ส่วนตัวผมได้รู้จักชื่อของ Tom Wright จากหนังสือชื่อดังของเขาอย่าง Billion Dollar Whale ที่ออกมาตั้งแต่ปี 2018 ที่ถ่ายเรื่องราวของ Jho Low หนึ่งในสุดยอดนักต้มตุ๋นของโลก
หลังจากนั้น Tom Wright ก็ออกมาแฉเรื่องราวด้านมืดของวงการการเงินโลกและเหล่ามหาเศรษฐีจากธุรกิจสีเทาอีกมากมายมายจนมาถึงประเด็นใหญ่อย่างเรื่อง Scammer ในกัมพูชาที่กำลังเป็นข่าวใหญ่ในไทยอยู่ในตอนนี้
แต่วันนี้อยากจะมาชวนคุยถึงเรื่องขุดคุ้ยแรกที่กลายเป็นตำนานของ Tom Wright นั่นก็คือเรื่องราวของ Jho Low
…
เคยจินตนาการไหมครับว่า คนคนหนึ่งจะมีเงินให้ใช้จ่ายได้มากขนาดไหน มากเสียจนอาจจะมากกว่าใครก็ตามบนโลกใบนี้ เรื่องราวนี้ไม่ใช่เรื่องในนิยาย แต่มันคือชีวิตจริงของผู้ชายที่ชื่อ Jho Low (โจ โลว์)
เขาคือหนึ่งในนักต้มตุ๋นที่ยิ่งใหญ่และโด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ชายผู้ขโมยเงินนับหลายพันล้านดอลลาร์ จากคดีทุจริตที่ใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งเท่าที่โลกเคยมีมา
เรื่องราวของเขายิ่งน่าเหลือเชื่อไปอีก เมื่อเรารู้ว่าเขาเคยเป็นเพื่อนสนิทกับซูเปอร์สตาร์อย่าง Leonardo DiCaprio และใช้เงินที่ขโมยมาสร้างอาณาจักรใน Hollywood หนึ่งในนั้นคือภาพยนตร์เรื่องดัง “The Wolf of Wall Street” โดยที่ไม่มีใครเคยระแคะระคายเลยว่าเบื้องหลังเงินทุนมหาศาลนั้นคืออะไร
ในทุกวันนี้ Jho Low คือหนึ่งในผู้ต้องหาที่ทางการทั่วโลกต้องการตัวมากที่สุด หลังจากยักยอกเงินไปราว 4.5 พันล้านดอลลาร์ หรือกว่า 160,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการฉ้อโกงครั้งประวัติศาสตร์ที่เขาทำสำเร็จตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 30 ปีด้วยซ้ำ
สิ่งที่น่าทึ่งคือ เงินที่เขาได้ไปนั้นไม่ใช่สินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ แต่เป็นเงินสดที่พร้อมใช้จ่าย ซึ่งหมายความว่าในช่วงเวลาหนึ่ง Jho Low อาจมีอำนาจในการใช้จ่ายสูงกว่ามหาเศรษฐีคนไหนๆ บนโลกใบนี้เลยทีเดียว
แล้วชายหนุ่มคนนี้เป็นใครมาจากไหน และเขาทำเรื่องทั้งหมดนี้ได้อย่างไร?
เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นที่เกาะปีนัง ประเทศมาเลเซีย Jho Low เกิดและเติบโตในครอบครัวที่มีฐานะดี แต่ดูเหมือนว่าความร่ำรวยของครอบครัวจะยังไม่เพียงพอสำหรับความทะเยอทะยานอันแรงกล้าของเขา ที่ต้องการจะก้าวขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของสังคม
จุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของเขาเกิดขึ้นเมื่ออายุ 16 ปี พ่อแม่ได้ส่งเขาไปเรียนที่โรงเรียนประจำชื่อดังในอังกฤษอย่าง Harrow ที่นั่นเอง Jho Low ได้พบเจอกับบรรดาลูกหลานของตระกูลที่ร่ำรวยและทรงอิทธิพลจากทั่วทุกมุมโลก
เขาตระหนักได้ทันทีว่า การสร้างคอนเน็กชันกับคนเหล่านี้ คือกุญแจสำคัญที่จะเปิดประตูไปสู่อนาคตที่เขาวาดฝันไว้
แต่ปัญหาคือ Jho Low รู้ดีว่าฐานะของเขาเทียบไม่ได้เลยกับเพื่อนร่วมชั้นหลายคน เขาจึงเริ่มสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้ตัวเอง สวมบทบาทเป็นเจ้าชายจากมาเลเซียผู้มั่งคั่ง
เขาเชิญเพื่อนๆ มาเที่ยวบ้านในช่วงปิดเทอม ถึงขนาดยืมเรือยอชต์ของเพื่อนครอบครัวมา แล้วแอบอ้างว่าเป็นของตัวเอง โดยลงทุนเปลี่ยนรูปถ่ายครอบครัวบนเรือให้เป็นรูปของเขาเอง นี่คือจุดเริ่มต้นของการสร้างตัวตนปลอม เพื่อแทรกซึมเข้าไปในวงสังคมชั้นสูงสุด
หลังจากจบจาก Harrow เขาก็ได้เข้าศึกษาต่อที่ Wharton School of the University of Pennsylvania ในสหรัฐอเมริกา ที่นี่ เขายังคงใช้กลยุทธ์เดิม คือการสร้างภาพลักษณ์ของความร่ำรวยและอิทธิพล ขับรถหรู จัดปาร์ตี้สุดอลังการ เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนนักศึกษาจากตระกูลดัง
และที่ Wharton นี่เอง ที่เขาได้สร้างหนึ่งในความสัมพันธ์ที่สำคัญที่สุดในชีวิต นั่นคือการได้รู้จักกับ Riza Aziz ลูกเลี้ยงของ Najib Razak ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นรองนายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย โดยที่เขาไม่รู้เลยว่า ความสัมพันธ์ครั้งนี้จะกลายเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญในแผนการอันยิ่งใหญ่ของเขาในอนาคต
Jho Low เริ่มต้นเส้นทางอาชีพด้วยการก่อตั้งบริษัทชื่อ The Winton Group โดยอ้างว่าเป็นตัวกลางเชื่อมโยงนักลงทุนจากตะวันออกกลางเข้ากับโครงการต่างๆ ในมาเลเซีย แม้จะไม่มีประสบการณ์ แต่ด้วยภาพลักษณ์ที่สร้างมา เขาก็สามารถเช่าออฟฟิศหรูบนตึกแฝด Petronas Towers ที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศได้สำเร็จ
ในปี 2009 โอกาสครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตของเขาก็มาถึง เมื่อ Najib Razak ได้รับเลือกตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย Jho Low มองเห็นช่องทางที่จะก้าวกระโดดไปสู่อำนาจและความมั่งคั่งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
เขาได้เข้าไปเสนอแนวคิดให้ Najib Razak จัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (Sovereign Wealth Fund) โดยให้เหตุผลว่าจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
แนวคิดนี้ นำไปสู่การก่อตั้งกองทุนที่มีชื่อว่า 1Malaysia Development Berhad หรือที่รู้จักกันในชื่อ 1MDB โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ และพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ในมาเลเซีย แต่เบื้องหลังฉากหน้าที่สวยหรู Jho Low มีแผนการลับซ่อนอยู่
เขาต้องการใช้กองทุนนี้เป็นเครื่องมือในการสร้างประโยชน์ให้กับตัวเองและเครือข่ายทางการเมืองของ Najib โดย Jho Low ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาของกองทุน แม้จะไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แต่เขากลับเป็นผู้มีอำนาจควบคุมการดำเนินงานของ 1MDB อย่างสมบูรณ์
เมื่อกุมอำนาจเบ็ดเสร็จไว้ในมือ Jho Low ก็เริ่มเดินตามแผนการที่วางไว้ เขาสร้างกลไกที่ซับซ้อนในการโยกย้ายเงินออกจากกองทุน ไปยังบัญชีส่วนตัวและบริษัทนอมินีที่ตั้งขึ้นมาบังหน้า
หนึ่งในวิธีการที่เขาใช้คือการสร้างข้อตกลงทางธุรกิจที่ดูเหมือนจะถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง แต่ความจริงแล้วมันเป็นเพียงละครฉากหนึ่งเพื่อใช้ขโมยเงินจากกองทุนเท่านั้น
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเกิดขึ้นในปี 2009 Jho Low ได้จัดการให้ 1MDB เข้าไปลงทุนมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ ในบริษัทร่วมทุนกับ PetroSaudi ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันของซาอุดีอาระเบีย
แต่ในความเป็นจริง มีเงินเพียง 300 ล้านดอลลาร์เท่านั้นที่ถูกโอนไปยังบริษัทร่วมทุนจริงๆ ส่วนเงินที่เหลืออีก 700 ล้านดอลลาร์ ถูกโอนไปยังบริษัทชื่อ Good Star Limited ซึ่งเป็นบริษัท Shell Company ที่ Jho Low เป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว
นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของการฉ้อโกงครั้งมโหฬารเท่านั้น ตลอดช่วงหลายปีต่อมา Jho Low ได้ใช้วิธีการที่คล้ายคลึงกันนี้ในการโยกย้ายเงินอีกหลายพันล้านดอลลาร์ออกจาก 1MDB เข้าสู่กระเป๋าของตัวเองและพวกพ้อง
เมื่อมีเงินมหาศาลที่ได้มาอย่างผิดกฎหมายอยู่ในมือ Jho Low ก็เริ่มใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือยราวกับราชา เขาซื้ออสังหาริมทรัพย์ราคาแพง เรือซูเปอร์ยอชต์ และเครื่องบินส่วนตัว จัดปาร์ตี้สุดอลังการที่แขกทุกคนต้องตะลึง และสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองในฐานะ “มหาเศรษฐีปริศนาแห่งเอเชีย” ที่ใช้เงินอย่างบ้าคลั่ง
Jho Low ไม่ได้ใช้เงินเพื่อปรนเปรอความสุขของตัวเองเท่านั้น แต่ยังใช้มันเพื่อสร้างเครือข่ายกับเหล่าคนดังใน Hollywood อีกด้วย เขาสร้างมิตรภาพกับดาราอย่าง Leonardo DiCaprio และ Paris Hilton และยังใช้เงินลงทุนในวงการภาพยนตร์ ด้วยการสนับสนุนบริษัทโปรดักชันที่ชื่อว่า Red Granite Pictures
หนึ่งในโครงการที่โด่งดังที่สุดที่ Jho Low อยู่เบื้องหลัง ก็คือภาพยนตร์เรื่อง “The Wolf of Wall Street” เขาให้เงินทุนสนับสนุนภาพยนตร์เรื่องนี้ผ่านบริษัท Red Granite Pictures โดยใช้เงินที่ขโมยมาจากกองทุน 1MDB
เรื่องที่น่าขันที่สุดก็คือ ภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าเรื่องราวของนักต้มตุ๋นในแวดวงการเงิน ซึ่งไม่ต่างอะไรกับชีวิตของ Jho Low เองเลยแม้แต่น้อย มันเหมือนกับว่าเขาเย้ยฟ้าท้าดิน ด้วยการเอาเงินที่โกงมา ไปสร้างหนังเกี่ยวกับคนขี้โกงนั่นเอง
แม้ว่า Jho Low จะประสบความสำเร็จในการปกปิดการกระทำของเขามานานหลายปี แต่ในที่สุด ความจริงก็ย่อมเป็นสิ่งไม่ตาย วันหนึ่งมันก็เริ่มปรากฏตัวขึ้น
ในปี 2015 สื่อต่างๆ เริ่มขุดคุ้ยและรายงานข่าวเกี่ยวกับความผิดปกติในการดำเนินงานของ 1MDB ทำให้เรื่องราวบานปลายจนกลายเป็นการสอบสวนในระดับนานาชาติ
เมื่อความจริงเริ่มไล่ล่าเขา Jho Low ก็รู้ตัวว่าเกมของเขากำลังจะจบลง เขาตัดสินใจหลบหนีและหายตัวไปจากสายตาสาธารณชน มีรายงานว่าเขาอาจจะหลบซ่อนตัวอยู่ในประเทศจีน ในขณะที่การสอบสวนเรื่อง 1MDB ก็ยังคงดำเนินต่อไปอย่างเข้มข้น
การล่มสลายของอาณาจักร 1MDB ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อประเทศมาเลเซีย ในปี 2018 Najib Razak พ่ายแพ้การเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งประวัติศาสตร์ของประเทศ
หลังจากนั้นไม่นาน Najib ก็ถูกจับกุมและถูกตัดสินจำคุกในข้อหาทุจริตที่เกี่ยวข้องกับ 1MDB ปิดฉากเส้นทางอำนาจของเขาอย่างสิ้นเชิง
เรื่องนี้ยังส่งผลกระทบไปถึงสถาบันการเงินระดับโลกอย่าง Goldman Sachs ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องในการออกพันธบัตรให้กับ 1MDB ก็ถูกสอบสวนและต้องจ่ายค่าปรับเป็นเงินมหาศาล ผู้บริหารระดับสูงหลายคนถูกดำเนินคดี รวมถึง Tim Leissner อดีตผู้บริหารระดับสูงของ Goldman Sachs ในเอเชีย ที่ยอมรับสารภาพผิด
เรื่องราวของ Jho Low และ 1MDB ถือเป็นบทเรียนครั้งสำคัญที่ชี้ให้เห็นถึงอันตรายของความโลภและการทุจริต มันแสดงให้เห็นว่าแม้แต่สถาบันที่น่าเชื่อถือที่สุดอย่างธนาคารและรัฐบาล ก็สามารถพังทลายลงได้ด้วยการคอร์รัปชัน
นอกจากนี้ เรื่องราวของเขายังสะท้อนถึงค่านิยมที่ผิดเพี้ยนในสังคมยุคปัจจุบัน ที่ผู้คนมักให้ความสำคัญกับวัตถุนิยมและความร่ำรวยมากจนเกินไป จนทำให้บางคนยอมทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินทองและชื่อเสียง โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะตามมา
สื่อมวลชนมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการเปิดโปงการทุจริตครั้งนี้ แต่ในขณะเดียวกัน ก็เกิดคำถามขึ้นว่า ทำไมสื่อถึงไม่เคยตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับที่มาของความมั่งคั่งของ Jho Low ตั้งแต่แรก นี่อาจเป็นบทเรียนให้วงการสื่อต้องทำหน้าที่ตรวจสอบความจริงอย่างเข้มแข็งมากขึ้นซึ่งผมว่าคล้ายกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทยตอนนี้
ในขณะเดียวกัน สังคมโดยรวมก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบเช่นกัน การที่ผู้คนยอมรับและชื่นชมความร่ำรวย โดยไม่เคยตั้งคำถามถึงที่มา ก็อาจเป็นการส่งเสริมให้เกิดพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องโดยไม่รู้ตัว
แม้ว่าวันนี้ Jho Low จะยังคงหลบหนีการจับกุมอยู่ แต่ชีวิตของเขาก็ได้เปลี่ยนไปตลอดกาล จากชายหนุ่มผู้เคยเป็นดาวเด่นในวงสังคมและเป็นเพื่อนกับดารา Hollywood เขากลายเป็นผู้ต้องหาที่ถูกตามล่าตัวมากที่สุดคนหนึ่งของโลก
เขาต้องใช้ชีวิตอย่างหลบๆ ซ่อนๆ ไม่สามารถเดินทางไปไหนได้อย่างอิสระ และต้องใช้ชีวิตอยู่กับความระแวดระวังตลอดเวลา
มีรายงานว่าในช่วงท้ายๆ ก่อนที่เรื่องราวจะแดงขึ้นมา Jho Low เปลี่ยนจากคนที่ดูมีความสุขและมั่นใจ กลายเป็นคนที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวงและวิตกกังวล คนใกล้ชิดต่างบอกว่า แม้ในช่วงที่เขาใช้ชีวิตหรูหราที่สุด ก็ไม่เคยเห็นเขามีความสุขอย่างแท้จริงเลย
มันสะท้อนให้เห็นว่า ความมั่งคั่งและชื่อเสียงที่ได้มาอย่างไม่ถูกต้องนั้น ไม่สามารถนำมาซึ่งความสุขที่แท้จริงได้เลย
เรื่องราวของ Jho Low จึงเป็นเหมือนนิทานเตือนใจฉบับโมเดิร์น ที่บอกเราว่าความสำเร็จที่แท้จริง ไม่ได้วัดกันที่จำนวนเงินในบัญชีหรือชีวิตที่หรูหรา แต่คือการใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าและสร้างประโยชน์ให้กับสังคม
สุดท้ายแล้ว แม้ Jho Low จะหลบหนีการลงโทษตามกฎหมายได้ในตอนนี้ แต่เขาก็ต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับความหวาดกลัวและความรู้สึกผิด ซึ่งนี่อาจเป็นการลงโทษที่สาหัสที่สุด สำหรับคนที่เคยมีทุกอย่าง แต่กลับต้องสูญเสียทุกสิ่งไป เพียงเพราะความโลภและการตัดสินใจที่ผิดพลาดของตัวเขาเอง
References : [wsj, bloomberg, reuters, justice .gov, theguardian , หนังสือ Billion Dollar Whale โดย Tom Wright]
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA
Geek Forever Club พื้นที่ของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ด้านธุรกิจ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ
Geek Forever’s Podcast
“Open Your World With Technology“
AI , Blockchain และเทคโนโลยีใหม่ ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายธุรกิจ ทั้ง แวดวงการเงิน สุขภาพ หรือ งานด้านบริการต่าง ๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับ AI หรือ Machine Learning
Podcast ของผมจะเล่าเรื่องราวต่าง รวมถึงเรื่องที่ผมสนใจอื่น ๆ เช่น startup หนังสือ หนัง หรือ กีฬาฟุตบอล อยากชวนคนที่สนใจให้ลองมาติดตาม podcast ของผมกันด้วยนะครับ











