ถ้าเราจะมองหาประเทศที่กำลังพลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์ และเขียนเรื่องราวความสำเร็จบทใหม่ให้กับตัวเอง ชื่อของ “เวียดนาม” คงเป็นชื่อแรกๆ ที่ผมคิดว่าหลายคนคงต้องนึกถึง
ภาพของประเทศที่เคยบอบช้ำจากสงครามยาวนาน กำลังเลือนหายไป และถูกแทนที่ด้วยภาพของมังกรเศรษฐกิจตัวใหม่ ที่กำลังทะยานขึ้นอย่างรวดเร็วจนโลกต้องหันมามอง
ลองดูตัวเลขที่ไม่ธรรมดาของพวกเขา ในปี 2000 ขนาดเศรษฐกิจหรือ GDP ของเวียดนาม มีมูลค่าเพียงประมาณ 39,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น
แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่ถึง 25 ปี ตัวเลขนี้กลับพุ่งทะยานขึ้นไปแตะระดับ 465,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2024 เติบโตขึ้นมากกว่า 10 เท่าตัว ภายในชั่วอายุคนเดียว
การเติบโตอย่างก้าวกระโดดในอัตรานี้ เป็นปรากฏการณ์ที่หาได้ยากในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจโลก มันทำให้เรานึกถึงภาพของประเทศหนึ่งในอดีต ที่เคยสร้างปาฏิหาริย์ในลักษณะเดียวกัน
ประเทศนั้นคือ “ญี่ปุ่น”
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นแทบไม่เหลืออะไร เมืองใหญ่หลายแห่งกลายเป็นซากปรักหักพัง เศรษฐกิจพังพินาศ ผู้คนสิ้นหวัง แต่เพียงไม่กี่ทศวรรษต่อมา พวกเขากลับผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับสองของโลกได้อย่างน่าอัศจรรย์
วันนี้ เส้นทางการเติบโตของเวียดนาม ดูเหมือนกำลังฉายภาพซ้ำรอยความสำเร็จของญี่ปุ่นในอดีต
คำถามที่น่าสนใจจึงเกิดขึ้นว่า เวียดนามจะสามารถเดินตามรอยเท้ารุ่นพี่ และกลายเป็น “ญี่ปุ่นแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ได้จริงหรือไม่ และมีสูตรลับอะไรซ่อนอยู่เบื้องหลังความสำเร็จที่ว่านี้
เพื่อที่จะตอบคำถามนี้ได้ เราต้องย้อนกลับไปถอดรหัสโมเดลความสำเร็จ ที่เคยทำให้ญี่ปุ่นยิ่งใหญ่เสียก่อน
หัวใจสำคัญประการแรก คือความร่วมมือที่แนบแน่นจนแทบจะแยกไม่ออกระหว่างภาครัฐและภาคอุตสาหกรรม หรือที่อาจเรียกได้ว่า “Team Japan”
ในยุคฟื้นฟูประเทศ รัฐบาลญี่ปุ่น โดยเฉพาะกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมระหว่างประเทศ หรือ MITI ไม่ได้ทำหน้าที่แค่เป็นผู้คุมกฎ แต่รับบทเป็น “วาทยกร” ที่คอยกำกับทิศทางของวงออร์เคสตราอุตสาหกรรมทั้งประเทศ
MITI มีบทบาทอย่างสูงในการชี้นำว่าญี่ปุ่นควรจะผลิตอะไร อุตสาหกรรมไหนควรได้รับการส่งเสริมเป็นพิเศษ หรือแม้กระทั่งการเข้าไปเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ย เพื่อผลักดันให้เกิดการควบรวมกิจการระหว่างบริษัทคู่แข่ง เพื่อสร้างแชมเปี้ยนระดับชาติไปสู้กับต่างประเทศ
แนวทางนี้ ช่วยให้ญี่ปุ่นสามารถทุ่มสรรพกำลังทั้งหมดไปที่อุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีมูลค่าสูง เพื่อการส่งออก และเปลี่ยนประเทศจากเถ้าถ่านสงคราม สู่การเป็นผู้นำเศรษฐกิจโลกได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อมองมาที่เวียดนาม รัฐบาลก็มีบทบาทสูงเช่นกัน แต่รูปแบบจะแตกต่างออกไป ด้วยบริบทการปกครองและยุคสมัยที่เปลี่ยนไป รัฐบาลเวียดนามจะเน้นไปที่การสร้างสภาพแวดล้อมโดยรวมที่เอื้อต่อการลงทุน มากกว่าการเข้าไปชี้นำโดยตรงเหมือนที่ MITI เคยทำ
กลไกสำคัญชิ้นที่สองในเครื่องจักรเศรษฐกิจญี่ปุ่น คือโครงสร้างกลุ่มธุรกิจที่ทรงพลังและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่เรียกว่า “Keiretsu” (เคเร็ตสึ)
ลองนึกภาพของกลุ่มบริษัทขนาดมหึมา ที่ไม่ได้เป็นแค่พันธมิตรทางธุรกิจ แต่มีความสัมพันธ์ที่โยงใยกันอย่างซับซ้อนผ่านการถือหุ้นไขว้ซึ่งกันและกัน ตั้งแต่บริษัทผู้ผลิต ซัพพลายเออร์ ไปจนถึงธนาคารที่เป็นแหล่งเงินทุน ทุกคนล้วนอยู่ในเรือลำเดียวกัน
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือกลุ่ม Mitsubishi ที่มีธุรกิจหลากหลาย ตั้งแต่ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ไปจนถึงบริการทางการเงิน โครงสร้างแบบนี้ทำให้เกิดเสถียรภาพ ลดการแข่งขันที่สิ้นเปลืองภายในประเทศ และเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่กันเพื่อไปบุกตลาดโลก
แต่สภาพแวดล้อมทางธุรกิจของเวียดนามในปัจจุบันนั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิง เศรษฐกิจของพวกเขาเป็นการผสมผสานระหว่างรัฐวิสาหกิจ บริษัทเอกชนท้องถิ่น และการลงทุนจากบริษัทข้ามชาติ การจะนำโมเดลแบบ Keiretsu มาใช้จึงไม่ใช่เรื่องง่าย
ปัจจัยต่อมาที่เป็นเหมือนเครื่องยนต์หลัก คือ “การเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วยการส่งออก”
ญี่ปุ่นทุ่มสุดตัวเพื่อผลิตสินค้าคุณภาพสูง ปักธงคำว่า “Made in Japan” ให้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความน่าเชื่อถือไปทั่วโลก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์
เวียดนามเองก็กำลังเดินตามเส้นทางนี้อย่างแข็งขัน โดยใช้การส่งออกเป็นหัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งทอ รองเท้า หรือชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
แต่จุดแตกต่างที่สำคัญซ่อนอยู่ตรงนี้ ความสำเร็จของญี่ปุ่นมาจากการมุ่งเน้นอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงและมี “มูลค่าสูง” ในขณะที่ภาคการผลิตส่วนใหญ่ของเวียดนามในปัจจุบัน ยังคงพึ่งพาการใช้แรงงานและอยู่ในส่วนที่มี “มูลค่าเพิ่มต่ำกว่า”
นี่คือความท้าทายที่เวียดนามรู้ดี และกำลังพยายามอย่างหนักที่จะก้าวข้ามไปให้ได้ เราจึงได้เห็นการหลั่งไหลของการลงทุนจากบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของโลก ที่เข้าไปตั้งฐานการผลิตชิ้นส่วนที่ซับซ้อนมากขึ้น พร้อมกับนโยบายภาครัฐที่เร่งยกระดับทักษะแรงงานอย่างจริงจัง
และยังมีอีกหนึ่งปัจจัยเบื้องหลังที่หลายคนมักมองข้ามไป นั่นคือ “การสนับสนุนจากภายนอก”
ในช่วงฟื้นฟูประเทศ ญี่ปุ่นได้รับความช่วยเหลืออย่างมหาศาลจากสหรัฐอเมริกา ทั้งในด้านเงินทุน เทคโนโลยี และที่สำคัญคือการเปิดตลาดให้สินค้าญี่ปุ่นเข้าไปจำหน่ายได้
ยิ่งไปกว่านั้น ภายใต้สนธิสัญญาความมั่นคง สหรัฐฯ ยังรับหน้าที่ดูแลด้านการทหารให้ญี่ปุ่น ทำให้ญี่ปุ่นสามารถจำกัดงบประมาณด้านการป้องกันประเทศไว้ในระดับที่ต่ำมากมาตลอดหลายสิบปี
สิ่งนี้เปรียบเสมือนการปลดล็อกพันธนาการ ทำให้ญี่ปุ่นสามารถนำงบประมาณมหาศาลที่ควรจะใช้จ่ายด้านการทหาร ไปทุ่มให้กับการพัฒนาเศรษฐกิจ การศึกษา และโครงสร้างพื้นฐานได้อย่างเต็มที่
ในทางกลับกัน เวียดนามอยู่ในบริบททางภูมิรัฐศาสตร์ที่แตกต่างและท้าทายกว่า พวกเขาต้องจัดสรรงบประมาณจำนวนไม่น้อยเพื่อดูแลความมั่นคงของประเทศ ซึ่งนั่นหมายถึงต้นทุนค่าเสียโอกาสที่อาจนำไปใช้พัฒนาประเทศในด้านอื่นได้
เมื่อพิจารณาปัจจัยทั้งหมดนี้แล้ว จะเห็นได้ว่าเส้นทางของเวียดนามนั้น ไม่สามารถลอกเลียนแบบพิมพ์เขียวของญี่ปุ่นได้ทั้งหมด พวกเขามีทั้งความได้เปรียบในยุคสมัยใหม่ แต่ก็ต้องเผชิญกับข้อจำกัดที่แตกต่างกัน
แล้วอนาคตของเวียดนามจะเป็นอย่างไรต่อไป?
หากมองในเชิงตัวเลข การจะทำให้ขนาดเศรษฐกิจไล่ตามทันญี่ปุ่นในปัจจุบันได้ เวียดนามจะต้องรักษาอัตราการเติบโตเฉลี่ยเกือบ 8% ต่อเนื่องไปอีก 30 ปี ซึ่งเป็นภารกิจที่ท้าทายอย่างยิ่ง
แต่อย่าเพิ่งด่วนสรุป พลังของ “การเติบโตแบบทบต้น” นั้นน่าทึ่งเสมอ หากเวียดนามสามารถรักษาโมเมนตัมการเติบโตในระดับ 5-7% ต่อปีได้อย่างสม่ำเสมอ ในท้ายที่สุด ช่องว่างก็จะค่อยๆ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ที่สำคัญกว่านั้นคือ บริบทของโลกในปัจจุบันก็เปลี่ยนไป ในขณะที่ญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและสังคมสูงวัย เวียดนามกลับมีข้อได้เปรียบจากประชากรหนุ่มสาวจำนวนมาก ที่พร้อมจะเป็นทั้งแรงงานและผู้บริโภคที่สำคัญ
เวียดนามในวันนี้ ไม่จำเป็นต้องเดินตามรอยเท้าของญี่ปุ่นทุกย่างก้าว แต่พวกเขาสามารถเรียนรู้บทเรียนจากทั้งความสำเร็จและความผิดพลาดของรุ่นพี่ เพื่อสร้างเส้นทางความสำเร็จในแบบฉบับของตัวเอง
พวกเขาอาจจะยังตามหลังอยู่ แต่ด้วยทิศทางการพัฒนาที่ชัดเจน การเมืองที่มีเสถียรภาพ และความมุ่งมั่นที่จะก้าวไปสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต ทำให้เวียดนามกลายเป็นดาวรุ่งที่น่าจับตามองที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
บางที ปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจครั้งต่อไปของเอเชีย อาจจะไม่ได้เป็นการสร้าง “ญี่ปุ่นแห่งที่สอง” แต่เป็นการถือกำเนิดขึ้นของ “เวียดนามแห่งแรก” ที่จะสร้างตำนานบทใหม่ให้โลกได้จดจำในแบบฉบับของตัวเอง
References : [worldbank, imf, asia .nikkei, bloomberg]
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA
Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ
Geek Forever’s Podcast
“Open Your World With Technology“
AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning
Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ













