้นปี

แต่ยังไม่ชัดเจนว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นกับ Tesla จะส่งผลกระทบต่ออำนาจของ Musk มากน้อยเพียงใด เนื่องจากเขายังคงอยู่ในความโปรดปรานของประธานาธิบดี Trump

แม้การประท้วงและความเสียหายจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อ Tesla แต่ Musk ได้สะสมอำนาจทางการเมืองไว้มาก จนไม่แน่ชัดว่ากลไกตลาดจะยังคงมีอิทธิพลต่อบริษัทเหมือนเดิมหรือไม่

อนาคตของ Tesla ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย โดยเฉพาะความสามารถในการทำให้คำสัญญาเรื่อง Tesla รุ่นราคาประหยัด แพลตฟอร์มยานพาหนะรุ่นใหม่ และบริการ Robo Taxi ใช้งานได้จริง

หรือว่าทั้งหมดนี้จะเป็นแค่ความฝันลม ๆ แล้ง ๆ ของ Musk ที่เข้าไปยุ่งกับการเมืองมากเกินไปจนลืมธุรกิจหลักของตัวเอง

ประธานาธิบดี Trump อาจแสดงการสนับสนุน Tesla มากเท่าไรก็ได้ แต่ถ้าธุรกิจของ Tesla ถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของคำสัญญาที่ไม่เป็นจริงและความคาดหวังที่เพ้อฝัน ก็เป็นไปได้ยากที่บริษัทจะรอดพ้นจากวิกฤตครั้งนี้โดยไม่ได้รับความเสียหาย

สถานการณ์ของ Tesla เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจของการที่การตัดสินใจส่วนตัวของผู้นำองค์กรสามารถขีดชะตาชีวิตบริษัทได้อย่างไร

โดยเฉพาะในยุคที่การแบ่งแยกทางการเมืองมีความรุนแรง และผู้บริโภคให้ความสำคัญกับค่านิยมและจุดยืนทางการเมืองของแบรนด์มากขึ้น

ไม่ว่าอนาคตของ Tesla จะเป็นอย่างไร บทเรียนจากสถานการณ์นี้มีความสำคัญสำหรับธุรกิจทุกขนาด: ความสำเร็จในอดีตไม่ได้รับประกันความสำเร็จในอนาคต

และแม้แต่บริษัทที่มีนวัตกรรมสุดล้ำและเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าก็ยังต้องรักษาความไว้วางใจจากลูกค้าและนักลงทุน ไม่ใช่ว่ามีเงินแล้วจะลืมตัว

เมื่อ Musk เล่นการเมืองหนัก บริษัทที่เคยเป็นที่เชิดหน้าชูตากลับต้องแบกรับความเสี่ยงจากการตัดสินใจส่วนตัวของเขา

อนาคตของ Tesla อาจไม่ได้จบเห่ทันที แต่หากไม่มีการแก้ไขอย่างเด็ดขาด สถานการณ์ของบริษัทที่จะกู่ไม่กลับอาจไม่ไกลเกินรอ

ท้ายที่สุด การกลับมารังสรรค์นวัตกรรมที่แท้จริงและการลดบทบาททางการเมืองของ Musk อาจเป็นหนทางเดียวที่จะช่วยให้ Tesla รอดพ้นจากวิกฤต

เพราะเมื่อความเจ๋งของเทคโนโลยีต้องปะทะกับความขัดแย้งทางการเมือง ผู้บริโภคอาจเลือกที่จะเดินจากไปถ้าไม่อยากถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งนั้น